ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [infinite|woogyu] Everlasting Sunset

    ลำดับตอนที่ #4 : and how i...

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 58


    4

     

     

    หนาว

     

    นิ้ว... ชา

     

    แสบคอ

     

     

     

    'นัมอูฮยอน ลุกขึ้นมา!'

     

     

     

    หนวกหู

     

    จะให้ลุกได้ยังไง โดนไปมากกว่าที่คนปกติจะรับได้ตั้งหลายเท่า ยังไม่ตายก็ถือว่าดวงแข็งจะแย่

     

     

     

    'ช็อตที่สิบเก้า...'

     

     

     

    เฮือก!

     

    ดวงตากลมโตเบิกโพลง สายตาที่ยังพร่ามัวกราดมองไปอย่างไร้ทิศทางเนื่องจากกล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งจนขยับไม่ได้ หน้าอกขยับขึ้นลงเป็นจังหวะที่หนักหน่วงตามลมหายใจที่ถี่กระชั้น ร่างโปร่งนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นผิวแข็งๆที่เย็นเยียบ ซึ่งคงเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้รู้สึกชาไปทั้งตัว แนวฟันขาวขบริมฝีปากล่างจนเลือดซิบเมื่อเส้นประสาทที่ตึงแน่นทั้งตามแขนและขาเกิดกระตุกวูบ ทำเอาความเจ็บปวดที่สั่งสมมาในช่วงเวลาที่หมดสติแล่นพล่านไปทั่ว

     

    อูฮยอนหลับตาลงอีกครั้งแล้วพยายามที่จะควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเอง หัวใจเต้นรัวเร็วและราวกับว่าแรงจนกระทบกับซี่โครงในบางครั้ง เขาจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ระเบิดที่หลังตู้นิรภัยมันไม่ระคายเขาซักเท่าไหร่เพราะประสาทยังไวพอที่จะถอยออกมาทัน แต่ก็ดันเสียท่าให้กับกับดักที่มาในรูปแบบของหลอดยาพร้อมเข็มมากมายที่จู่โจมมาจากข้างหลัง

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องโดนแบบนี้ แต่ยังไงมันก็ยังทรมานเหมือนอย่างในตอนนั้นอยู่ดี

     

     

    "เยี่ยมชะมัด... ยาสลบ ยาคลายกล้ามเนื้อเกินขนาด กล่อมประสาท... มุกเดิมๆ"

     

     

    เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เริ่มเรียกความรู้สึกกลับมายังปลายนิ้วได้สำเร็จ สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือเพดานโลหะ และตามด้วยผนังโลหะ พื้นที่อยู่ใต้ตัวก็เป็นแผ่นโลหะเย็นชืด สรุปคืออูฮยอนได้กลับมาเยือนห้องนี้อีกครั้ง ห้องที่เป็นเหมือนกับกล่องเหล็กที่มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว ห้องฝึกอบรมอะไรกัน? ดูยังไงก็คุก

     

    และมันก็เรียกเอาเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่น่าพิศมัยย้อนกลับมาหมดเป็นระรอกคลื่น ช่วงเวลาที่ทำให้อูฮยอนตระหนักได้ว่าเขาไม่น่าจะใช่คนจริงๆซะด้วย

     

     

    'นายมันไปไกลกว่านั้นแล้ว นัมอูฮยอน คนที่ไหนจะทนยาเกินขนานไปได้เป็นสิบกว่าช็อต?'

     

     

    อูฮยอนครางต่ำในลำคอแล้วค่อยๆยันตัวเองขึ้นนั่ง มือปัดป่ายไปตามกระเป๋าที่อยู่บนชุดหมีสีเข้มที่ใส่อยู่ ซึ่งเป็นการกระทำที่งี่เง่าไม่น้อย อูฮยอนขยี้ผมตัวเองแล้วสบถออกมาอย่างไม่จำเป็นต้องเบาเสียง แน่นอนว่าทุกๆอย่างที่อยู่ติดตัวมันถูกเอาไปหมดแล้ว หนึ่งก็คือปืนคู่ใจของเขา แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือปืนอีกกระบอกที่เขาเอามาจากที่นั่น

     

     

    ถูกแล้ว ปืนของซองกยู

     

     

    ในทีแรก เขาก็ไม่ได้เอะใจ ไม่แม้แต่จะระแคะระคายว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้น่าสนใจอย่างน่าประหลาด คิมซองกยูมีความคิดที่แตกต่างไปจากเขาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ถ้าวันนั้นเขาไม่ได้เผลอเปิดลิ้นชักข้างเตียงดูเข้า เขาก็คงจะอยู่ในวังวนของความสงสัยต่อไป

     

    เพราะความจริงแล้ว คิมซองกยูเคยอยู่ที่นี่ ที่แห่งเดียวกับที่เขาอยู่ในตอนนี้ และอีกฝ่ายอาจจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับที่เขาอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำไป ถ้าหากซองกยูกล้าที่จะเหนี่ยวไก

     

     

     

    ปืนสีเงินมันวาว Desert Eagle รุ่นที่ทำจากโครเมี่ยมที่อยู่ในสภาพดีเยี่ยมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนถูกยกขึ้นจนถึงระดับสายตาโดยนิ้วชี้ที่เกี่ยวโกร่งไกเอาไว้ อูฮยอนมองผ่านมันไปยังชายหนุ่มอีกคนที่เคี้ยวริมฝีปากล่างและห้อยหัวลงอย่างนิ่งงัน

     

    'ทำไมนายถึงเก็บมันไว้?'

     

    '...ฉัน'

     

    'ทำไมนายถึงไม่ทำลายมันไปซะ!? นายน่าจะรู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหนที่มีหลักฐานอันโตอยู่กับตัวแบบนี้?'

     

    ซองกยูแค่กลืนน้ำลายแล้วก้มหน้าอยู่อย่างนั้นอย่างจนปัญญาที่จะโต้ตอบ เพราะอูฮยอนพูดถูก ทำไมซองกยูถึงยังเก็บเอาไว้ทั้งๆที่ตัวเองไม่แม้แต่จะกล้าถือมันไว้ในมือ? ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นตัวบ่งบอกชั้นดีว่าเขามาจากที่ไหน และควรที่จะเป็นอะไร ถ้าถูกพบเจอเข้าล่ะก็ โทษถึงตายยังว่าง่ายไปด้วยซ้ำ โทษของผู้หลบหนีคงจะทรมานกว่าการฝึกนรกของเหล่านักฆ่าหลายเท่า

     

     

    'ฉันไม่รู้!' ซองกยูกุมขมับตัวเองแล้วตะโกนออกมา ดวงตาที่เบิกกว้างเริ่มเอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำ เฟืองที่เจ้าตัวพยายามหยุดมันเอาไว้เริ่มหมุนอีกครั้ง 'จะโยนมันทิ้งไม่ได้... ทำลายก็ไม่ได้... ความเสียสละของพวกเขาจะสูญเปล่า...'

     

    'แม้แต่... แม้แต่ตอนที่เขาล้มลงไป เขายังกำอาวุธแน่นไม่ปล่อย...'

     

    ยิ่งย้อนนึกถึงมันเข้า ซองกยูก็เริ่มเสียขวัญ ร่างโปร่งหายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก 'เขาบอกให้ฉันวิ่งต่อไป อย่าหันกลับมา แล้วเขาก็... เขายิ้ม...'

     

    อูฮยอนปล่อยให้ปืนในมือตกลงกับที่นอนนุ่มแล้วปีนขึ้นไปคว้าร่างกายที่สั่นเทาเข้ามาแนบอก โดยที่แขนของซองกยูก็ตวัดเข้ากอดช่วงตัวอีกฝ่ายเอาไว้ในทันที อูฮยอนรู้สึกถึงปลายเล็บที่กดลงบนแผ่นหลังจนรู้สึกปวดหนึบ แต่ความเจ็บปวดแค่นี้มันเล็กน้อยมากสำหรับเขา

     

    'จะให้ฉันทำได้ยังไง?' ซองกยูหายใจเข้าลึก พูดด้วยเสียงอู้อี้ในขณะที่พยายามงับอากาศเข้าปอด 

     

    'พวกนั้นจะให้ฉันยิงเพื่อนตัวเองด้วยปืนกระบอกนี้...' 

     

     

     

    "โถ่เว้ย!"

     

     

    อูฮยอนเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ผนังเหล็กที่ส่งเสียงดังกึกก้อง และแรงอันมากมายที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ทำเอาผนังสะเทือนไปทั้งแผ่น เขาแนบหน้าผากเข้ากับพื้นผิวเย็นเยียบแล้วพ่นลมหายใจออกเพื่อที่จะควบคุมอารมณ์ที่เริ่มปะทุ

     

    ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองไปยังบานประตูที่เป็นเพียงแผ่นเหล็กเรียบๆ ไม่มีกลอน ไม่มีช่องว่างใดๆพอที่จะเปิดมันได้เลย อูฮยอนเรียนรู้ได้จากประสบการณ์อันโชกโชนว่ามันเปิดได้จากข้างนอกเท่านั้น และในตอนนี้ ข้างนอกก็คงมีแต่ทหารคุมกันให้วุ่น เขาที่ไม่มีอาวุธติดตัวเลยก็คงจะจัดการอะไรได้ลำบากไม่น้อย

     

     

    คิดสิ คิดสิ คิด

     

     

    "ในนี้ก็หนาวชะมัด คิดจะแช่แข็งกันให้ถึงเซลล์สมองเลยรึไง!" โวยวายไปอูฮยอนก็ทั้งต่อยทั้งถีบมั่วซั่วไปทั่วห้อง ด้วยความเกลียดชังห้องนี้เข้าไส้ ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของเขาเอง "ปล่อยให้ขยับตัวได้ทำไมวะ!? ไม่รู้รึไงว่ายาใช้กับฉันไม่ได้ผลแล้ว!"

     

     

    "ทำไมไม่ยิงมาซักนัด ดูถูกกันเกินไปแล้ว!"

     

     

    เปรี๊ยะ!

     

     

    อูฮยอนชะงักกึก เขาหันขวับไปยังต้นตอของเสียง ซึ่งก็คืออีกฝั่งของประตูเหล็กนี้เอง คิ้วเข้มขมวดเข้าด้วยกันในขณะที่กำลังประมวลผลว่าเสียงที่ได้ยินมันคือเสียงของอะไร และถ้าสมองเขาหายดีจากยากล่อมประสาทพวกนั้นแล้ว เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นเสียงจากไฟฟ้า

     

    เขาลากพื้นรองเท้าหนาๆไปข้างหลังเล็กน้อยและนิ่งมองความเคลื่อนไหวต่อไป ก็รู้ว่าทั้งห้องนี้เป็นเหล็ก เป็นตัวนำไฟฟ้าชั้นดี และอูฮยอนก็อาจจะโดนช็อตไปแล้วก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะรองเท้าคอมแบทสมบุกสมบันที่ใส่อยู่ ถึงอย่างนั้นเขาก็จำต้องสะดุ้งเพราะอากาศรอบตัวดันเริ่มส่งเสียงเปรี๊ยะอยู่ข้างๆหู เป็นไฟฟ้าแรงสูงขนาดไหนถึงได้วิ่งผ่านอากาศได้แบบนี้

     

     

    "ไฟฟ้างั้นเหรอ..."

     

     

    อูฮยอนกระพริบตาปริบๆพร้อมกับยืนแน่นิ่ง และในวินาทีที่เสียงระเบิดเล็กๆดังขึ้นข้างนอก รอยยิ้มมุมปากก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ล๊อคแบบพิเศษที่ต้องใช้การกระตุ้นในสเกลที่เล็กจนถึงอะตอมเท่านั้น และการใช้ไฟฟ้าก็เป็นวิธีที่ไม่เลวเลย

     

    บานประตูเหล็กแง้มออกน้อยๆก่อนจะถูกเลื่อนออกจนสุดด้วยแรงมหาศาล

     

     

    "นายขัดคำสั่งฉัน" ร่างโปร่งส่ายหน้าเบาๆก่อนจะกระตุกยิ้มให้กับคนที่ยืนอยู่หน้าประตู "อีโฮวอน"

     

    "เงียบน่า รีบออกมาได้แล้ว"

     

    อูฮยอนไม่คิดจะต่อปากต่อคำอะไรในเวลาแบบนี้ เขาก้าวเร็วๆตรงไปยังหน้าประตูแล้วหันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่าลูกน้องจัดการกับทหารที่เฝ้าเวรอยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้วจึงเดินข้ามกรอบประตูออกไป หลังจากกระซิบบอกหัวหน้าหน่วยในระยะประชิดว่าชิงกลับมาได้แค่นี้ โฮวอนก็ดันปืนสีทองในมือเข้ากับหน้าอกของคนอายุมากกว่าแล้วถือปืนสีเงินขึ้นมาด้วยอีกมือ ดวงตาสีดำขลับที่ใช้มองอูฮยอนเต็มไปด้วยคำถาม

     

    "ไว้คุยกันทีหลัง ฉันต้องกลับไปที่ห้อง" อูฮยอนส่ายหน้าแล้วคว้าปืนสีเงินเข้ามาเหน็บไว้ที่เอว โฮวอนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารุนหลังอูฮยอนให้นำไปก่อนโดยเป็นฝ่ายคอยระวังหลังให้

     

    "ฉันน็อคไปนานเท่าไหร่?"

     

    "สองวัน ถือว่าเร็วกว่าที่คิด ไม่มีคนที่ไหนลืมตาตื่นขึ้นมาจากยาโด๊สขนาดนั้นหรอก"

     

    ชายหนุ่มแค่นหัวเราะพร้อมกับผลักให้โฮวอนเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง อูฮยอนย่อตัวลงสำรวจตู้เซฟอีกครั้ง เมื่อไม่พบสิ่งแปลกปลอมอะไรแล้วจึงแนบนิ้วโป้งเข้ากับเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ โฮวอนได้แต่ยืนพิงอยู่ข้างประตู จับจ้องอีกฝ่ายที่หยิบชิปอันเล็กจิ๋วออกมาสองอัน

     

     

    "ฉันอยากให้นายเอาเจ้านี่ไปให้คนสองคน" อูฮยอนถือมันขึ้นมาไว้ข้างละหนึ่งอัน "ดงอูและจอมพลบัง"

     

    "จอมพล–"

     

    "ฉันจะไม่ตอบอะไรนายทั้งนั้น ทำมันก็พอ"

     

    "โรเจอร์"

     

    โฮวอนเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วหนีบชิปทั้งสองอันเอาไว้ในแมกกาซีนใส่กระสุน จังหวะที่อูฮยอนสะบัดข้อมือน้อยๆ ร่างกายกำยำก็ก้าวถอยออกไปผ่านช่องของประตูเหล็กอย่างเงียบงัน ไม่กี่นาทีผ่านไป เสียงสัญญาณดังซู่ซ่าออกมาจากอุปกรณ์สื่อสารที่แฝงตัวเป็นต่างหูกลมเรียบๆ อูฮยอนกระแอมเบาๆแทนการตอบรับคนที่อยู่ปลายสาย

     

     

    'มยองซูเอาไอ้นั่นออกมาใช้ สแตนด์บายอยู่ที่พอร์ทหมายเลขสาม'

     

     

    อูฮยอนกระพริบตาปริบๆก่อนจะหัวเราะออกมาใต้ลมหายใจเมื่อได้ยิน เขาจัดการตรวจความเรียบร้อยของปืนและกระสุน รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น แต่ในระหว่างที่เขาหายใจเข้าลึก กลิ่นบางเบาของอะไรบางอย่างตรงเข้าแตะจมูก อูฮยอนวางฝ่ามือเหนือกระเป๋าเสื้อแล้วค่อยๆเลื่อนมือลงไป สัมผัสนุ่มนวลที่ปลายนิ้วทำให้เขาดึงสิ่งนั้นออกมา ภาพของดอกดาฟโฟดิลสีเหลืองสะท้อนอยู่บนแก้วตา ริมฝีปากอิ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเพียงแค่คิดถึงความหมายของดอกไม้ชนิดนี้

     

     

    rebirth and new beginnings

     

     

    "ถ้าฉันคิดจะเริ่มต้นใหม่... ฉันก็อยากจะเริ่มมันกับนายนะ"

     

     

     

     

     

     

    "เจ้าพวกบ้า... รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่? พวกนายกำลังช่วยฉันที่เป็นผู้ต้องสงสัยอยู่นะ"

     

     

    อูฮยอนเลิกคิ้วมองภาพตรงหน้าพร้อมกับเคาะปลายเท้าเบาๆกับพื้นเหล็กหนา ลมแรงตีย้อนกลับเข้ามาจนเผ้าผมกระจายจนเขาตัดสินใจสางมันขึ้นไปซะ โฮวอนโยนแขนขึ้นโอบไหล่แล้วใช้อีกมือตบลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างไม่เบาเท่าไหร่

     

    "ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ลูกน้องหน่วยงี่เง่าหรืออะไรเทือกนั้น" ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะผลักให้อูฮยอนก้าวออกไป ดูท่าตำแหน่งคงจะไม่มีประโยชน์แล้วในเวลานี้ อูฮยอนยกนิ้วชี้ขึ้นมาชี้หน้ามยองซูที่ตะเบ๊ะมาให้ด้วยรอยยิ้มมุมปาก เขาอ้าปากกำลังจะพูดอะไรแต่ก็ถูกคนเด็กกว่าขัด

     

    "ไม่มีภารกิจไหนน่าตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลยนะพี่"

     

    "มยองซู นาย– พวกนายนี่มัน–" อูฮยอนสบถจากคำพูดที่ตะกุกตะกัก ปลายนิ้วชี้ลูกน้องทั้งสองคนสลับไปมา "ฉันสอนพวกนายมาดีเกินไปรึไง?"

     

    มยองซูฉีกยิ้มกว้างแล้วพยักเพยิดให้อูฮยอนรีบๆขึ้นมาซักที ดวงตาคมกริบกวาดมองเครื่องบินรบไอพ่นรุ่นที่แปดอย่างเต็มไปด้วยความรัก ตัวลำเป็นสีทองคำขาว – แพลตตินัม – มีแถบสีแดงเลือดนกคาดไปตามความยาว ตัวหนังสือที่ปลายลำปรากฏชัดเจนด้วยตัวอักษรคมชัดว่า Hummingbird – หรือที่มยองซูมักจะเรียกว่าเจ้านกน้อย เครื่องบินคู่ใจที่จะเอาออกมาใช้ก็แค่ในงานระดับ S เท่านั้น

     

    อูฮยอนถอนหายใจก่อนจะปีนบันไดเหล็กขึ้นไป เพียงขั้นแรก โฮวอนก็เรียกขึ้นมาก่อน

     

    "ดงอูต้องการคำตอบว่าทำไมนายถึงได้มี Silver Eagle ที่หายไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว"

     

    คนถูกถามตอบด้วยรอยยิ้มบางๆพร้อมกับส่ายหน้า

     

     

     

    "เดี๋ยวก็รู้"

     

     

     

     

     

     

    "นั่งเฉยๆนะพี่ ผมจะเร่งความเร็วแล้ว" มยองซูเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังแล้วปัดสวิทช์อย่างชำนิชำนาญ อูฮยอนไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรนอกจากการนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     

     

    "มยองซู นายบอกว่าเจ้าพวกนั้นปล่อยทีมออกไปใช่มั้ย? นานเท่าไหร่แล้ว?"

     

    "ประมานสามถึงสี่ชั่วโมงครับ"

     

    ชายหนุ่มตรวจสอบเข็มขัดและความปลอดภัยของตัวเองก่อนจะออกคำสั่งด้วยสุ้มเสียงหนักแน่น และผู้เป็นลูกน้องก็รู้ดีกว่าที่จะแย้งอะไรขึ้นมา นัมอูฮยอนไม่ได้อยู่ในสภาพการณ์ที่จะล้อเล่นแล้ว

     

    "ไล่ตามทันเมื่อไหร่ เราจะขัดมันกลางอากาศนี่ล่ะ"

     

    ฟังดูเป็นแผนการฉุกเฉินที่เสี่ยงอันตรายไม่น้อยสำหรับมยองซูเพราะการโจมตีกลางอากาศมักจะมีความเสี่ยงสูงเสมอ อีกทั้งยังเป็นการเคลื่อนไหวที่ประเจิดประเจ้อ แต่เขาเชื่อใจคนอายุมากกว่าอย่างเต็มเปี่ยมและพร้อมที่จะดำเนินแผนอย่างที่เจ้าตัวต้องการ แต่นั่นก็ก่อนที่เขาจะได้ยินประโยคต่อไป

     

    "ฉันจะลงไปจัดการ ส่วนนาย–"

     

    "ผมขอคัดค้าน!"

     

    "หุบปากน่า นายจะปล่อยฉันลง และนายจะสปีดนำไปให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุด หาซองกยูให้เจอแล้วจับตัวไว้ ห้ามให้คลาดสายตาเด็ดขาด"

     

    "ทำไมพี่เป็นแบบนี้วะ?! คนที่พี่ซองกยูอยากเจอที่สุดไม่ใช่ผม!"

     

    ไม่มีคำตอบใดๆจากอูฮยอน มยองซูไม่ต้องคิดนานก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะโต้กลับด้วยซ้ำและดึงดันที่จะทำตามแผนตัวเอง เขากัดฟันกรอดเมื่อจับสัญญาณของยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่เบื้องล่างได้ ซึ่งก็หมายถึงการนำไปดักข้างหน้าและชะลอความเร็วลงเพื่อที่จะส่งอูฮยอนลงไป มยองซูกระดกลิ้นอย่างขัดใจเมื่อได้ยินเสียงกริ๊กเบาๆของปืน บางทีผู้ชายคนนี้ก็หัวแข็งเกินไปและดูเหมือนจะไม่ไว้ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไต่ขึ้นมาได้ถึงระดับนี้

     

    "นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันมีเหตุผล?"

     

    "ใช่ พี่มีเหตุผลตลอด เพียงแค่ไม่บอกเท่านั้นแหละ"

     

    อูฮยอนหัวเราะเบาๆไปกับคำพูดเสียดสีจากปากของเด็กปีกกล้าขาแข็งพอที่จะขึ้นเสียงกับเขา คงไม่จำเป็นที่จะต้องห่วงลูกน้องที่เขาเลี้ยงมากับมืออย่างโฮวอนและมยองซูแล้ว คิดดูสิว่าเขาเชื่อใจเด็กนี่มากแค่ไหนถึงได้ยอมปล่อยให้ซองกยูอยู่ในความดูแล

     

    ฮัมมิ่งเบิร์ดหยุดนิ่งอย่างเงียบกริบอยู่กลางอากาศเหนือพื้นดินมากกว่าสิบเมตร อูฮยอนดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้เปิดประตูก่อนที่จะหย่อนตัวลงด้วยสลิง มยองซูรอจนกว่าสายดีดตัวกลับขึ้นมาเรียบร้อยแล้วทำการปิดประตู เกิดเป็นเสียงอัดอากาศดังกึกก้อง เขาสบถออกมาใต้ลมหายใจก่อนจะดึงที่ควบคุม เร่งความเร็วพุ่งออกไปในที่สุด

     

     

     

    The day was long, but there was no time to waste. The town was full of spirit, bustling with life, dreams and imagination.

    ทิวานั้นยาวนานแต่เวลาไม่ได้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ ใจกลางเมืองนั้นคึกคักและมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความฝันและจินตนาการ

     

     

     

    ปลายฤดูร้อนเป็นเวลาที่จำนวนของเม็ดฝนเริ่มซา เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี บรรยากาศรอบตัวก็พลันแปรเปลี่ยนไปด้วย ซองกยูทรุดนั่งลงบนเนินพร้อมกับหนังสือวรรณกรรมหนึ่งเล่ม แต่อะไรบางอย่างในสมองเหมือนจะรั้งเขาออกจากการอ่านหนังสืออย่างสบายใจ อยู่ดีๆเขาก็รู้สึกหวาดระแวงสิ่งรอบข้างขึ้นมานิดหน่อย มีอะไรซักอย่างกำลังรบกวนสมาธิเขา

     

    "หืม…"

     

    เขาพลิกหน้าเปิดจนถึงตรงที่อ่านค้างเอาไว้แล้วก็ต้องกระพริบตาปริบๆเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกใช้เป็นที่คั่นหนังสือ มันคือดอกไม้สีเหลืองที่ถูกทับเอาไว้จนแบนและเริ่มเฉาไปตามกาลเวลา ซองกยูยิ้มน้อยๆพลางหยิบมันขึ้นมาลูบระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ก่อนหน้านี้ทุ่งแดฟโฟดิลบานสะพรั่งไปหมด เขาได้นำหนังสือเล่มนี้ไปนั่งอ่านกับอูฮยอน–ซองกยูสะดุ้งโหยงเมื่อมีสัมผัสนุ่มเบาบางปัดผ่านข้อศอก เขาหลุบตามองเจ้าก้อนกลมๆตัวปุยที่เงยหน้าขึ้นมองเขาตาแป๋วแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

    "นายนี่นะ ชอบอยู่ดีๆก็โผล่มาเหมือนคนที่ตั้งชื่อให้ไม่มีผิดเลย"

     

    ซองกยูปิดหนังสือวางไว้ข้างตัวแล้วอุ้มแมวสีขาวขึ้นมาตรงหน้า ตัวมันใหญ่ขึ้นไม่น้อยนับจากวันที่ลูกแมวตัวเล็กจิ๋วเดินหลงเข้ามาแถวๆบ้านของเขา จริงๆซองกยูก็ไม่ได้เลี้ยงมันเอาไว้เป็นกิจลักษณะ เขาแค่วางอาหารเอาไว้ให้ด้านหลังบ้านและปล่อยให้มันอยู่อย่างมีอิสระข้างนอก แต่เมื่ออูฮยอนมาเห็นเข้าก็ทำการตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ แถมยังเข้ากับมันได้ดีราวกับเป็นสปีชีย์เดียวกันอีก ซองกยูจำต้องหัวเราะกับตัวเองเมื่อย้อนคิดถึงไปยังเวลานั้น

     

    "หิวแล้วรึเปล่า..." เขาพึมพำกับตัวเองพลางใช้ปลายนิ้วลูบขนนุ่มอย่างเพลินมือ เจ้าตัวน้อยก็ดันครางรับราวกับฟังรู้เรื่องซะนี่ "ฉันจะหาอะไรให้กินแล้วกันนะ ฮยอนนี่"

     

    ซองกยูแทบจะมุดหน้าเข้ากับตัวของฮยอนนี่หลังจากพูดจบ แก้มร้อนวูบแค่คิดว่าชื่อนี้มันมาจากชื่อใคร ในเวลานั้นซองกยูยืนเถียงกับอูฮยอนตั้งนานสองนานว่าจะไม่เอาชื่อนี้(แถมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกหลอกให้เก็บมันไปเลี้ยงซะแล้ว) ส่งผลให้เขาโดนจูบปิดปากและอีกฝ่ายก็ตอกกลับอย่างหน้าไม่อายว่า ฉันจะทำให้นายต้องนึกถึงฉัน ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็เถอะ ฉันจะทำทุกอย่างให้นายลืมกันไม่ได้

     

    ชายหนุ่มนั่งยองๆเอียงคอมองสิ่งมีชีวิตตัวน้อยทำจมูกฟุดฟิดและเดินไปรอบๆชามข้าวก่อนที่มันจะวางใจลงมือกินในที่สุด ซองกยูชะงักมือที่กำลังจะแตะขนฟูๆและกลั้นหายใจอย่างฉับพลัน พยายามอยู่นิ่งอย่างไม่ให้เกิดความเคลื่อนไหวและสร้างเสียงใดๆ ปลายนิ้วกระตุกเล็กๆเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบามาจากทางด้านหลัง เบาเสียจนถ้าหากเป็นคนทั่วไปก็อาจไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เขาเหลือบตามองกลับไปพอดีกับเงามืดที่พาดผ่านร่างกาย ส่งผลให้ปฏิกริยาตอบรับอัตโนมัติของเขาทำงานโดยการดีดฝ่าเท้าส่งตัวเองพุ่งออกจากรัศมีฝ่ามือที่คว้าลงมา ซองกยูหายใจเข้าลึกและถดตัวหนียามที่เขากวาดตามองชายที่อยู่ในเครื่องแต่งกายมิดชิดทั้งตัว ดวงตาคมกริบปรายมองมาเพียงนิดและเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว แต่ซองกยูที่ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดามาตลอดหลายปีก็คงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไวอย่างที่เคยในอดีต เขาไม่ใช่เครื่องจักรสำหรับการสังหารมนุษย์อย่างชายคนนี้

     

    ซองกยูเหลือบเห็นเจ้าแมวหางพองขู่ฟ่ออยู่ที่ปลายสายตาไม่ยอมวิ่งหนีไป เขาจึงตะกายลุกขึ้นพุ่งเข้าหามันให้ตกใจตะเลิดหนีไปในที่สุด แต่ก็เป็นช่องโหว่อันใหญ่โตเมื่อเขาถูกแรงกระชากดึงที่หัวไหล่และถูกผลักลงกับพื้น มือที่สวมถุงมือหนังกดปิดปากแนบสนิท ร่างกายกำยำกดตรึงซองกยูลงบนพื้นหญ้าก่อนจะใช้มือที่ว่างดึงผ้าที่ปิดไปครึ่งหน้าออก ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้จับกุมชัดๆ ถึงแม้ใบหน้านี้จะหยาบกร้านและมีแผลเป็นยาวจากมุมของตาขวาลงไปถึงข้างติ่งหู เขาก็ยังจำได้ว่านี่คือหนึ่งในเด็กที่ลักลอบออกมาด้วยกันแต่ถูกจับได้พร้อมกับเพื่อนของเขา

     

     

    "คิมซองกยู... ไม่คิดว่าโตขึ้นมาจะไร้ที่ติอย่างนี้ แต่นายก็ไม่เคยดูเหมือนคนที่มีมือเปื้อนเลือดอยู่แล้ว"

     

     

    ซองกยูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก มือสั่นๆคว้าเข้าที่ท่อนแขนแข็งแรงเป็นการพยายามที่ไร้ประโยชน์ แรงกดที่ใบหน้าครึ่งล่างนั้นแน่นเกินกว่าที่เขาจะดึงออกได้เอง ซองกยูเริ่มรู้สึกว่าเรี่ยวแรงถูกริดรอนออกไปในทุกๆความพยายามที่จะพาตัวเองออกจากพันธนาการ

     

    "เพื่อนของนายช่วยน่าดูเลยรู้ไหม? อยากรู้รึเปล่าว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรบ้างในการปกปิดการดำรงอยู่ของนาย?" สุ้มเสียงทุ้มแหบยังคงเอื้อนเอ่ยต่อไป ซองกยูก็ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ชีพจรดังตุบตับก้องอยู่ในหู เขากลัวอย่างที่สุดว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร

     

    "ชื่ออะไรบ้างนะ? สองสามคนที่สนิทกับนาย..."

     

    ไม่ ซองกยูส่ายหน้ารัวเร็ว สายตาเริ่มพร่ามัวจากการขาดออกซิเจนเมื่อมือนั้นปิดกั้นทุกๆเส้นทางการหายใจของเขา

     

    "ช่างเถอะ ฉันจำได้แค่ว่า... ยุนดูจุนน่ะตายไปแล้ว" ริมฝีปากที่แตกระแหงแนบเข้ากับใบหูก่อนจะกระซิบด้วยเสียงแหบห้าวที่สะเทือนจิตใจ "เพราะนายคนเดียว"

     

    ซองกยูเย็บวาบไปทั้งร่าง เพียงประโยคเดียว ทุกๆสิ่งเคยยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้ก็มลายหายไป ฟันเฟืองของความรู้สึกผิดและความทรงจำของการสูญเสียเริ่มทำการหมุนอีกครั้ง ซองกยูแทบไม่รู้สึกตัวว่ามือนั้นถูกยกออกไปแล้ว อากาศที่ตรงเข้าเติมเต็มทั่วปอดยิ่งทำให้เขารู้สึกขยะแขยงจนอยากจะขย้อนเอาสิ่งเหล่านั้นกลับออกมา แต่อะไรก็ไม่น่ารังเกียจเท่าความชื้นแฉะของลิ้นสากๆที่ลากผ่านลำคอเป็นแนวยาวก่อนจะฝังเขี้ยวลึกลงไปในเนื้อนุ่มจนเจ็บแปล็บ ข้อมือของเขาถูกรวบไว้ด้วยกันแน่นจนชาไร้ความรู้สึก

     

     

    เพราะนายคนเดียว

     

     

    ซองกยูปล่อยให้ศรีษะตกไปด้านข้างอย่างหมดทางหนี ถ้าหากชีวิตอิสระของเขาจะจบลงตรงนี้ก็ให้มันเป็นไป เขาติดหนี้เพื่อนเหล่านั้นมานานเกินไปแล้ว อาจจะถูกประหาร อาจจะถูกทรมาน อาจจะไม่สามารถมองเห็นดวงตะวันได้อีก เพื่อนของเขาเองก็คงจะต้องผ่านสิ่งเหล่านี้หลังจากถูกจับกุมและยังช่วยให้เขาได้มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ เขาคงจะต้องคืนชีวิตตัวเองให้กับสถานที่นั้นเสียที

     

    "แต่นายยังไม่ถูกจับหรอก ฉันเป็นแค่สายสืบเท่านั้น"

     

    "หมาย–หมายความว่ายังไง?"

     

    "มีใครบางคนพยายามยืดเวลาออกคำสั่งเอาไว้อยู่ เขาคงรู้เรื่องของนาย"

     

    ใคร? หรือว่า...

     

    "ใครๆก็พยายามจะช่วยนาย มีดีอะไรนะ... จะให้ปล่อยไปเฉยๆก็เสียดายแย่"

     

    ดวงตาของเขาเบิกโพลงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงผืนผ้าสับไหวและหัวเข็มขัดที่กำลังถูกปลด ซองกยูหันขวับกลับมามองชายตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกทันทีที่เขาตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร ไม่ได้... ไม่ใช่–ไม่ใช่อูฮยอน...

     

     

    "ไม่–" ซองกยูเค้นคำพูดออกมาผ่านริมฝีปากที่สั่นระริกก่อนจะรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายในการดิ้นรน "ไม่!"

     

     

    แสงสะท้อนจากพระอาทิตย์กระทบเข้ากับโลหะที่ปาดผ่านไปตรงหน้า ซองกยูหลับตาแน่นจากน้ำหนักของร่างกายที่โถมทับลงมาจนจุกและกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งน่าคลื่นไส้ ทุกอย่างกลับกลายเป็นนิ่งสนิทและเงียบงัน เพียงชั่ววินาทีเดียวน้ำหนักนั้นก็ถูกดึงหายไปพร้อมกับแสงแดดที่ตกลงกระทบใบหน้าของเขาอีกครั้ง เขาได้แต่พยายามงับเอาอากาศหายใจ ปล่อยให้น้ำตาพรั่งพรูระบายความหวาดกลัวที่เกาะกินถึงขั้วหัวใจจนขยับกายไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว

     

    "พี่ซองกยู... ได้ยินผมไหม?"

     

    ผ่านม่านตาที่พร่ามัว เขามองเห็นเงาเลือนลางของร่างของใครอีกคนก็นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย สุ้มเสียงเบาบางเจือไปด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่ใช่เสียงทุ้มนุ่มที่คาดหวัง ซองกยูกระพริบตาถี่ๆและมองผ่านชายหนุ่มไปเห็นร่างอันแน่นิ่งของสายสืบพร้อมกับดาบสั้นลวดลายคุ้นตาที่ตกอยู่ข้างตัวเขา

     

    "ผมมยองซูเอง ไม่กลัวนะ"

     

    ริมฝีปากแห้งผากเผยอออกเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดๆ มยองซูไม่รีรอเวลา เขาหยิบอาวุธขึ้นมาเช็ดคราบเลือดด้วยผ้าคลุมก่อนจะเก็บมันกลับเข้าฝัก เลื่อนแขนเข้าไปรองรับร่างกายของคนที่ยังนอนนิ่งแล้วพยุงให้ลุกขึ้น ซองกยูตัวสั่นเทาและผิวกายก็เย็นจนน่ากลัวจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มยองซูพาคนอายุมากกว่าเข้าไปถึงเตียงนอนแล้วจึงคุกเข่าลงเพื่อที่จะมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ

     

    "อย่าก้าวออกจากบริเวณบ้านเด็ดขาด ผมจะรักษาการอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่จนกว่า–" มยองซูกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปเมื่อซองกยูเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แสดงความสนใจกับข้อมูลต่อไป แต่เขาพูดไม่ได้ เขาไม่สามารถจะการันตีอะไรได้เลย "พักเถอะครับ ถ้ามีอะไรก็เคาะที่หน้าต่างหรือประตูเรียกกันได้"

     

    "แล้วเขาล่ะ..."

     

    "ขอโทษด้วย ผมไม่รู้..."

     

    "เจ้าหมอนั่น... กำลังทำอะไรบ้าๆใช่ไหม?"

     

    มยองซูกัดกระพุ้งแก้มกลั้นไม่ให้โพล่งอะไรที่ซองกยูไม่ควรจะได้รับรู้ ถ้าเพียงแต่ซองกยูจะรู้ว่าไม่ใช่แค่อูฮยอนเท่านั้นที่กำลังทำอะไรบ้าๆ แต่เป็นเหล่ามิตรสหายเก่าทุกคนที่ตัดสินใจกลับมารวมกันอีกครั้งโดยมีนัมอูฮยอนคนนั้นออกปากรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมันก็คงใช่อะไรบ้าๆอย่างที่ซองกยูพูดนั่นแหละ

     

    "อย่าเป็นห่วงไปเลย พี่ก็รู้ว่าเขาเอาตัวรอดเก่ง"

     

    ซองกยูแค่นหัวเราะแต่มันก็ยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและถวิลหา "นั่นสิ..."

     

    หลังจากมั่นใจว่ารอบตัวบ้านนั้นถูกปิดลงอย่างแน่นหนา มยองซูก็ทำการประจำอยู่บริเวณรอบข้าง ในเวลานี้ยังคงสว่างและปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่เขาไม่แน่ใจว่าเหล่าสายสืบจะมีการวางกลยุทธ์ใดๆเอาไว้หลังพระอาทิตย์ตกหรือเปล่า เขาคงทำได้เพียงพยายามตื่นตัวระแวดระวังไว้ตลอดเวลา จนกว่า… จนกว่าคนคนนั้นจะปรากฏตัวมาให้เห็นพร้อมกับสิ่งที่จะนำพาพวกเขาออกไปจากสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้

     

     

    "อย่าใช้เวลามากนักล่ะ... จอมพล"

     

     

    tbc.

    ฮรือ มาแล้วฮะ... และมันก็ยังไม่จบ TwT
    แต่เราจะกลับมาจริงจังกับเรื่องนี้ เป็นไงเป็นกัน ไม่รู้จะดึงไปอีกกี่ตอน
    ขอบคุณทุกคนที่อ่านมากๆ เป็นเรื่องแรกที่เขียนของอฟน.เลย ไม่ทิ้งแน่ๆฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×