คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คิดฮอด (เรื่องสั้นประกวดโครงการ ร้องเรียงเพลงรักเป็นตัวอักษา)
คิดฮอด
ผมออกย่ำเดินไปกลางทุ่งนาเขียวขจี ต้นข้าวที่ชูร่วงเป็นช่องามไสวนั้นดูตระการตา ท่ามกลางแสงแดดที่ทอลงสู่คันนา สะท้อนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ กลิ่นไอดินโชยคลุ้ง สำหรับคนกรุงอาจจะคิดว่าเหม็น แต่สำหรับผมมันเป็นกลิ่นที่ชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก
เป็นกลิ่นแห่งวิถีชีวิตบ้านนา
ผ่านมากี่เดือนแล้วนะ...
หูผมกระดิก นกเอี้ยงตัวน้อยบินมาเกาะที่หลัง ผมสะบัดหัวไปมาอย่างรำคาญทว่ามันก็ยังตามเกาะแกะผมไม่ลดละ มันกระโจนเปลี่ยนตำแหน่งมาเกาะที่เขาโง้งคู่งามของ ผมรู้จักเจ้านี่ดี
เจ้าเอี้ยงที่ผมชอบเรียกมันว่า ไอ้มาเลิศ แต่มันไม่ยอมใช้ชื่อนี้ด้วยเหตุผลว่ามันเชย มันจึงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ไมเคิล ซะอย่างนั้น
“ไง บุญยิ่ง ยังไม่หายเหงาอีกหรือเอ็ง” เจ้านกน้อยกระเซ้า แต่เจือด้วยความห่วงใยเล็กน้อยในน้ำเสียง
“เจ้านายข้าทั้งคน เอ็งจะไปเข้าใจอะไร” ผมแค่นเสียงตอบ
ไมเคิลกระโดดเบา ๆ มาที่หน้าผากผม
“ใครว่าข้าไม่เข้าใจ ข้าก็รู้ว่าเอ็งเหงาขนาดไหนที่โดนเจ้านายทิ้ง แต่ทำไงได้นายของเอ็งคงมีเหตุผลของเขา พวกมนุษย์เข้าใจยากจะตายเอ็งน่าจะรู้”
ผมหายใจฟืดฟาด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร
....................................................................
เจ้านายผมชื่อชด ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมชื่อแกถึงได้สั้นจุ๊ดจู๋ขนาดนั้นเพราะเท่าที่ผมรู้พวกมนุษย์มักจะมีชื่อยาว ๆ เสมอ แถมยังมีตั้งสองอัน แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงชื่อซ้ำกัน นาน ๆ ทีก็จะเจอคนที่มีฉายาอะไรก็ไม่รู้นำหน้า เยอะแยะไปหมด
เจ้านายเคยเล่า (ความจริงน่าจะเรียกว่าพูดมากกว่า) ให้ผมฟัง แกเป็นคนที่นี่มาตั้งแต่กำเนิด พ่อของแกเสียตั้งแต่แกยังเด็ก ก่อนหน้าที่ผมจะมาทำงานให้แกซะอีก พอโตขึ้นแม่ก็เสียตามไปอีกคน น้องชายแกที่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็ดูเหมือนจะหลงความศิวิไลซ์จนไม่ส่งข่าวคราวกลับมา
ทุก ๆ วัน นายชดจะขี่หลังผม แล้วร้องเพลงลูกทุ่งเพราะ ๆ ให้ผมฟังเสมอ ช่วงพักเที่ยงแกก็จะให้ผมแช่ปลักใกล้ ๆ คันนา ในขณะที่แกก็นั่งกินข้าวปิ่นโตที่เตรียมมาจากบ้านอย่างเอร็ดอร่อย เราทั้งสองทำงานด้วยกันอย่างมีความสุข ผมเองก็รู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้มาอยู่กับมนุษย์ที่ใจดีอย่างนายชด แกไม่เคยเฆี่ยนตีหรือทำร้ายผมแม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากก็แค่ดุเท่านั้น
จนอยู่มาวันหนึ่ง....
เท่าที่ผมจำได้ รู้สึกว่าวันนั้นฝนตกหนักมาก นายชดรีบเก็บข้าวของทันทีที่ฝนเริ่มลงเม็ด จูงผมกลับเข้าคอก ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หลักจากนั้นแกก็นั่งกินข้าวคนเดียวเงียบ ๆ ผมสังเกตว่าระหว่างที่แกกินข้าว แกก็หยิบกระดาษชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาจ้องมองอยู่นาน
ผมไม่รู้ว่ากระดาษชิ้นนั้นมีความสำคัญอย่างไร แต่ก็ไม่ทันจะได้คิด เนื่องจากนายชดจูงผมไปยังบ้านของตาผัน เพื่อนบ้านที่รู้จักกันดี ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก แล้วนายชดก็เดินมาตบที่หลังผมเบา ๆ แกพูดแค่ว่า บุญยิ่ง ข้าขอโทษด้วย....แล้วข้าจะกลับมา
ในตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนายชดถึงทิ้งผมไป เบาะแสเพียงอย่างเดียวที่ผมพอจะจับความได้จากตาผัน.... ผู้หญิงชื่อ บัว
ผมประมวลเรื่องราวทั้งหมดเท่าที่สมองน้อย ๆ ของผมจะคิดได้ หรือนายชดแกจะไปหาผู้หญิงคนนั้น
................................................................................................
ไมเคิลจิกที่กลางกระหม่อมผมเบา ๆ
“อะไรของเอ็งวะ” ผมเริ่มฉุน ไหนจะต้องคอยเอาหางปัดแมลงวันที่ตอมหึ่งด้านหลังแล้วยังต้องมาโดนเจ้านกบ้านี่แกล้งอีก
“มัวแต่เหม่ออยู่ได้ ถ้าเอ็งคิดถึงเจ้านาย ทำไมไม่ไปตามหาล่ะ”
ผมไม่ตอบ แต่เดินไปทิ้งตัวลงที่ปลัก น้ำโคลนกระเซ็นขึ้นมาจนไมเคิลรีบกระโจนหลบ
“ไอ้บ้า ทำอะไรของเอ็งฟะ!”
ไมเคิลบินหนีไปเกาะที่กิ่งของต้นมะม่วงต้นหนึ่ง
“ความเป็นจริงไง” ผมตอบพร้อมถอนใจ “เอ็งก็เห็น วัน ๆ ข้าก้เอาแต่เดิน กิน นั่ง ๆ นอน ๆ ตาผันแกก็เมาทั้งวัน ไม่ค่อยใส่ใจข้าหรอก อีกอย่างข้าเป็นควาย เอ็งเป็นนก”
เจ้านกเอี้ยงอึ้งไปพักหนึ่ง
“ถ้าไม่พยายามก็ไม่รู้หรอก ข้าจะช่วยเอ็งเอง”
“ยังไงวะ” ผมถามด้วยความสงสัยว่านกตัวเล็ก ๆ อย่างมันจะทำอะไรได้
“เอาน่า เอ็งเชื่อใจข้า”
พูดจบ ไมเคิลก็สะบัดปีกโผบินออกไป ผมได้แต่มองตามอย่างอิจฉา
สามวันต่อมา
ผมก็ยังย่ำนาของผมอยู่เช่นเคยเหมือนทุก ๆ วัน ในใจก็ประหวัดคิดไปถึงคำพูดของเจ้าไมเคิล แล้วก็ต้องส่ายหน้าช้า ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง เจ้านกเอี้ยงจะช่วยผมยังไง
กำลังคิดเพลิน ๆ จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกระพือปีกพึ่บพับ ผมแหงนหน้าขึ้นไปดู เจ้าเกลอเอี้ยงตัวแสบนั่นเอง ในปากมันคาบอะไรบางอย่างมาด้วย
ไมเคิลเกาะที่กลางศีรษะผมในตำแหน่งเดิม พลางยื่นสิ่งที่คาบมาให้ผมดูใกล้ ๆ
“อะไรวะ” ผมถาม
“เจ้านี่น่ะ เรียกว่าหนังสือพิมพ์ ช่างเถอะ เอ็งดูรูปนี่”
ผมจ้องมองรูปภาพที่ปรากฏในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ นั้น เป็นรูปมนุษย์ผู้หญิงหน้าตาสะสวย อยู่ในชุดเสื้อผ้าแบบที่ผมไม่เคยเห็นใครใส่มาก่อน ใบหน้าเธอเปื้อนยิ้ม แววตาดูมีเสน่ห์
“นี่ใคร?” ผมถามอย่างงง ๆ
“แฟนนายชดไง” ไมเคิลตอบ
“เอ็งรู้ได้ไง?”
“ดูชื่อเธอสิ”
ผมมองที่รูปแล้วพยายามอ่านข้อความภาษามนุษย์ข้าง ๆ อย่างกระท่อนกระแท่น ก็อย่างที่เขาว่ากันน่ะแหละว่าควายอย่างพวกผมไม่ฉลาดเท่าไรหรอก สมองก็เล็กนิดเดียวไม่เข้ากับขนาดตัวสักนิด แต่ถึงกระนั้นผมก็พอจับใจความได้บ้าง
“นายชดจากข้าไปเพราะคน ๆ นี้” ผมกัดฟันพูดด้วยความเจ็บช้ำที่พลุ่งพล่านในอก หางแข็งทื่อ ตัวสั่นระริก
“เฮ้ย ใจเย็น” ไมเคิลกระโดดขึ้นลงย้ำ ๆ
แต่ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมย่ำออกจากปลักอย่างรีบเร่ง ไมเคิลตกใจรีบปรี่เข้ามาจิกที่หน้าผมรัว ๆ
“โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย!” ผมครางอือดัง ๆ ด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาขวางหันมองไปทางเจ้านกเอี้ยง
“เอ็งจะไปให้มนุษย์จับเข้าโรงเชือดหรือไง คิดก่อนสิ”
ผมหยุดเดิน นิ่งเงียบไปพักใหญ่
“เอ็งฟังข้านะ ถ้าเอ็งจะเข้ากรุงเทพโดยไม่ให้คนแตกตื่น เอ็งต้องทำแบบนี้”
……………………………………………………
ผมเกือบลืมบอกไปแน่ะ ว่าบ้านเกิดที่ผมอยู่นี่น่ะคือจังหวัดสุพรรณบุรี แล้วด้วยความที่ผมเป็นควาย ฉะนั้นปฏิบัติการตามหาเจ้านายครั้งนี้จึงไม่ง่ายเลย
“มออออ มือออ เฮ้ยย แกมาได้ไง ลงไป มออออ”
“เอ่อ ผม ผมขอโดยสารไปด้วยคน คือจะพูดยังไงคือผมมีธุระ เฮ้ย! อย่าดันหลังผม จะตกรถแล้ว เหวอ!”
ความวุ่นวายในลักษณะนี้ดำเนินไปตลอดการเดินทาง เมื่อฝูงวัวจำนวนมากที่จะถูกส่งไปขายต่อในกรุงเทพพากันทั้งผลักทั้งขวิดผมจนเซมะงุมมะงาหราแทบตกรถสิบล้อซึ่งแออัดยัดเยียดไปด้วยพรรคพวกผู้ไม่ประสงค์ให้ผมร่วมทางจำนวนมาก กว่าจะคุยกับเจ้าพวกนี้รู้เรื่องก็เล่นเอาผมลิ้นห้อยไปเลยทีเดียว
เย็นวันนั้น ผมก็มาถึงกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมรที่พวกมนุษย์เล่าขานกันว่าที่นี่รวมความเจริญทั้งหมดเท่าที่ประเทศไทยแห่งนี้มีมาไว้ด้วยกัน ผมรีบถลาลงจากรถแล้วเดินเตาะแตะไปอย่างไร้จุดหมาย ผมรู้สึกตะลึงและตื่นตาตื่นใจมาก ตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ มันดูสูงใหญ่จนควายตัวเล็ก ๆ อย่างผมแทบจะเรี่ยติดดิน
“แกต้องเดินแอบ ๆ ตามซอกตึกหรือที่ ๆ คนไม่ค่อยเดินนะเว้ย เพราะคนกรุงน่ะเขาไม่ค่อยได้เห็นควาย ถ้าช้างเขายังไม่รู้สึกแปลกใจ แต่ถ้าแกไปเดิมโท่ง ๆ กลางถนน อาจจะโดนจับเอา ระวังด้วย”
ผมจำคำเตือนของเจ้าไมเคิลได้แม่นยำ ที่มันรู้ถึงขนาดนี้เพราะมันเองก็เคยตามญาติมาเที่ยวกรุงเทพ เป็นนกก็ดีแบบนี้ล่ะ...
“แม่ ๆ ดูนั่นสิ”
“เฮ้ย บ้านไหนปล่อยควายออกมาเดินกลางถนนวะ ฮ่าๆ”
ผมหันควับไปมองต้นเสียง ตายละวา....ไม่คิดว่าคนจะพลุกพล่านขนาดนี้ นี่ผมว่าผมหลบมาตามซอกซอยสุดชีวิตแล้วนะ
ก้อนหินสองสามก้อนเริ่มปลิวมาทางผม ตามด้วยเสียงหัวเราะร่วนของเด็ก ๆ ไอ้เจ้าพวกนี้นี่....มนุษย์นี่จริงเลย ๆ ผมโกยสิครับ เรื่องอะไรจะอยู่ให้เจ็บตัว แต่ด้วยความที่ผมอุ้ยอ้ายเชื่องช้า ในที่สุดผมก็สะดุดล้มไปจนเสาไฟฟ้าเข้าจังเบอร์
โครม!
เวรกรรมดีแท้ เด็กพวกนั้นวิ่งตามมาแล้วพากันลงไม้ลงมือกับผมจนผมน่วมไปทั้งตัว ผมอยากจะลุกขึ้นแล้วไล่ขวิดซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตอนนี้ผมไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกตัว
โอย.....มาตามหาเจ้านาย ไม่เจอแล้วยังเจ็บตัวอีก!
...........................................................................
ฝนยังคงตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง แต่ละเม็ดหยาดที่ร่วงหล่นลงกระทบผิวดำด้านของผมเหมือนจะเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดทั้งทายร่างกายและจิตใจ ผมปิดเปลือกตาช้า ๆ สติสัมปชัญญะเริ่มรางเลือน ขาทั้งสี่ข้างขยับไม่ได้
หรือผมจะต้องมาตายที่นี่....
ในห้วงที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดกำลังจะดับวูบลง ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของใครบางคนลอยมาจากที่ไกล ๆ
‘บุญยิ่ง.........บุญยิ่ง........’
ผมพยายามพลิกเปลือกตาที่หนาหนักขึ้นแล้วจ้องมองฝ่าม่านสายฝนออกไป แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ภายใต้เงาครึ้มของหยาดน้ำจากสรวงสวรรค์ ทุกสิ่งเลือนราง แต่หูก็ยังได้ยินเสียง
‘บุญยิ่ง......ทำไมแกมาอยู่นี่’
ผมเงี่ยหูฟังอย่างสุดความสามารถ ค่อย ๆ กระดิกกีบเท้าพบว่ายังพอขยับได้อยู่ ตาเหลือบมองดูมนุษย์คนหนึ่งที่ปรากฏตัวตรงหน้า
“บุญยิ่ง!”
นายชด!
อารามดีใจผมรีบลุกขึ้น ครางอือดังลั่นอย่างปลื้มปีติ น้ำตามันไหลออกมาเองผสมกับน้ำฝนจนเปรอะเปื้อนนองหน้า ผมเดินกะโผลกกะเผลกไปหาผู้เป็นนาย
“ไม่น่าเชื่อว่าแกจะมาถึงที่นี่ แกมาตามข้ากลับใช่ไหมบุญยิ่ง...”
นายชดกอดผมไว้ ลูบหน้าผมเบา ๆ ผมสังเกตเห็นว่าแกก็กำลังร้องไห้เช่นกัน
“มันจบแล้วล่ะ...บัวคนเดิมมันจากข้าไปไกลแสนไกลแล้ว” นายชดพูดราวกับอ่านความคิดของผมออก ว่ากำลังจะถามคำถามนี้
นายชดหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์เก่าซอมซ่อ มันยับย่นและเปียกชื้นเพราะโดนฝน แต่ก็ยังพอมองเห็นตัวหนังสือที่พิมพ์ไว้อย่างประณีต
“เขาเรียกว่าบัตรเชิญ....เชิญไปงานแต่งงาน...นี่แหละสิ่งที่ข้าได้จากการมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ แกว่าน่าดีใจไหม”
นายชดไม่รอให้ผมตอบ ความจริงผมก็อยากจะตอบแต่แกก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี แกฉีกกระดาษใบนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทิ้งลงไปในแอ่งน้ำขังที่พื้นถนน
“มา กลับบ้านกันเถอะ”
นายชดตบหลังผมเบา ๆ ผมเดินตามแกไปอย่างลิงโลด
เจ้านายผมกลับมาแล้ว...
...................................................................
ผมออกย่ำเดินไปกลางทุ่งนาเขียวขจี ต้นข้าวที่ชูร่วงเป็นช่องามไสวนั้นดูตระการตา ท่ามกลางแสงแดดที่ทอลงสู่คันนา สะท้อนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ กลิ่นไอดินโชยคลุ้ง
กลิ่นของสวรรค์บ้านนา ที่ ๆ เราทำงานร่วมกัน มีผม มีมนุษย์ใจดีที่ชื่อนายชด
นายชดขี่หลังผม ยิ้มน้อย ๆ ตาเหลือบมองไปทั่วท้องทุ่ง ก่อนจะเริ่มร้องเพลง
“และยังคิดถึงเธอ นะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ชีวิตที่มีเธอ.....”
ผมครางอือดังสนั่น ทำเสียงหายใจฟืดฟาดเป็นการสื่อว่าไม่ชอบ
นายชดหัวเราะ
“บ้ะ แกไม่ชอบหรอ เพลงนี้ในกรุงเขากำลังฮิต ของวงบอดี้ ๆ อะไรสักอย่าง บอดี้...วู้ ภาษาปะกิตข้าจำไม่ได้โว้ย เอาเถอะถ้าแกไม่ชอบข้าเปลี่ยนเพลงก็ได้”
นายชดครวญเพลงลูกทุ่งที่ตัวเองถนัดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งทว่ามันฟังสุดแสนจะไพเราะในความรู้สึกผม ผมแลบลิ้บแผลบ ๆ อย่างพอใจ เหลือบมองไปบนต้นไม้เห็นเจ้าไมเคิลกระดิกหัวถี่ ๆ แสดงความยินดีที่ผมได้เจ้านายสุดรักกลับมา
.................................................................................................................
เป็นจั๋งได๋น้อความฮัก เป็นจั๋งได๋น้อความฮัก
ที่เคยหอมเคยกอด คิดฮอดแล้วหนาวหัวใจ
สัญญาไว้ สิมาหมั่นมาหมาย
ไหลผ่านปานขี่ฝ่าลืมฟ้าแล้วบ่น้อ
บอกให้คอยยังจำได้บ่ คำสัญญายังจำได้บ่
เหงาส่ำได๋บ่ท้อ เก็บใจถ่าบ่ถอย
คิดฮอดเด้อ ความฮักแท้ป่านนี้อยู่ไส…..
ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง “คิดฮอด”
Bodyslam feat. ศิริพร อำไพพงษ์
ความคิดเห็น