คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chummy : Boissons - Part 3
Boissons - Part 3
Author: pearlinc
Rate: PG (?)
-3-
‘บี1 เรียก บี2
นายว่าพวกเราทำเกินไปหรือเปล่า’
‘ทำไงได้ล่ะบี1
ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแผลขนาดนี้’
‘นั่นสิ
เราควรเข้าไปสารภาพกับเป้าหมายดีไหม บี2’
‘ไม่ได้เด็ดขาด!!
นี่เรากำลังช่วยเป้าหมายอยู่นะ’
‘เมเด เมเด
สัญญาณติดขัดเหมือนเป้าหมายกำลังจับเรด้ามาที่พิกัดเรา จบการสนทนา’
บทสนทนาได้จบลงไปอีกครั้งสาเหตุจากที่วอนอูเห็นเพื่อนสองคนของเขาว่างงานจากเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าไปเสร็จ
ก็มานั่งจับเข่าจ้องหน้ากันไปมาเหมือนสื่อสารผ่านเส้นผมหรือยังไง
ตั้งแต่เช้าเป็นที่จองฮันและซึงกวานที่มาถึงร้านพร้อมกันหลังจากลงจากรถเก๋งก็เหลือบไปเห็นกันอย่างแรกเลยคือ
ตามลำตัวขาวของเพื่อนเขา มีแผ่นสำลีสีขาวแปะอยู่สองจุดบริเวณเข่าและข้างลำแขน
ถามเพื่อนให้แน่ชัดว่าไปโดนอะไรมา สาเหตุค่อนข้างชัดเจนประกอบกับหลักฐานที่ตั้งอยู่หน้าร้าน
สองคนหันมามองหน้ากันคาดโทษคนตรงหน้าไปมาว่า ความผิดของนายที่คิดแผนนั่น
นายต่างหากล่ะ
เมื่อวานตอนเย็น
พวกเขาก็แค่คิดแผนการบางอย่างให้วอนอูเลิกขี่จักรยานมาร้านสักที
พยายามดันเพื่อนให้กลับกับมินกยูได้แล้วน้องมารอทุกวัน
โดยการเจาะยางหลังไม่ให้เจ้าของเห็น แผนการพวกเขาวางไว้ว่าแค่เจาะให้รั่ว
เดี๋ยวตอนกลับบ้าน พวกเราก็รีบชิ่งกลับกันก่อนก็พอ ถึงคราวที่เพื่อนตัวขาวเขากลับบ้างก็คงเห็นเองว่าล้อนั้นใช้การไม่ได้
พวกเขาไม่ได้มีแผนสำรองในเรื่องนี้
ใครจะคิดว่าเพื่อนเขาจะปั่นโดยไม่ดูอะไรเลยแบบนี้
แต่พวกเขาไม่ผิดนะ แค่อยากช่วยจริงๆนะ
เอาเข้าจริงๆ วันนี้เพื่อนตัวขาวของเขาไม่บ่นเรื่องที่จักยานของตัวเองเสียสักแอะ
กลับกัน นั่งมองแผ่นสีขาวที่ข้างแขนตัวเองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
ลูกค้าเข้าร้านมาก็ต้อนรับยิ้มแย้มพิเศษ นัยตาคู่นั้นเหมือนมีอะไรบางอย่าง
หวานหยดเยิ้มล่ะมั้ง คิก!
จะเรียกว่าแผนของพวกเขาสำเร็จได้รึเปล่านะ
จีฮุนอีกคนที่เดินผ่านไปมาตรงบริเวณบาร์เครื่องดื่มของวอนอู
ก็รู้สึกแปลก ทำไมขนลุกซู่ถามเพื่อนในร้านว่า เปิดแอร์กี่องศา ทำไมวูบวาบแปลกๆ รังสีแผ่อบอวลไปทั่ว
เมื่อเช้าก็เหมือนกัน ตอนเขามาถึงที่ร้านเห็นรถสีดำของมินกยูจอดอยู่และวอนอูที่ลงจากรถแล้วหันไปพูดอะไรสักอย่างกับคนบนรถเสร็จก็วิ่งแจ้นรีบเข้าไปไขประตูร้าน
เขาแอบเห็นนะว่าเพื่อเขาหน้าแดง
.
,
.
หลังจากทำงานหนักกันมาทั้งวันเพราะวันนี้ลูกค้าค่อนข้างเยอะมาจนถึงแสงตะวันได้ลับขอบฟ้าไป ถูกทดด้วยความมืดมนแต่งแต้มด้วยสีม่วงเข้มสลัว
ก้อนเมฆเคลื่อนตัวเป็นกลุ่มไปพร้อมๆกับคนสี่คนที่กำลังดูแลร้านของพวกเขาก่อนกลับบ้าน
ระหว่างทำงานบรรยากาศก็ไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
กลับประดับไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
ระหว่างนั้นวอนอูก็เพิ่งคิดบางอย่างได้เลยตัดสินใจถามเพื่อนอีกสามคนกับเรื่องอีกในไม่กี่วันนี้
“อีกสองวันหน้า ใครพอจะว่างไหม?”
“ทำไมอะ”
“แม่กับน้องต้องไปค่ายสัมพันธ์ผู้ปกครองอะไรก็ไม่รู้ แม่บอกให้ใครก็ได้มานอนด้วยคนนึง จริงๆนอนคนเดียวได้ แต่คุณนายจอนเขาไม่ยอมเนี่ย ตอนแรกจะให้ไปนอนกับคุณน้าคิมข้างบ้านแต่เขาก็ต้องไปที่อื่นเหมือนกัน
เลยคิดว่าที่ร้านเนี่ยแหล่ะน่าจะโอเค จะได้ไม่ต้องไปกลับที่บ้านบ่อยๆ”
ซึงกวานที่ฟังแบบนั้นพลางคิดไปเรียงลำดับเหตุการณ์
ถ้าคุณแม่เพื่อนไม่อยู่แสดงว่าก็ต้องอยู่คนเดียว
คุณน้าคิมหรือแม่ของมินกยูก็ไม่อยู่ แสดงว่าก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนกัน เขาว่าเหมือนเขาจะคิดอะไรได้อยู่นะ
“ฉันว่าฉันอยู่ได้นะ” เป็นจองฮันที่เสนอตัวมานอนเป็นเพื่อนตัวขาวเอง
แต่ดันรับรู้ถึงสายที่มองมาของซึงกวาน
อีกฝ่ายบอกนัยๆว่าเข้าสนทนาสายตาเดี๋ยวนี้เพื่อน!!
‘บี1 นายลืมจุดประสงค์เป้าหมายของเราหรอ
นายจะอยู่ไม่ได้นะ’
‘ทำไมล่ะบี2 แล้วเป้าหมายเราจะนอนกับใครล่ะ’
‘ถ้าพวกเราไม่อยู่
เป้าหมายอีกคนก็ต้องไม่ปล่อยไว้นิ่งดูดายแน่ เชื่อข้าสิ’
‘แบบนี้นี่เอง เหลือร้ายจริง บี2’
“เอ่ออ วอนอูอา
ฉันลืมไปเลยว่ามีธุระที่ต้องทำกับซึงกวานคืนนั้นอะ เราต้องเอารถไปล้างดูสิ
จอดอยู่หน้าร้านเคลอะเลย ขอโทษ ไม่โกรธเนอะ” ว่าเสร็จก็เกาะแขนเพื่อนทำท่าอิดออดขอโทษที่อยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ
ฝ่ายวอนอูเองก็เข้าใจไม่ซักถามเพื่อนมาก จะโกรธทำไมเขาเป็นขอความช่วยเหลือนะ
แต่ก็งงๆล้างรถตอนกลางคืนก็ได้หรือ
เห็นแบบนั้นเพื่อนผมยาวพูดเสร็จก็หันไปขยิบตาให้ตัวต้นแผนได้สบายใจ
“แต่เรานอนได้นะ”
เราลืมพาจีฮุนเข้าแก๊งสนทนา ลากเข้าเดี๋ยวนี้เลย
เพื่อนตัวเล็กที่อาสาเป็นเพื่อนทำหน้าสงสัย
หลังจากที่เห็นเพื่อนสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังวอนอู
โบกไม่โบกมือส่งสายตาขมวดคิ้วไปมา ห้ามเขา ทำไมเขาพูดอะไรผิดหรือเปล่า บอกนัยๆผ่านสายตาให้จีฮุนต้องอ่าน
พอจะรู้สาเหตุบ้างแล้ว มีแผนการกันละสิไม่ว่า
‘จีฮุน จีฮุน นายจะนอนกับวอนอูไม่ได้นะ’
‘ใช่ๆ ห้ามนอน เรากำลังมีแผนการ
มาขัดเราแบบนี้ไม่ได้นะ’
‘พวกตัวแสบ’
“เอ้อวอนอู เหมือนพี่จิฮอนจะขอให้ไปช่วยงาน เอ่ออ
บางอย่าง สงสัยว่าวันนั้นจะไม่ได้แล้ว” หลังจากถูกพวกจอมเผด็จการสั่งห้ามเด็ดขาด
เขาก็ไม่ขัดแล้วกัน
“ไม่เป็นไรๆ ที่จริงไม่ได้จะให้มานอนเป็นเพื่อนหรอก แค่ขอให้ไปเป็นหน้าม้าหลอกๆ
เขาจะได้ไม่ห่วงฉันก็พอ”
“ได้!!”
อะไรจะพร้อมใจกันตอบขนาดนั้นกันเพื่อน
แล้วเขาต้องนอนคนเดียวใช่ไหมเนี่ย….
.
.
.
“พวกเรากลับแล้วนะ วอนอูอา”
ซึงกวานตะโกนบอกเพื่อนตัวขาวว่ากำลังจะกลับบ้านกับจองฮันแล้วนะ
นั่งรอคนมารับระวังตัวด้วย
ส่วนจีฮุนเพื่อนตัวเล็กรายนั้นกลับไปพร้อมกับคุณพี่ชายก่อนเพื่อนเลย
ส่วนอีกคนที่เป็นคนสุดท้ายอยู่บ่อยๆก็นั่งรออยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าร้านที่เดิมตามที่บอกคนบางคนไป
ระหว่างนั้นรู้สึกว่างเพราะคนบางคนยังไม่มารับเขาสักที
ทีแรกก็ว่าจะโทรไปถามแต่ก็ลืมไปเสียสนิทว่าไม่เคยขอเบอร์กันไว้แม้แต่ครั้งเดียว
นั่งคิดเพลินๆไปสักพักเหลือบไปเห็นเจ้าพาหนะตัวปัญหาที่ทำเขาเป็นแผลไว้สองจุด
ขาเรียวตัดสินใจก้าวฉับไปที่จุดเกิดเหตุเมื่อวานคืนนั้น จักรยานคันเดิมที่ยังคงรอเจ้าของให้พาไปซ่อมเสียทีเถอะ ถ้ามันมีชีวิตคงลุกขึ้นมาต่อว่าเขาว่าปล่อยไว้แบบนี้ได้ยังไง
เดี๋ยวพรุ่งนี้ เขาเอาไปซ่อมดีกว่า
นั่งก้มดูไปมาทั่วๆก็ได้ยินเสียงรถเก๋งคันคุ้นหูจอดเทียบอยู่ไม่ไกล
ขาวเรียวที่กำลังวิ่งไปที่รถก็หยุดไว้ก่อนเพราะเห็นว่าคนในรถดับเครื่องยนต์แล้วก้าวออกมาจากรถ
ขาวยาวของใครบางคนก้าวเดินมาทางนี้ขาว
ไม่ว่าเปล่ามือหนาจับจูงข้อมือเล็กพาเดินไปนั่งม้าหินหน้าร้านที่เขานั่งเมื่อไม่นาน
ปากเรียวบางกำลังจะเอ่ยถามออกไป ก็เข้าใจทันทีที่แขนแกร่งกดเขาให้นั่งลงกับถุงสีขาวในมือ
แล้วเอ่ยบอกให้หายสงสัย
“ทำแผลก่อน”
“ไม่ต้องก็ได้
เดี๋ยวนี่ทำเองตอนหลังอาบน้ำ”
“ทำครั้งนี้ก่อน
แล้วค่อยทำอีกรอบ แต่ต้องทำครั้งนี้ด้วย”
อะไรของเขา
ตาเรียวใสไล่มองตามส่วนสูงที่ลดลงตามการย่อตัวของคนตรงหน้า
ขายาวนั่งลงกับพื้นในท่าขัดสมาธิขนานกับตัวเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวเตี้ย
นิ้วยาวไล้ไปตามขอบแผลเขาเบาๆสังเกตได้ว่าอีกแค่วันเดียวน่าจะตกสะเก็ดแล้วไม่น่าห่วง
จัดการหยิบอุปการณ์ขึ้นมาทำแผลให้เขาอย่างเคยตามขั้นตอน ขณะที่ลอบมองคนข้างล่างเงียบๆ เปาก็เอ่ยถามออกมาเบาๆกับเรื่องที่สงสัย
“ทำไมวันนี้ มาช้าหรอ”
“…..” มินกยูเงยหน้ามองขึ้นสบตาเขา
เงียบยังไม่ได้เอ่ยตอบอะไร เลยคิดว่าไม่ควรถามใช่หรือเปล่า เพราะใบหน้านั่นก้มลงไปทำแผลให้เขาต่อโดยไม่พูดอะไร เหมือนตอนนั้นเลยตัดสินใจเอ่ยพูดประโยคใหม่ที่เปลี่ยนไป สงสัยเขาจะเริ่มก้าวก่ายอีกแล้ว
“อะ…เอ่อ
แค่อยากรู้เฉยๆ แต่ไม่เป็นไร” เอ่ยเสียงตะกุกตะกักรีบบอกไป
นั่งเงียบให้อีกฝ่ายทำแผลให้เรื่อยๆ ในใจรู้สึกหดหู่ลงอย่างไม่รู้สาเหตุ
คิดคนเดียวมาตลอดว่าเราพอจะมีโอกาส ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นไม่ใช่หรือ แต่ก็เหมือนเดิม ความจริงแล้ว เขาควรจะทำตัวให้ชินสิ นั่งคิดในใจอย่างเงียบๆจนกระทั่งเสร็จสิ้นของการทำแผล
มินกยูเก็บอุปกรณ์ไว้ในถุงอย่างเดิมวางถึงไว้กับพื้นที่นั่งอยู่
เงยหน้าคมคายขึ้นมองสบตาเขาด้วยสายตาที่มีบางอย่าง
“ขอโทษ ที่ให้รอ”
“…”
“ขอโทษ….เมื่อก่อนด้วย”
เมื่อเห็นอีกคนไม่พูดอะไรและไม่ปฏิเสธออกมาว่าเคยโกรธเขาดูจากการตอบสนองของคำขอโทษ
คนตัวสูงเขยิบกายเข้าแทรกกลางของหว่างขาเรียวที่พอดีกับเอวสอบ ลำแขนยาวโอบล้อมรอบเอวบางไว้หลวมในทีแรก ค่อยๆเริ่มแน่นขึ้นให้สองกายเริ่มแนบชิดขึ้นเรื่อยๆ
หัวทุยสีเทาเข้มกดลงตรงช่วงกลางลำตัวหน้าท้องบางผ่านเสื้อยืด นิ่งเงียบแต่แฝงไปด้วยความโหยหาบางสิ่งบางอย่าง
ลำแขนแกร่งคลายอ้อมกอดออก
เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขาวฝาดเลือดอย่างมีความหมายและยากที่จะอ่านให้อีกฝ่ายได้แต่ตั้งคำถามมากมายเต็มไปหมด
มือหนายกขึ้นเกลี่ยแก้มใสเบามือไปมา พยายามใช้ดวงตาคมโน้มน้าวให้อีกฝ่ายที่เอาแต่หลบตาในคราแรกหันยอมสบกันดีๆ
สายตาสองคู่มองกันเหมือนต้องการจะสื่อสารทำความเข้าใจ
ปกอบกับแรงโน้มถ่วงของโลกที่มากขึ้น
มือหนากุมท้ายทอยขาวให้โน้มลงช้าเรื่อยมาจนสองลมหายใจหลอมรวมกันผ่านช่องผ่านลมที่เหลือไม่มาก ทันใดเสียงทุ้มเอ่ยบางสิ่งให้อีกคนเหมือนโลกหยุดหมุนกระทันหัน
“ควบคุมตัวเองไม่ไหวทุกทีที่อยู่ใกล้
รับผิดชอบกันด้วย จอน วอนอู….”
...............(50%)...............
เอ่ยประโยคที่ไม่คิดว่าตนจะพูดออกมาแต่รู้ด้วยการกระทำไม่ใช่การละเมออย่างแน่นอน
อาจเป็นเพราะเห็นแววตาใสนั่นมองมาอย่างหาคำตอบจากใจเขาอย่างปิดไม่มิด
“ไม่เห็นจะเข้าใจ”
เสียงของคนตัวขาวเอ่ยขึ้นขณะที่ใบหน้าของทั้งสองยังคงชิดกันเหมือนแย่งอากาศหายใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายปรากฏขึ้นอย่างง่ายดายเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้าที่ส่งมา
รู้สึกอยากแกล้ง….
“อยากรู้หรือ” เสียงทุ้มยังคงหยอกเย้าต่อ ปลายจมูกปัดป่ายไปมากับปลายจมูกรั้นของอีกคนปกอบกับนิ้มยาวที่เกลี่ยแก้มขาวอย่างต่อเนื่อง
อีกฝ่ายก็คงยังไม่เข้าใจกับรอยยิ้มตรงหน้ารวมถึงประโยคนั่นอีก พยักหน้าหงึกหงักออกไป
“ยอมไหม”
“ยะ…ยอมอะไร”
“….”
“อะไรเล่า ก็บอกมาสิ”
ใบหน้าขาวเริ่มกระเง้ากระงอดที่อีกคนเอาแต่ไม่ชัดเจน
พยายามยื้อหน้าหนีจากระยะห่างที่มีมากเรื่อยๆ ทำให้มือหนาที่จับอยู่เพียงข้างเดียวในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นใช้สองมือกุมแก้มแนบความอุ่นเยิ้มลงไปกว่าเดิม
ปกอบกับจับใบหน้าเขาลงมาอย่างเดิมให้หน้าผากได้สัมผัสกันแผ่วเบาแต่อนุภาพแผ่ซ่านไปทั่วกาย
“ยอมก่อน”
“….”
“ยอม”
“อะ ก็ได้”
สิ้นเสียงที่มินกยูอยากได้ยินจากอีกคนที่ยังไม่รู้เลยว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
ใบคมเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยปิดเส้นทางผ่านลมลงสนิท ริมฝีปากแนบความอุ่นกดลงแนบไปบนหน้าผากมนหนักแน่นมีความหมาย
เปลี่ยนทิศทางเป้าหมายไปที่พวงแก้มใสฝาดเลือดกดจูบลงไปบวกกับปลายจมูกสันสูดดมความหอม
ผละหน้าออกมามองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ตาใสเริ่มอ่อนลงกระพริบตาปริบอย่างตกใจแต่ทำอะไรไม่ถูก
“เมื่อก่อน ไม่รู้
แต่ตอนนี้ หลงรักแล้ว เข้าใจหรือยัง”
“กะ…แกล้งกันหรือ ไม่ตลกนะ อื้อ”
มือหนาคว้าลำคอสวยให้ลงมาอีกระรอก
มินกยูเริ่มอยู่ไม่สุขไล้ริมฝีปากขึ้นลงไปมาบ้างตามพวงแก้ม
แปรเปลี่ยนมาเป็นกดจูบลงปลายคางมนย้ำๆ กลิ่นหอมอบอวลอุ่นแผ่ไปทั่ว
สัมผัสสุดท้ายประทับลงที่เปลือกตาที่ปิดสนิทให้ลืมตื่นขึ้นมาสบกัน
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อ”
“ไอ้เด็กบ้า ง่ายแบบนี้เลยหรือ” เอ่ยว่าขึ้นเสียงแผ่วบ่นงึมงำแต่กลับได้ยินชัดเจน
นัยน์ตาใสทั้งยังหลบตาอีกฝ่ายที่มองอยู่ไม่ห่าง คนนิสัยไม่ดี บางทีก็ไม่พูดอะไรเลย
แต่บางทีก็ชัดเจนเกินไป เขาปรับตัวไม่ทัน ระหว่างที่ขบคิดเงียบๆเห็นสายตาของคนบางคนมองมาไม่ปล่อย
ตัดสินใจผลักหน้าคมคายตรงหน้าให้ออกห่างพลางลุกขึ้นยืน บอกอีกคนแก้เก้อเขิน
“กะ...กลับบ้านดีกว่า”
คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เดินตามอีกคนที่นำหน้าเขาไปแล้ว
พลางคว้าจังหวะกุมเข้าที่มือนุ่มนิ่ม ออกแรงบีบเบาๆให้ความเชื่อมั่นเพราะเห็นคนบางคนรู้ตัวหันหน้าหนีแต่ไม่ปฏิเสธอะไร
เลยถือโอกาสจูงมือคนบางคนไปยังรถฝั่งข้างคนขับก่อนจึงกลับมานั่งฝั่งเขาบ้าง
ขึ้นรถกันเรียบร้อยแต่คนเจ้าของรถไม่ยอมสตาร์ทเครื่องสักที
คนตัวเล็กได้แต่อึดอัดในใจ ตอนนี้กระเพาะของเขามันโหวงไปหมด เมื่ออีกคนเอาแต่นั่งหันหน้าจ้องมาทางเขา
คนตัวเล็กกว่าเลยตัดสินใจหันไปมองหน้าอีกคนด้วยแววตาสงสัยว่ามีอะไร ทำไมไม่กลับ
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการส่ายหัวเล็กน้อยแล้วยิ้มขำออกมาหันกลับไปมองหน้าถนนสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วออกตัวขับ
รถแล่นตามทางคุ้นเคยมาเรื่อยๆจนถึงที่หมายหน้าบ้านเขา
ไม่รอให้อีกคนพูดอะไร ขาเรียวก้าวเดินไวเปิดประตูรถจน ตาคมมองตามใครบางตนจนวิ่งเข้าบ้านไปลับตาไป
ได้แต่นั่งยิ้มกับตัวเองว่าวันนี้เขาทำอะไรลงไป
รู้สึกตัวเองต้องการจะพูดอะไรทำอะไร ไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผลเลย
มันควบคุมไม่ได้ แต่เขารู้ตัวแล้วไม่คิดจะแก้ไขกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
มินกยูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย แบบที่อยู่ใกล้คนๆนี้แล้วหัวใจมันพองโต
กลิ่นหอมนั่นยังคงติดตราตามปลายจมูก แค่คิดก็ใจเต้นแล้ว
รอเก๋งสีดำขับเคลื่อนเลื่อนถัดมาอีกหลังหนึ่งที่เป็นบ้านของเขา
ดับเครื่องยนต์แล้วคว้ากุญแจรถก้าวออกมาเดินฉับเข้าบ้านเช่นเดียวกัน
เห็นคุณนายคิมกำลังคุยโทรศัพท์มือถือ ไม่นานก็วางสายไป
หันมามองหน้าลูกชายแล้วถามว่ากลับมาแล้วหรือ มินกยูพยักหน้าตอบรับ ให้คนเป็นแม่ได้พูดอะไรต่อ
“มินกยู
แม่มีเรื่องให้หนูช่วยหน่อย”
…………………………………………………………
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคนบางคนที่วันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติ
ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนเวลา มายืนรออยู่หน้าบ้านให้คนบ้านข้างๆที่ยังไม่ออกมา
ขับไปส่งดังเดิม รอได้ไม่นาน ก็เห็นคนคุ้นตาเดินออกมาจากหน้าบ้านที่เหลือบเห็นเขาแล้วยิ้มออกมาบางๆ
วอนอูตัดสินใจเดินไปที่หน้าบ้าของอีกคนเพราะเห็นห่างกันแค่นี้น่าจะง่ายกว่า เดินมาถึงรถรอให้อีกคนปลดล็อค
แต่ก็ลีลาไม่ยอมเปิดเสียที วอนอูเริ่มมีน้ำโหเตรียมง้างมือใส่อีกคนโทษฐานเอาแต่มองหน้าเขาอยู่ได้ไม่รีบสักที
แต่อีกคนก็ชิ่งกดเสียก่อน
มินกยูขับรถออกมาเรื่อยๆจนถึงหน้าร้านของเขา
เช่นเคย วันนี้เขามาเร็วกว่าทุกวันโขเลย เตรียมจะเดินออกไป แต่คนบางคนบอกให้นั่งในรถรอไปก่อน
ฟ้ายังมืดอยู่ อันตราย ทุกอย่างบนรถตกอยู่ในความเงียบ
มินกยูมองคนข้างเงียบในขณะที่อีกคนหันออกไปมองนอกหน้าต่างเหมือนไม่คิดอยากเจรจา ตาใสเหลือบไปมองม้าหินอ่อนหน้าร้านในหัวพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
หน้าขาวร้อนผ่าววูบวาบพลางยกมือกุมแก้มตัวเองอย่างลืมตัว
แต่ในใจก็คิดกลับกันเหมือนไม่มั่นคงละมั้ง
“เป็นอะไร”
“....”
“เขินหรอ”
“ใครเขิน!!”
นัยน์ตาใสหันมาจ้องกลับมาที่อีกคนให้รู้ว่าเขาไม่ได้เขินอะไรเลยอย่างไม่ยอมแพ้ ซึ่งคนละอารมณ์กับอีกฝ่ายตรงหน้าที่สบ
มาด้วยดวงตามีเลศนัย
ดวงหน้าขาวที่บึ้งตึงในตอนแรกผ่อนลงจากมือหนาที่ยกขึ้นกุมแก้มนิ่มเกลี่ยไปมาสนุกมือ
แววตาอ่อนโยนคู่นั้นกำลังมีอะไรมากมายที่ไม่ได้บอกออกมา
แต่เป็นเขาเองที่ทนไม่ไหวเอ่ยถามความในใจที่ค้างคามาตั้งแต่เมื่อคืน ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“นาย…”
“…”
“ไม่ได้โกหกกันจริงๆชะ...อื้อ”
ริมฝีปากสีเข้มโน้มลงปิดคำพูดคิดมากของอีกคนให้เงียบ
แล้วเข้าใจเหตุผลทั้งหมดผ่านความแนบชิดนี้ กดจูบเน้นทาบทับลง เอียงองศาให้ถนัดมากขึ้น มือเรียวกำเสื้อเชิ้ตสีขาวของมินกยูแน่น
หลับตาพริ้มรับรสชาติแปลกใหม่ที่ส่งมาโดยอีกคน
ดึงดูดริมฝีปากอิ่มที่ทำได้เพียงคล้อยตามคนนำนิ่ง
มือหนาที่จับท้ายทอยแน่นในคราแรก
แปรเปลี่ยนใช้มือทั้งสองสอดใต้วงแขนของอีกคนให้ยกลำตัวขึ้นวางไว้บนหน้าตัก
สองขาแกร่งถูกคร่อมด้วยร่างของคนตรงหน้า
มือหนากดดวงหน้าขาวให้ก้มลงมารับสัมผัสอีกระรอก ตาใสหลับพริ้มไม่รับรู้เรื่องอะไรนอกจากสิ่งที่ทำในตอนนี้แทบจะหลอมเป็นอันเดียวกัน
การกระทำที่เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยทำเอาวอนอูทรงตัวไม่อยู่
ทิ้งตัวทั้งตัวแนบชิดออกแกร่งไปทั้งหมด ปกอบกับยึดช่วงไหล่หนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวไว้บ้าง
เสียงริมฝีปากอิ่มชื่นของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นไปทั่วรถ
อีกทั้งเสียงอืออึงในลำคอที่เปล่งออกมาให้บรรยากาศในรถยิ่งร้อนระอุ
คนตัวเล็กกว่าเริ่มทนไม่ไหวผละออกมาหอบหนักหาอากาศเข้าบรรเทา
แต่อีกคนไม่ยอมหยุดยั้ง ทั้งยังเอียงดวงหน้ากดจูบไล้ลงตามสันกรามมนหนักๆ
ไปจนถึงกกหูให้อีกคนได้ร้อนรน รีบเอ่ยบอกเรียกสติเขากลับมา
“มะ…มินกยู
หยุดก่อน อะ อืออ” ริมฝีปากสีเข้มยังคงมัวเมากับการสัมผัสไปทั่งความหอมหวานตรงหน้า
โดยไม่สนใจเสียงของอีกคนที่เริ่มหอบหนักแล้วรู้สึกวูบวาบเลยแม้แต่น้อย
“....”
“มินกยู มะ...ไม่ไหวแล้วนะ
หยุด!!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มไม่ได้การ
รวมรวมแรงกำลังทั้งหมดที่มี ใช้สองมือตะปบเข้าที่ดวงหน้าคมคายให้หันมาสบตากันอย่างจริงๆจังๆ
แล้วบอกเสียงสั่นว่าให้หยุดก่อน เรียกให้อีกฝ่ายหยุดชะงักตามที่เขาบอก มองไปตรงหน้าที่เขากับคนตัวเล็กอยู่ในท่าอันตราย
อยู่ต่ออีกนิดคงไม่ดีแน่
ตัดสินใจกดจูบลงอีกครั้งแผ่วเบา
สอดมือเข้าใต้วงแขนยกร่างคนตัวขาวขึ้นวางข้างเบอะนั่งข้างคนขับดังเดิม
มือหนาหันมามองอีกคนที่สภาพผมชี้ฟูไปมาเสื้อแขนถึงกลางท่อน ยับยี่ไปหมดไม่ต่างอะไรจากเขา
ดวงตาใสสบเข้ากับเขา
ไล่มองไปตามลำตัวพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมให้เขารวมไปถึงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยับไม่เป็นท่า
ตาคมเหลือบมองริมฝีปากอิ่มเจ่อเข้า ขบกรามแน่นอย่างอดทน ไม่อยากทำอะไรต่อจากนี้
เสร็จสิ้นทุกอย่างก็คว้ากระเป๋าเดินออกจากรถ
เตรียมจะเข้าร้านไป ใจดวงโตของมินกยูเหี่ยวลงทันทีเพราะคิดว่าอีกคนต้องโกรธเขาแน่ๆ
แต่ก็ต้องคิดใหม่อีกทีเพราะมองมาอีกทีคนตัวขาวเดินวนกลับมาที่ฝั่งของคนขับยืนนิ่งให้อีกคนได้เลื่อนกระจกลงอย่างสงสัย
ก่อนจะเข้าใจชัดเจนจุดประสงค์ของอีกคน ดวงหน้าขาวโน้มกดปากอิ่มลงบนหน้าผากเขา
ก่อนจะเอ่ยประโยคทั่วๆไปที่คนอื่นฟังอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ไม่ใช่สำหรับเขา
“ตั้งใจเรียน
เข้าใจใช่หรือเปล่า” พูดจบก็รีบเดินไปไขกุญแจเข้าร้านไปอย่างเงียบๆ
ปล่อยให้เขานั่งบื้ออยู่คนเดียวในรถคันเดิม ยกมือขึ้นสัมผัสหน้าผากตัวเองไปมาให้ใจได้เต้นหนักกว่าที่เคย
ถ้าได้แบบนี้ทุกวัน เขาจะเรียนให้ได้ A เลย
…………………(100%)………………...
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
ความคิดเห็น