ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [infinite|woogyu] Everlasting Sunset

    ลำดับตอนที่ #3 : and galaxy in your eyes

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 58


     

    3

     

     

    'ซองกยู –'

     

     

    ตื๊ด.

     

    ตื๊ด..

     

    ตื๊ด...

     


     

    "เฮ้ย, วางสายทำไมอ่ะ!?"

     

    "ก็ได้ยินเสียงแล้วไง! พวกนายจะเอาอะไรอีก?"

     

    ซองยอลโยนสองแขนขึ้นไปบนอากาศแล้วครวญคราง ขุ่นเคืองใจอย่างที่สุดไปกับคนที่ไม่มีเซ้นส์เอาซะเลย เด็กหนุ่มร่างสูงลดเสียงลงบ่นพึมพำกับตัวเองหลังจากโดนสายตาคมกริบจ้องมาซะพรุน โถ่เอ๊ย คิมซองกยู ทฤษฎีน่ะรู้ไปหมดเลยนะ แต่ภาคปฏิบัติไม่ได้เรื่อง!

     

     

    "พี่เนี่ยน่าเบื่อชะมัดเลย..."

     

    "เลิกเล่นได้แล้ว ไปทำงานทำการซะบ้าง ฉันยอมให้พวกนายมาทำบ้านฉันรกก็ดีแค่ไหนแล้ว"

     

     

    ซองยอลยังคงบ่นหงุมหงิมเป็นหมีกินผึ้งในขณะที่ถูกซองจงลากออกไปด้วยความยากลำบาก ซองกยูยืนพิงกรอบประตูมองเด็กทั้งสองลับสายตาไปแล้วถึงจะถอนหายใจเฮือก แต่ยังไม่ทันจะได้หายใจทั่วท้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำเอาร่างโปร่งสะดุ้ง ลนลานจนเกือบสะดุดเท้าตัวเองระหว่างที่กระโจนกลับเข้าไปคว้าเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา

     

    ซองกยูรู้สึกถึงมือตัวเองที่สั่นน้อยๆเมื่อเห็นชื่อที่กระพริบอยู่บนหน้าจอโฮโลแกรมที่ฉายวาบขึ้นมา เขาหายใจเข้าลึกแล้วกดรับ

     

     

    "มีใครที่ไหนรับโทรศัพท์ด้วย ซองกยู บ้าง!?"

     

    'เอ่อ...'

     

    "นี่ ฉันถูกเด็กพวกนั้นบังคับให้โทร นายอาจจะยุ่งอยู่ก็ได้ เพราะงั้นช่างมันเหอะ"

     

    "เออใช่ นายลืมเสื้อแจ็คเก็ตไว้ที่นี่ อย่าลืมมาเอาล่ะ ซองจงขู่เอาไว้ว่าจะเอาไปเผา"

     

    "ก็ไม่รู้ว่านายจะมีภารกิจอีกเมื่อไหร่..."

     

    "ซองจงบอกว่าวิธีแก้การละเมอชื่อใครบางคนเพราะความคิดถึง..."

     

    "...แค่ได้ยินเสียงก็หายแล้ว"

     

    '...'

     

    "ก็คงหายแล้วแหละ ฉันว่านะ..."

     

     

    'ซองกยู –'

     

     

     

    ปั้ก!

     

     

    ซองกยูตัดสายฉับแล้วกระแทกเครื่องมือสื่อสารอันเล็กลงกับโต๊ะ ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วฟุบหน้าลงกับแขน แต่ใบหูที่แดงจัดก็ยังโผล่ให้เห็นอยู่ดี เขาหายใจเข้าออกลึกๆเป็นการพยายามบีบบังคับ(ที่ไม่สำเร็จซักเท่าไหร่)ให้หัวใจมันเต้นช้าลงหน่อย

     

    แนวฟันขาวขบเนื้อผ้าที่ปลายแขนเสื้อ อีกมือก็ยกล็อกเก็ตเงินทรงกลมที่ถูกแกะสลักเป็นตราประจำตัวของหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษขึ้นมาตรงหน้า ปลายนิ้วไล้ไปตามลวดลายซับซ้อนทีละน้อย อยู่ดีๆซองกยูก็รู้สึกใจหายวาบ

     


     

    แค่เวลาสั้นๆเท่านั้นที่อีกฝ่ายก้าวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์เพียงเพื่อจะให้ของสิ่งนี้กับเขา อูฮยอนถูกโฮวอนประคองลงมาเพราะกระสุนที่ยังคงฝังอยู่ในต้นขา ทั้งตัวมีแต่บาดแผลและรอยเลือดที่เริ่มแห้งกรัง สภาพของอีกฝ่ายนั้นย่ำแย่ที่สุดเท่าที่ซองกยูเคยเห็นมา และเป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ออกมาให้ใครได้เห็น

     

    ล็อกเก็ตเงินถูกวางไว้บนฝ่ามือเบาๆก่อนจะถูกปิดลงด้วยมือของอีกฝ่ายที่สากไปหมด ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง หนึ่งคู่ฉายแววหม่นหมองและเหนื่อยล้า ส่วนอีกคู่นั้นแวววาวไปด้วยหยดน้ำ

     

    'ทั้งยศและตำแหน่ง ทั้งศักดิ์ศรี ทุกอย่างของฉันคือของชิ้นนี้ ต่อให้ตัวจะแหลกเหลวหรืออาจจะบ้าคลั่งแค่ไหน ฉันจะได้วางใจว่าทุกอย่างของฉันจะยังคงอยู่กับนาย –'

     

    ซองกยูได้ตัดคำพูดของอูฮยอนไว้แค่นั้น มือคู่สวยกอบใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ปลายนิ้วไล้ไปตามรูปกรามคมอย่างแผ่วเบา


     

    'นาย... ทำเสื้อฉันเปื้อน'


     

    อูฮยอนหัวเราะแต่ก็ยิ่งกระชับอ้อมแขนที่โอบรอบลำตัวให้แนบแน่นขึ้น ถึงแม้จะทำเสื้อตัวโปรดของอีกคนเปื้อนเป็นรอยแดงที่ติดกรังอย่างที่ถูกกล่าวหาก็ตามที

     

    เป็นครั้งแรกที่ซองกยูรู้สึกถึงความไม่มั่นใจผ่านริมฝีปากแห้งผากที่แนบลงมา แม้สัมผัสของริมฝีปากที่ตกสะเก็ดจะหยาบและได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ แต่ซองกยูก็เอียงศรีษะรับ กระชับฝ่ามือที่ตรึงใบหน้าคมคาย ลมหายใจของอูฮยอนขาดห้วงก่อนจะตัดสินใจกดปลายลิ้นผ่านริมฝีปากบาง ฉุดให้สัมผัสยิ่งถลำลึกราวกับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

     

     

    การกระทำที่แทนคำพูดทั้งหมดที่อูฮยอนตั้งใจจะบอกและคำสัญญาที่ซองกยูไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเลยซักคำ – นี่คือชีวิตฉัน มันขึ้นอยู่กับนาย และฉันจะหายใจเพื่อนาย

     

     

     

    โทรศัพท์ไม่ได้ช่วยเลย ถ้าเขาจะได้ยินแต่เสียงและมองไม่เห็น ไม่ได้รับรู้ด้วยตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง ถ้าหากว่ามันเป็นการลงโทษให้เขาต้องมาผูกพันธ์กับคนที่มีชีวิตอยู่บนเส้นด้ายก็คงสมควรแล้ว เพราะซองกยูไม่ใช่คนเข้มแข็ง(และสร้างภาพลักษณ์ภายนอกขึ้นมาซ่อนความเป็นจริงนี้) ถึงได้หนีออกมาจากที่นั่นตั้งแต่แรก

     

    สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีคนไหนตอบได้ว่าใครเป็นฝ่ายที่น่าสงสารมากกว่ากัน

     

     

     

     

     

     

    ดงอูคาบปลอกปากกาค้าง มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยตาที่โตจนแทบจะออกมาจากเบ้า เท่านี้ยังไม่นับตัวเองที่นั่งอยู่บนพื้นโดยมีเก้าอี้ล้อเลื่อนล้มคะมำอยู่ข้างๆ จางดงอูขวัญผวาอย่างที่สุดถึงขนาดตกจากเก้าอี้ ผิดกับอีกฝ่ายที่นั่งไขว้ขาอย่างสบายอารมณ์และยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยังกับคนบ้า

     

    "เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมฟังกันเหมือนเดิม"

     

    "อะ... อะ..."

     

    "นายต้องเจอเขาซักครั้ง เหมือนหนูแฮมสเตอร์เลย โดยเฉพาะแก้มเนี่ย" อูฮยอนจิ้มที่แก้มตัวเองถี่ๆพร้อมกับยิ้มกว้างจนตาปิด ดงอูลงความเห็นได้ว่ามันน่าขนลุกที่สุด

     

    "ไม่มีใครบอกนายหรือไงว่าการสวีทในเวลางานเป็นการกระทำต้องห้าม?"

     

     

    อูฮยอนแสร้งหายใจเข้าเสียงดัง ทาบมือเข้ากับหน้าอกและทำหน้ายังกับตกใจเต็มประดา "ให้ตาย ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ย แล้วเมื่อไหร่นายจะแต่งงานกับเหล่าลูกรักทั้งหลายซักที?"

     

    เมื่อโดนพาดพิงถึงคอมพิวเตอร์ ประแจ สายไฟ และอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ของเจ้าหน้าที่เทคนิคเข้า ดงอูก็ฟาดมือเข้ากับหน้าผากแล้วค่อยๆลุกขึ้นจากพื้น โดยหวังอย่างที่สุดว่าหลังจากนี้คงไม่มีอะไรทำให้เขาตกเก้าอี้ไปอีกรอบ รับมือกับนัมอูฮยอนมันก็ยากอย่างนี้แหละ

     

     

    "มีอะไรก็พูดมา ฉันไม่ได้มีเวลาทั้งวัน"

     

    "นายรู้มาได้ซักพักแล้วใช่รึเปล่า?" อูฮยอนถือแฟ้มขึ้นมาโบกตรงหน้า

     

    ดงอูแค่พยักหน้าน้อยๆ ฟันขบกับปลายปากกาเมื่อเขาเริ่มเดาออกลางๆว่าอูฮยอนกำลังจะมาไม้ไหน

     

    "และการที่มันยังคงอยู่แค่กับนาย แสดงว่านายกำลังช่วยฉันอยู่ใช่ไหม?"

     

    "พูดอีกก็ถูกอีก"

     

     

    อูฮยอนกระตุกยิ้ม เขาคิดไม่ผิด ดงอูรู้หมดทุกอย่างตั้งนานแล้ว อาจจะรู้จากการรายงานของเครื่องติดตามสัญญาณที่หลงเหลืออยู่ในเฮลิคอปเตอร์ตั้งแต่ตอนนั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังเก็บความลับนี้เอาไว้ให้ ไม่งั้นสถานการณ์คงไม่ดำเนินไปอย่างสงบสุขแบบนี้แน่

     

    "แต่ฉันอยากขอให้นายช่วยอะไรหน่อย" อูฮยอนว่าแล้วผลักกล่องเหล็กไปตรงหน้าดงอู

     

    ชายหนุ่มหรี่ตามองกล่องที่คุ้นตาซักพักแล้วช้อนตาขึ้นมองอูฮยอน "นายจะเอามันไปทำอะไร?"

     

    "ฟังนะ ต่อให้ตอนนี้จะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ฉันนิ่งนอนใจไม่ได้ สิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการคือการให้ที่นั่นกลายเป็นผุยผง ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมัน เอาหัวเป็นประกัน"

     

    "เฮอะ หัวของนายไม่มีประโยชน์อะไรเลย" ดงอูพูดติดขำแกมเยาะเย้ย ก่อนจะกระแอมเบาๆแล้วตีสีหน้าจริงจังเหมือนเดิม "ถึงแม้นายจะต้องยืนอยู่อีกฝั่ง ต่อต้านกองทัพคนเดียว?"

     

     

    คนถูกตั้งคำถามเพียงแค่ยักไหล่ ดงอูยื่นแขนออกไปด้วยความเร็ว เพียงพริบตาเดียว ปลายแหลมของปากกาก็จ่ออยู่ระหว่างดวงตาของอูฮยอนที่นิ่ง มั่นคง ไม่มีแววของความเกรงกลัว

     

    "นายจะบอกฉันว่า ต่อให้นายต้องกลายเป็นปรปักษ์กับที่นี่ตลอดไป นายก็ไม่สน?"

     

    "ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับฉัน ถ้าฉันต้องอ้าแขนรับผลลัพธ์ของมัน... ก็เอาสิ"

     

     

    นับจากตอนนี้ไป ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

     

     

    ดงอูถอนหายใจเฮือก เขาลดมือลงพร้อมกับยกสองมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ายอมแพ้ให้กับความดื้อดึงที่ไร้ก้นบึ้ง และนิสัยใจกล้า ตัดสินใจอะไรไปตามสัญชาตญาณล้วนๆของอีกฝ่าย แต่มันจะไม่มากเกินไปหรือไง? ยอมแลกความทุ่มเท ความอดทน และทั้งชีวิตของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าน่ากลัวที่สุด พร้อมที่จะหันหลังให้กับที่ที่ฟูมฟักตัวเองขึ้นมา นึกจะทำลายพันธนาการนั้นและกลายเป็นคนทรยศเอง

     

    "ดงอู ในสายตาพวกเรา คนเหล่านั้นคือกบฏ" อูฮยอนนั่งพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ สีหน้าที่อ่อนลงทำให้ดงอูนึกข้องใจอยู่ไม่น้อย ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับ นัมอูฮยอน

     

    "แต่พวกเขาเห็นตัวเองเป็น ผู้แสวงหาความยุติธรรม"

     

     

    ใครคือฝ่ายถูก? ใครคือฝ่ายผิด? คำถามสั้นๆที่ทำให้เขาชะงักมือที่กำลังจะปล่อยไกปืนในตอนนั้น

      

    "ตอบฉันได้รึเปล่า? ด้วยมุมมองที่ขัดแย้งกันแบบนั้น สุดท้ายแล้วพวกเราเป็นอะไร?"

     

    ดงอูเพียงแค่ส่ายหน้า เขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดอะไรได้ ถึงแม้ความเป็นจริงมันจะทำให้พวกเขาทุกคนจุก แต่ก็เท่านั้น ในเมื่อทุกคนที่นี่มีพันธะและจุดหมายที่จะดำรงชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีใครอยากตาย ดงอูจะพูดอะไรได้อีก ในเมื่อผู้ที่ปลิดชีวิตคนไปมากมายนั้นนั่งอยู่ตรงหน้าเขา คนที่ยอมให้มือตัวเองเปื้อนเลือดและช่วยชีวิตกันเอาไว้ กำลังบอกเขาเป็นนัยๆว่าเจ้าตัวอยากจะหยุดเสียที

     

     

    "จะให้ช่วยอะไรก็บอกมา"

     

    "แน่นอนว่าฉันไม่คิดจะฉุดนายลงมาด้วย นายแค่ทิ้งรหัสคลังสมบัติของนายเอาไว้ซะตรงนี้" อูฮยอนจิ้มนิ้วชี้ลงกับโต๊ะ อูฮยอนโหมดดั้งเดิมของมาดนักวางแผนกลับมาอีกครั้ง "นายจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการที่ฉันจะเข้าไปหยิบอะไรนิดๆหน่อยๆแล้วกลับออกมาอย่างเงียบเชียบ ว่องไว และไร้ร่องรอย"

     

    "อย่าคิดว่าฉันจะยอมบอกนายง่ายๆ ไปแกะเอาเองแล้วกัน"

     

    ดงอูคว้าข้อมือของคนอายุน้อยกว่าขึ้นมาแล้วเลิกแขนเสื้อเชิ๊ตขึ้นไปถึงศอก อูฮยอนสะดุ้งน้อยๆยามที่ปลายปากกากดลงบนเนื้อ แต่ก็นั่งนิ่งให้อีกฝ่ายเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่บนแขน ดวงตาสีเข้มไล่มองสัญลักษณ์ที่มีหน้าตาหลากหลายแล้วเงยหน้าขึ้นมองดงอูที่นิ่งเงียบไป

     

     

    "งั้นฉันขอถามอีกข้อเดียว... มันเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นใช่ไหม?"

     

     

    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ดงอูโน้มตัวลงพักข้อศอกกับเข่า มือทั้งสองประสานอยู่ที่ริมฝีปากเฝ้ารอคำตอบ ส่วนอูฮยอนก็แค่ปิดปากเงียบ ลองเชิงว่าคนเพียงคนเดียวที่เขายอมรับในความสามารถและคอยช่วยเหลือกันมาตลอด จะรู้จักกันดีพอที่จะสรุปเองได้ด้วยความมั่นใจรึเปล่า

     

    และด้วยรอยยิ้มบางๆที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอูฮยอน เจ้าของคำถามก็ได้รับคำตอบที่ต้องการ

     

     

    "จริงๆเลย สหาย นายโดน whipped ซะไม่มีชิ้นดี" ดงอูเอ่ยอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำพร้อมกับส่ายหน้ายิ้มๆ "เขาเอานายซะอยู่หมัด"

     

     

    อูฮยอนยังคงไม่ละสายตาออกไปจากสัญลักษณ์บนแขนแต่ก็หัวเราะเบาๆไปกับสิ่งที่ได้ยิน จะบอกว่าเขาหลงใหล ลุ่มหลง หรือหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้นก็ยังไม่ถูก เพราะที่อีกคนทำให้เขารู้สึกมาตลอดมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ – ราวกับว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่มีชื่อ

     

     

    "คิมซองกยู" สุ้มเสียงทุ้มเอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบา เรียกความสนใจจากดงอูได้ในทันที "ลองไปหาดู ถ้านายอยากรู้จริงๆ"

     

     

     

     

     

     

    "พี่โฮวอน"

     

    "หือ?"

     

     

    มยองซูกรอกตาอย่างหน่ายๆเมื่อเจ้าของชื่อยังคงนั่งเล่นรูบิคในมือด้วยความตั้งอกตั้งใจ ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงข้างๆแล้วคว้าของเล่นออกมาจากมืออีกฝ่ายดื้อๆ โฮวอนอ้าปากกำลังจะมอบวาจาชุดที่สวยงามที่สุดให้คนอายุน้อยกว่าแต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่อเห็นสายตาคมกริบ ทำไมมันดุจังวะ?

     

     

    "พลเอกหนีออกไปแน่ะ"

     

    "ห๊ะ?"

     

    "เอารถประจำหน่วยออกไปเมื่อกี้เอง"

     

    "โถ่ นึกว่าอะไร... ก็คงไปหา –"

     

    "ทั้งๆที่เขาพยายามจะปกปิดการดำรงอยู่ของที่นั่นน่ะนะ?"

     

     

    มยองซูพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียด โฮวอนนิ่งอึ้งพร้อมกับอ้าปากค้าง กลไกในสมองของมยองซูเริ่มทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาเหตุผลว่าทำไม แต่เพียงพริบตาเดียว รอยยิ้มมุมปากก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

     

     

    "นายคงไม่ได้คิดจะ –"

     

    "–ตามไปดู ทำไมล่ะ ความคิดไม่เลวไม่ใช่เหรอ?"

     

    "คิมมยองซู" โฮวอนเอ่ยด้วยเสียงที่นิ่งสนิทหวังขู่ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นสองข้างแล้วตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

     

    "โอเค ผมล้อเล่น แต่ที่แน่ๆคือ..."

     

    "เซ้นส์ของนัมอูฮยอนไม่เคยพลาด"

     

     

    มยองซูพยักหน้าพร้อมกับส่งรูบิคคืนให้กับโฮวอน แต่โฮวอนก็ไม่คิดจะกลับไปสนใจมันแล้ว ในเมื่อเขาเริ่มกังวลและไม่สบายใจว่าอะไรแย่ๆจะต้องเกิดขึ้นในไม่นานนี้แน่นอน หมากตาแรกถูกเดินออกไปแล้ว

     

    โฮวอนขมวดคิ้วมุ่น มองคนอายุน้อยกว่าด้วยความไม่เข้าใจ เพราะในเวลาที่น่ากังวลแบบนี้ มยองซูกลับแสยะยิ้มออกมาซะนี่

     

     

    "พี่คิดว่าไงถ้ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะได้เอาเจ้านกน้อยของผมออกมาใช้?"

     

     

     

     

     

     

    ขนลุก...

     

     

    อยู่ดีๆอะไรบางอย่างก็แล่นขึ้นตามไขสันหลังเป็นริ้วๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลุกหลิกมองไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง เหมือนมีอะไรกำลังคลืบคลานเข้ามาใกล้...

     

     

    "ซองกยู"

     

    ร่างโปร่งร้องเสียงหลงทันทีที่เอวถูกกระชากจากข้างหลังด้วยแรงที่ไม่น้อย ลมอุ่นๆถูกเป่าเข้าหูจนสะดุ้งโหยง เขาลุกขึ้นพรวด แขนปัดป่ายก่อนจะศอกเข้ากับอะไรบางอย่างที่มาเกาะหนึบอยู่ด้านหลังเต็มแรง ซองกยูหอบหายใจมองคนที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

     

     

    "โอ๊ย... วันหลังเตือนด้วยแล้วกันว่าไม่ควรทำนายตกใจ" ชายหนุ่มยันตัวขึ้นโดยที่ยังคงนวดด้านหลังศรีษะตัวเองที่รู้สึกระบม สถานการณ์แบบนี้มันคุ้นๆนะ เหมือนว่าเป็นเดจาวูหรือว่ากรรมตามทันก็ไม่รู้

     

    ซองกยูถอนหายใจเฮือกแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆข้างอูฮยอนที่ครวญครางเสียน่าสงสาร เขายื่นมือออกไปสางเส้นผมชื้นๆเบาๆ และนอกเหนือจากซองกยูที่อูฮยอนกำลังกระพริบตามองอยู่นั้น ก็มีสิ่งมีชีวิตไม่ได้รับเชิญที่มาในรูปของแก้มกลมๆของเด็กตัวขาวๆจำนวนหนึ่ง ใช้ดวงตากลมโตเหล่านั้นจดจ้องมองเขาด้วยความสนใจ

     

     

    "นายมาได้จังหวะพอดีเลย" ซองกยูฉีกยิ้ม และหัวเราะออกมาเบาๆที่เห็นอีกฝ่ายฮึดฮัดอย่างขัดใจ

     

     

    ไม่ อูฮยอนไม่พร้อมที่จะรับมือกับเด็กตอนนี้

     

     

    "น่า ช่วยฉันส่งเด็กๆกลับบ้านก่อนเร็ว" มือขาวจัดเลื่อนจากเรือนผมสีเข้มลงมาถึงแก้มแล้วบีบไปมา อูฮยอนคว้าข้อมือบางเอาไว้แล้วลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้านโดยมีซองกยูช่วยฉุด อีกแขนของชายหนุ่มผิวขาวถูกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆยึดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้อูฮยอนต้องยอมทำตามคำบัญชา ย่อตัวลงรับเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กสุดขึ้นขี่คออย่างเสียไม่ได้

     

    ซองกยูฮัมเพลงเบาๆพลางจัดการส่งเด็กแต่ละคนกลับบ้าน ซึ่งดันใช้เวลามากกว่าปกติด้วยความช่วยเหลือจากคนที่ดูไม่เต็มใจในทีแรก แต่ก็กลายเป็นว่าเอาแต่เล่นกับเด็กจนซองกยูต้องงัดความเป็นคนเจ้าระเบียบขึ้นมาใช้ ไม่งั้นคงไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ตกแน่ๆ

     

     

    "นายเลี้ยงเด็กเก่งนี่นา คราวหน้าก็เลิกเอาแต่นอนแล้วมาช่วยกันบ้างสิ"

     

    "ใจคอนายจะไม่ให้คนที่เดินทางมาเหนื่อยๆพักบ้างรึไง?"

     

    สุ้มเสียงที่เจือไปด้วยความน้อยใจทำให้ซองกยูยิ้มน้อยๆ วางมือลงแผ่วเบาบนหน้าอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ อีกมือก็ยังคงเล่นเส้นผมสีดำขลับอย่างเพลินมือ อูฮยอนหลับตาพริ้ม ปล่อยตัวเองให้โอนอ่อนไปกับสัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วและหน้าตักที่รองศรีษะเอาไว้

     

    ซองกยูละสายตาออกมาจากใบหน้าที่สงบนิ่งไปแล้วเงยขึ้นมองแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ เขาฮัมจังหวะเพลงออกมาอีกครั้ง มุมปากของอูฮยอนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนจะทาบมือตัวเองลงบนมือของอีกคน จังหวะหายใจที่นิ่งและเบาลงบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังจะหลับ ซองกยูเพียงแค่ยิ้มแล้วก้มหน้าลงกระซิบเบาๆ

     

    "ราตรีสวัสดิ์"

     

     

     

    There was a lone figure on the grassy patch of the hill. The strong rays from the setting sun rendered him a silhouette with an unearthly glow, as that of a halo. He was always there alone; a smile plastered on his soft visage.

    ผู้ชายคนหนึ่งมักจะนั่งอยู่บนเนินหญ้าอย่างเดียวดาย แสงอาทิตย์ยามเย็นจะสอดส่องตรงเข้ามาทำให้เขาเป็นเพียงรูปเงาที่มีแสงเรืองรองรอบตัว ราวกับแสงนุ่มนวลที่อุบัติอยู่รอบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เขาอยู่ตรงนั้นคนเดียวเสมอ โดยมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอ่อนโยน

     

     

     

    "นายคิดว่า... จะใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าตะวันจะตกดิน?"

     

    ซองกยูกระพริบตาช้าๆแล้วก้มหน้าลงมองคนบนตักที่เพิ่งงัวเงียตื่นขึ้นมา เขามองคนที่หาววอดแล้วก็นึกหมั่นไส้บีบจมูกไปที

     

    "หือ นายสนใจตั้งแต่เมื่อไหร่?"

     

    "ว่าไงล่ะ? ตอบหน่อยสิ"

     

     

    อูฮยอนขยี้ตาตัวเองแล้วเลิกคิ้วมองใบหน้าของซองกยูที่อยู่ในเงาเล็กน้อยจากการก้มหน้า แต่มันก็ไม่ทำให้เขามองเห็นอีกฝ่ายยากขึ้นเลยแม้แต่น้อย มันยังชัดเจนยิ่งกว่าอะไรในความทรงจำของเขา ทุกๆรายละเอียดบนใบหน้าขาวจัดอย่างดวงตาคู่นี้ที่เขามักจะเห็นทั้งกาแล็กซี่ที่ส่องประกายอยู่ในแก้วตา ริมฝีปากที่จะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างเห็นแนวฟันยามเจ้าตัวมีความสุข หรือไม่ก็ริมฝีปากล่างที่จะยื่นออกมาน้อยๆยามไม่พอใจหรือว่างอนอะไรเข้า พวงแก้มนุ่มที่เขาไม่เคยเบื่อที่จะสัมผัสอย่างในตอนนี้ ทุกๆสีหน้าการแสดงอารมณ์อันหลากหลายและที่สุดของความเป็นมนุษย์ ทั้งหมดได้ประกอบตัวขึ้นเป็นคิมซองกยู

     

    มือของเขาพบตัวมันเองอยู่บนท้ายทอยอีกฝ่ายและเขี่ยเส้นผมละเอียดสีคาราเมลเล่น ก่อนจะโน้มใบหน้าที่แย้มยิ้มลงมา อูฮยอนยังไม่ได้คำตอบ และเขาก็จะต้องบังคับมันออกมาจากปากคนช่างแหย่ด้วยวิธีที่เขารู้ดีที่สุด ซองกยูส่ายหน้าน้อยๆ ดึงมือของอูฮยอนออกแล้วเป็นฝ่ายหลับตาก้มหน้าลงกดจูบอย่างอ่อนโยนเสียเอง แพขนตาระผิวเนียนเล็กน้อยเมื่อลืมตาขึ้น ซองกยูหัวเราะเบาๆที่เห็นอูฮยอนตาลอย ดูเสียศูนย์ไปเล็กน้อยจากการที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

     

     

    "แล้วสรุปนายว่ายังไง?" อูฮยอนดึงฝ่ามือขาวขึ้นมาแนบริมฝีปากแล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ซองกยูทอดมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงเหมือนกับดวงไฟที่มืดสลัวลงอย่างช้าๆด้วยรอยยิ้ม ลมเอื่อยๆพัดพาความหนาวเย็นของเวลาหัวค่ำมาเยี่ยมเยียน จวบจนทั้งคู่มองเห็นแสงเรืองรองของพระจันทร์และหมู่ดาว ซองกยูถึงได้ให้คำตอบที่อูฮยอนรอคอย

     

     

    "ใครสนกันล่ะ"

     

     

     

    However, in this moment, he is no longer alone. He has found exactly what should that smile is for.
    หากแต่ว่าในเวลานี้ เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป เขาได้พบเจอที่ที่เขาควรจะมอบรอยยิ้มให้ในที่สุด

     

     

     

    เปลือกตาบางกระพริบเปิดช้าๆ ปลายนิ้วเรียวกดลงคลืบคลานไปบนผืนผ้าปูที่นอนที่เย็นเยียบ ดวงตาเรียวเล็กปิดลงอีกครั้งด้วยความง่วงงุน


     

    "อูฮยอน?"


     

    ซองกยูหายใจเข้าลึกเอาอากาศเย็นกลางดึกเข้าไปเต็มปอด หากแต่ผ่อนออกมาเป็นลมหายใจสั่นๆ เพราะพื้นที่ข้างกายนั้นว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงที่ว่างของเนื้อผ้าปูเตียงหยาบๆและสัมผัสใต้ปลายนิ้วที่เย็นชืด ซองกยูเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจพร้อมกับขดตัวเข้าไปในผ้านวมผืนหนายิ่งกว่าเดิม แต่ไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรให้ดีขึ้น

     

    ร่างโปร่งดึงตัวเองขึ้นมานั่งแปะกับเตียงและห้อยหัวลงอย่างคนที่ยังตื่นไม่เต็มตา เส้นผมสีอ่อนตกลงมาปรกหน้าปรกตาแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจถึงแม้จะไม่มีใครมาปัดมันขึ้นให้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นแล้วคลานไปอีกฝั่งของที่นอนที่มองเห็นท้องฟ้ามืดมิดผ่านม่านสีขาวบางของหน้าต่าง ซองกยูยื่นมือออกไปดึงลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียงที่ปิดไม่สนิทออก หากแต่สิ่งที่เห็นทำให้ลมหายใจติดขัดขึ้นมาทันที

     

     

    ว่างเปล่า

     

    ไม่มีอะไรบางอย่างที่ควรจะอยู่ตรงนั้น

     

     

    "อูฮยอน..."

     

     

     

     

     

     

    "บ้าชิบ!"

     

    อูฮยอนสบถและเร่งเครื่องยนต์จนสุด มอเตอร์ไซด์สีดำคันสวยแล่นด้วยความเร็วสูงผ่านพื้นที่โล่งกว้าง แต่เสียงเครื่องยนต์ของยานพาหนะที่มีจำนวนมากกว่าสามคันก็เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที เมื่อตัดสินใจว่ายังไงก็คงสะบัดไม่หลุด อูฮยอนเหยียบเบรกพร้อมกับบิดล้อหน้า เหวี่ยงรถกลับหลังหันก่อนจะหยุดเครื่องยนต์ลงอย่างเบ็ดเสร็จ ดวงตาคมกราดมองไปรอบตัว ฝุ่นควันบางๆบดบังทัศนียภาพไปไม่น้อยแต่ก็ยังพอเห็นเงาตะคุ่มอยู่ไม่เกินห้าจุด

     

     

    "หึ ยอมเดินหมากตัวแรกออกมาแล้วสิ ปล่อยให้รอตั้งนาน"

     

     

    ร่างโปร่งเอื้อมมือไปข้างหลังทันทีหลังจากกระชากถุงมือหนังออก อูฮยอนย่อตัวลงและลากเท้าห่างจากกันเล็กน้อยเพื่อแน่ใจในรากฐานที่มั่นคง เขาหลับตาลงและดึงสมาธิไปยังโสตประสาทเพียงอย่างเดียว เพื่อรอฟังเสียงเครื่องยนต์จนกว่าจะเข้ามาใกล้ในระยะที่เหมาะสม

     

    อูฮยอนหายใจออกยาวแล้วลืมตาฉับ ดึงมือออกมาจากกระเป๋าที่เอวแล้วขว้างสิ่งของที่อยู่ระหว่างนิ้วออกไปด้วยการเคลื่อนไหวที่เร็วจนมองไม่ทัน ใบมีดที่มีพลังงานสีฟ้าจับตัวอยู่รอบๆคมมีดจะจุดประกายให้ระเบิดทันทีที่แตะต้องกับวัตถุ ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้นทีละจุด อูฮยอนกดปลายเท้าลงในพื้นทรายดีดตัวถอยหลังไปสองเมตร ย่อลงคุกเข่าพร้อมชักปืนขึ้นยิงออกไปสองนัด เสียงร้องและเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดส่งผลให้มุมปากกระตุกขึ้น อูฮยอนแค่นหัวเราะ

     

     

    "ขนาดฉันผ่อนเวลาให้แล้วยังหลบไม่ทัน อืดอาดเกินไป!" สุ้มเสียงทุ้มดังคำรามก่อนที่ร่างโปร่งจะพุ่งตัวผ่านม่านควันเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ไล่ตามตรงๆ จะให้หนีก็ไม่ใช่เขาแล้ว ยังไงนัมอูฮยอนก็ยังเป็นผู้ล่าอยู่วันยังค่ำ
     

    แว่นตากันลมตกลงกับพื้นหลังจากที่อูฮยอนก้าวหลบลูกกระสุนที่ถากสายจนขาด ดวงตาคมกริบจับจ้องร่างของผู้ชายที่เหลืออยู่สามคนแล้วยิงออกไปอีกสามนัด ล้มไปสองและจงใจยิงอาวุธของหนึ่งคนให้กระเด็นออกไป เขาสบถอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นกลุ่มคนตรงหน้าที่เคลื่อนไหวได้ชักช้าสิ้นดี อูฮยอนชักปืนพกขนาดเล็กกว่าขึ้นมาอีกกระบอกเล็งไปยังข้อเท้าของคนสุดท้ายที่เหลือ มันไม่ใช่แนวของอูฮยอนเท่าไหร่ที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูแบบนี้ ปกติก็จะจบภายในนัดเดียว แต่เขามีอะไรต้องพิสูจน์

     

    ร่างสูงโปร่งที่อยู่ในเครื่องแบบทรุดลงพอดีกับที่อูฮยอนตรงเข้าประชิด ใช้เข่ายันที่กลางลำตัวเพื่อกดลงกับพื้น พื้นสากๆของร้องเท้าคอมแบทเหยียบข้อมือที่ไม่ได้บาดเจ็บยึดเอาไว้อีกขั้น กระบอกปืนสีทองถูกยกขึ้นจ่อหน้าผากชายหนุ่มโดยอูฮยอนที่ยกยิ้มมุมปาก ดวงตาสีนิลมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจดเท้า

     

     

    "มาจากหน่วยไหน?"

     

    "ป–ปฏิบัติการลับ"

     

    "เขาส่งพวกนายมาตายงั้นสิ?" อูฮยอนหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วส่ายหน้าเบาๆ "ส่งสายงานลอบโจมตีมาเจอกับฉันตรงๆเนี่ยนะ?"

     

     

    คิดดูดีๆแล้วมันอาจจะเป็นแค่การลองเชิงจากในกองทัพเท่านั้น แต่ถ้าจุดประสงค์คือการทำให้เขาโมโหล่ะก็ มันก็ได้ผลชะงัดเพราะนัมอูฮยอนกำลังรู้สึกเหมือนถูกดูถูกอย่างที่สุด

     

     

    "ถ้าจะมาสะกดรอย ก็ควรที่จะซ่อนตัวต่อไป ไม่ใช่โผล่หัวออกมาแบบนี้ เพราะฉันไม่มีทางเอาไว้หรอก"

     

    "ทำไมคุณถึง..."

     

    ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างยากลำบากจากการที่มีหัวเข่ากดอยู่กลางหน้าอก อูฮยอนเลิกคิ้วมองพิจารณาคนเบื้องล่างซักพักแล้วกระตุกยิ้ม

     

    "น่าเสียดายนะ นายก็ดูอายุยังน้อย เมื่อกี้ก็เล็งได้ไม่เลว แต่ตาของนายก็เหมือนกับฉัน มันมีพายุอยู่ในนั้น ยุ่งเหยิง มาด้วยความหายนะ เต็มไปด้วยอะไรบ้าๆที่โดนยัดใส่สมองเข้ามา"

     

    อูฮยอนกระชับมือที่จับด้ามปืน กดแนบเข้ากับหน้าผากของอีกฝ่ายหนักขึ้นอีก

     

    "ถ้าหากว่านายได้เห็นดวงตาที่มองเข้าไปแล้วเจอกาแล็กซี่อยู่ในนั้น... นายก็จะรู้เอง"

     

     

    เสียงปืนดังขึ้นอีกเพียงแค่หนึ่งครั้งและเงียบหายไป อูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองไปยังแสงสะท้อนที่อยู่ไกลลิบ มือกำปืนคู่ใจแน่น เขารู้ดีว่าอะไรกำลังรอเขาอยู่ที่นั่น แค่การที่เขาหันกระบอกปืนเข้าใส่พวกเดียวกันก็เท่ากับเป็นการประกาศสงคราม และนับจากวินาทีนี้ไป ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

     


     

    และเวลาที่ว่าก็มีไม่เยอะซะด้วย

     

    "ทียังงี้ล่ะ ไวเชียวนะ..." อูฮยอนกระซิบกับตัวเองเบาๆหลังจากที่บานประตูเหล็กกล้าปิดลงสนิท เขามองไปรอบๆห้องของตัวเองที่อยู่ในสภาพดูไม่จืด เศษกระดาษปลิวว่อนกระจัดกระจายเต็มพื้น อุปกรณ์อิเลคโทรนิคของเขาถูกปิดลงหมดไม่มีเหลือ ซึ่งก็คงหมายความว่าระบบแผนงานและดาต้าเบสของเขาถูกเจาะเข้าไปค้นหมดแล้ว นัมอูฮยอนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างเต็มตัว

     

    แต่กองทัพก็คงจะไม่ได้ข้อมูลที่พวกเขาต้องการ อูฮยอนรู้ได้จากร่องรอยการทำลายที่ไร้จุดประสงค์ เขากระตุกยิ้มเมื่อนึกภาพเจ้าพวกนั้นโยนแก้วใบโปรดของเขาลงกับพื้นจากความหงุดหงิดที่หาอะไรไม่เจอ คิดว่าระดับอย่างเขาจะยอมเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ในระบบขององค์กรรึไงเล่า?

     

    "คิดอะไรตื้นๆกันหมด น่าเศร้าใจชะมัด" เขาถอนหายใจ "ทนทำงานกับพวกนี้มาได้ตั้งนานได้ยังไงเนี่ย"

     

    อูฮยอนเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าตู้นิรภัยของเขายังอยู่ดี ปิดสนิทไม่มีร่องรอยการถูกเปิด น่าแปลกที่พวกนั้นไม่พยายามทำลายมัน... เขาย่อตัวลงมองพิจารณากล่องเหล็กกล้าอยู่ซักพักก่อนจะลากมันออกมา แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันเป็นการกระทำที่คิดผิดมหันต์

     

    ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกติดไว้ด้านหลังตู้ เพียงแค่พริบตาเดียวไฟสีเขียวบนกลไกขนาดเล็กก็ดับลงก่อนจะติดขึ้นอีกครั้งเป็นสีแดง

     

     

     

    เป็นสัญญาณให้ระเบิดตัวนี้ทำงาน

     

     

     

    tbc.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×