ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ออกเดินทาง
               
                ประตูเหล็กดัดลวยลายวิจิตรตระการตาบานใหญ่สีทองที่เขียนว่านครเวคาย  ค่อยๆเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ  เผยให้เห็นทางที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาดตาเป็นทางยาวจนสุดลูกหูลูกตา  ข้างๆทางของทั้งสองฝั่งมีรูปปั้นเทพแห่งสรวงสวรรค์ที่กำลังอยู่ในอริยาบทต่างๆ  อย่างสวยงามและอ่อนช้อย  ที่ทำมาจากแก้วบางใส  แต่มีรายละเอียดทุกอย่างอยู่ครบ  ตั้งแต่โครงใบหน้า ขนตา ตา จมูก ปาก คิ้ว เรือนผม นิ้วมือ นิ้วเท้า และรูปร่างที่ดูแล้วนุ่มนวลตา  มันเป็นประติมากรรมที่งดงามยิ่งนัก  ถัดจากรูปปั้นเทพแห่งสรวงสวรรค์ก็เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่  ที่มีดอกไม้นานาชนิด  ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบที่มีหลากสีสัน  ดอกทิวลิป  ดอกคาร์เนชั่น  ฯลฯ  รวมทั้งฝูงผีเสื้อหลากหลายสีสัน  ที่บินอยู่ในสวนดอกไม้แห่งนี้
                เสียงหัวเราะใสๆ  จากเด็กๆ  ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณสวนดอกไม้  ทำให้ผู้ที่ผ่านไปมาเห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
                เมื่อเดินผ่านกลุ่มเด็กๆที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ไปได้ไม่ไกลนัก  ก็จะเจอบึงน้ำขนาดใหญ่  น้ำในนั้นใสสะอาดจนน่าจะลงไปว่ายเล่น  ตรงกลางบึงมีศาลาสีขาวทรงกลม  หลังคาเป็นโดมสีทอง  ขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่  และมีสะพานเล็กๆสีขาวทอดตัวไปจรดกับพื้นดินฝั่งตรงข้าม  มองเลยไปหน่อย  จะมีต้นไม้ขนาดใหญ่  ที่ทำเป็นชิงช้าอยู่  และที่นั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า
                เธอผู้นั้นมีผมสีบรอนซ์ทองปล่อยยาวสยายไปกลางหลัง  ที่มองดูแล้วนุ่นสลวยน่าจับ  ใบหน้าเรียวรูปไข่ที่ดูจิ้มลิ้ม  คิ้วเรียวยาวที่รับเหมาะกับดวงตากลมใสที่มีสีฟ้าใต้แผงขนตาดกงอน  จมูกโด่งรั้นรับกับแก้มนวลสีชมพูเรื่อตามธรรมชาติ  ริมฝีปากรูปคันศรอิ่มเต็มสีชมพูเรื่อที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา  และยังเรือนร่างโปร่งบาง  ผิวเนียนละเอียดขาวอมชมพูไปทั้งตัว  ลำคอระหงนวลเนียน  ไล่ลงมาถึงทรวงอกอวบอิ่มของวัยสาว  เอวคอดเล็ก  ตลอดจนสะโพกที่ซ่อนอยู่ในกระโปรงบานปิดลงมาถึงข้อเท้าสีชมพู  ซ่อนอยู่ในชุดคลุมสีขาวที่เป็นผ้าบางๆคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง  ดูราวกับเทพธิดาลงมาจากสรวงสวรรค์
                “ท่านแอ็กเนส”  เธอตะโกนเรียก  พลางเดินเข้าไปใกล้หญิงสาว
                แอ็กเนสหันไปมองผู้ที่เรียกเธอ  หญิงคนนั้นมีผมสีบรอนซ์ทองเช่นเดียวกับเธอ  ตาสีฟ้า  อายุราวๆ 40ปี  ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนสุภาพ  ผิวพรรณนวลเนียน  เธอใส่ชุดสีฟ้า  และคลุมด้วยผ้าบางๆสีขาวทับอีกชั้น  ก่อนจะพูดว่า
                “อ้าว คุณฟลาเวีย  มีอะไรเหรอค่ะ”  แอ็กเนสถาม  พลางหยุดแกว่งชิงช้า
                “ท่านนอร์แมน  เรียกให้ไปพบค่ะ”  ฟลาเวียตอบและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ
                เธอมองดูสาวน้อยตรงหน้าด้วยความรักทั้งหมดที่มี  สมกับที่เธอดูแลมาเกือบจะ 15 ปี
                “ทราบมั้ยค่ะว่าท่านตาเรียกหนูไปพบมีเรื่องอะไร”
                “ไปฟังท่านนอร์แมนพูดเองเถอะจ๊ะ”  ฟลาเวียพูดตัดบท  และเดินนำออกไปก่อน  ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบออกเดินตาม
                ทั้งแอ็กเนสและฟลาเวียต่างพากันเดินอย่างสบายใจที่ได้เห็นทัศนียภาพต่างๆที่ได้เห็น  จนทั้งสองคนเดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำไปยังอีกฟาก  น้ำในแม่น้ำมีสีฟ้าใสสะอาดที่ส่องเป็นประกาย  จนเห็นก้อนหินที่อยู่ในน้ำ  และฝูงปลาหลากหลายชนิดที่กำลังเวียนว่ายไปมาในแม่น้ำนั้น  และยังมีดอกบัวหลากหลายสีสันลอยชูชันอยู่มากมาย  ที่สำคัญแม่น้ำแห่งนี้ได้ล้อมรอบปราสาทเอาไว้อีกด้วย
                ตรงหน้าของแอ็กเนสคือปราสาทหลังงามสีขาวสะอาดที่คุ้นตา  บันไดนับสิบที่ทอดตัวลงมาจากประตูทางเข้าของปราสาท  เมื่อเดินขึ้นบันไดจนไปถึงหน้าประตูก็เจอทหารองครักษ์ปราสาทที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสองคน  ทหารในนครนี้ใส่ชุดเหมือนกันหมด  คือที่หน้าอกมีเกราะป้องกันสีทอง  สวมถุงมือและรองเท้าบู๊ทสีขาว  ทหารทั้งคู่มีผมสีทอง และมีตาสีฟ้า
                “ท่านแอ็กเนส  ท่านนอร์แมนรอพบอยู่ในห้องอักษรครับ”  ชายคนที่ยืนเฝ้าประตูทางขวามือของเธอพูด  หลังจากโค้งทำความเคารพ  แล้วทั้งคู่ก็ผลักประตูเหล็กสีทองบานใหญ่ให้เปิดออก
                แอ็ด
                “ขอบคุณค่ะ  มาร์ติน  แล้วก็ชาฟท์”  แอ็กเนสยิ้มให้พวกเขาทั้งคู่ก่อนที่จะเดินผ่านเข้าไปภายในปราสาท
                ไฟทุกดวงภายในห้องโถงขนาดใหญ่สว่างขึ้นทันทีที่เธอเดินเข้าไป  เผยให้เห็นทุกสิ่งภายในนั้น    ทั่วทั้งปราสาททำมาจากหินอ่อนสีขาววาวใส  ภายในนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีพรมสีแดงปูเป็นทางยาวมาจากบันไดกลางห้อง  ที่หน้าต่างมีผ้าม่านสีขาวติดอยู่ทุกบาน  มีโคมไฟสีทองห้อยระย้าลงมาเป็นจุดๆ  บนผนังมีรูปภาพต่างๆเรียงรายกันอยู่
                  แอ็กเนสเดินขึ้นบันไดที่มีราวสีทอง  ปูพรมแดง  และเดินเลี้ยวไปทางห้องซ้ายมือ  เมื่อถึงหน้าห้อง  ฟลาเวียก็เปิดประตูสีทองบานไม่ใหญ่มากออกให้
                  “ไม่เข้าไปด้วยกันเหรอค่ะ”  แอ็กเนสหันมาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเดินเข้าไปด้วย
                  “ไม่ดีกว่าค่ะ  เดี๋ยวจะไปเตรียมน้ำอุ่นไว้ไห้อาบนะค่ะ”
                  “ค่ะ”  แอ็กเนสตอบและเดินเข้าไปภายใน
                  ภายในห้องอักษรเต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลากหลายชนิด  ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์  เวทมนตร์  ฯลฯ  ที่เธอหยิบมาอ่านตั้งแต่จำความได้  เพราะถูกท่านปู่บังคับให้อ่าน  เธอเดินเข้าไปจนสุดมุมห้องก็เห็นโต๊ะทำจากทองตัวใหญ่  ที่บนนั้นวางเต็มไปด้วยหนังสือปกสีเงิน  มีอักษรสีแดงปรากฎอยู่
                  และผู้ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ของโต๊ะตัวนั้น  เป็นชายชราอายุราวๆ 60 กว่าๆ  ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหย่น  ผมกับหนวดของเขากลายเป็นสีขาว  ชุดที่สวมใส่อยู่ก็เป็นสีขาว  และคลุมด้วยผ้าบางๆสีทอง  เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดวงตาสีฟ้าที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เสมอ  เขาค่อยๆลุกเดินมาช้าๆแล้วหยุดอยู๋ตรงหน้าของเธอ
                  “หายไปไหนมาแอ็กเนส”  น้ำเสียงที่อ่อนโยนกับรอยยิ้มน้อยๆที่ดูอบอุ่น  ทำให้แอ็กเนสยิ้มตอบอย่างดีใจเป็นที่สุด
                  “ไปเดินเล่นมาค่ะท่านตา”
                  “ไปนั่งก่อนเถอะ  ตามีเรื่องจะพูดกับหลานอีกมากมาย”
                  นอร์แมนพาแอ็กเนสมานั่งที่โซฟาที่ทำมาจากทอง  มีเบาะสีแดง  เธอมองดูท่านตาที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เธอจำความได้  เพราะท่านพ่อกับท่านแม่ของเธอตายไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก
                  “พรุ่งนี้  หลานก็จะมีอายุครบ 15 ปีแล้วสินะ”  นอร์แมนหันมาถามแอ็กเนส  เมื่อเขาเห็นว่าเธอกำลังจะตอบเขาจึงเริ่มพูดขึ้นต่อ  “หลานอยู่แต่ในนครนี้มาตลอด 15 ปีโดยไม่รู้จักใครเลย  นอกจากคนในนครเวคาย  ตาว่าถึงเวลาที่หลานจะต้องไปเผชิญโลกอันกว้างไกลแล้ว  เพื่อที่หลานจะได้มีความพยายาม  และความอดทนมากขึ้น  ที่สำคัญจะได้รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน”
                  “ท่านตาคงไม่ได้หมายถึงไห้หนูออกไปจากอาณาจักรมิราคึลหรอกนะค่ะ”  แอ็กเนสถามออกมาอย่างตกใจ
                  นอร์แมนลุกขึ้นจากโซฟา  และเดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆโซฟา  ทอดสายตาออกไปข้างนอกอย่างครุ่นคิด  พลางเอ่ยว่า
                  ใช่ ตาอยากให้หลานออกเดินทางจากอาณาจักรมิราคึล  และออกจากหุบเขาซีเมติก  เพื่อไปยังดาวโซดูต้าอันกว้างใหญ่  หรือโลกภายนอกที่หลานยังไม่เคยรู้จัก\"
                  “แต่หุบเขาซีเมติกก็อยู่ในดาวโซดูต้านะค่ะ” พูดจบ  เธอก็ลุกขึ้นเดินตรงไปหยุดข้างหลังปู่ของเธอ
                                 
                  “ตารู้แต่ตาอยากให้อยากให้หลานออกเดินทางไปศึกษาอะไรอีกมากมาย  ที่หลานยังไม่เคยได้เรียนรู้  อะไรอีกหลายอย่างที่ภายในนครเวคายไม่มีให้หลานเรียนรู้”  นอร์แมนค่อยๆพูดอย่างช้าๆ
                  “อะไรล่ะค่ะที่หนูยังไม่เคยเรียนรู้  หนูเรียนทุกอย่างที่ท่านตาอยากให้หนูเรียน  ทั้งการปกครอง  การแพทย์  การต่อสู้ด้วยอาวุธ  และการใช้เวทมนตร์  หนูเรียนทุกอย่างจนหนูชำนาญหมดแล้ว  ท่านอาจารย์ก็บอกท่านตาไม่ใช่หรือค่ะว่าหนูสอบผ่านทุกอย่างได้เป็นอย่างดี  แล้วจะยังงานบ้านงานเรือนที่ท่านตาให้คุณฟลาเวียคอยสอนหนูอีก  ท่านตาบอกหนูได้มั้ยค่ะว่ายังมีอะไรอีกที่หนูยังไม่รู้”  แอ็กเนสเถียงขาดใจว่ายังไงก็จะไม่ยอมไป
                  “ตารู้ว่าหลานของตาเก่งทุกอย่าง  เก่งในทุกๆด้าน  แต่หลานยังขาดอะไรไปอีกอย่างหนึ่ง  รู้มั้ยว่ามันคืออะไร”  นอร์แมนหันมาถามเธอช้าๆอย่างให้เธอได้คิด
                  “ไม่รู้ค่ะ”  เธอตอบออกมาอย่างแผ่วเบา  หลังจากคิดอยู่สักพักก็ยังไม่ได้คำตอบ 
                  “ประสบการณ์ยังไงล่ะที่หลานยังไม่มี”  สิ่งที่นอร์แมนพูดออกมาทำให้แอ็กเนสอึ้ง  “แอ็กเนสเป็นหลานคนเดียวของตา  เมื่อสิ้นตาหลานก็จะต้องเป็นผู้นำคนต่อไป  ถ้าหลานไม่มีประสบการณ์  ไม่เคยได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างแล้วใครเขาจะเชื่อเวลาที่หลานพูด  และยังพันธมิตรทั้ง 3 คงไม่พอใจเป็นแน่  ถ้าตาจะให้หลานซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์อะไรเลยนอกจากเรียนจากในตำราขึ้นเป็นผู้นำ  เพราะอย่างนี้ถึงหลานจะเก่งสักแค่ไหนแต่เมื่อเจอเหตุการณ์จริงๆหลานอาจจะตัดสินใจทำอะไรไม่ถูก”  พูดจบ  นอร์แมนก็หันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง  แต่คราวนี้สีหน้าของเขากลับเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด  อย่างที่เธอเองต้องตกใจเพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเห็นท่านตามีสีหน้าอย่างนี้มาก่อน
                  “ที่สำคัญ  ตามีเรื่องที่จะให้หลานไปทำ”  นอร์แมนหันมาพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมกว่าเดิม
                                                        ....................................................
                  แอ็กเนสกำลังนอนแช่น้ำในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ทำมาจากคริสตันสีฟ้าใส  ในน้ำเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดง  ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งห้องน้ำ  พลางคิดย้อนกลับไปตอนที่กำลังพูดอยู่กับท่านตา
                  “พรุ่งนี้หลานก็จะมีอายุ 15 ปีเต็ม  คนที่รู้จักหลานต้องอยากเจอหลานเป็นแน่  ถ้าเกิดหลานออกเดินทางพรุ่งนี้  พวกเขาจะต้องสงสัยเพราะฉะนั้นหลานต้องออกเดินทางตั่งแต่ย่ำรุ่งในวันต่อไป”  นอร์แมนพูดหลังจากเกลี้ยกล่อมให้เธอออกเดินทางได้สำเร็จ
                  “จะไม่ให้ใครรู้เลยเหรอค่ะ”
                  “ใช่  เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องที่ตาจะให้หลานไปทำ  พรุ่งนี้หลานจงเตรียมตัวเก็บของที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อออกเดินทาง  เดี๋วยฟลาเวียจะช่วยหลานเก็บของ  แล้วพอย่ำรุ่งตาจะเตรียมม้าและคนที่จะไปส่งหลาน”
                                                        ..
                  เสียงถอนหายใจ  ดังเฮือกๆ  หลายครั้งหลายครา  ทำให้ฟลาเวียที่กำลังยืนหวีผมให้กับแอ็กเนสต้องมองหน้าเธอผ่านทางกระจกใสตรงโต๊ะเครื่องแป้ง
                  “เป็นอะไรไปค่ะ”  ฟลาเวียถามอย่างเป็นห่วง
                  “คุณฟลาเวีย”  ว่าแล้วเธอก็หันไปกอดฟลาเวียทั้งที่ยังนั่งอยู่
                  “กังวลเหรอค่ะ”  ฟลาเวียค่อยๆเอามือของเธอลูบผมคนที่กอดเธออยู่อย่างรักใคร่
                  “ค่ะ”  พลางเงยหน้ามองฟลาเวีย  “หนูไม่อยากออกจากนครเวคายเลยค่ะ  แล้วหนูต้องออกเดินทางไปไกล  ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้  ท่านตาก็ไม่ยอมบอก  หนู..รู้สึก..กลัว  ยังไงไม่รู้ค่ะ”
                  “ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะคนดี”  ฟลาเวียจูงมือแอ็กเนสมานั่งที่เตียงใหญ่สีขาว  พร้อมกับนั่งลงข้างๆเธอ  “ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสมอนะค่ะ  ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  แม้แต่ที่นี้เองก็มีการเปลี่ยนแปลง  ท่านแอ็กเนสของฟลาเวียเก่งจะตายต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆค่ะ\"
                  แอ็กเนสค่อยๆล้มตัวลงนอนหนุนตักของฟลาเวีย  ก่อนจะเอ่ยว่า
                  “ตั่งแต่หนูเกิดมา  หนูไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อกับท่านแม่มาก่อนเลย  มีแต่ท่านตากับคุณฟลาเวียที่เลี้ยงหนูมาตั่แต่หนูจำความได้  หนูรักท่านตาเปรียบเสมือนกับท่านพ่อ  รักคุณฟลาเวียเปรียบเสมือนกับท่านแม่ของหนูเอง  แล้วหนูต้องออกเดินทางจากไปไกลไม่รู้ว่าเมื่อไหนจะได้กลับ  หนูรู้สึกอ้างว้าง  เคว้งๆ  เหมือนกับต้องอยู่คนเดียวในโลกใบนี้เลยค่ะ”  พูดจบ  น้ำใสๆก็ไหลออกมาจากตากลมโต
                  “ไม่มีอะไรหรอกค่ะคนดี  ฟลาเวียเองก็รักท่านแอ็กเนสเหมือนลูกเช่นกันค่ะ”  กล่าวจบ  ฟลาเวียก็เอามือเช็ดน้ำตาของแอ็กเนสเบาๆ  ก่อนจะร้องเพลงกล่อมให้แอ็กเนสนอน มือลูบไปตามเรือนผมสลวย  ก่อนที่ตาของแอ็กเนสจะปิดลงเรื่อยๆ
                                                        .........................................................
                  เช้าวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส  เมื่อแอ็กเนสออกมายืนตรงหน้าต่างเพื่อดูสวนดอกไม้ที่ให้ความสดชื่น  เธอสูดหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด  พลางคิดไปเรื่อยๆว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ  ทุกปีเธอจะฉลองกับท่านตาและปีนี้ก็เช่นกัน   
                  “ตื่นแล้วหรือค่ะ”  ฟลาเวียถามขณะเดินมาเก็บที่นอน
                  “อากาศสดชื่นจังค่ะ  คุณฟลาเวีย”  แอ็กเนสพูดเสียงใส  หลางสูดหายใจเข้าปอดอีกครั้ง  ก่อนที่จะเดินมากอดฟลาเวียจากทางด้านหลัง
                  ฟลาเวียวางผ้าห่มที่กำลังพับลงบนที่นอนละหันมากอดตอบ
                  “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ค่ะ”  แล้วเธอก็หยิบกล่องกำมะยี่สีแดงกล่องเล็กๆออกมาจากเสื้อคลุมมายื่นให้
                  “ขอบคุณค่ะ”  แอ็กเนสขอบคุณเสียงใสอย่างดีใจ  แล้วก็หอมแก้มฟลาเวียอีกที
                  “รีบไปอาบน้ำเถอะ  วันนี้คงมีคนอยากเจอท่านแอ็กเนสอีกหลายคน”
                  “ขอแกะของขวัญของคุณฟลาเวียก่อนนะค่ะ”  พูดจบ  เธอก็นั่งลงบนเตียงเพื่อแกะของขวัญ
                  แอ็กเนสค่อยๆเปิดกล่องกำมะยี่สีแดง  ภายในนั้น  มีลูกแก้วสีขางอมชมพูใส  ขนาดไม่ใหญ่มาก  รอบๆตัวลูกแก้วมีขอบสีทองต่อกันเป็นสายสร้อย  ภายในลุกแก้วเหมือนกำลังมีน้ำไหลวนเวียนไปเรื่อยๆ
                  “ลูกแก้วเวทมนตร์”  แอ็กเนสอุทานเบาๆแล้วเงยหน้ามองฟลาเวีย
                  “ใช่ค่ะ  ลูกแก้วเวทมนตร์มีคุณสมบัติพิเศษคือ  สามารถปกป้องผู้ที่ครอบครองมันอยู่จากอาวุธทั้งหลายไม่ให้มาโดนตัวเราได้  ยังรักษาบาดแผลที่เกิดอาวุธได้ด้วย  ที่สำคัญยังป้องกันเวทย์ได้ถึงแม้จะเป็นเวทย์ที่ไม่สูงมากก็ตาม  แต่ฟลาเวียหวังว่ามันจะคุ้มครองปกป้องท่านแอ็กเนสจากให้ปลอดภัยตลอดการเดินทางค่ะ”
                  “ขอบคุณค่ะ  คุณฟลาเวีย”  แล้วแอ็กเนสก็หันไปกอดฟลาเวียแน่นๆและฟลาเวียก็กอดตอบเธอเช่นกัน
                  “ไปอาบน้ำดีกว่าค่ะ”  ฟลาเวียบอกขณะที่กอดเธออยู่
                  “ค่ะ”  แอ็กเนสรับคำเบาๆ  ก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำโดยมีฟลาเวียเดินตามไป
                                                        ........................................................
                  เมื่อแอ็กเนสออกมาเดินภายในนครเวคาย  ชาวเมืองก็ต่างเดินเข้ามาอวยพรวันเกิดให้เธอ  และบางคนก็นำของขวัญมาให้  ทั้งผ้านานาชนิดไว้ตัดเสื้อ  ผลไม้ต่างๆ  และสมุนไพรที่หาได้ยาก  ส่วนเด็กๆหลายคนที่เธอคุ้นเคยต่างนำเอาลูกอมหลากสีและขนมหวานมาให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด  ซึ่งเธอก็รับมาด้วยความยินดี
                  เพื่อนๆที่เรียนโรงเรียนทาร์เลนแฮมมาด้วยกัน  (ถึงแม้ว่าเธอจะจบมาก่อนด้วยวัย 14 ปีครึ่ง  แต่คนอื่นต้องใช้เวลาถึง 18 ปี ถึงจะจบ)  ก็ยังยินดีและมอบของขวัญต่างๆให้กับเธอ
                  เมื่อแอ็กเนสกลับมาถึงปราสาทในตอนเย็น  ท่านตาก็นั่งคอยเธออยู่บนโต๊ะอาหารสีทองอันใหญ่  ซึ่งมีอาหารที่เธอชอบอยู่หลายอย่าง  ไว้ฉลองกัน 2 คน ระหว่างปู่กับหลาน
                  สุขสันต์วันเกิดหลาน9k”  นอร์แมนลุกขึ้นยืนอยู่ตรงโต๊ะที่เขานั่ง  “มาฉลองกันสักหน่อย  ตาเตรียมอาหารที่หลานชอบไว้ให้”
                  “ขอบคุณค่ะ”  แอ็กเนสพูดพลางนั่งลง
                  “วันนี้พันธมิตรทั้ง 3 ส่งของขวัญมาให้หลาน  นครเปราดิกับนครเซเรมุส  ส่งแพรไหมชั้นดีมาให้  และนครคาอาตุส  ส่งอัญมณีเม็ดงามมาให้หลาน  หลานควรจะเขียนจดหมายไปขอบคุณเขาสักหน่อยนะที่เขามีน้ำใจส่งของขวัญมาให้หลาน”
                  “ค่ะ”  เธอตอบเบาๆ
                  แล้วแอ็กเนสกับนอร์แมนก็นั่งทานอนหารกัน 2 คน อย่างมีความสุข  เหมือนกับทุกๆปีที่ผ่านมาจะต่างกันก็คงวันพรุ่งนี้เธอจะต้องออกเดินทางไกล  หลังจากทานอาหารเสร็จก็ตบท้ายด้วยเค้กก้อนโตที่ฟลาเวียเป็นคนลงมือทำ(เหมือนทุกปี) 
                  “นี่สำหรับหลาน”  นอร์แมนยื่นของขวัญมาตรงหน้าของเธอ
                  แอ็กเนสจ้องดูและรับมันมาถือไว้  มันเป็นกล่องสีทองยาวประมาณแขนของเธอ  หนาไม่มากที่สำคัญมันไม่หนักเลย  เธอค่อยๆปิดมันออก  มันคือ  ดาบ สีเงินเล่มไม่ใหญ่มาก  บางเฉียบ และคม ที่ปลายดาบประดับด้วยโอปอลเม็ดโตดูสวยงาม และเธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันเพราะท่านตาเคยเอาออกมาให้ดูและเล่าประวัติของมันให้ฟัง
                  “อาลาเซนด์”  เสียงพูดเบาๆของเธอ
                  “ใช่  อาลาเซนด์  ตามอบมันให้หลาน”  เธอเงยหน้ามองท่านตาทันที  “ตาหวังว่าหลานจะชอบนะ”
                  “ค่ะ”  แอ็กเนสตอบอย่างถูกใจ  และมองท่านตาของเธออย่างขอบคุณที่ทำให้ฝันของเธอเป็นจริง
                  “ไปพักเถอะ  แล้วเตรียมตัวเดินทางสำหรับพรุ่งนี้ซะ”  นอร์แมนบอกเธอเบาๆ
                                                        ..........................................................
                  เมื่อเธอจัดการธุระต่างๆเสร็จ  ก็มานั่งจัดเตรียมของบนเตียง  โดยมีฟลาเวียคอยช่วยเหลือ
                  แอ็กเนสเตรียมของไปไม่มาก  เธอเอาชุดไป 2 ชุด  สมุนไพรที่จำเป็น  หนังสือเกี่ยวกับการแพทย์  นอกจากนั้นก็เตรียมสิ่งที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินได้คือ  ทองแท่ง  และยังเตรียมอาวุธต่างๆ  ฯลฯ
                  หลังจากจัดเตรียมของเสร็จ  เธอก็ร่ำลาฟลาเวียอีกครั้ง  ซึ่งคราวนี้แทนที่เธอจะร้องไห้  กลับกลายป็นฟลาเวียที่ร้องไห้แทน  กว่าที่ฟลาเวียจะออกจากห้องได้  ก็เล่นเอาแอ็กเนสปลอบใจอยู่นานเหมือนกัน  ก่อนที่เธอจะล้มตัวลงนอนบนเตียง  อย่างจิตใจไม่เป็นสุข  รู้สึกกังวลกับวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง
                                                        .........................................................
                  แอ็กเนสยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก  วันนี้เธอสวมเสื้อคอกลมแขนยาวสีขาวที่สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มเรียบร้อย  และชายกางเกงก็ถูกทับด้วยรองเท้าบู๊ทหนังสีดำที่นุ่นและสบายเวลาเดิน  ก่อนที่จะสวมเสื้อตัวนอกซึ่งเป็นเสื้อคอป้ายตัวยาวถึงสะโพก  ตามด้วยเข็มขัดหนังที่ติดซองเสียบมีดสั้นไว้ 10 เล่ม  ส่วนผมสีบรอนซ์ทองนั้นถูกรวบเอาไว้เป็นหางม้า  และตามด้วยดาบสีเงินที่ท่านปู่ได้ให้เมื่อคืนนี้
                  “อาฟินโด้”  เมื่อร่ายเวทย์จบ  ดาบที่เคยอยู่ในมือก็ค่อยๆเล็กลงและเลื้อยขึ้นไปลัดที่ข้อมือเอาไว้อย่างแนบแน่น
                  หลังจากนั้นเธอก็หยิบชุดคลุมสีดำขึ้นมาสวม  และถือกระเป๋าผ้าสีดำใบเล็กๆออกจากห้องไป
                                                        .........................................................
                  เมื่อลงมาถึงหน้าปราสาทก็เห็นท่านตา  คุณฟลาเวีย  มาร์ติน  และชาฟท์ยืนอยู่  พร้อมกับม้าขาวอีก 3 ตัว
                  แอ็กเนสมองไปรอบๆตัว  ขณะนี้ยังมืดอยู่ไม่มีแสงสว่างเลยแต่ก็พอที่จะมองเห็นบ้าง
                  “จากนครเวคาย  กว่าจะถึงทางออกหุบเขาซีเมติกก็ต้องใช้เวลา  10 วัน  ตาเลยใช่เวทย์ในการร่นระยะทางบวกกับม้าเร็วที่เร็วกว่าม้าอื่นๆ 5 เท่า  มันจะทำให้หลานออกจากหุบเขาก่อน 6 โมงเย็นอย่างแน่นอน  และปู่จะให้มาร์ตินกับชาฟท์ไปส่งหลานที่ทางออกของหุบเขา”  นอร์แมนพูดจบ  ก็ยืนมองหลานสาวอยู่พักใหญ่  ก่อนที่จะดึงเธอมากอดพร้อมพูดว่า  “ตาไม่มีอะไรจะให้  นอกจากคำอวยพร  ขอให้หลานโชคดีและอย่าลืมหน้าที่ของหลานล่ะ”  แล้วเขาก็ก้มลงมาจุบที่หน้าผากของเด็กสาวก่อนจะปล่อยเธอและมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้  พร้อมสั่งว่า  “จงเปิดดูเมื่อออกไปจากหุบเขาแล้ว”
                  แอ็กเนสเดินมาก่อนคุณฟลาเลีย  ก่อนจะเดินไปขึ้นม้าที่ขณะนี้ทั้งมาร์ตินและชาฟท์คอยอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว  เธอหันไปมองทางท่านปู่กับฟลาเวียอีกครั้ง  ก่อนจะกระตุกม้าให้ออกไป
                  “ย่ะ...!”
                  แอ็กเนสควบม้าอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ยอมหันกลับไปมองอีกเลยเพราะกลัวว่าจะเปลี่ยนใจ  ตามทางชาวนครยังไม่มีใครตื่นเลย
                  “ก็นี่เพิ่งจะตี 4”  แอ็กเนสนึกในใจอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากการเดินทางในครั้งนี้  จนกระทั้งถึงประตูเหล็กดัดบานใหญ่สีทองที่เปิดออกให้พวกเขาทั้ง 3 ได้ออกไป  ก่อนจะปิดลง  ทำให้เธอต้องหันไปดูอีกครั้งอย่างอาวรณ์
                  “เราจะขี่ม้าเรียบหุบเขาไปเรื่อยๆ  และอ้อมหลังนครอาคาตุส  เพื่อไม่ให้ใครเห็นพวกเรานะครับท่านแอ็กเนส
                                                        .
                  “เราเห็นทางออกของหุบเขาแล้วครับ”  ชาฟท์หันหน้ามาบอกเอจากทางด้านหน้า
                  คำบอกนั้นทำให้แอ็กเนสรีบมองตรงไปข้างหน้าทันที  ซึ่งมีม่านน้ำใสๆกั้นอยู่  ทั้ง 3 คนจึงรีบควบม้ากระโดดข้ามม่านที่กั้นนั้นออกไปทันที
                  “หยุด!”  เสียงสั่งม้าของทั้ง 3 คนดังขึ้นมาพร้อมกัน
                  แอ็กเนสหันกลับไปมองตรงทางออก  ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขนาด 3 คนโอบอยู่สองต้น  และตรงกลางมีม่านน้ำใสๆอยู่  ถ้าไม่สังเกตให้ดีดีก็จะไม่เห็น  ทัศนียภาพระหว่างป่าที่พึ่งผ่านมากับป่าที่ยืนอยู่ตอนนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เมื่อกี้เป็นป่าทึบแต่ตอนนี้เป็นป่าโปร่ง
                  “มาร์ตินกับชาฟท์ส่งหนูแค่นี้ก็พอค่ะ  เดี๋วหนูไปต่อเอง”
                  “แต่...”  ทั้งมาร์ตินและชาฟท์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
                  “ไม่มีแต่ค่ะ  ท่านตาสั่งให้มาส่งแค่ทางออกของหุบเขาไม่ใช่เหรอค่ะ”  แอ็กเนสพูดเสียงเข้ม
                  “ครับ”  ทั้งคู่พูดพร้อมกันอย่างจนใจ
                  “งั้นก็กลับไปได้แล้วล่ะค่ะ”  เธอพูดโดยไม่หันไปมองคนทั้งสอง
                  “ครับ”  เสียงตอบกลับมาเป็นเสียงที่หนักแน่นแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
                  สิ้นเสียงของทั้งคู่  พวกเขาก็ควบม้าหันกลับไปที่ม่านน้าใสๆนั้นทันที
                  เมื่อพวกเขาไปกันแล้ว  แอ็กเนสก็หยิบจดหมายของท่านตาออกมาจากเสื้อคลุมและเปิดอ่าน
                     
                  แอ็กเนสหลานรัก...
                  เมื่อหลานออกจากหุบเขาแล้ว  จงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของป่ามิลก้าไปยังเมืองซับเบม่า  ไปพักแรมที่ “ที่พักค้างแรม”  ที่นั้นจะมีคนรอหลานอยู่  เขาชื่อว่า  โรเบิร์ตและเอ็มม่า  เขาจะเป็นคนคอยดูแลหลานถ้าหลานสงสัยอะไรก็ให้ถามเขา  ที่สำคัญจงอย่าใช่ชื่อจริงและอย่าลืมทำหน้าที่ของหลาน
                  เมื่อหลานอ่านจดหมายนี้จบ  ทำลายมันซะ
                                                                                                                    จาก ตา
                  ทันทีที่อ่านจบ  จดหมายก็ไหม้และสลายหายไปกับตา  ทำให้เธอต้องรีบควบม้าไปทางทิศเหนือก่อนจะค่ำ
                  “โรเบิร์ตและเอ็มม่า”  แอ็กเนสพึมพำออกมาเบาๆ 
                     
                                     
             
                ประตูเหล็กดัดลวยลายวิจิตรตระการตาบานใหญ่สีทองที่เขียนว่านครเวคาย  ค่อยๆเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ  เผยให้เห็นทางที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาดตาเป็นทางยาวจนสุดลูกหูลูกตา  ข้างๆทางของทั้งสองฝั่งมีรูปปั้นเทพแห่งสรวงสวรรค์ที่กำลังอยู่ในอริยาบทต่างๆ  อย่างสวยงามและอ่อนช้อย  ที่ทำมาจากแก้วบางใส  แต่มีรายละเอียดทุกอย่างอยู่ครบ  ตั้งแต่โครงใบหน้า ขนตา ตา จมูก ปาก คิ้ว เรือนผม นิ้วมือ นิ้วเท้า และรูปร่างที่ดูแล้วนุ่มนวลตา  มันเป็นประติมากรรมที่งดงามยิ่งนัก  ถัดจากรูปปั้นเทพแห่งสรวงสวรรค์ก็เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่  ที่มีดอกไม้นานาชนิด  ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบที่มีหลากสีสัน  ดอกทิวลิป  ดอกคาร์เนชั่น  ฯลฯ  รวมทั้งฝูงผีเสื้อหลากหลายสีสัน  ที่บินอยู่ในสวนดอกไม้แห่งนี้
                เสียงหัวเราะใสๆ  จากเด็กๆ  ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณสวนดอกไม้  ทำให้ผู้ที่ผ่านไปมาเห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
                เมื่อเดินผ่านกลุ่มเด็กๆที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ไปได้ไม่ไกลนัก  ก็จะเจอบึงน้ำขนาดใหญ่  น้ำในนั้นใสสะอาดจนน่าจะลงไปว่ายเล่น  ตรงกลางบึงมีศาลาสีขาวทรงกลม  หลังคาเป็นโดมสีทอง  ขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่  และมีสะพานเล็กๆสีขาวทอดตัวไปจรดกับพื้นดินฝั่งตรงข้าม  มองเลยไปหน่อย  จะมีต้นไม้ขนาดใหญ่  ที่ทำเป็นชิงช้าอยู่  และที่นั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า
                เธอผู้นั้นมีผมสีบรอนซ์ทองปล่อยยาวสยายไปกลางหลัง  ที่มองดูแล้วนุ่นสลวยน่าจับ  ใบหน้าเรียวรูปไข่ที่ดูจิ้มลิ้ม  คิ้วเรียวยาวที่รับเหมาะกับดวงตากลมใสที่มีสีฟ้าใต้แผงขนตาดกงอน  จมูกโด่งรั้นรับกับแก้มนวลสีชมพูเรื่อตามธรรมชาติ  ริมฝีปากรูปคันศรอิ่มเต็มสีชมพูเรื่อที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา  และยังเรือนร่างโปร่งบาง  ผิวเนียนละเอียดขาวอมชมพูไปทั้งตัว  ลำคอระหงนวลเนียน  ไล่ลงมาถึงทรวงอกอวบอิ่มของวัยสาว  เอวคอดเล็ก  ตลอดจนสะโพกที่ซ่อนอยู่ในกระโปรงบานปิดลงมาถึงข้อเท้าสีชมพู  ซ่อนอยู่ในชุดคลุมสีขาวที่เป็นผ้าบางๆคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง  ดูราวกับเทพธิดาลงมาจากสรวงสวรรค์
                “ท่านแอ็กเนส”  เธอตะโกนเรียก  พลางเดินเข้าไปใกล้หญิงสาว
                แอ็กเนสหันไปมองผู้ที่เรียกเธอ  หญิงคนนั้นมีผมสีบรอนซ์ทองเช่นเดียวกับเธอ  ตาสีฟ้า  อายุราวๆ 40ปี  ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนสุภาพ  ผิวพรรณนวลเนียน  เธอใส่ชุดสีฟ้า  และคลุมด้วยผ้าบางๆสีขาวทับอีกชั้น  ก่อนจะพูดว่า
                “อ้าว คุณฟลาเวีย  มีอะไรเหรอค่ะ”  แอ็กเนสถาม  พลางหยุดแกว่งชิงช้า
                “ท่านนอร์แมน  เรียกให้ไปพบค่ะ”  ฟลาเวียตอบและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ
                เธอมองดูสาวน้อยตรงหน้าด้วยความรักทั้งหมดที่มี  สมกับที่เธอดูแลมาเกือบจะ 15 ปี
                “ทราบมั้ยค่ะว่าท่านตาเรียกหนูไปพบมีเรื่องอะไร”
                “ไปฟังท่านนอร์แมนพูดเองเถอะจ๊ะ”  ฟลาเวียพูดตัดบท  และเดินนำออกไปก่อน  ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบออกเดินตาม
                ทั้งแอ็กเนสและฟลาเวียต่างพากันเดินอย่างสบายใจที่ได้เห็นทัศนียภาพต่างๆที่ได้เห็น  จนทั้งสองคนเดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำไปยังอีกฟาก  น้ำในแม่น้ำมีสีฟ้าใสสะอาดที่ส่องเป็นประกาย  จนเห็นก้อนหินที่อยู่ในน้ำ  และฝูงปลาหลากหลายชนิดที่กำลังเวียนว่ายไปมาในแม่น้ำนั้น  และยังมีดอกบัวหลากหลายสีสันลอยชูชันอยู่มากมาย  ที่สำคัญแม่น้ำแห่งนี้ได้ล้อมรอบปราสาทเอาไว้อีกด้วย
                ตรงหน้าของแอ็กเนสคือปราสาทหลังงามสีขาวสะอาดที่คุ้นตา  บันไดนับสิบที่ทอดตัวลงมาจากประตูทางเข้าของปราสาท  เมื่อเดินขึ้นบันไดจนไปถึงหน้าประตูก็เจอทหารองครักษ์ปราสาทที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสองคน  ทหารในนครนี้ใส่ชุดเหมือนกันหมด  คือที่หน้าอกมีเกราะป้องกันสีทอง  สวมถุงมือและรองเท้าบู๊ทสีขาว  ทหารทั้งคู่มีผมสีทอง และมีตาสีฟ้า
                “ท่านแอ็กเนส  ท่านนอร์แมนรอพบอยู่ในห้องอักษรครับ”  ชายคนที่ยืนเฝ้าประตูทางขวามือของเธอพูด  หลังจากโค้งทำความเคารพ  แล้วทั้งคู่ก็ผลักประตูเหล็กสีทองบานใหญ่ให้เปิดออก
                แอ็ด
                “ขอบคุณค่ะ  มาร์ติน  แล้วก็ชาฟท์”  แอ็กเนสยิ้มให้พวกเขาทั้งคู่ก่อนที่จะเดินผ่านเข้าไปภายในปราสาท
                ไฟทุกดวงภายในห้องโถงขนาดใหญ่สว่างขึ้นทันทีที่เธอเดินเข้าไป  เผยให้เห็นทุกสิ่งภายในนั้น    ทั่วทั้งปราสาททำมาจากหินอ่อนสีขาววาวใส  ภายในนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีพรมสีแดงปูเป็นทางยาวมาจากบันไดกลางห้อง  ที่หน้าต่างมีผ้าม่านสีขาวติดอยู่ทุกบาน  มีโคมไฟสีทองห้อยระย้าลงมาเป็นจุดๆ  บนผนังมีรูปภาพต่างๆเรียงรายกันอยู่
                  แอ็กเนสเดินขึ้นบันไดที่มีราวสีทอง  ปูพรมแดง  และเดินเลี้ยวไปทางห้องซ้ายมือ  เมื่อถึงหน้าห้อง  ฟลาเวียก็เปิดประตูสีทองบานไม่ใหญ่มากออกให้
                  “ไม่เข้าไปด้วยกันเหรอค่ะ”  แอ็กเนสหันมาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเดินเข้าไปด้วย
                  “ไม่ดีกว่าค่ะ  เดี๋ยวจะไปเตรียมน้ำอุ่นไว้ไห้อาบนะค่ะ”
                  “ค่ะ”  แอ็กเนสตอบและเดินเข้าไปภายใน
                  ภายในห้องอักษรเต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลากหลายชนิด  ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์  เวทมนตร์  ฯลฯ  ที่เธอหยิบมาอ่านตั้งแต่จำความได้  เพราะถูกท่านปู่บังคับให้อ่าน  เธอเดินเข้าไปจนสุดมุมห้องก็เห็นโต๊ะทำจากทองตัวใหญ่  ที่บนนั้นวางเต็มไปด้วยหนังสือปกสีเงิน  มีอักษรสีแดงปรากฎอยู่
                  และผู้ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ของโต๊ะตัวนั้น  เป็นชายชราอายุราวๆ 60 กว่าๆ  ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหย่น  ผมกับหนวดของเขากลายเป็นสีขาว  ชุดที่สวมใส่อยู่ก็เป็นสีขาว  และคลุมด้วยผ้าบางๆสีทอง  เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดวงตาสีฟ้าที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เสมอ  เขาค่อยๆลุกเดินมาช้าๆแล้วหยุดอยู๋ตรงหน้าของเธอ
                  “หายไปไหนมาแอ็กเนส”  น้ำเสียงที่อ่อนโยนกับรอยยิ้มน้อยๆที่ดูอบอุ่น  ทำให้แอ็กเนสยิ้มตอบอย่างดีใจเป็นที่สุด
                  “ไปเดินเล่นมาค่ะท่านตา”
                  “ไปนั่งก่อนเถอะ  ตามีเรื่องจะพูดกับหลานอีกมากมาย”
                  นอร์แมนพาแอ็กเนสมานั่งที่โซฟาที่ทำมาจากทอง  มีเบาะสีแดง  เธอมองดูท่านตาที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เธอจำความได้  เพราะท่านพ่อกับท่านแม่ของเธอตายไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก
                  “พรุ่งนี้  หลานก็จะมีอายุครบ 15 ปีแล้วสินะ”  นอร์แมนหันมาถามแอ็กเนส  เมื่อเขาเห็นว่าเธอกำลังจะตอบเขาจึงเริ่มพูดขึ้นต่อ  “หลานอยู่แต่ในนครนี้มาตลอด 15 ปีโดยไม่รู้จักใครเลย  นอกจากคนในนครเวคาย  ตาว่าถึงเวลาที่หลานจะต้องไปเผชิญโลกอันกว้างไกลแล้ว  เพื่อที่หลานจะได้มีความพยายาม  และความอดทนมากขึ้น  ที่สำคัญจะได้รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน”
                  “ท่านตาคงไม่ได้หมายถึงไห้หนูออกไปจากอาณาจักรมิราคึลหรอกนะค่ะ”  แอ็กเนสถามออกมาอย่างตกใจ
                  นอร์แมนลุกขึ้นจากโซฟา  และเดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆโซฟา  ทอดสายตาออกไปข้างนอกอย่างครุ่นคิด  พลางเอ่ยว่า
                  ใช่ ตาอยากให้หลานออกเดินทางจากอาณาจักรมิราคึล  และออกจากหุบเขาซีเมติก  เพื่อไปยังดาวโซดูต้าอันกว้างใหญ่  หรือโลกภายนอกที่หลานยังไม่เคยรู้จัก\"
                  “แต่หุบเขาซีเมติกก็อยู่ในดาวโซดูต้านะค่ะ” พูดจบ  เธอก็ลุกขึ้นเดินตรงไปหยุดข้างหลังปู่ของเธอ
                                 
                  “ตารู้แต่ตาอยากให้อยากให้หลานออกเดินทางไปศึกษาอะไรอีกมากมาย  ที่หลานยังไม่เคยได้เรียนรู้  อะไรอีกหลายอย่างที่ภายในนครเวคายไม่มีให้หลานเรียนรู้”  นอร์แมนค่อยๆพูดอย่างช้าๆ
                  “อะไรล่ะค่ะที่หนูยังไม่เคยเรียนรู้  หนูเรียนทุกอย่างที่ท่านตาอยากให้หนูเรียน  ทั้งการปกครอง  การแพทย์  การต่อสู้ด้วยอาวุธ  และการใช้เวทมนตร์  หนูเรียนทุกอย่างจนหนูชำนาญหมดแล้ว  ท่านอาจารย์ก็บอกท่านตาไม่ใช่หรือค่ะว่าหนูสอบผ่านทุกอย่างได้เป็นอย่างดี  แล้วจะยังงานบ้านงานเรือนที่ท่านตาให้คุณฟลาเวียคอยสอนหนูอีก  ท่านตาบอกหนูได้มั้ยค่ะว่ายังมีอะไรอีกที่หนูยังไม่รู้”  แอ็กเนสเถียงขาดใจว่ายังไงก็จะไม่ยอมไป
                  “ตารู้ว่าหลานของตาเก่งทุกอย่าง  เก่งในทุกๆด้าน  แต่หลานยังขาดอะไรไปอีกอย่างหนึ่ง  รู้มั้ยว่ามันคืออะไร”  นอร์แมนหันมาถามเธอช้าๆอย่างให้เธอได้คิด
                  “ไม่รู้ค่ะ”  เธอตอบออกมาอย่างแผ่วเบา  หลังจากคิดอยู่สักพักก็ยังไม่ได้คำตอบ 
                  “ประสบการณ์ยังไงล่ะที่หลานยังไม่มี”  สิ่งที่นอร์แมนพูดออกมาทำให้แอ็กเนสอึ้ง  “แอ็กเนสเป็นหลานคนเดียวของตา  เมื่อสิ้นตาหลานก็จะต้องเป็นผู้นำคนต่อไป  ถ้าหลานไม่มีประสบการณ์  ไม่เคยได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างแล้วใครเขาจะเชื่อเวลาที่หลานพูด  และยังพันธมิตรทั้ง 3 คงไม่พอใจเป็นแน่  ถ้าตาจะให้หลานซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์อะไรเลยนอกจากเรียนจากในตำราขึ้นเป็นผู้นำ  เพราะอย่างนี้ถึงหลานจะเก่งสักแค่ไหนแต่เมื่อเจอเหตุการณ์จริงๆหลานอาจจะตัดสินใจทำอะไรไม่ถูก”  พูดจบ  นอร์แมนก็หันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง  แต่คราวนี้สีหน้าของเขากลับเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด  อย่างที่เธอเองต้องตกใจเพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเห็นท่านตามีสีหน้าอย่างนี้มาก่อน
                  “ที่สำคัญ  ตามีเรื่องที่จะให้หลานไปทำ”  นอร์แมนหันมาพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมกว่าเดิม
                                                        ....................................................
                  แอ็กเนสกำลังนอนแช่น้ำในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ทำมาจากคริสตันสีฟ้าใส  ในน้ำเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดง  ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งห้องน้ำ  พลางคิดย้อนกลับไปตอนที่กำลังพูดอยู่กับท่านตา
                  “พรุ่งนี้หลานก็จะมีอายุ 15 ปีเต็ม  คนที่รู้จักหลานต้องอยากเจอหลานเป็นแน่  ถ้าเกิดหลานออกเดินทางพรุ่งนี้  พวกเขาจะต้องสงสัยเพราะฉะนั้นหลานต้องออกเดินทางตั่งแต่ย่ำรุ่งในวันต่อไป”  นอร์แมนพูดหลังจากเกลี้ยกล่อมให้เธอออกเดินทางได้สำเร็จ
                  “จะไม่ให้ใครรู้เลยเหรอค่ะ”
                  “ใช่  เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องที่ตาจะให้หลานไปทำ  พรุ่งนี้หลานจงเตรียมตัวเก็บของที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อออกเดินทาง  เดี๋วยฟลาเวียจะช่วยหลานเก็บของ  แล้วพอย่ำรุ่งตาจะเตรียมม้าและคนที่จะไปส่งหลาน”
                                                        ..
                  เสียงถอนหายใจ  ดังเฮือกๆ  หลายครั้งหลายครา  ทำให้ฟลาเวียที่กำลังยืนหวีผมให้กับแอ็กเนสต้องมองหน้าเธอผ่านทางกระจกใสตรงโต๊ะเครื่องแป้ง
                  “เป็นอะไรไปค่ะ”  ฟลาเวียถามอย่างเป็นห่วง
                  “คุณฟลาเวีย”  ว่าแล้วเธอก็หันไปกอดฟลาเวียทั้งที่ยังนั่งอยู่
                  “กังวลเหรอค่ะ”  ฟลาเวียค่อยๆเอามือของเธอลูบผมคนที่กอดเธออยู่อย่างรักใคร่
                  “ค่ะ”  พลางเงยหน้ามองฟลาเวีย  “หนูไม่อยากออกจากนครเวคายเลยค่ะ  แล้วหนูต้องออกเดินทางไปไกล  ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้  ท่านตาก็ไม่ยอมบอก  หนู..รู้สึก..กลัว  ยังไงไม่รู้ค่ะ”
                  “ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะคนดี”  ฟลาเวียจูงมือแอ็กเนสมานั่งที่เตียงใหญ่สีขาว  พร้อมกับนั่งลงข้างๆเธอ  “ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสมอนะค่ะ  ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  แม้แต่ที่นี้เองก็มีการเปลี่ยนแปลง  ท่านแอ็กเนสของฟลาเวียเก่งจะตายต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆค่ะ\"
                  แอ็กเนสค่อยๆล้มตัวลงนอนหนุนตักของฟลาเวีย  ก่อนจะเอ่ยว่า
                  “ตั่งแต่หนูเกิดมา  หนูไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อกับท่านแม่มาก่อนเลย  มีแต่ท่านตากับคุณฟลาเวียที่เลี้ยงหนูมาตั่แต่หนูจำความได้  หนูรักท่านตาเปรียบเสมือนกับท่านพ่อ  รักคุณฟลาเวียเปรียบเสมือนกับท่านแม่ของหนูเอง  แล้วหนูต้องออกเดินทางจากไปไกลไม่รู้ว่าเมื่อไหนจะได้กลับ  หนูรู้สึกอ้างว้าง  เคว้งๆ  เหมือนกับต้องอยู่คนเดียวในโลกใบนี้เลยค่ะ”  พูดจบ  น้ำใสๆก็ไหลออกมาจากตากลมโต
                  “ไม่มีอะไรหรอกค่ะคนดี  ฟลาเวียเองก็รักท่านแอ็กเนสเหมือนลูกเช่นกันค่ะ”  กล่าวจบ  ฟลาเวียก็เอามือเช็ดน้ำตาของแอ็กเนสเบาๆ  ก่อนจะร้องเพลงกล่อมให้แอ็กเนสนอน มือลูบไปตามเรือนผมสลวย  ก่อนที่ตาของแอ็กเนสจะปิดลงเรื่อยๆ
                                                        .........................................................
                  เช้าวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส  เมื่อแอ็กเนสออกมายืนตรงหน้าต่างเพื่อดูสวนดอกไม้ที่ให้ความสดชื่น  เธอสูดหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด  พลางคิดไปเรื่อยๆว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ  ทุกปีเธอจะฉลองกับท่านตาและปีนี้ก็เช่นกัน   
                  “ตื่นแล้วหรือค่ะ”  ฟลาเวียถามขณะเดินมาเก็บที่นอน
                  “อากาศสดชื่นจังค่ะ  คุณฟลาเวีย”  แอ็กเนสพูดเสียงใส  หลางสูดหายใจเข้าปอดอีกครั้ง  ก่อนที่จะเดินมากอดฟลาเวียจากทางด้านหลัง
                  ฟลาเวียวางผ้าห่มที่กำลังพับลงบนที่นอนละหันมากอดตอบ
                  “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ค่ะ”  แล้วเธอก็หยิบกล่องกำมะยี่สีแดงกล่องเล็กๆออกมาจากเสื้อคลุมมายื่นให้
                  “ขอบคุณค่ะ”  แอ็กเนสขอบคุณเสียงใสอย่างดีใจ  แล้วก็หอมแก้มฟลาเวียอีกที
                  “รีบไปอาบน้ำเถอะ  วันนี้คงมีคนอยากเจอท่านแอ็กเนสอีกหลายคน”
                  “ขอแกะของขวัญของคุณฟลาเวียก่อนนะค่ะ”  พูดจบ  เธอก็นั่งลงบนเตียงเพื่อแกะของขวัญ
                  แอ็กเนสค่อยๆเปิดกล่องกำมะยี่สีแดง  ภายในนั้น  มีลูกแก้วสีขางอมชมพูใส  ขนาดไม่ใหญ่มาก  รอบๆตัวลูกแก้วมีขอบสีทองต่อกันเป็นสายสร้อย  ภายในลุกแก้วเหมือนกำลังมีน้ำไหลวนเวียนไปเรื่อยๆ
                  “ลูกแก้วเวทมนตร์”  แอ็กเนสอุทานเบาๆแล้วเงยหน้ามองฟลาเวีย
                  “ใช่ค่ะ  ลูกแก้วเวทมนตร์มีคุณสมบัติพิเศษคือ  สามารถปกป้องผู้ที่ครอบครองมันอยู่จากอาวุธทั้งหลายไม่ให้มาโดนตัวเราได้  ยังรักษาบาดแผลที่เกิดอาวุธได้ด้วย  ที่สำคัญยังป้องกันเวทย์ได้ถึงแม้จะเป็นเวทย์ที่ไม่สูงมากก็ตาม  แต่ฟลาเวียหวังว่ามันจะคุ้มครองปกป้องท่านแอ็กเนสจากให้ปลอดภัยตลอดการเดินทางค่ะ”
                  “ขอบคุณค่ะ  คุณฟลาเวีย”  แล้วแอ็กเนสก็หันไปกอดฟลาเวียแน่นๆและฟลาเวียก็กอดตอบเธอเช่นกัน
                  “ไปอาบน้ำดีกว่าค่ะ”  ฟลาเวียบอกขณะที่กอดเธออยู่
                  “ค่ะ”  แอ็กเนสรับคำเบาๆ  ก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำโดยมีฟลาเวียเดินตามไป
                                                        ........................................................
                  เมื่อแอ็กเนสออกมาเดินภายในนครเวคาย  ชาวเมืองก็ต่างเดินเข้ามาอวยพรวันเกิดให้เธอ  และบางคนก็นำของขวัญมาให้  ทั้งผ้านานาชนิดไว้ตัดเสื้อ  ผลไม้ต่างๆ  และสมุนไพรที่หาได้ยาก  ส่วนเด็กๆหลายคนที่เธอคุ้นเคยต่างนำเอาลูกอมหลากสีและขนมหวานมาให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด  ซึ่งเธอก็รับมาด้วยความยินดี
                  เพื่อนๆที่เรียนโรงเรียนทาร์เลนแฮมมาด้วยกัน  (ถึงแม้ว่าเธอจะจบมาก่อนด้วยวัย 14 ปีครึ่ง  แต่คนอื่นต้องใช้เวลาถึง 18 ปี ถึงจะจบ)  ก็ยังยินดีและมอบของขวัญต่างๆให้กับเธอ
                  เมื่อแอ็กเนสกลับมาถึงปราสาทในตอนเย็น  ท่านตาก็นั่งคอยเธออยู่บนโต๊ะอาหารสีทองอันใหญ่  ซึ่งมีอาหารที่เธอชอบอยู่หลายอย่าง  ไว้ฉลองกัน 2 คน ระหว่างปู่กับหลาน
                  สุขสันต์วันเกิดหลาน9k”  นอร์แมนลุกขึ้นยืนอยู่ตรงโต๊ะที่เขานั่ง  “มาฉลองกันสักหน่อย  ตาเตรียมอาหารที่หลานชอบไว้ให้”
                  “ขอบคุณค่ะ”  แอ็กเนสพูดพลางนั่งลง
                  “วันนี้พันธมิตรทั้ง 3 ส่งของขวัญมาให้หลาน  นครเปราดิกับนครเซเรมุส  ส่งแพรไหมชั้นดีมาให้  และนครคาอาตุส  ส่งอัญมณีเม็ดงามมาให้หลาน  หลานควรจะเขียนจดหมายไปขอบคุณเขาสักหน่อยนะที่เขามีน้ำใจส่งของขวัญมาให้หลาน”
                  “ค่ะ”  เธอตอบเบาๆ
                  แล้วแอ็กเนสกับนอร์แมนก็นั่งทานอนหารกัน 2 คน อย่างมีความสุข  เหมือนกับทุกๆปีที่ผ่านมาจะต่างกันก็คงวันพรุ่งนี้เธอจะต้องออกเดินทางไกล  หลังจากทานอาหารเสร็จก็ตบท้ายด้วยเค้กก้อนโตที่ฟลาเวียเป็นคนลงมือทำ(เหมือนทุกปี) 
                  “นี่สำหรับหลาน”  นอร์แมนยื่นของขวัญมาตรงหน้าของเธอ
                  แอ็กเนสจ้องดูและรับมันมาถือไว้  มันเป็นกล่องสีทองยาวประมาณแขนของเธอ  หนาไม่มากที่สำคัญมันไม่หนักเลย  เธอค่อยๆปิดมันออก  มันคือ  ดาบ สีเงินเล่มไม่ใหญ่มาก  บางเฉียบ และคม ที่ปลายดาบประดับด้วยโอปอลเม็ดโตดูสวยงาม และเธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันเพราะท่านตาเคยเอาออกมาให้ดูและเล่าประวัติของมันให้ฟัง
                  “อาลาเซนด์”  เสียงพูดเบาๆของเธอ
                  “ใช่  อาลาเซนด์  ตามอบมันให้หลาน”  เธอเงยหน้ามองท่านตาทันที  “ตาหวังว่าหลานจะชอบนะ”
                  “ค่ะ”  แอ็กเนสตอบอย่างถูกใจ  และมองท่านตาของเธออย่างขอบคุณที่ทำให้ฝันของเธอเป็นจริง
                  “ไปพักเถอะ  แล้วเตรียมตัวเดินทางสำหรับพรุ่งนี้ซะ”  นอร์แมนบอกเธอเบาๆ
                                                        ..........................................................
                  เมื่อเธอจัดการธุระต่างๆเสร็จ  ก็มานั่งจัดเตรียมของบนเตียง  โดยมีฟลาเวียคอยช่วยเหลือ
                  แอ็กเนสเตรียมของไปไม่มาก  เธอเอาชุดไป 2 ชุด  สมุนไพรที่จำเป็น  หนังสือเกี่ยวกับการแพทย์  นอกจากนั้นก็เตรียมสิ่งที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินได้คือ  ทองแท่ง  และยังเตรียมอาวุธต่างๆ  ฯลฯ
                  หลังจากจัดเตรียมของเสร็จ  เธอก็ร่ำลาฟลาเวียอีกครั้ง  ซึ่งคราวนี้แทนที่เธอจะร้องไห้  กลับกลายป็นฟลาเวียที่ร้องไห้แทน  กว่าที่ฟลาเวียจะออกจากห้องได้  ก็เล่นเอาแอ็กเนสปลอบใจอยู่นานเหมือนกัน  ก่อนที่เธอจะล้มตัวลงนอนบนเตียง  อย่างจิตใจไม่เป็นสุข  รู้สึกกังวลกับวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง
                                                        .........................................................
                  แอ็กเนสยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก  วันนี้เธอสวมเสื้อคอกลมแขนยาวสีขาวที่สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มเรียบร้อย  และชายกางเกงก็ถูกทับด้วยรองเท้าบู๊ทหนังสีดำที่นุ่นและสบายเวลาเดิน  ก่อนที่จะสวมเสื้อตัวนอกซึ่งเป็นเสื้อคอป้ายตัวยาวถึงสะโพก  ตามด้วยเข็มขัดหนังที่ติดซองเสียบมีดสั้นไว้ 10 เล่ม  ส่วนผมสีบรอนซ์ทองนั้นถูกรวบเอาไว้เป็นหางม้า  และตามด้วยดาบสีเงินที่ท่านปู่ได้ให้เมื่อคืนนี้
                  “อาฟินโด้”  เมื่อร่ายเวทย์จบ  ดาบที่เคยอยู่ในมือก็ค่อยๆเล็กลงและเลื้อยขึ้นไปลัดที่ข้อมือเอาไว้อย่างแนบแน่น
                  หลังจากนั้นเธอก็หยิบชุดคลุมสีดำขึ้นมาสวม  และถือกระเป๋าผ้าสีดำใบเล็กๆออกจากห้องไป
                                                        .........................................................
                  เมื่อลงมาถึงหน้าปราสาทก็เห็นท่านตา  คุณฟลาเวีย  มาร์ติน  และชาฟท์ยืนอยู่  พร้อมกับม้าขาวอีก 3 ตัว
                  แอ็กเนสมองไปรอบๆตัว  ขณะนี้ยังมืดอยู่ไม่มีแสงสว่างเลยแต่ก็พอที่จะมองเห็นบ้าง
                  “จากนครเวคาย  กว่าจะถึงทางออกหุบเขาซีเมติกก็ต้องใช้เวลา  10 วัน  ตาเลยใช่เวทย์ในการร่นระยะทางบวกกับม้าเร็วที่เร็วกว่าม้าอื่นๆ 5 เท่า  มันจะทำให้หลานออกจากหุบเขาก่อน 6 โมงเย็นอย่างแน่นอน  และปู่จะให้มาร์ตินกับชาฟท์ไปส่งหลานที่ทางออกของหุบเขา”  นอร์แมนพูดจบ  ก็ยืนมองหลานสาวอยู่พักใหญ่  ก่อนที่จะดึงเธอมากอดพร้อมพูดว่า  “ตาไม่มีอะไรจะให้  นอกจากคำอวยพร  ขอให้หลานโชคดีและอย่าลืมหน้าที่ของหลานล่ะ”  แล้วเขาก็ก้มลงมาจุบที่หน้าผากของเด็กสาวก่อนจะปล่อยเธอและมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้  พร้อมสั่งว่า  “จงเปิดดูเมื่อออกไปจากหุบเขาแล้ว”
                  แอ็กเนสเดินมาก่อนคุณฟลาเลีย  ก่อนจะเดินไปขึ้นม้าที่ขณะนี้ทั้งมาร์ตินและชาฟท์คอยอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว  เธอหันไปมองทางท่านปู่กับฟลาเวียอีกครั้ง  ก่อนจะกระตุกม้าให้ออกไป
                  “ย่ะ...!”
                  แอ็กเนสควบม้าอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ยอมหันกลับไปมองอีกเลยเพราะกลัวว่าจะเปลี่ยนใจ  ตามทางชาวนครยังไม่มีใครตื่นเลย
                  “ก็นี่เพิ่งจะตี 4”  แอ็กเนสนึกในใจอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากการเดินทางในครั้งนี้  จนกระทั้งถึงประตูเหล็กดัดบานใหญ่สีทองที่เปิดออกให้พวกเขาทั้ง 3 ได้ออกไป  ก่อนจะปิดลง  ทำให้เธอต้องหันไปดูอีกครั้งอย่างอาวรณ์
                  “เราจะขี่ม้าเรียบหุบเขาไปเรื่อยๆ  และอ้อมหลังนครอาคาตุส  เพื่อไม่ให้ใครเห็นพวกเรานะครับท่านแอ็กเนส
                                                        .
                  “เราเห็นทางออกของหุบเขาแล้วครับ”  ชาฟท์หันหน้ามาบอกเอจากทางด้านหน้า
                  คำบอกนั้นทำให้แอ็กเนสรีบมองตรงไปข้างหน้าทันที  ซึ่งมีม่านน้ำใสๆกั้นอยู่  ทั้ง 3 คนจึงรีบควบม้ากระโดดข้ามม่านที่กั้นนั้นออกไปทันที
                  “หยุด!”  เสียงสั่งม้าของทั้ง 3 คนดังขึ้นมาพร้อมกัน
                  แอ็กเนสหันกลับไปมองตรงทางออก  ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขนาด 3 คนโอบอยู่สองต้น  และตรงกลางมีม่านน้ำใสๆอยู่  ถ้าไม่สังเกตให้ดีดีก็จะไม่เห็น  ทัศนียภาพระหว่างป่าที่พึ่งผ่านมากับป่าที่ยืนอยู่ตอนนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เมื่อกี้เป็นป่าทึบแต่ตอนนี้เป็นป่าโปร่ง
                  “มาร์ตินกับชาฟท์ส่งหนูแค่นี้ก็พอค่ะ  เดี๋วหนูไปต่อเอง”
                  “แต่...”  ทั้งมาร์ตินและชาฟท์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
                  “ไม่มีแต่ค่ะ  ท่านตาสั่งให้มาส่งแค่ทางออกของหุบเขาไม่ใช่เหรอค่ะ”  แอ็กเนสพูดเสียงเข้ม
                  “ครับ”  ทั้งคู่พูดพร้อมกันอย่างจนใจ
                  “งั้นก็กลับไปได้แล้วล่ะค่ะ”  เธอพูดโดยไม่หันไปมองคนทั้งสอง
                  “ครับ”  เสียงตอบกลับมาเป็นเสียงที่หนักแน่นแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
                  สิ้นเสียงของทั้งคู่  พวกเขาก็ควบม้าหันกลับไปที่ม่านน้าใสๆนั้นทันที
                  เมื่อพวกเขาไปกันแล้ว  แอ็กเนสก็หยิบจดหมายของท่านตาออกมาจากเสื้อคลุมและเปิดอ่าน
                     
                  แอ็กเนสหลานรัก...
                  เมื่อหลานออกจากหุบเขาแล้ว  จงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของป่ามิลก้าไปยังเมืองซับเบม่า  ไปพักแรมที่ “ที่พักค้างแรม”  ที่นั้นจะมีคนรอหลานอยู่  เขาชื่อว่า  โรเบิร์ตและเอ็มม่า  เขาจะเป็นคนคอยดูแลหลานถ้าหลานสงสัยอะไรก็ให้ถามเขา  ที่สำคัญจงอย่าใช่ชื่อจริงและอย่าลืมทำหน้าที่ของหลาน
                  เมื่อหลานอ่านจดหมายนี้จบ  ทำลายมันซะ
                                                                                                                    จาก ตา
                  ทันทีที่อ่านจบ  จดหมายก็ไหม้และสลายหายไปกับตา  ทำให้เธอต้องรีบควบม้าไปทางทิศเหนือก่อนจะค่ำ
                  “โรเบิร์ตและเอ็มม่า”  แอ็กเนสพึมพำออกมาเบาๆ 
                     
                                     
             
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น