ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [infinite|woogyu] Everlasting Sunset

    ลำดับตอนที่ #2 : of gunshots and grenades

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 58


     




    57...

    58...

    59...

     

    68

     

      

    เสียงลั่นไกดังขึ้นกึกก้องเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับกระบอกปืนสีทองเป็นมันวาวที่ตกกระทบลงบนพื้นทราย Desert Eagle Mark XIX นอนแน่นิ่งอยู่ที่ปลายเท้า พื้นผิวทองคำของลำกล้องที่มีตัวพิมพ์ภาษาอังกฤษตามฉายาของเจ้าของปืนสลักไว้สะสวยนั้นสะท้อนกับแสงอาทิตย์ท่ามกลางฝุ่นผงหนาแน่น ลมกรรโชกแรงทำให้รอบตัวนั้นเป็นราวกับพายุทะเลทรายขนาดย่อม เสียงระเบิดและเสียงปืนค่อยๆเงียบลงสนิทจนเหลือเพียงเสียงลมหวีดหวิวและม่านควันที่บางตาลง
     

    ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจสั่นๆแล้วย่อตัวลง มือหนาที่สั่นไหวค่อยๆแตะลงบนโลหะที่เย็นชืดผิดแผกไปจากอากาศรอบข้าง ปลายนิ้วม้วนไปรอบด้ามปืนอย่างเชื่องช้า ลมหายใจขาดห้วงเมื่อสัมผัสของปืนคู่ใจกลับรู้สึกแปลกประหลาดกว่าครั้งไหน

     

    เขาหลับตาแน่นแล้วลุกขึ้นยืนโดยยังคงหอบหายใจหนัก ดวงตาสีนิลกระพริบเปิดช้าๆแล้วกราดมองไปรอบกาย ปลายลิ้นแตะที่มุมของริมฝีปากอันแห้งผาก

     

     

    ภาพของศพที่กระจัดกระจาย อาบเลือดแดงฉาน ทั้งสองมือและตามร่างกาย กลิ่นคาวเลือดไม่มีผลกระทบต่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว

     

    แต่มือของเขากลับสั่นระริกอย่างน่ากลัว

     

     

     

    Once it falls dark, silence will come knocking at every door; signaling the faint, thin line between day and night. It is now the moon's turn to give them the most peaceful moment, surrounded by countless flickering stars.

    ยามค่ำคืน ความเงียบงันก็จะตรงเข้าเคาะทุกๆประตู ในเวลาที่แสงสว่างเลือนหายจนทุกอย่างปกคลุมไปด้วยความมืดมิด และก็ถึงเวลาของพระจันทร์แล้วที่จะมอบช่วงเวลาอันสงบสุข โอบล้อมไปด้วยดวงดาวจำนวนมากมายที่กระพริบวาบ

     

     

     

    ค่ำคืนนี้ มีเพียงเสียงของผืนผ้าขยับสับไหว แขนขาที่กอดก่าย เกาะยึดกันและกันไว้ราวกับกลัวว่าจะมีอะไรมาแยกทั้งคู่ สัมผัสของเนื้อแนบเนื้อ – นุ่ม ลื่น ร้อนผ่าว ทุกๆสัมผัสเกือบจะเผาไหม้ นิ้วเรียวสวยขยุ้มเรือนผมสีเข้ม ดึงรั้งสัมผัสอุ่นนุ่มที่แนบอยู่บนต้นคอให้กดลึก ยามเมื่อฟันขาวขบลงบนผิวอ่อน ศรีษะสะบัดขึ้นส่งเส้นผมสีน้ำตาลละเอียดกระจายบนผืนผ้าพร้อมแนวสันหลังที่ลอยขึ้นจากที่นอนนุ่มเป็นเส้นโค้ง ริมฝีปากสีสดที่ผ่านการขบกัดเป็นเวลานานแยกจากกันเป็นเสียงกรีดร้องอันเงียบเชียบ และไม่มีเสียงใดอื่นนอกจากลมหายใจและเสียงครางเครือเบาหวิวในลำคอ ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่หลุดรอดออกมา เพราะซองกยูไม่อยากได้ยิน

     

     

    "ซองกยู–"

    "...ชู่ว"

    "..."

     

     

    เขาเข้าใจ ถึงแม้จะต้องกัดฟัน เขาอยากพูด อยากระบายทุกๆอย่างออกมาเป็นวาจาให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่ซองกยูไม่ฟัง ไม่คิดจะฟัง ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น และเขาก็ถูกต้อนให้เหลือเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ — ภาษากาย

     

    เพราะคำพูดเป็นแค่ลมปาก(อย่างที่อูฮยอนไม่เคยหมายความในสิ่งที่พูดในเวลาส่วนมาก) แต่ลมหายใจคือของจริง สัมผัสเป็นของจริง สิ่งที่ตาเห็นคือของจริง(ถึงแม้จะสงสัยว่าซองกยูมองอะไรเห็นหรือเปล่าด้วยตาคู่นั้น) และเหนือสิ่งอื่นใด ความรู้สึกเป็นของจริง

    หากสัมผัสทั้งห้าคือ การมองเห็น ได้กลิ่น รับรสชาด ได้ยินเสียง รู้สัมผัส สำหรับซองกยูก็คือ ภาพอันสวยงามของพระอาทิตย์ตก กลิ่นโคโลญจน์เย็นๆสดชื่น การไหวเต้นของหัวใจ สัมผัสนุ่มนวลของริมฝีปาก และความรู้สึก(ที่บางทีก็ไม่มีชื่อเรียกชัดเจนด้วยซ้ำ)

     

    ซองกยูไม่ต้องการแค่คำพูด ซองกยูต้องการของจริง และอูฮยอนคิดว่าเขาพร้อมที่จะให้ ถ้าหากว่าเขามีพอที่จะให้

     

     

     

     

     

     

     

    "ฉันยิงพลาด"

     

    "จากกลางหน้าผากเป็นข้อเท้า?"

     

    "ตลก"

     

    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระชากจากความหงุดหงิด คนฟังกดใบหน้าลงกับหมอนกลั้นเสียงหัวเราะแต่ก็ยังชัดเจนจากหัวไหล่ขาวที่สั่นน้อยๆ อูฮยอนยกมือขึ้นสางผมตัวเองแล้วผ่อนลมหายใจยาว ประสบความสำเร็จในการดึงความสนใจจากคนข้างกายให้ขยับมานอนตะแคงข้าง ซองกยูมองด้วยตาปริบๆ ยื่นนิ้วชี้ออกไปแตะที่ต้นแขนสีแทน ลากลงมาเป็นเส้นตรงแล้วส่งยิ้มให้

     

    "ก็ดีแล้วนี่"

     

    "ดีตรงไหน? ถ้าจะยิงใคร ก็ต้องให้ตรงจุดที่แน่ใจว่าจะตายทันที เขาจะได้ไม่ทรมานเพราะบาดแผลแรก รู้ไหม?"

     

    "ไม่ ฉันหมายถึงยิงพลาด ก็เพราะลึกๆแล้วไม่อยากทำต่างหาก"

     

    "ถ้าฉันทำในสิ่งที่เกิดมาเพื่อที่จะทำไม่ได้ ฉันจะกลายเป็นตัวอะไร?"

     

    "ก็เป็นคนน่ะสิ"

     

    ไม่น่าถาม อูฮยอนฮัมรับคำอยู่ในลำคอโดยที่ดวงตาก็ยังจับจ้องไปยังเพดานที่ดูยังไงก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ จนได้ยินเสียงผ้าขยับและเตียงที่ยวบตามน้ำหนักถึงได้ยันตัวโดยข้อศอกขึ้นมอง ซองกยูผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหาววอด มือคู่สวยคว้าเสื้อเชิ๊ตที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมาสวม ติดกระดุมจากเม็ดสุดท้ายขึ้นมาจนถึงกลางหน้าอกแล้วก็ไม่ได้สนใจมันต่อ ใส่สลิปเปอร์อย่างลวกๆแล้วเดินเตาะแตะห่างออกไป

     

    อูฮยอนนอนแผ่หลาอยู่อย่างนั้น แม้แต่ตอนที่ได้กลิ่นหอมหวนของแพนเค้กที่ลอยเข้ามาเรียกก็ตาม ไม่กี่อึดใจ เครื่องมือสื่อสารที่อยู่บนโต๊ะข้างก็สั่นครืด อูฮยอนถอนหายใจแล้วปัดป่ายมือสะเปะสะปะจนคว้าขึ้นมาได้และเอาแนบเข้ากับใบหู เขากรอกคำทักทายไปอย่างส่งๆ

     

     

    "ยินดีด้วยที่แฮคระบบการซ่อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสำเร็จ"

     

    'นัมอูฮยอน!'

     

    เสียงแผดร้องที่มาจากปลายสายทำให้อูฮยอนจำต้องดึงมันออกห่างจนสุดแขน เขากรอกตาอย่างหน่ายๆ

     

    "สงสารหูฉันหน่อย ดงอู"

     

    'เลยกำหนดเป็นอาทิตย์ไม่มีโผล่หัวเข้ามาที่สำนักงานใหญ่ แกอยู่ที่ไหน!?'

     

    "พักผ่อนอยู่"

     

    'ใครอนุญาต?'

     

    "พลเอกนัมอูฮยอน"

     

    'ไม่ อูฮยอน เราจะไม่คุยกันแบบนี้'

     

    "ฉัน-ยิง-พลาด"

     

     

    แค่เพียงสามพยางค์ที่ทำให้ปลายสายเงียบเสียงลงชะงัด อูฮยอนหลับตาลงแล้วฮัมเพลงเบาๆเฝ้ารอให้อีกฝ่ายโต้ตอบอะไรกลับมา หูก็ฟังเสียงพูดคุย เสียงโทรศัพท์ดังและเสียงอะไรวุ่นวายมากมายที่ส่งผ่านคลื่นดังซู่ซ่ามาจากอีกฝั่ง

     

     

    'นายอยู่ที่ไหน?'

     

     

    ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆเมื่ออีกฝ่ายดูท่าจะไม่ยอมจบประเด็นง่ายๆ แต่จะให้ใครรับรู้ถึงที่แห่งนี้ไม่ได้ เขาจัดการถอดเครื่องดักฟังและเครื่องมือติดตามรอยออกจากยานพาหนะทั้งหมดทุกครั้งที่เขาหนีมาที่นี่ ถึงแม้มันจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกจับได้และสงสัยในการกระทำลับๆล่อๆก็ตามที

     

    "แค่ออกมาไกลๆหาอากาศสดชื่น ทำใจให้สงบน่ะ จะกลับเดี๋ยวนี้ก็ได้ โอเคนะ?"

      

    อูฮยอนตัดสายโดยไม่รอคำตอบ ร่างโปร่งทิ้งตัวลงกับเตียงอีกครั้งก่อนจะดีดดิ้นไปมาให้หลุดจากผ้าห่มที่พันแข้งขาอยู่ พอลุกขึ้นนั่งได้ เขาก็ยืดแขนขึ้นจนสุดแล้วปล่อยเสียงต่ำในคอเมื่อได้คลายกล้ามเนื้อที่ตึงแน่น พร้อมกับได้ยินเสียงข้อกระดูกลั่นเบาๆ

     

     

    "อา นี่มันวันอะไรแล้ววะเนี่ย?"

     

     

     

     

     

     

    "กลุ่มกบฏที่อยู่ทางเหนือไปสี่ร้อยแปดสิบกิโลเมตร คาดเดาแล้วมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยหน่วย สรุปผลแล้วไม่มีผู้รอดชีวิต ผู้ปฏิบัติการและเจ้าหน้าที่มีทั้งสิ้นสามหน่วย ผม นัมอูฮยอน ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย ร่วมกับ พลโทอีโฮวอน และ พลโทคิมมยองซู"
     

    เสียงทุ้มต่ำกรอกลงไปในไมค์ตัวเล็กภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ ทันทีที่อูฮยอนเหยียบกลับเข้ามาในสำนักงานใหญ่ เขาก็ถูกลากตัวมาให้รายงานสถานการณ์ในทันทีเนื่องจากพ้นเวลากำหนดในการทำภารกิจมาเป็นอาทิตย์ ลูกน้องอีกสองที่อยู่ในหน่วยเขากลับมาตั้งแต่การกวาดล้างจบลง เหลือเพียงอูฮยอนที่มีความรับผิดชอบที่จะต้องอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้กลับมาทีหลัง แถมยังติดต่อไม่ได้เลยในเวลาที่ผ่านมา แต่คิดหรือว่านัมอูฮยอนจะยอมคายออกมาง่ายๆ?

     

    "ผมออกคำสั่งให้พลโทโฮวอนกับพลโทมยองซูกลับมารายงานสถานการณ์แล้วก่อนหน้านี้" อูฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสนิท สายตาคมกราดมองไปยังเหล่าผู้ที่มียศมีศักดิ์สูงกว่าอย่างไม่มีเกรงกลัว "ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามว่าทำไมท่านถึงอยากได้รับการรายงานอีกรอบ"

     

    ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ทุกฝ่ายต่างนิ่งมองกันและกันอย่างพินิจพิเคราะห์และเฝ้าสังเกตุชั้นเชิงของแต่ละคน การอาศัยอยู่ในกองทัพไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้ทำงานด้วยกันก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ ไม่ว่าใครก็หักหลังและจ้องทำลายกันได้ทั้งนั้น ในเมื่อทุกคนยังคงเงียบ อูฮยอนจึงตัดสินใจชี้แจงขึ้นมาเอง

     

    "ถ้าเป็นเรื่องที่ผมติดต่อไม่ได้ในที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวของผมเอง ลูกน้องผมไม่เกี่ยว"

     

    "การกระทำคุณน่าสงสัย"

     

    "ผมยอมรับ มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผมอยากจะใช้เวลาคนเดียวคิดอะไรเสียหน่อย ผมผิดหวังกับการปฏิบัติการของตัวเองที่ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนเคย"

     

    "ปล่อยใครหนีไปล่ะ? เด็ก? ผู้หญิง?"

     

     

    คิ้วของเขากระตุกเมื่อเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นมาจากหนึ่งในคนที่อยู่ในห้องประชุม ถ้าเป็นแต่ก่อน อูฮยอนก็คงจะไม่รู้สึกอะไร ไม่สิ ถ้าเป็นแต่ก่อน อูฮยอนคงไม่ยิงพลาดด้วยซ้ำไป
     

     

    "ได้ ผมจะยอมรับข้อแก้ตัวของคุณในคราวนี้ แต่จำไว้ว่าคุณมีกฏระเบียบที่จะต้องปฏิบัติตาม ต่อให้การปฏิบัติการณ์ของคุณจะสมบูรณ์แบบหรือไม่ หน้าที่ของคุณมีแค่อย่างเดียวก็คือล้างบางเจ้าพวกต่อต้านให้ราบ" หนึ่งในผู้อำนวยการชั้นสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง และอูฮยอนเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังโมโห

     

     

    เจ้าพวกไร้ประโยชน์ กินเงินเดือนไปวันๆ มาลงมือเองบ้างดูไหม?

    มีอำนาจนักหนา ปากดีนัก อยู่ไปก็เสียดายออกซิเจน เดี๋ยวเป่าดับเลยนี่ —

     

     

     

    ก็เป็นคนน่ะสิ

     

    มือของเขากำแน่นเมื่อเสียงนุ่มนวลของใครคนนั้นย้อนกลับเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว ผู้ที่มองเห็นเขาไปมากกว่าการเป็นแค่หุ่นเชิดที่ทำได้แค่ปลิดชีวิตคนตามคำสั่ง คนคนนั้นแย้มยิ้มให้เขาทุกครั้งที่เขาหลบหนีจากชีวิตจริงเข้าไปอยู่ในความฝัน ความฝันที่ชื่อคิมซองกยู

     

     

    "รับทราบ..."

     

     

    ความรู้สึกนี่มันน่ารำคาญจริงๆด้วย


     

     

     

     

     

    "อย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้นะ"

     

    ชายหนุ่มผู้มีผมสีบลอนด์แซมฟ้าแปลกตาเลิกคิ้วไปกับท่าทีไม่ยี่หระของคนที่กำลังลูบๆคลำๆทำความสะอาดที่รักของตัวเองด้วยหน้าตายๆ อูฮยอนวางปืนสีทองลงบนผ้าใยสังเคราะห์อย่างระมัดระวังแล้วเอนหลังไปกับเก้าอี้หนังตัวใหญ่ ขาเรียวพาดขึ้นไขว้กันบนที่วางขา ร่างโปร่งเหลือบมองคนอายุมากกว่าด้วยรอยยิ้มมุมปาก

     

     

    "แน่ใจเหรอ?"

     

    "นายขโมยอุปกรณ์ดัดแปลงสัญญาณของฉันไปใช้"

     

    "อืม แล้วสรุปว่ารู้รึเปล่า?"

     

    "นายไปทำอะไรตรงนั้น? กลางทะเลทรายนั่นน่ะ?"

     

     

    อูฮยอนหัวเราะเบาๆพร้อมกับไฮไฟว์ตัวเองอยู่ในใจ ถ้าหากแม้แต่มันสมองอย่างดงอูยังไม่รู้ ก็วางใจได้เลยว่าไม่มีใครอื่นหาที่นั่นเจอแน่ ยกเว้นโฮวอนกับมยองซูที่ไปเหยียบมากับตัวเอง แต่เขาไว้ใจสองคนนั้นได้แน่นอนว่าจะไม่ปริปากให้ข้อมูลรั่วไหล อูฮยอนมั่นใจได้(พ่วงด้วยการขู่กรรโชกนิดๆหน่อยๆ)

     

     

    "ยังไม่ถึงเวลาที่นายจะรู้"

     

    "นายไม่คิดจะให้ฉันรู้ด้วยซ้ำไป"

     

    "น่า ถ้ารู้จักกันดีก็ต้องรู้สิว่าป่วยการถ้าคิดจะง้างปากฉันในเรื่องที่ฉันไม่อยากบอก"

     

     

    ดงอูถอนหายใจเฮือกเมื่อตัดสินใจที่จะเลิกเซ้าซี้ เขายื่นมือออกไปตรงหน้าแทนแล้วกระดิกนิ้ว

     

     

    "งั้นเอาลูกรักฉันคืนมา"

     

     

    อูฮยอนลุกขึ้นเดินไปนั่งยองๆข้างกระเป๋าเป้ใบใหญ่แล้วยัดมือลงไปควานหาอยู่ซักพัก พอคว้าได้สิ่งที่ต้องการก็โยนข้ามไหล่ตัวเองไป เดือดร้อนดงอูต้องรีบรุดเข้ามารับเอาไว้แทบไม่ทัน

     

    "ไอ้บ้านี่! ถ้าตกพื้นแตกกระจายจะรับผิดชอบมั้ย!?"

     

    "นายสร้างใหม่ได้อยู่แล้วนี่นา"

     

     

    หลังจากที่อูฮยอนโบกมือประกอบคำพูดไปส่งๆ ดงอูก็แยกเขี้ยวใส่แล้วประคองอุปกรณ์ตัดคลื่นตัดสัญญาณไฟฟ้ากลมๆในมืออย่างระมัดระวัง

     

     

    "พักนี้คงไม่มีงานเข้ามา นายกวาดซะเรียบเลยจริงๆ ข้างบนนั่นน่ะ"

     

    "ฉันอุตส่าห์ยิงพลาดไม่โดนจุดตายไปตั้งหนนึง"

     

     

    ดงอูกรอกตาหน่ายๆ โยนแฟ้มในมือใส่โดยที่มันก็ลอยหวือตรงเข้ากระแทกหน้าพลเอกอย่างจังก่อนจะจ้ำอ้าวตรงออกไปที่ประตู อูฮยอนกุมจมูกตัวเองร้องโอดโอย มองค้อนคนอายุมากกว่าที่หันขวับกลับมาด้วยนิ้วที่ชี้เข้าหน้าอย่างคาดโทษ

     

     

    "เลิกคร่ำครวญถึงความน่าเวทนาของตัวเองซะ มันน่ารำคาญ แล้วฉันเคยบอกนายไว้ว่ายังไง?"

     

    "บอกว่าอะไร?" อูฮยอนหรี่ตาใส่ดงอูก่อนจะหลุบลงเหลือบมองเอกสารที่อยู่บนตักตัวเองด้วยปากที่อ้าค้าง "นี่มัน..."

     

     

    "เออ ทีนี้ก็จำให้ถึงกระดูกดำ... อย่า คิด โกหก ฉัน"

     

     

     

     

     

     

    ซวยแล้วไงล่ะ

     

    ร่างโปร่งเดินกอดอกวนไปวนมาอยู่ในห้องทำงานตัวเอง เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงชี้กระจายไปทุกทิศจากการถูกขยี้แรงๆ ดวงตาสีนิลเหลือบมองกระดาษที่วางแผ่ไว้ทั่วโต๊ะด้วยคิ้วขมวด ริมฝีปากเม้มแน่นพลางครุ่นคิดถึงทางออกและหาทางแก้ไขสถานการณ์นี้ที่เขาไม่ชอบเอาซะเลย

      

    "หา... พี่ดงอูรู้?"

     

    "ได้ไง?"

     

    อูฮยอนยักไหล่ ก่อนจะถูกโฮวอนฉุดให้นั่งลงเพราะตัวเองเริ่มจะเวียนหัวหลังจากนั่งมองรุ่นพี่หันไปหันมาไม่รู้กี่รอบ มือหนารวบกระดาษทั้งหมดส่งให้อีกสองคน แล้วยกแขนขึ้นกอดอกเหมือนเดิม หลับตาลงและจมอยู่ในความคิด

     

    "แย่... พี่ดงอูรู้ลึกขนาดนี้เลย" มยองซูพลิกข้อมูลในมือด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะที่เขากำลังอ่านอยู่ก็คือรายละเอียดว่าสถานที่นั้นเป็นยังไง สมบูรณ์ขนาดไหน มีวัตถุดิบอะไรที่จะมีประโยชน์บ้าง มีประชากรเท่าไหร่ เครือข่ายที่ติดต่อกับสถานที่นี้มีที่ไหนบ้าง ข้อมูลทุกอย่างเท่าที่อะไรจะมีได้
     

    มยองซูจะจำขึ้นใจแน่นอนว่า อย่าแม้แต่จะคิดเป็นปรปักษ์กับจางดงอู

     

     

    "หวังว่ามันยังไปไม่ถึงหูเบื้องบนหรอกนะ ไม่งั้นก็บรรลัย"

     

     

    หลังจากที่โฮวอนพึมพำออกมา อูฮยอนก็ลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วมองลูกน้องทั้งสองคนนิ่ง โฮวอนกับมยองซูรู้สึกถึงสายตาเคร่งเครียดที่ส่งมาให้จึงหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วนิ่งฟัง

     

     

    "นายสองคน" อูฮยอนชี้ทั้งสองแล้วชูสามนิ้วขึ้นมาตรงหน้า "ฉันมีคำสั่งให้สามข้อ"

     

    โฮวอนกลืนน้ำลายเพราะเขารู้สึกได้ว่าเขาจะต้องไม่ชอบคำสั่งชุดนี้แน่ๆ

     

    "หนึ่ง หุบปากให้สนิท... สอง ถ้าถูกคุกคามถึงชีวิตก็ชี้ให้มาแงะจากปากฉันเอง"

     

    "พลเอก..." มยองซูกระซิบเสียงเบา ดวงตาคมมองหัวหน้าอย่างวิงวอน

     

    "และสาม นับจากวันนี้ไป ถ้าไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม ออกห่างฉัน ห้ามมาที่นี่ อย่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับฉันเด็ดขาด"

     

    "อูฮยอน!"

     

    "อีโฮวอน เข้าใจรึเปล่า?"

     

     

    มยองซูบีบไหล่โฮวอนไว้แน่นแล้วพยักหน้ารับแทน ถึงแม้ในใจจะกรีดร้องว่าไม่อยากทำตามเลย โฮวอนผุดลุกขึ้นพร้อมกับโค้งให้กับผู้ที่มียศสูงกว่า ร่างโปร่งหันขวับแล้วเดินปลิวออกไปโดยไม่หันกลับมามอง มยองซูถอนหายใจ เขายิ้มน้อยๆให้กับอูฮยอน โดยที่คนอายุมากกว่าก็ยังฝืนยิ้มตอบ เด็กหนุ่มโค้งทำความเคารพ(หวังว่าจะไม่)เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงล่าถอยจากไปอย่างเงียบเชียบ

     

    ถ้าจะมีใครที่รู้จักแคปิตอลดีที่สุดก็คงจะเป็นเขาเอง อูฮยอนอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต ถูกจับเข้าระบบการศึกษาเข้มข้นนับตั้งแต่อ้าปากพูดได้ ถูกพันธนาการเอาไว้เป็นสมบัติของเมือง ทุกอย่างที่เขาทำเพื่อที่แห่งนี้มันมากพอที่จะรู้ว่าไม่มีที่ไหนเห็นแก่ตัวไปมากกว่าที่นี่อีกแล้ว
     

    คิดว่าทำไมพอเดินพ้นเขตของเมืองหลวงออกไปแล้วถึงมีแต่พื้นที่โล่งกว้าง ว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิต? มันกว้างขวางออกไปไกลหลายต่อหลายเฮกตาร์จนกว่าจะพบกับพื้นที่อื่นที่พอจะมีทรัพยากรให้ประทังชีวิตอยู่บ้าง และถ้าออกไปไกลขนาดนั้นแล้วหันหลังกลับมามอง ก็จะเห็นโดมแก้วขนาดมหึมาตั้งอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย มีชีวิตอาศัยอยู่ในนั้นโดยที่อาศัยดูดกลืนทรัพยากรรอบข้างไปหมดสิ้น

     

    เขาแค่นหัวเราะแล้วปาลูกดอกในมือออกไป ปลายแหลมปักลงตรงกลางเป้าอย่างไม่ขาดไม่เกิน

     

    เพราะการแย่งชิงทรัพยากรที่แคปิตอลมีความได้เปรียบอยู่หลายขุม ทำให้มันไม่กลายเป็นประเทศอีกต่อไป แต่ละรัฐก็จำเป็นต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นการปกครองตนเอง ดิ้นรนเอาชีวิตรอดในสภาพการเป็นอยู่ที่ยากลำบาก และมันก็ช่วยไม่ได้ที่แคปิตอลเป็นจุดศูนย์กลางของความเจ็บแค้นจนหลายส่วนลุกฮือขึ้นมาก่อกบฏไม่หยุดยั้ง

     

    ผู้คนในนี้ต่างก็เรียกที่นี่ว่าดินแดนในอุดมคติ แต่สำหรับอูฮยอนแล้วมันยังห่างไกลจากการเป็น ยูโทเปีย นัก ถ้าเพียงแต่มนุษย์จะรับรู้ถึงความจริงอันน่าขยะแขยงของมัน


     

    เดาได้หรือยังว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับสถานที่อันแสนวิเศษนั้น ถ้าหากคนที่นี่รับรู้เข้า?
     

     

    ด้วยจรรยาบรรของการเป็นหัวหน้า การดึงลูกน้องอีกสองคนเข้ามาเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่อูฮยอนจะทำ มันคงยาก มันจะต้องลำบาก มันอาจจะไม่สำเร็จด้วยซ้ำไป แต่เขาจะถอยไม่ได้ ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว อูฮยอนจะปกป้องที่แห่งนั้นด้วยชีวิต คนเดียว

     

    อูฮยอนหยิบปึกกระดาษขึ้นมาแล้วจิ๊ปากเบาๆ ระหว่างที่กำลังยัดมันลงในกระเป๋าเป้ แสงอะไรแว้บๆสีฟ้าก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น แก้วตาสีเข้มสะท้อนกับสารเรืองแสงสีฟ้าสว่าง ที่วางอยู่ระหว่างกองหนังสือบนชั้นก็คือหลอดแก้วทรงแคปซูลบรรจุของเหลวที่มีกลไกพาดกลาง ไฟสีเขียวกระพริบเป็นจังหวะบ่งบอกว่ามันยังคงใช้งานได้ อูฮยอนยืดตัวขึ้นพิจารณาของตรงหน้าซักพักแล้วจึงดีดนิ้วเบาๆ
     

     

    "ไอ้นี่มัน... ของจากดงอูที่เคยใช้เมื่อปีก่อน" ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาแล้วหันซ้ายหันขวามองหากล่องที่เอาไว้ใส่อุปกรณ์ที่เปราะบางตัวนี้ อูฮยอนปิดกล่องพร้อมกับใส่รหัสล็อก ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม
     

     

    "เดี๋ยวคงต้องมีการโน้มน้าวจิตใจชุดใหญ่กันล่ะ เตรียมตัวไว้ให้ดี จางดงอู"

     

     

     

     


     

    "หน้าฉันมีอะไรติดหรือไง?"

     

    เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างโดยที่ยังคงจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง ไม่น่าจะคิดไปเอง แต่ซองกยูรู้สึกหนาวสันหลังวูบกับสีหน้าที่ซองยอลส่งมาให้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วขยับถอยหลัง ขาเก้าอี้ส่งเสียงครืดเล็กน้อย ซองจงเหลือบมองเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วจึงหันหน้าหนีเพื่อพยายามกลั้นหัวเราะ

     

    "อะไรของพวกนายเนี่ย?" ซองกยูถามด้วยเสียงติดสูงจากความหวาดระแวง หรือว่ามีเชื้อบ้าอะไรระบาดแล้วสองคนนี้ติดเข้าให้กันนะ?

     

    "ผมไม่เห็นรู้เลยว่าพี่ซองกยูนอนละเมอ"

     

    "ใช่ ละเมอพูดอะไรบางอย่างด้วยล่ะ"

     

     

    คิ้วที่ขมวดจนแทบจะผูกโบว์คลายออกแล้วยกขึ้นสูงแทน ซองกยูกระพริบตาปริบๆ บ่งบอกว่ายังคงไม่เข้าใจบทสนทนานี้ จริงอยู่ที่เจ้าสองคนนี้อยู่ดีๆก็เชิญตัวเองเข้ามาค้างด้วยเมื่อคืน แต่ก็ใช่ว่าซองกยูจะจำอะไรแบบนั้นได้ ซองยอลกับซองจงมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะหึๆ

     

    "ก่อนอื่น พี่ซองกยูเลิกจิ้มบล็อคโคลี่ชิ้นนั้นซักที พรุนไปหมดแล้ว" ซองจงหัวเราะคิก คนอายุมากกว่ามองค้อนเล็กน้อยแล้วเสมองไปทางอื่น ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบแก้เก้อ

     

    "อะแฮ่ม" ซองยอลกระแอมเบาๆ เรียกความสนใจของซองกยูกลับมาที่ตน "...อูฮยอน"

     

     

    "แค่ก!"

     

    ซองยอลหัวเราะร่าพร้อมกับชี้หน้าคนอายุมากกว่าด้วยความสะใจ ซองกยูขบเนื้อที่โดนกาแฟลวกแล้วมองค้อนเด็กทั้งสอง ดวงตาเรียวเล็กกระพริบถี่ไล่หยดน้ำที่รื้นขึ้นมาผลพวงมาจากความเจ็บแสบที่ลิ้น ซองจงเห็นโอกาสเหมาะๆแล้วจึงยื่นมือออกไปจัดผมหน้าของซองกยูที่ตกลงมาปรกตาให้เข้าที่ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างที่ได้เห็นคนชอบสงวนท่าทีตลอดมีปฏิกริยาที่ออกมาธรรมชาติแบบนี้

    ซองกยูหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมายาว ร่างโปร่งค้อมตัวลงฟุบกับโต๊ะ กุมศรีษะตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ

     

     

    "คิดถึงล่ะสิ"

     

    "จะคิดถึงทำไม? ผ่านไปแค่ไม่กี่วันเอง"

     

    "ไม่เอาน่า โทรไปหาบ้างก็ดีนะพี่ รอแต่ให้เขามาหา เมื่อไหร่จะมาอีกก็ไม่รู้"

     

    "พี่ก็เอาแต่จ้องล็อกเก็ตนั่นทั้งวันด้วย"

     

    "ไม่ได้จ้องทั้งวันซักหน่อย..." ซองกยูตอบไปส่งๆ ทั้งๆที่มือก็กำล็อกเก็ตที่ห้อยอยู่กับสร้อยเอาไว้แน่นแล้ว "ถ้าโทรไป... แล้วไงล่ะ?"

     

    ซองยอลกับซองจงมองหน้ากันแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง ซองจงเลียนแบบท่าทางของซองกยูแล้วใช้ศอกสะกิดคนอายุมากกว่าที่นั่งอยู่ข้างๆ

     

    "นี่ๆ ที่เขาพูดไว้ว่า คำพูดของคนเมาคือความจริง แต่ความคิดที่ซื่อสัตย์ก็ออกมาได้อีกทาง รู้ไหม?" เด็กหนุ่มยื่นนิ้วชี้ขึ้นแล้วโบกไปมาอยู่ตรงหน้า ซองกยูชักสีหน้าแต่ก็นิ่งฟัง

     

    "มีเขาอยู่ใต้จิตสำนึกแล้วละเมอออกมาแบบนั้นน่ะ... แค่ได้ยินเสียงก็หายคิดถึงแล้ว"

     

    ซองกยูผุดลุกขึ้นนั่งหลังตรงแล้วท้าวข้อศอกกับโต๊ะ ผ่อนลมหายใจยาวพร้อมกับนวดขมับเบาๆ

     

    "พวกนายนี่น่ารำคาญชะมัด..."  ซองกยูฝังหน้าตัวเองกับฝ่ามือทั้งสองข้างก่อนจะยื่นมือซ้ายออกไปหน้าซองยอล 

     

     

    "เอาโทรศัพท์มาสิ"

     

     

    tbc.

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×