ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [infinite|woogyu] Everlasting Sunset

    ลำดับตอนที่ #5 : pull the trigger

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 58


     

     5

     

    life or death, it's doesn’t matter
    whether or not you're eager
    no need to hesitate further
    you could pull the trigger

     

     

     

    “วิ่ง! อย่าหันกลับมา! หนีไป!”

     

    ปัง!

     

    กระสุนเฉี่ยวใบหน้าของเขาไปนิดเดียว เด็กหนุ่มชะงักนิ่งก่อนจะยกหลังมือขึ้นแตะผิวแก้มที่ชาวาบ ร่องรอยสีแดงคล้ำเป็นปื้นที่ติดออกมาราวกับมนต์สะกดที่ตรึงฝ่าเท้าของเขาให้ยึดแน่นอยู่กับพื้น

     

    “ขยับเท้าซะ ซองกยู!”

     

    เขากัดฟันกรอด มือขยุ้มเสื้อยืดบางๆตรงหน้าอกที่เกาะผิวหนังอย่างไม่สบายตัว ถึงแม้จะปวดร้าวไปทั้งฝ่าเท้าจากการวิ่งอยู่บนพื้นลูกรังขรุขระ รวมถึงการรับน้ำหนักของห่อผ้าที่โอบอุ้มอยู่ เขาคว้ามือเล็กๆของเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าแล้วออกวิ่งต่อ เสียงกรีดร้องและเสียงปืนลั่นทำให้เขากลัวจับใจ แต่เขาจะต้องออกไปให้ได้ ต่อให้ต้องตาย เขาก็ขอตายโดยที่ได้ขัดขืนและสู้เพื่ออิสระ—เพื่อความเชื่อและอุดมการณ์ของพวกเขา

     

    “ยุนดูจุน คุกเข่าลง! บ้าเอ๊ย พวกแกไปตามจับที่เหลือ!” เสียงคำรามจากด้านหลังยิ่งทำให้หัวใจสั่นคลอน หวาดหวั่นจนแทบจะหมดลม ถ้าหากไม่ได้ยินเด็กหนุ่มอีกคนที่วิ่งคล้อยหลังมาร้องเรียกเสียงสั่น

     

    “วิ่ง วิ่งไป อย่าหยุดนะ”

     

    “ยงกุก...”

     

    เขาเรียกชื่อเพื่อนด้วยความโล่งใจ แต่ระยะที่ทิ้งห่างก็ทำให้ต้องเหลียวหลัง ยงกุกแย้มยิ้มอย่างอ่อนล้าและจงใจผ่อนฝีเท้าลงจนไกลออกไปเรื่อยๆ ริมฝีปากขยับบอกให้ ’อย่าหยุด พาน้องฉันหนีไป’ ซองกยูมองเลยไปก็พบว่ามีเด็กที่ถูกจับได้มากมายและบางส่วนก็ล้มตายไปแล้ว ขอบตาของเขาร้อนผ่าวด้วยความโกรธ ลมหายใจถี่กระชั้นและเท้าก็ยิ่งเร่งความเร็ว

     

    “แดฮยอน กลั้นหายใจ!”

     

    เขาผลักเด็กน้อยที่มีอายุเพียงสิบขวบลงไปในแม่น้ำเชี่ยวทันใดที่วิ่งมาพบ ดวงตาเรียวเหลือบมองร่างเล็กๆที่ถูกสายน้ำพัดพาไปยังทางใต้ก่อนจะออกวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม พวกเขาทุกคนรู้ทิศทางและภูมิภาคดีเพราะผ่านการอบรมที่เข้มงวดตั้งแต่จำความได้ สิ่งที่เพียรศึกษามาอย่างหนักมันได้ใช้ประโยชน์ก็วันนี้เอง ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด แดฮยอนจะไปถึงน่านน้ำของเขตใต้ในเวลาไม่นานและเมื่อข้ามเขตแดนไป เด็กคนนั้นก็จะปลอดภัย เพราะทางการไม่มีสิทธิ์จะไปรุกล้ำแทรกแซงดินแดนแห่งนั้น เนื่องจากยังอยู่ในขอบเขตของสนธิสัญญาที่ตกลงว่าจะไม่เกี่ยวพันกันใดๆทั้งสิ้นหลังจากสงครามเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

     

    ส่วนตัวเขาที่วิ่งเลียบแม่น้ำไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้น ไม่มีอะไรจะมาการันตีว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือของแคปิตอลเลย ทุกคนที่หลบหนีจะไม่เกาะกลุ่มกัน แผนดาวกระจายส่งเด็กทุกคนไปในทิศทางที่แตกต่างเพื่อให้ยากต่อการสืบรอย ตัวเขาเอง—เด็กฝึกหัดของทางการที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มนอกจากดูจุนและยงกุก—พร้อมที่จะเสียสละเลือกเส้นทางอันตรายที่สุด สิ่งที่ขโมยออกมาก็คงสามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายก็ได้ที่จะมีโอกาสตีแผ่เรื่องราวอันน่าอัปยศอดสูภายในลูกแก้วกลมที่บังอาจเรียกตัวเองว่า ‘ยูโทเปีย’ ต่อผู้คนในดินแดนอื่น

     

    ถ้าหากเขาสามารถเอาชีวิตรอด พาร่างที่เหนื่อยล้าเต็มทนออกจากภูมิทัศน์ที่แห้งแล้งและกว้างไพศาลไปจนเจอพื้นที่สีเขียวได้ล่ะก็นะ

     

     

     

    pull the trigger

     

     

     

    รุ่งสางมาเยือนโดยที่มยองซูยังคงยืนกอดปืนไรเฟิลในอ้อมแขนตัวเองแน่น สายตาคมกริบคอยเฝ้าสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วยความระมัดระวังราวกับเครื่องจักร ทุกอย่างดูสงบสุข สายลมยามเช้าตรู่พัดเอื่อย หอบกลิ่นดอกไม้จากท้องทุ่งเบื้องหลังฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง ภายใต้ใบหน้าอันนิ่งสนิท ความร้อนรนค่อยๆคืบคลานเข้ามากอบกุมก้อนเนื้อกลางหน้าอกจนรู้สึกอึดอัด การต้องเฝ้ารอสถานการณ์อย่างไร้จุดมุ่งหมายแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย มยองซูกังวลไปถึงคนที่อยู่ในตัวบ้านอีกด้วย

     

    ถ้าหากพ้นเวลาเที่ยงตรงในวันนี้แล้วยังไม่ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับอูฮยอนหรือโฮวอน มยองซูก็จำต้องทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ก็คือการเสี่ยงทิ้งพื้นที่ให้ไร้การคุ้มกันแล้วออกไปตามรอยหาพลเอกเสียเอง(ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อว่าอูฮยอนจะทำพลาดก็ตาม) แต่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ มยองซูรู้ดีว่าซองกยูไม่ใช่คนโง่ที่จะปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นหลุดหายไปจากความคิด คนอายุมากกว่าจะต้องกำลังวางแผนจะทำอะไรอย่างแน่นอน

     

    ช่วงเวลาที่ซองกยูผล็อยหลับไป มยองซูตรวจตราดูภายในบ้านแล้วไม่พบอาวุธหรือสิ่งของต้องสงสัยนอกจากชุดทำครัวอย่างกรรไกรและมีด หากว่าคำพูดของอูฮยอนในวันแรกๆที่พวกเขารับรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังเล่นซ้ำอยู่ในสมอง

     

    อย่าดูถูกคิมซองกยู

     

    มยองซูเงยหน้าขึ้นฟ้า ตาหยีเมื่อแสงแดดสาดส่องลงมาตรงๆ พระอาทิตย์ดวงกลมลอยอยู่เหนือศรีษะและเงาของเขาก็ผลุบเข้ามาอยู่ใต้ฝ่าเท้า มยองซูยื่นมือออกไปเคาะประตูสองสามครั้งแล้วยืนนิ่งรอปฏิกริยา เมื่อไม่ได้ยินอะไรและไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว เขาจึงเคาะอีกครั้งด้วยคิ้วขมวด ปลายเท้าขยับออกจากกันเป็นท่วงท่าเตรียมตัวทันใดที่เจ้าเหมียวตัวนั้นพุ่งพรวดออกมาจากข้างผนัง มันวิ่งตัดผ่านหน้า ดูแตกตื่นมากและมยองซูก็กำลังคิดจะตามมันไป ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ยินเสียงผืนผ้าที่โบกสบัดจากสายลมแรงที่พัดมาซะก่อน ม่านสีครีมพัดโบกออกมาจากด้านใน ทำให้หัวใจของเขาหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม

     

    “หน้าต่าง…!!!!”

     

    ร่างโปร่งกระชับอาวุธในมือแล้วจึงผลักประตูเปิด รุดเข้าไปในห้องนอนที่ซองกยูน่าจะยังนอนอยู่... แต่หน้าต่างที่เปิดกว้างและเตียงที่ว่างเปล่าก็ทำเอาทุกๆความหวาดกลัวของเขาเป็นจริงขึ้นมา มยองซูปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้พรูออกมาในทีเดียว เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาตามไรผมทั้งๆที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวเลยสักนิด เขาพบเจอกระดาษขนาดนามบัตรที่ถูกเหน็บไว้ใต้หมอน บนนั้นเป็นรูปลูกแก้วที่มีเพียงครึ่งเดียว เขาไม่เคยเห็นสัญลักษณ์นี้มาก่อนเลย แต่สิ่งที่มีรูปร่างใกล้เคียงที่สุดก็มีแค่... ยูโทเปีย

     

    มยองซูวิ่งค้นหาสิ่งผิดปกติในบ้านและรอบนอกในทันใด หวังจะเจอร่องรอยหรือคำใบ้เพิ่มเติมจากการหายตัวไปของซองกยู เขาไม่รู้สึกตัวได้อย่างไร? มยองซูไม่ได้งีบหลับหรือแม้กระทั่งหาวสักครั้งในคืนที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติการในตอนค่ำคืนและมีประสาทที่ไวในช่วงเวลานั้นๆอีกด้วย เขายังเดินตรวจตรารอบพื้นที่ในทุกๆสิบห้านาที มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ว่ามีใครย่องมาและพาตัวซองกยูออกไปพร้อมกับทิ้งนามบัตรนั้นไว้—โดยที่เจ้าตัวไม่มีการร้องขอความช่วยเหลือและไร้ร่องรอยของการขัดขืน หรือแม้กระทั่งการที่ซองกยูจะหนีออกไปเองคนเดียวและไม่ทิ้งอะไรไว้แม้กระทั่งรอยเท้าบนพื้นหญ้าแบบนี้

     

    “ปัดโถ่เว้ย!” มยองซูสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเก็บนามบัตรปริศนาเอาไว้และทำการทิ้งพื้นที่ในทันที

     

     

    “พลเอก! ได้ยินแล้วตอบกลับด่วน!”

     

     

    “พลเอก!”

     

     

    “นี่มยองซู ตอบกลับด่วน!”

     

     

    “พลเอก บอกพิกัดมา!”

     

     

    “พลเอก พี่ซองกยู–”

     

     

     

    “อึ๊ก!”

     

    ของเหลวสีแดงสดสาดย้อมพื้นทรายเป็นหย่อมๆจากแรงอัดที่กลางลำตัว หัวเข่าทรุดลงกับพื้นโดยทรงตัวได้โดยข้อมือที่ถูกจับไพล่หลัง เครื่องมือสื่อสารบนใบหูถูกกระชากออกและเหวี่ยงทิ้งไปไกลแสนไกล สายลมกลางทะเลทรายโหมซัดเม็ดทรายกลบมันจนเกือบมิด เขี้ยวคมฝังลงไปในเนื้อนุ่มที่เลือดแดงสดยังไหลซิบ อยากจะโต้ตอบกับเสียงที่ตะโกนออกมาจากหูฟังนั้น แต่ครั้นจะอ้าปากพูดอะไรก็ได้แต่สำลักกลิ่นคาวเลือดที่ผุดขึ้นมาจากในลำคอ

     

    “พลเอกนัมอูฮยอน... ชื่อเสียงเกรียงไกรออกแท้ๆ ช่างน่าเสียดาย” สุ้มเสียงทุ้มต่ำแทบจะกลืนไปกับสภาพอากาศที่เลวร้าย ดวงตาที่โผล่พ้นผืนผ้าโพกศีรษะคมกริบราวกับเหยี่ยว อูฮยอนพยายามบังคับตัวเองให้ลืมตาเอาไว้เพื่อจดจำรายละเอียดของชายคนนี้ให้มากที่สุด แม้ดวงตาข้างซ้ายจะอ่อนล้าและหรี่ปรือเกือบปิดลงแล้วก็ตาม

     

    “ใจร้อน มุทะลุ ทำอะไรไม่ระวังหน้าไม่ระวังหลัง พลาดท่าก็สมควรแล้ว... พายุทะเลทรายคือปีศาจร้าย แต่ดูนายสิ กระโดดลงมาโดยที่ไม่มีเครื่องป้องกันอย่างถูกต้อง เคืองตาไปหมดแล้วล่ะสิ? กระพริบตาถี่ๆผลิตน้ำตาเสียนะ ไอ้หนู

     

    เขากัดฟันกรอด พยายามขืนตัวจากแรงยึดที่ข้อมือ ทุกๆคำพูดของอีกฝ่ายเป็นราวกับน้ำกรด หยดซ้ำลงบนรอยแผลสดตามเนื้อตัวจนเจ็บแสบ เชือดเฉือนศักดิ์ศรีของเขาไปทีละนิดทีละน้อยให้ทรมานยิ่งขึ้น อูฮยอนไม่เคยจนมุมถึงขั้นนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าทำโอหังและพูดจากับเขาราวกับเป็นเด็กฝึกหัดอย่างชายคนนี้

     

    แต่เขาก็จำต้องยอมรับที่อ่านเกมผิดพลาด คาราวานหนึ่งคันและมอเตอร์ไบค์ดัดแปลงสามคันไม่เคยเกินความสามารถของการซุ่มยิงของเขาเบื้องหลังม่านควัน แต่มอเตอร์ไบค์ทรงเพรียวลมชุดนี้กลับหลบวิถีกระสุนของเขาได้อย่างง่ายดาย อูฮยอนถึงตระหนักได้ว่าเขากำลังรับมืออยู่กับชั้นแนวหน้าที่ผ่านการฝึกหฤโหดมาไม่แพ้กับเขา หรืออาจจะสูงขึ้นไปกว่านั้นด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือชายคนนี้ที่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแม่นยำแถมด้วยกำลังมือที่แข็งแรงราวคีมเหล็ก ดวงตาข้างซ้ายเป็นดวงตาเทียมสีเงิน มันปราดมองเขาอย่างใจเย็น

     

    “ฉันได้ยินเกี่ยวกับนายมาเยอะนะ พลเอก แต่มันคงจะแฟร์กว่าถ้าหากฉันเปิดเผยตัวเองให้นายรู้จัก” ชายหนุ่มพูดพลางแก้ผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าเป็นการป้องกันฝุ่นผงและพรางตัว เผยใบหน้าคมคายประดับด้วยรอยแผลเป็นยาวตั้งแต่ขมับลงมาจนถึงต้นคอ ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเข้าประชิดผู้ที่ทิ้งน้ำหนักลงอย่างหมดแรง ฝ่ามือหยาบกร้านขยุ้มเรือนผมดำและฝืนดึงรั้งให้เงยหน้าสู้แสงแดดแรงกล้า

     

    “จอมพลบังยงกุก ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

    อูฮยอนเบิกตากว้างก่อนจะถูกกดศีรษะลงด้วยแรงที่ไม่น้อย การเคลื่อนไหวทำให้สำลักลิ่มเลือดอีกระรอก ยงกุกคลายมือที่กำเส้นผมชื้นเหงื่อแล้วจึงลุกขึ้นจับจ้องผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกน้อง ถึงแม้จะไม่เคยพบเจอกันเลยสักครั้ง 

     

    “เอ้า ปล่อยซะ” ยงกุกปัดมือไปทางนายทหารแต่สายตายังจ้องมองอูฮยอนอย่างกับจะทะลุทะลวงผ่านกระโหลก “คงไม่โง่โจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”

     

    แค่ก... คุณ…” ทันใดที่ถูกปล่อยตัว อูฮยอนก็พยายามลุกขึ้นมาจนได้ ท่อนแขนประคองช่วงตัวที่บาดเจ็บและระบมไปไม่น้อย การปะทะอย่างไม่มีการออมมือที่ผ่านมาคงทำให้ซี่โครงแตกหรือร้าวไม่ต่ำกว่าสองซี่ อูฮยอนไม่อยากจะคาดเดาเช่นกันว่าเขาจะรอดออกไปได้ยังไงกับบาดแผลภายในแบบนี้

     

    “คุณได้ข้อมูล...”

     

    “จากเทคนิเชียนคนนั้น ใช่ ฉันถึงได้อาสามาเองยังไงล่ะ”

     

    “ผม… ผมส่งให้...” ดวงตาสีนิลเหลือบมองชายตรงหน้าด้วยสายตาที่ฉายแววของความหวัง หากว่าสีหน้าแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นการฉีกยิ้มจนน่าขนลุกของยงกุกทำให้อูฮยอนตระหนักอีกครั้งว่าทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่เขาอยากให้มันเป็นไปเลยแม้แต่นิดเดียว

     

    “อ้อ นายเองงั้นรึ? แต่ว่า... นายคาดเดาอะไรผิดไปนะ มันไร้ประโยชน์

     

    สุ้มเสียงแหบต่ำอันฝาดหูกระแทกกระทั้นไม่แพ้กับแรงมือที่เหวี่ยงตัวเขาออกไป อูฮยอนประคองลำตัวอย่างยากลำบากในขณะที่ถลาไปกับพื้น เขานอนแผ่หลาอยู่กลางเม็ดทราย หอบหายใจหนัก ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมาต่อต้าน รองเท้าคอมแบทย่ำหนักๆลงที่ข้างศรีษะของเขาพร้อมกับยงกุกที่ย่อตัวลงมากระซิบ

     

    “นายขาดคุณสมบัติของการเป็นนักรบแห่งยูโทเปียไปแล้ว พลเอก

     

     

    ยังไม่ทันที่ฝ่ายใดจะเอื้อนเอ่ยอะไรต่อ เสียงเครื่องยนต์ดังคำรามตรงเข้ามาพร้อมกับลมร้อนระอุและฝุ่นผงฟุ้งกระจาย บิ๊กไบค์สีดำเมี่ยมหยุดลงเบื้องหน้าพวกเขาก่อนที่ผู้ขับจะก้าวลงมาด้วยความชำนาญ มือขาวจัดค่อยๆถอดหมวกกันน็อคสีดำออกช้าๆ วินาทีที่สายตาของอูฮยอนเห็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของใบหน้า เขาก็จำได้ในทันที ไม่มีทางที่เขาจะลืมริมฝีปากคู่นั้น—อบอุ่นและนุ่มนวลราวกลีบดอกไม้ของฤดูใบไม้ผลิ—โดยเฉพาะการที่เขาได้สัมผัสมันมาแล้วนับไม่ถ้วน

     

    หมวกกันน็อคหนาหนักตกลงกับพื้นด้วยเสียงทึบที่อื้ออยู่ในหู แต่ภาพตรงหน้ากลับแจ่มชัดแม้ว่าแก้วตาของเขาจะพร่าเลือนต่อสิ่งอื่นรอบกาย เรือนผมสีคาราเมลพริ้วไหวจนเกือบจะกลืนไปกับทะเลทราย ดวงตาคู่นั้นที่เคยกักเก็บหมู่ดาวไว้ทั้งกาแล็กซี่กลับไม่ฉายถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ อูฮยอนไม่แน่ใจว่าแรงบีบอัดที่กลางหน้าอกนั้นมันมาจากซี่โครงที่แตกร้าวหรืออะไรกันแน่

     

    บังยงกุกหัวเราะหึๆพร้อมกับลุกขึ้น ร่างสูงเดินผ่านผู้มาเยือนที่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที ดวงตาเรียวหลุบลงมองพื้น

     
     

    “ไม่น่ารีบมาเลยนะ คิมซองกยู



    คิมซองกยูในตอนนี้เหมือนเป็นคนที่อูฮยอนไม่รู้จัก เขาคุ้นชินกับคนที่มักจะสวมใส่แต่เสื้อผ้าสบายๆ แค่เสื้อยืดเรียบๆไม่มีลวดลายและกางเกงผ้าฝ้าย ไม่ใช่คนที่อยู่ในเสื้อแจ๊กเก็ตหนังดูน่าอึดอัดแบบนี้ ไม่ใช่คนที่มีดวงตาทึบแสงและดูอ้างว้างเหลือเกิน

    วิสัยทัศน์ของเขาเริ่มพร่าเลือน ความมืดมิดขยับขยายบดบังภาพตรงหน้าราวกลุ่มเมฆดำของเครื่องบินกองทัพเหนือน่านฟ้าเมืองเล็กๆเมืองนั้น ริมฝีปากคู่นั้นขยับเอื้อนเอ่ยสิ่งใดเขาก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว อูฮยอนเห็นปลายนิ้วของตัวเองที่พยายามเอื้อมออกไปก่อนที่มันจะตกลงกระทบพื้นทราย พร้อมกับสติของเขาที่ร่วงหล่นไปในห้วงภวังค์ลึก



    (everlasting sunset)



    แสงแบบนั้นอีกแล้ว


    เจิดจ้าจนกระบอกตาปวดแสบ


    เสียงบางอย่างจอแจดังหึ่งจนหูอื้อ


    กล้ามเนื้อกรีดร้องเรียกหาสิ่งมาบรรเทา


    เปลือกตากระตุกรุนแรงต่อแรงกระตุ้นรอบข้าง สั่งให้เขาลืมตาขึ้นมาพบกับความเป็นจริง หมดสติไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้แต่ความนิ่งของพื้นเย็นเยียบบ่งบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ในรถคาราวานคันนั้นแล้ว น่าแปลกที่พบว่าเขาไม่ได้ถูกพันธนาการไว้แต่อย่างใด แต่ ณ เวลานี้แค่จะขยับตัวก็ยังทำได้ยาก จะเอาแรงที่ไหนวิ่งหนีอีก อูฮยอนกัดฟันกรอดและเผลอหลุดครางเพราะร่างกายที่ปวดร้าว ทันใดนั้นทุกสรรพสิ่งก็เหมือนจะหยุดการเคลื่อนไหวและเงียบสนิท ความสนใจจากทุกๆชีวิตในห้องโอ่โถงแห่งนี้ตรงมาที่เขาและบังยงกุก ชายตรงหน้าก้าวไปยืนตรงที่เดียวกับที่เขาเคยยืนเมื่อก่อน


    "ว่าไง จอมพล คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับ... สิ่งนี้กันล่ะ?"


    อูฮยอนตวัดสายตาแข็งกร้าวไปยังชายสูงวัยผู้ครอบครองที่นั่งตรงกลางของสภา เมื่อก่อนจะเรียกเขาด้วยสรรพนามอะไรก็ช่าง แต่การถูกตีค่าเป็นแค่สิ่งของมันทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก


    "อย่างที่พวกเราคาดคะเนกันไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีต่อยูโทเปีย เป็นเวลานานที่พวกเราพยายามสืบเสาะหาคนผู้นั้นโดยใช้เบาะแสจากความเลินเล่อที่มันทิ้งเอาไว้ การปฏิบัติการที่ไม่รอบคอบช่างไม่สมกับพล- ไม่สิ อดีตพลเอกเอาเสียเลย" สุ้มเสียงทุ้มหยาบกร้านเอ่ยอย่างไม่มีติดขัด ดวงตาแท้เพียงหนึ่งข้างของเจ้าตัวเหลือบกลับมามองพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากเป็นเชิงเยาะเย้ย อูฮยอนกำมือแน่น ถึงแม้ตอนนี้หัวใจจะเต้นโครมจนเจ็บระบมไปทั้งอก


    "แต่ว่าเราได้พบกับนัมอูฮยอนระหว่างการปฏิบัติการ ด้วยสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้ เรารุกไล่ตามผู้กระทำและเกิดการปะทะกันขึ้น"


    อา... อย่างนี้นี่เอง...


    "คุณจะบอกว่าพลเอกนัมอูฮยอนไม่เกี่ยวข้องใดๆกับแผนการล้มยูโทเปีย ข้อมูลที่รั่วไหลและสิ่งที่ถูกขโมยไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วเลยงั้นหรือ?"


    "โถ่ ท่านประธาน 10 ปีที่แล้ว นัมอูฮยอนเป็นเพียงเด็กใหม่ที่ผ่านการฝึกขั้นแรกไปหยกๆ ตอนที่เกิดการก่อกบฎ เจ้าเด็กพวกนั้นก็นอนเป็นผักอยู่เลยใช่ไหม?"


    เสียงพูดคุยดังจอแจขึ้นมาอีกครั้ง เหล่าผู้การแต่ละหน่วยที่มีรวมตัวกันอยู่ที่นี้เหมือนจะไม่ทันได้คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องราวน่าฉงนใจอย่างนี้ ก็แน่อยู่แล้ว เพราะสิ่งที่บังยงกุกกำลังพูดอยู่นั้นมันคือเรื่องจริงแต่อาบไปด้วยยาพิษอันแสนหวานที่จะทำให้ทุกคนตายใจและเบี่ยงเบนประเด็นออกไปจากตัวนัมอูฮยอนที่เป็นผู้ต้องสงสัย


    "ถ้าอย่างนั้น... ฟังจากคำพูดของคุณแล้ว การที่ตัวการจะเป็นหนึ่งในเด็กที่หลบหนีออกไปได้ในตอนนั้นก็เป็นไปได้อย่างนั้นสิ?"

    "ฮึ ถ้ายุนดูจุนยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ คงไม่ต้องสงสัยผู้อื่นเลย"

    "แต่พวกมันก็ยังมีอีกหลายคน ถึงจะกระจัดกระจาย ไม่อาจตามสาวตัวถึงได้ก็เถอะ"


    เด็กที่หลบหนีจากเหตุการณ์ครั้งนั้น... อูฮยอนก้มหน้านิ่งด้วยนัยน์ตาสั่นคลอน ความรู้สึกประหลาดตรงเข้าเกาะกุมที่หัวใจ มันบีบรัดจนชาวาบ คล้ายๆกับสิ่งที่เขาเรียกว่าความกลัว


    "เราไม่อาจสรุปอะไรได้ แต่ถูกต้องอย่างที่ท่านว่า มันเป็นไปได้ เด็กพวกนั้นมีความแค้น" บังยงกุกเอ่ยด้วยเสียงที่ดังกึกก้องเพื่อเรียกความสนใจจากเหล่าผู้ประชุมกลับมาที่ตน "แต่ทุกท่านอย่าห่วงไปเลย..."



    'เราเห็นลักษณะของมัน มีแผลเป็นยาวจากขอบตาถึงติ่งหู ตามตัวไม่ยากอีกต่อไป'


    "อย่างนี้นี่เอง..." มยองซูพึมพำใต้ลมหายใจหลังจากฟังการรายงานจากในที่ประชุมผ่านลำโพงในห้องพัก โฮวอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม "ตอนที่ฉันถูกสั่งให้ไปคุ้มกันพี่ซองกยู... ชายคนหนึ่งเข้าทำร้ายเขา มีแผลเป็นอย่างที่กล่าวไป..."


    โฮวอนมองไรผมที่ชื้นเหงื่อของเพื่อนร่วมทีมแล้วก็จำต้องกลืนน้ำลาย


    "เจ้านั่น... เป็นแพะ"


    มยองซูหลับตาลงแน่น ภาพของวันนั้นกลับผุดขึ้นมาถาโถมใส่เขาจนรู้สึกคลื่นไส้ ใบหน้าบิดเบี้ยวหลังจากที่ใบมีดแทงทะลุร่างของชายผู้ถูกหลอกให้เดินไปตามเกมนี้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน



    "โหดร้ายอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ บังยงกุก..."


    เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าก่อนจะผินใบหน้ากลับมามองผู้พูดที่อยู่ในสภาพดูไม่จืดหลังจากถูกลากจูงกลับมาในห้องทำงานที่เขาคุ้นเคย ยงกุกแสยะยิ้มแล้วปัดมือไปมาราวกับจะปฏิเสธข้อกล่าวหา "พูดอะไรก็ดูตัวเองหน่อย นัมอูฮยอน"


    ดวงตาเลื่อนลอยจ้องอีกฝ่ายไม่กระพริบ ยงกุกกรอกตาเพียงข้างเดียวพลางก้าวสุมกลับมาหาผู้ที่นั่งพิงผนังอย่างอ่อนแรง แต่สายตาคู่นั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความอ่อนแอเลย ยงกุกย่อตัวลงแล้วใช้นิ้วชี้จิ้มที่กลางหน้าผากราวกับกำลังสั่งสอนเด็กๆ


    "หึ จะบอกอะไรให้... ฉันฆ่ามาน้อยกว่านายนะ อดีตพลเอก ถ้าฉันโหดร้าย นายไม่เป็นปีศาจแล้วรึไง?"


    "แก...!"



    "พอได้แล้ว ทั้งคู่นั่นล่ะ"


    เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังของยงกุก อีกทั้งยังฟังอู้อี้เหมือนมีบางอย่างปิดกั้นอยู่ ยงกุกลุกขึ้นและหันกลับไปหาผู้ที่เพิ่งเข้ามา เงาจากฮู้ดที่คลุมศีรษะและผ้าปิดปากทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว เมื่ออีกฝ่ายวางกล่องเหล็กหนักๆลงกับพื้น อูฮยอนก็แนบตัวเข้ากับผนังยิ่งขึ้นแม้จะทำให้อวัยวะที่บอบช้ำนั้นต่อต้าน เตรียมพร้อมรับมือต่ออะไรก็ตามก็อาจเกิดขึ้น แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นและเผยให้เห็นดวงตา เป็นอีกครั้งนับจากกลางทะเลทรายนั้นที่อูฮยอนรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน


    "เอ้า ถึงเวลาซ่อมแซมกันรึยัง?"



    tbh.




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×