ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF } SEOHYUN JESSICA YOONA (SNSD EXO B.A.P INFINITE)

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF] A thousand years - HUNYOON 1

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ย. 56



    A Thousand years

    ผมยังมีชีวิตอยู่ก็เพื่อรอคุณ

    ที่รัก...อย่ากลัวไปเลย

    ไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันปี ผมก็จะยังรักแค่คุณ

     

                ยามรัตติกาลอันมืดมิด และพระจันทร์เป็นสีเหลืองนวลสุกสกาว เมื่อนั้นชายหนุ่มร่างสูงและร่างกายงดงามจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่าที่มีเพียงแต่ความอยาก ความโลภ และสัญชาตญาณสัตว์ป่าเท่านั้นที่ครอบครองมัน

     

    “เฮ้อ” ฉันถอนหายใจออกมายาวๆ หลังจากที่นั่งอ่านนิยายปรัมปราเรื่อง มนุษย์หมาป่าเพราะต้องทำรายงานส่งอาจารย์และนั่งหมกตัวอยู่ในห้องสมุดกับซอฮยอนเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็ก มันทำให้ฉันอยากจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆนะ

     

    “เป็นอะไรไปหรอยุน?” เสียงเพื่อนตัวดีร้องทักขึ้น และนั่นก็ทำให้ฉันหันหน้าไปฮึดฮัดใส่

     

    “เธอเอาอีกแล้วนะ...ทำไมต้องพามาห้องสมุดเก่าๆแล้วนั่งอ่านเรื่องมนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์ด้วยล่ะ”

     

                ฉันบ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ยอมรับเลยก็ได้นะว่าฉันไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ขยันอะไรมากนักหรอก ผิดก็กับซอฮยอนที่ขยันขันแข็ง เพราะเธอมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ว่าจะเป็นนักภาษาศาสตร์น่ะสิ แต่ฉัน...ชีวิตนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหนดี

     

    “ก็เราต้องทำรายงานนี่น่า ยุนอาถ้าเธอไม่รีบทำเธอจะติด F ได้นะ” ฉันหันไปเบ้ปากให้เพื่อนรัก ก่อนที่จะเปิดหนังสือนิยายปรัมปราเล่มหนาและอ่านมันอีกครั้ง

     

                แวมไพร์มีลักษณะเหมือนมนุษย์เกือบแทบจะทุกประการ ผิดต่างตรงที่พวกเขามีพละกำลังมหาศาล มีผิวขาวซีด ตัวเย็น และฟันจะมีความแหลมคม หากผู้ใดถูกแวมไพร์กัดแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์ต่อไปในภายภาคหน้า

              แวมไพร์ส่วนใหญ่มักจะกลัวแสงแดด และชอบออกหากินตอนกลางคืน เล่ากันว่าแวมไพร์มีจมูกรับรู้กลิ่นเลือดของมนุษย์ได้ดีมาก ความอยากในการกินเลือดของมันก็ไม่ต่างไปจากสัตว์โดยทั่วไป ฯลฯ

     

    “ซอฮยอน ฉันอ่านไม่ไหวแล้วนะ” ฉันฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ตอนนี้ในหัวมีข้อมูลของมนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์ตีกันจนยุ่งไปหมด

     

    “ไม่ไหวก็ไม่ไหว งั้นเราไปหาอะไรกินดีมั้ย?” เพื่อนรักเอ่ยถาม และเมื่อถามถึงของกิน ไม่มีทางที่ฉันคนนี้จะปฏิเสธไปได้หรอก >O<

     

    “เย้! ใจดีที่สุดเลยฮยอน” ฉันพูดพร้อมกับเก็บของใส่กระเป๋าและสะพายเป้ขึ้นหลังอย่างรวดเร็ว จนซอฮยอนได้แต่ส่ายหน้าออกมา

     

     

                เรามาถึงโรงอาหารในขณะที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยกำลังเดินเลือกซื้ออาหารกันอยู่ ผู้คนในมหาวิทยาลัยของเราถือว่ามีไม่มากเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยของเราอยู่ในเขตชนบทไม่ใช่อยู่ในตัวเมืองอันกว้างใหญ่ แถมด้วยสภาพอากาศที่อึมครึมเหมือนจะมีเมฆฝนปกคลุมตลอดเวลานั้น ทำให้มันชื้นแฉะพอสมควร

     

    “วันนี้ฉันจะกินอะไรดีนะ” ฉันสอดส่องสายตามองหาร้านอาหารที่จะตกถึงกระเพาะในตอนกลางวัน แต่เพราะหันซ้ายหันขวาและหันไปพูดกับซอฮยอนด้วยทำให้ร่างของตัวเองชนเข้ากับใครบางคน

     

    “อ๊ะ”

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

     

                เสียงทุ้มที่ฉันแทบจะไม่คุ้นหูเอ่ยขึ้น ทำให้ฉันต้องเงยหน้าตัวเองขึ้นไปมองเจ้าของร่างสูงที่ชนฉันเข้าอย่างจัง ปากกำลังจะต่อว่าคนที่ชนว่าไม่ดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าติดจะเย็นชาของลูกชายคนเล็กตระกูลโอ มันทำให้ฉันตัวแข็งทื่อไปเลยเสียมากกว่า

     

    “กลิ่นขนม” เสียงทุ้มพึมพำอยู่ข้างหูของฉัน ซึ่งตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองคงสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว ฉันจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาที่ขาวเนียนใสแถมยังซีดขาวนั่น และแววตาคมสีรัตติกาลที่ดูลึกลับ และน่าค้นหา ให้ตายเถอะ! ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์แบบอันตรายจริงๆ

     

    “อะไรนะ?” หลังจากที่ฉันเริ่มตั้งสติได้ ก็เริ่มถามเขาออกไป เมื่อกี้รู้สึกจะได้ยินเขาพูดอะไรเกี่ยวกับขนมๆสักอย่าง

     

    “เปล่า”

     

                ประโยคปฏิเสธสั้นๆพร้อมกับการเดินจากลาออกไป มันทำให้ฉันที่กำลังมีคำถามสงสัยอยู่ในหัวอดไม่ได้ที่จะสงสัยต่อไป แต่ว่า...ฉันไม่กล้าเข้าไปถามเขาตรงๆหรอกนะ สายตาเย็นชานั่นแค่มองมาก็รู้สึกฆ่าคนได้เป็นร้อยแล้ว

     

                อ๋อ! เมื่อกี้ฉันพูดถึงคนตระกูลโอใช่มั้ย? อันที่จริงตระกูลโอเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองของเราค่ะ ใครๆต่างก็ลือชากันว่าครอบครัวนี้....เพอร์เฟคกันทุกคน! เริ่มด้วยพี่สาวคนโต โอเจสสิก้า พี่ชายคนรอง โอลู่ฮาน และน้องชายคนเล็กคือ โอเซฮุน ผู้ชายร่างสูงยาวเข่าดีที่ฉันชนเมื่อสักครู่นี้แหละ

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่ายุน” เสียงหวานของซอฮยอนร้องทักและนั่นก็ทำให้ฉันโบกมือหยอยๆ เป็นเชิงว่า ฉันสบายมาก! แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรสักนิดเดียวจริงๆนั่นแหละ

     

    “เราไปหาข้าวกินกันเหอะ หิวจะตายอยู่แล้วอ่า” ฉันพูดพลางลูบท้องของตัวเองเป็นอาการบอกความหิวสุดจะทนครั้งนี้

     

                มื้อเที่ยงของวันนี้เต็มไปด้วยความเรียบง่ายสำหรับฉันและซอฮยอน เราซื้อข้าวกันคนละหนึ่งจาน น้ำดื่มคนละขวด และฉันก็ตบท้ายด้วยไอศกรีมรสมะนาวของโปรดของฉันเค้าไปอีกหนึ่งถ้วย

     

                อ่า...แต่สิ่งหนึ่งที่ผิดปกติไปสำหรับฉันคือ สายตาคมๆของโอเซฮุนที่จ้องมองฉันมาเป็นระยะๆนั่นล่ะ มันน่าขนลุกและสยดสยองมาก!

     

    “ซอ อิ่มแล้วอ่ะ! เราขึ้นห้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์เถอะ” ฉันบอกซอฮยอนที่ตอนนี้กำลังนั่งจ้องมองฉันกินไอศกรีมตาแป๋ว ก่อนที่เจ้าตัวจะพยักหน้าเข้าใจ และสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า

     

    “นี่ๆ เซฮุนเขามองอะไรเธอน่ะ?” หลังจากที่เรานำจานข้าวไปเก็บและเดินโผล่พ้นจากโรงอาหารมาแล้ว ซอฮยอนก็โพล่งคำถามที่ฉันเองก็ยังสงสัยไม่หายออกมา ฉันหันไปพยักเพยิดหน้าใส่เพื่อนว่ามีความเห็นด้วยตรงกัน แต่สุดท้ายฉันก็คิดว่าเขาคงจะยังผูกใจติดเรื่องที่ฉันเดินชนเขาอยู่แล้วไม่ได้ขอโทษ เรื่องนี้จึงเป็นการสิ้นสุดลง

     

                คาบเรียนในช่วงบ่ายถือว่าน่าเบื่อพอสมควร มีวิชาคณิตศาสตร์สองคาบและวิชาภาษาเกาหลีอีกสองคาบ ให้ทายสิว่าต้องมานั่งฟังมาสเตอร์ของแต่ละวิชาพูดอะไรไม่รู้ที่ไม่เข้าใจบ่นใส่หูเต็มๆถึง 4 ชั่วโมงติด สมองฉันกำลังจะระเบิดไปแล้วจริงๆนะเนี่ย!!!

     

    “เฮ้อ ในที่สุดก็เรียนหมดวันสักที” ฉันถอนหายใจและบ่นออกมา ผิดกับซอฮยอนที่หน้าตาของเธอยังดูเป็นปกติอยู่ ซอฮยอนขยันเรียนเสมอ ไม่เคยนอนหลับและตั้งใจฟังที่ครูสอน ผิดกับฉันที่เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แต่บางครั้งฉันก็ตั้งใจเรียนนะ!

     

    “แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะยุน” ซอฮยอนโบกมือลาฉัน ก่อนที่จะถือร่มแล้วเดินกางออกไป ขอรายงานสภาพอากาศในตอนนี้ว่ามีฝนตกพรำๆรอบมหาวิทยาลัยค่ะ แล้วบ้านฉันกับซอฮยอนก็ไปกันคนละทาง เพราะฉะนั้นเธอจึงเดินไปทางขวา ส่วนฉันเดินออกไปทางซ้ายมือของรั้วมหาวิทยาลัย

     

                พระอาทิตย์เริ่มตกคล้อยและจมหายลงไปกับท้องฟ้าสีอมส้ม ก่อนที่เวลาผ่านพ้นไปจะเป็นสีน้ำเงินเข้มอ่อนๆ ดวงดาวที่เคยส่องระยับเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนตอนนี้กลับดับลง เพราะดวงจันทร์ดวงกลมโตเหลืองนวลที่ให้ความสว่างไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี....วันนี้วันพระจันทร์เต็มดวง

     

    “โอเคค่ะแม่ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ฉันกดวางสายโทรศัพท์ลงหลังจากที่ได้รับข้อความอันไม่น่าจะพึงประสงค์เสียสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันต้องนอนอยู่บ้านคนเดียว...เพราะแม่ติดประชุมในโซลด่วนมากและคงจะไม่กลับมาภายในวันสองวันนี้แน่ๆ

     

                ฉันหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง สายฝนกำลังตกลงมาพรำๆเช่นเดียวกับเมื่อตอนเย็น แต่แสงจันทร์เหลืองนวลสุกสกาวนั้นมันทำให้ท้องฟ้ายามราตรีวันนี้น่ามองยิ่งขึ้น

     

    ปัง!

     

                ฉันสะดุ้งตัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างหนึ่งกระทบกับประตูไม้บ้านฉันอย่างแรง ความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจของฉันขึ้นมาทีละนิด มือเรียวกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองแน่น ฉันค่อยๆก้าวขายาวๆของตัวเองเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้น

     

    ปัง!

     

    “คะ ใครน่ะ” ฉันถามออกไป และคิดว่ามันคงจะเป็นคำถามที่ดูโง่มากจริงๆ คนที่อยู่นอกบ้านไม่ได้ตอบรับเสียงจากฉัน หรือว่าจะเป็นขโมยเลือกไม่เปิดประตูแล้วโทรศัพท์ไปหา คริสดีมั้ยเนี่ย?

     

                ความคิดในสมองของฉันตีกันจนยุ่งไปหมด ตอนนี้รู้สึกสับสนไปทั่วทั้งหัว จะเลือกเปิดหรือไม่เปิดดี แม่ฉันเคยบอกหลายครั้งว่าอย่าเปิดประตูตอนดึกๆ แต่ว่าจิตใต้สำนึกและความรู้สึกของฉันมันบอกว่าคนที่อยู่ข้างนอกต้องการความช่วยเหลือ...เขาต้องการความช่วยเหลือจากฉัน จากฉันเท่านั้น

     

                ความกล้าที่ตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่ารวบรวมมันมาจากที่ไหนทำให้ฉันตัดสินใจเอื้อมมือของตัวเองไปเปิดประตูช้าๆ แต่หากยังไม่เห็นคนที่มาทุบประตูบ้านฉันในยามวิกาล ร่างสูงของใครบางคนก็ล้มลงมายังร่างของฉันเสียก่อน ตัวของเขาเปียกปอนไปหมด และมันก็พลอยให้ฉันเปียกไปด้วย

     

    “เฮ้คุณ!” ฉันเรียกสติของคนที่ล้มทับฉัน แต่ปฏิกิริยาของเขาก็เงียบไป “คุณเป็นอะไรมากมั้ยคะ? ไปโรงพยาบาลมั้ย?” ฉันพูดและเขย่าตัวของเขาอีกครั้ง และนั้นก็ทำให้คนตัวสูงเงยใบหน้าขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ฉันแทบช็อก

     

    “ไม่ไป...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นชิดริมใบหู ก่อนที่ร่างของเขาจะหมดสติลง

     

    พระเจ้า!

     

    “โอเซฮุน โอเซฮุน!!!” ฉันเรียกชื่อคนที่หมดสติลงบนร่างของฉัน เนื้อตัวของเขามีรอยขีดข่วนเป็นจุดๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือรอยแผลขนาดใหญ่บริเวณหน้าท้อง มันมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเขาไม่ไปโรงพยาบาล ฉันก็คงจะต้องหามเขาไปทำแผลก่อนที่คนเย็นชาคนนี้จะหมดเลือดจนตายไปซะก่อน

     

                ฉันหามเขาขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเองอย่างทุลักทุเล แน่ล่ะ! เขาตัวสูงกว่าฉันเกือบจะ 20 เซนติเมตรได้

     

    ฟุบ!

     

                ฉันทิ้งคนตัวสูงลงบนเตียง ก่อนที่จะหมุนไหล่ซ้ายไหล่ขวาของตัวเองสองสามที สายตาสอดส่องหากล่องปฐมพยาบาลที่อยู่ในห้องของตัวเอง และเมื่อพบมัน ฉันก็รีบหยิบและเดินตรงมายังเตียงของตัวเองทันที

     

                ใบหน้าหล่อเหลาของโอเซฮุนตอนนี้ซีดเผือดเสียยิ่งกว่าตอนกลางวันที่ฉันเจอเขาเสียอีก เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าเนียน และนั่นก็เป็นสัญญาณให้ฉันรีบปฐมพยาบาลให้กับเขา

     

                ใช้เวลาไปเกือบทั้งหมดครึ่งชั่วโมงในการปฐมพยาบาลคนร่างสูง ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ฉันเดินไปเก็บกล่องปฐมพยาบาลและเดินไปหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้กับผู้ป่วยจำเป็น

     

    “ทำไมนายถึงมาหาฉัน...” ฉันถามออกไปหลังจากเช็ดตัวให้เขาเสร็จ ตอนนี้ฉันกำลังนั่งพูดกับคนที่กำลังนอนหมดสติอยู่ เขาคงไม่ตื่นขึ้นมาส่งสายตาเย็นๆให้กับฉันหรอกนะ “ทำไมนายถึงมาอยู่แถวบ้านฉันได้กันนะโอเซฮุน”

     

    แล้วเธอเป็นอะไรเนี่ยอิมยุนอา! ไปนอนได้แล้วไปนี่มัน 5 ทุ่มแล้วนะ!!!

     

    เสียงจากสมองสั่งเตือนขึ้น ทำให้ฉันลุกออกจากเตียง ขาเรียวของตัวเองก้าวลงจากชั้นสองของบ้านลงไปยังชั้นล่าง วันนี้โซฟาคงที่นอนจำเป็นสำหรับฉัน...

     

    รุ่งเช้ามาถึงแล้ว เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ทำให้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเคยชิน และยังไม่ทันจะตื่นเต็มที่ เสียงจากโทรศัพท์มือถือทำให้ฉันหยิบมันขึ้นมาและดูเบอร์ของสายเข้า เมื่อเห็นว่าเป็นใครฉันจึงกดรับสายทันที

     

     

    “ซอ วันนี้ฝากเก็บชีทของฉันด้วยนะ ฉันจะไม่ไปมหาลัย” ฉันบอกกับปลายสายออกไป วันนี้ไม่มีวิชาอะไรที่สำคัญมากนัก เพื่อนรักตอบตกลงก่อนที่จะกดวางสายจากฉันไป ตอนนี้ฉันกำลังสงสัยตัวเองอย่างหนัก...ทำไมฉันต้องโดดเรียนเพื่อมาดูแลคนป่วยจำเป็นที่แสนเย็นชาอย่างโอเซฮุนด้วยนะ! ตอนนี้ฉันกำลังทำโจ๊กอุ่นๆให้กับเขาอยู่ค่ะ ไม่รู้ว่าคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ข้างบนจะฟื้นรึยัง ยังไงก็ต้องมีแรงเอาไว้ก่อนนั่นแหละ

     

    “ขออนุญาตนะ” ฉันพูดหน้าประตู ก่อนจะเปิดประตูผลักเข้าไป เห็นคนที่ฉันช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อคืนกำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างและดวงตาคมของเขาก็หันกลับมามองฉันอีกครั้ง “โจ๊กอุ่นๆ กินด้วยล่ะนายจะได้กินยา” ฉันบอกคนหน้านิ่ง และเขาก็พยักหน้าช้าๆ

     

    “ขอบคุณ” ประโยคเรียบๆนั่นทำให้ฉันพยักหน้ากลับไปคืน แต่ก่อนที่จะได้ออกจากห้อง มือหนาของคนที่นั่งอยู่บนเตียงก็คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ก่อน

     

    “มีอะไร” ฉันหันกลับไปถาม แต่คำตอบที่ได้คือเขากระชากตัวฉันให้ลงไปนั่งกองอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขา แถมยังนั่งตักอีกต่างหาก

     

    “หอม” คนป่วยไม่ได้พูดเปล่าแต่ยังสูดดมความหอมจากซอกคอขาวๆของคนตัวเล็กอย่างเอารัดเอาเปรียบ ฉันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของคนฉวยโอกาส ก่อนที่เขาจะปล่อยตัวฉันออกไป

     

    “นาย!” ฉันหันไปคาดโทษคนตัวสูงที่กำลังตีหน้านิ่งราวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เห็นแล้วอยากจะอัดหน้าซะจริงๆเลย!

     

    “เธอน่ะ...เลือดหอมดีนะ ขนาดยังไม่ออกกลิ่นยังชัดขนาดนี้” ประโยคยาวที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาหลุดออกมาจากปากเจ้าชายน้ำแข็งโอเซฮุน และนั่นทำให้ฉัน...ช็อก!!!

     

    “นายว่าอะไรนะ? เลือด? เลือดฉันงั้นหรอ?” ฉันถามเขาอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แน่ล่ะ! จู่ๆก็มาพูดเรื่องเลือดเป็นใคร ใครก็ตกใจทั้งนั้นอ่ะ!

     

    “พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก” คนเย็นชา หน้านิ่งพูดขึ้น แต่มันยิ่งทำให้ฉันงง! งงเป็นไก่ตาแตก เขาพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวานตอนกลางวัน เรื่องกลิ่นหอมๆของฉัน มันจะหมายถึงกลิ่นขนมที่เขาพึมพำด้วยรึเปล่านะ

     

    “ถ้านายไม่อธิบายฉันจะเข้าใจมั้ย?” ฉันหันไปเอ็ดคนตัวสูง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา เขาเพียงแต่หันหน้ากลับไปมองและคว้าชามโจ๊กอุ่นๆที่ฉันทำขึ้นมาให้มากินแทน

     

    “สักวันเธอก็จะรู้มันเอง” คนตัวสูงพูดพร้อมกับเคี้ยวโจ๊กอุ่นๆในปาก บทสนทนาของเราเงียบลง และฉันก็คิดว่าตัวเองควรจะออกจากห้องและให้คนป่วยได้กินข้าวและนอนหลับพักผ่อนจะดีกว่า

     

     

                ฉันเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ตอนนี้โอเซฮุนกำลังนอนพักผ่อนอยู่ข้างบนและฉันก็ไม่อยากรบกวนเขา ตอนนี้ฉันก็เลยว่างอย่างมากๆ ฉับพลันสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยายปรัมปรา ทั้งๆที่ปากบอกว่าไม่ชอบ สุดท้ายแล้วฉันก็หยิบมันขึ้นมาอ่านอีกจนได้...

     

    แวมไพร์มักจะได้กลิ่นเลือดของคนที่มีเลือดในระดับพิเศษ ซึ่งถือว่าหาได้ยากมาก... ทั้งมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์จะพากันแย่งชิงมนุษย์ผู้มีสายเลือดระดับพิเศษ เพราะมีพลังในการเยียวยารักษามากกว่าปกติ แผลสามารถสมานหากันได้อย่างรวดเร็ว แต่จะมีบุคคลที่มีเลือดระดับพิเศษเพียงแค่ 1 ใน 10,000 คนเท่านั้น หรือบางครั้งก็ไม่พบมันเลย

     

              เล่ากันว่าบุคคลที่มีเลือดในระดับพิเศษนี้มักจะมีกลิ่นของเลือดที่ดึงดูดพวกนักล่า ซึ่งคนหนึ่งคนจะมีกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป อาทิเช่น กลิ่นดอกกุหลาบ กลิ่นวานิลลา กลิ่นแป้ง เป็นต้น หากมนุษย์ผู้มีเลือดระดับพิเศษเป็นเนื้อคู่ที่แท้จริงของเหล่าแวมไพร์และมนุษย์หมาป่า พลังก็จะฟื้นฟูและเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่การที่จะทำให้มนุษย์ตกเป็นของแวมไพร์และมนุษย์หมาป่าที่แท้จริงแล้วจะต้องมีการทำพันธะสัญญา...

     

    “ไม่เห็นจะเข้าใจเลยแฮะ” ฉันบ่นออกมาและปิดหนังสือลง พันธงพันธะสัญญาอะไรกันเนี่ย ต้องทำด้วยงั้นหรอ? แล้วไอคนที่มีเลือดระดับพิเศษมันมีจริงด้วยงั้นหรือไง ไม่สิ! แวมไพร์กับมนุษย์หมาป่ามีจริงด้วยอย่างนั้นหรอ!

     

     

     

     

                เวลาเที่ยงเริ่มมาถึงและนั่นก็ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา คงต้องไปหาอะไรทำตกถึงกระเพาะสักหน่อยแล้ว และคงต้องทำเผื่อคนป่วยข้างบนด้วย เมนูสำหรับมื้อกลางวันครั้งนี้คือซุปผักใส่หมูค่ะ เพราะผักมีประโยชน์สูงมาก และฉันคิดว่ามันคงเป็นประโยชน์กับคนป่วย ถึงฉันจะไม่ชอบกินผักมากก็เถอะ L

     

    “โอ๊ย” ฉันร้องขึ้นเมื่อเผลอเหม่อไปเพียงช่วงเสี้ยววินาที ความเจ็บปวดบริเวณปลายนิ้วชี้ทำให้ฉันรีบเอานิ้วของตัวเองขึ้นมาดูดอย่างรวดเร็ว...มีดบาดมือฉัน

     

                ฉันจัดการไปล้างมือ และคิดว่าอีกไม่นานแผลมันจะสมานตัวไปเองเลยปล่อยแผลเอาไว้อย่างนั้น และลงมือทำอาหารมื้อกลางวันต่อไป

     

    Sehun Part;

     

    เฮือก!!!

     

                ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผมได้กลิ่นเลือด... เลือดระดับพิเศษ ผมสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองก่อนที่จะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

     

    “เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมายาวๆ ผมก็ไม่ชอบนักหรอกนะที่ตัวเองเป็นแบบนี้...ใช่! ผมเป็นแวมไพร์ ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะว่ามันจะมีจริง แต่ผมและครอบครัวผมทุกคนก็เป็นเหมือนกันนั่นล่ะ

     

                ผมและครอบครัวย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เพราะสภาพอากาศที่ไม่มีแสงแดดมากทำให้ผมและครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติเหมือนดั่งคนทั่วไป จะมีก็แต่กลิ่นของมนุษย์หมาป่าในบางที่เท่านั้น และเมื่อผมมาถึงที่นี่ครั้งแรก...ผมก็พบกับเธอ ผู้หญิงที่มีดวงตาเหมือนกับกวางคนนั้น อิมยุนอาผู้หญิงที่สะกดสายตาผมเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน

     

                ผมอยากเข้าใกล้เธอ...แต่มีความจริงอยู่เพียงบางประการว่าผมไม่สามารถเข้าใกล้เธอได้มากเพราะเธอ...มีเลือดระดับพิเศษไหลเวียนอยู่ในตัวเอง กลิ่นของเลือดมันเป็นตัวยั่วผมชัดๆ! ดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่กัดแล้วดื่มเลือดเธอไป

     

                ความรู้สึกอะไรบางอย่างมันบอกผม...ว่าเธอคือโซลเมตของผมเอง แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่นักจนกว่าผมจะอายุ 21 ปีเต็มผมถึงจะเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์และสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่เฝ้ามองเธอ...เฝ้ามองอยู่ห่างๆ เพราะเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย

     

    “ฉันจะทำยังไงกับเธอดีนะยัยตัวแสบ” ผมพูดพึมพำกับตัวเองและขยี้หัวไปมา เมื่อคืนนี้...คืนพระจันทร์เต็มดวง ผมและครอบครัวก็ออกล่าเหยื่อตามปกติ แต่อย่าคิดกันล่ะว่าผมดื่มเลือดมนุษย์สดๆ เราดื่มเลือดของสัตว์เท่านั้น และผมที่บังเอิญ...ไปเจอกับมนุษย์หมาป่าเข้า

     

    มาทำอะไรผมถามร่างสูงอีกฝ่ายที่กำลังทอดสายตามองไปยังบ้านของยัยตัวแสบที่มีไฟเปิดสว่างออกมา บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านยังไม่เข้านอน

     

    เรื่องของฉัน คนถูกถามตอบกลับด้วยความไม่สบอารมณ์ นัยน์ตาสีดำเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผมแสยะยิ้มให้กับบุคลตรงหน้า

     

    ถ้ายุนอารู้เรื่องนี้จะเป็นยังไง ผมบอกอีกคนที่นิ่ง ดวงตาคมและดุร้ายตามแบบฉบับเริ่มตวัดมาหาผม

     

    หุบปากของแกไปซะ! แกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันหรอก! ได้แต่นั่งเฝ้ามองเพื่อนฉันเหมือนกันนี่อีกคนยิ้มเยาะออกมาด้วยความสะใจ ผมกำรอบมือตัวเองแน่น พยายามระงับอารมณ์และสติของตนเองให้ได้มากที่สุด

     

    ก็ยังดีกว่าคนที่มันเป็นได้แค่เพื่อนอย่างแกนั่นล่ะสิ้นประโยคของแวมไพร์หนุ่ม ร่างสูงของคนโดนคำพูดกรีดแทงเข้าไปในใจก็แปลงกายเป็นหมาป่าตัวใหญ่และเข้ากระโจนใส่ผมทันที ผมเขวี้ยงคนที่เข้ามากระโจนแต่ก็พลาดท่าไปเสียก่อน...ผมโดนเล็บยาวๆของเขาสร้างรอยแผลไว้ที่หน้าท้องอย่างรุนแรง แต่ก็ใช่ว่าฝ่ายนั้นจะไม่บาดเจ็บ กระดูกอาจจะหักสักสองสามท่อนตามแรงที่ผมผลักเขากระทบกับต้นไม้ใหญ่

     

                เพราะบาดแผลที่ใหญ่และเลือดก็ไหลออกมามาก ผมที่ยังไม่ได้ล่าเหยื่อแม้แต่ลูกกวางตัวเล็กก็เลยหมดแรงแบบนี้....หมดสิ้นทางกลับบ้าน ผมไม่มีแรงเหลืออยู่เลย และนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจไปเคาะบ้านเธอ และมานอนสลบด้วยสภาพที่น่าสมเพชแบบนี้

     

                และตอนนี้เธอไม่มีทางรู้แล้วว่ากลิ่นเลือดของเธอ กำลังทำร้ายผมชัด!!!

     

     

    Yoona part;

     

    ก๊อกๆ

     

                ฉันเคาะประตูห้องตัวเองเพื่อขออนุญาตคนที่อยู่ในห้อง และเมื่อไม่ได้รับสัญญาณตอบรับ ฉันจึงผลักประตูเข้าไป

     

    “โอเซ...”

     

    “ออกไป!!!” คนร่างสูงตะคอกเสียงดังและนั่นก็ทำให้ฉันสะดุ้งตัวโหยง ดวงตาคมสีนิลจ้องมาทางฉันอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน และนั่นทำให้ฉันวางชามข้าวลง หมายจะเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อที่จะดูอาการคนตรงหน้า

     

    “ฉันสั่งให้ออกไปไง!!!” โอเซฮุนตะคอกออกมาอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเช่นกัน

     

    “นี่มันห้องฉันนะ!!! หน้านายซีดมากฉันจะดูว่านายเป็นอะไร” ฉันพูดอย่างใจเย็น มือเรียวเอื้อมไปหมายจะจับหน้าผากของคนป่วย แต่ก็โดนมือหนาปัดออกอย่างไร้เยื่อใย

     

    “อย่ามายุ่ง!! ฉันจะเป็นตายร้ายดียังไงมันก็เรื่องของฉัน!” คนตัวสูงอารมณ์เสียออกมาอย่างรุนแรง และนั่นทำให้ฉันกำลังคิดว่าเขาเป็นพวกหัวรุนแรงหรือเปล่า! ก็แค่เป็นห่วงอยากรู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง ทำไมต้องมาทำท่าทางเหมือนรังเกียจกันแบบนี้ด้วยนะ

     

    “ไม่ได้! ฉันเป็นห่วงนายนะ อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนร่วมคลาส”

     

    “ยิ่งเธอคิดจะช่วยฉันเธอก็ยิ่งทำร้ายฉันเท่านั้นอิมยุนอา ออกไปซะ!!” ฉันบอกหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องบอกว่าฉันจะทำร้ายเขาด้วยกันนะ! ฉันแค่จะเอามือไปอังหน้าผากเขาเท่านั้นเอง ถ้าตัวเย็นมากจะได้ไปโรงพยาบาล!

     

    “ฉันไม่เข้าใจ! ทำไม...”

     

    “โธ่เว้ย!!! อยากรู้มากนักใช่ไหม!” โอเซฮุนตะโกนออกมาด้วยความหัวเสีย อาหารที่จำเป็นสำหรับเขาตั้งแต่เมื่อคืนนี้เขาก็ไม่ได้กินมัน อาจจะจริงที่เขาสามารถจะกินอาหารได้เหมือนมนุษย์ปกติทั่วไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือเลือด และยิ่งเลือดระดับพิเศษที่กลิ่นลอยหอมไปทั่วห้องแบบนี้ สัญชาตญาณความอยากของเขาที่มันก็ยิ่งเพิ่มพูนเข้าไปกันใหญ่

     

    “กรี๊ด” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อคนตัวสูงกว่าจับฉันเหวี่ยงลงบนเตียงนอนของตัวเอง และตามมาด้วยร่างของเขาที่คร่อมเอาไว้ “อะ ออกไปนะ” ฉันใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองผลักคนตัวสูงกว่าออกไปแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะลุกออกแม้แต่น้อย

     

    “เลือดของเธอมันดึงดูดฉันเองนะ อิมยุนอา”





    quality
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×