แสงสลัวอันริบหรี่จากเทียนไขเล่มเล็กท่ามกลางความมืดมิดและลมพายุฝนรุนแรงที่พัดกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวและน่าระทึกขวัญในจิตใจ ก้อนเนื้อใจอกข้างซ้ายเต้นกระตุกถี่รัวอย่างลุ้นระทึก เมื่อบรรยากาศรอบข้างที่กำลังเผชิญอยู่นี้ช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกินกับเรื่องเล่าที่คุณพ่อของเขากำลังเล่าให้ฟังอยู่ในขณะนี้
-จาเร็ด เด็กชายผู้มีความชอบเกี่ยวกับเรื่องราวสยองขวัญชวนให้ประสาทหลอน ถึงแม้ว่าบางครั้งความกลัวในยามที่ได้รับฟังมันมากกว่าความใคร่อยากจะฟังก็ตามแต่
และแม้ว่าเรื่องราวที่คุณพ่อของเขาเล่าให้ฟังในแต่ละครั้งนั้นมันจะน่าสะพรึงกลัวมากเสียจนบางครั้งที่เกือบจะนอนหลับบนเตียงคนเดียวไม่ได้ หรือบางทีที่ต้องขอให้คุณพ่อหรือคุณแม่คนใดคนหนึ่งอยู่เล่นเกมกระดานหมากรุก หรือนั่งต่อจิ๊กซอว์เป็นรูปต่างๆด้วยกันไปจนถึงตอนเช้า จาเร็ดก็ยังคงชอบอยู่เสมอที่จะขอให้คุณพ่อได้เล่าเรื่องราวสุดสยองเหล่านั้นให้ฟังก่อนนอนทุกคืน
แต่ละเรื่องราวที่คุณพ่อเล่าให้ฟังนั้นก็น่ากลัว
"กลิ่นสาบของคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เมื่อปลายมีดแหลมคมนั้นค่อยๆกรีดลึกลงไปบนหน้าท้องสีนมทีละนิดๆ เหยื่อสาวกรีดร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด และมันน่าเสียดายเหลือเกินที่กระท่อมกลางป่าลึกเช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่จะมีคนเดินผ่านมาพบเธอและให้การช่วยเหลือ"
โดยเฉพาะในคืนนี้ที่จาเร็ดรู้สึกว่ามันน่ากลัว ปั่นประสาท แต่ก็น่าติดตามกว่าทุกที่คุณพ่อเคยได้เล่ามาทั้งหมด
"เสียงร้องอันน่าสงสารไม่ได้ทำให้ฆาตกรใจอำมหิตทั้งสองเกิดความสงสารแต่อย่างใด กลับกัน มันยิ่งสร้างความกระหายให้ฆาตกรโรคจิตนั้นใคร่อยากจะฟังเสียงร้องอันทุกข์ทรมานของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ"
เขาเล่ารายละเอียดของมันได้ถี่ถ้วนดีจนเห็นภาพ
เหมือนจริง เหมือนจริงเสียเหลือเกิน
"ทันใดนั้นเอง ฆาตกรผู้มีรอยแผลไฟไหม้อยู่ที่หลังมือด้านขวา ส่งมือของเขาคว้านลึกเข้าไปในช่องท้องที่ถูกกรีดของเธอ... ก่อนที่เขาจะ..."
เปรี้ยงงงง !
"ฮื่อออ คุณพ่อ! จากลัว!"
กายบอบบางสะดุ้งโหยง จาเร็ดโผเข้ากอดแขนของผู้เป็นพ่อไว้แน่นทันทีเมื่อเสียงดังของฟ้าร้องดังแทรกจังหวะที่คุณพ่อของเขากำลังจะเล่าถึงตอนสำคัญของเรื่องราว และเสียงนั่นสร้างความตกใจให้กับเด็กชายอย่างสุดขีดจนขวัญกระเจิง และเขาไม่สามารถอยู่ทนฟังเรื่องราวนั้นของผู้เป็นพ่อได้อีกต่อไป เมื่อตอนนี้ความกลัวนั้นมีมากกว่าความอยากรู้อยากฟังเสียแล้ว
"ฮะฮ่า พ่อก็บอกแล้วว่าอย่าอยากรู้อยากฟังให้มันเยอะ"
-จอร์ช หัวเราะออกมาเมื่อมองเห็นท่าทางสั่นกลัวของเจ้าลูกชายตัวแสบ เช่นเดียวกับภรรยาคนสวย -เคธ ที่พึ่งจะยกแก้วนมอุ่นๆมาให้ลูกชายได้ดื่มก่อนนอนหลับทุกคืนถึงในห้อง เธอเดินตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างของสองพ่อลูกนอนแผ่กอดกันกลมอยู่ ค่อยๆหย่อนสะโพกลงนั่งบนเตียงที่มีร่างของลูกชายตัวน้อยอยู่ข้างๆ
"วันไหนกลัวขึ้นมาก็ลำบากพ่อกับแม่ต้องคอยเล่นเกมเป็นเพื่อนจนถึงเช้า"
"ก็จากลัวนี่ครับคุณแม่ เรื่องเล่าของคุณพ่อน่ากลัวจะตาย อย่างกับเอาเรื่องจริงมาเล่า"
"กลัวแล้วก็ยังจะชอบฟังอีกนะเรา ขอให้พ่อเล่าให้ฟังทุกคืน"
จริงอย่างที่เคธกล่าว ลูกชายของเธอนั้นค่อนข้างที่จะมีนิสัยและความชอบที่ผิดแปลกไปจากเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะนิทานก่อนนอนที่เธอต้องเล่าให้ฟังทุกคืน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันก็ไม่รู้ ที่จาเร็ดเริ่มที่จะชอบเข้าไปค้นอ่านหนังสือนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวน หรือไม่ก็แนวสยองขวัญปั่นประสาท ที่เด็กวัยเดียวกันนั้นไม่ค่อยจะสนใจกันสักเท่าไรนัก และค่อนข้างที่จะหวาดกลัวต่อเรื่องปรุงแต่งพวกนั้นด้วยซ้ำไป
แต่นั่นอาจจะเป็นผลพวงมาจากการที่สามีของเธอเป็นนักเขียนนิยายแนวฆาตกรรมชื่อดังก็ได้ ลูกชายตัวน้อยถึงได้ซึมซับเรื่องราวเหล่านี้มาบ้าง
บทสนทนาของทั้งสามพ่อแม่ลูกดำเนินไปอย่างมีความสุข และชวนให้ยิ้มแย้มตาม ในขณะที่ลมพายุด้านนอกยังคงพัดกระหน่ำต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เปลวเทียนอันริบหรี่สั่นไหวเพราะแสงไฟของมันใกล้จะหมดลงเต็มทน ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณเตือน ว่าเวลานี้จาเร็ดควรที่จะรีบเข้านอนได้แล้ว
"ดื่มนมแล้วรีบนอนเถอะเจ้าตัวแสบ ให้รอจนกว่าพายุด้านนอกจะสงบก็คงจะรุ่งสาง ไม่ต้องได้นอนกันพอดี"
"ฝนตกเสียงดังขนาดนี้จานอนไม่หลับหรอกครับคุณแม่"
"นอนลงแล้วหลับตาซะ เดี๋ยวมันก็หลับไปเอง"
"ไม่เอาครับ จาอยากให้คุณพ่อเล่าให้ฟังอีก"
ละสายตาจากผู้เป็นแม่ก่อนจะหันไปสบสายตากับผู้เป็นพ่อด้วยแววตาออดอ้อน ถึงแม้ว่าภายในใจจะกลัวแสนกลัวก็ตาม จอร์ชยิ้มเมื่อเห็นสีหน้างอแงของลูกชาย แต่การเล่านิทานก่อนนอนเป็นอันต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้แล้ว เมื่อแสงเทียนอันริบหรี่ในคราแรกนั้นดับลง เหลือแต่เพียงแสงไฟจากตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะทำการบ้านของเด็กชายเท่านั้นที่ยังคงมอบแสงสว่างแก่ภายในห้องนี้อยู่
"ดึกแล้ว เด็กดีควรจะนอน"
"ผมต้องฝันร้ายอีกแน่ๆเลย บรรยากาศคืนนี้ก็น่ากลัว"
"ลูกจะนอนหลับฝันดีอย่างแน่นอน ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะลูกรัก"
น้ำนมสีขาวในแก้วถูกยกขึ้นดื่มจนหมด ก่อนที่เคธจะก้มลงจูบบนหน้าผากมนของลูกชายตัวน้อยที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเพื่อให้คลายกังวลจากอาการหวาดกลัว แสงสว่างค่อยๆหายลับไปจากห้องยามเมื่อตะเกียงไฟที่วางอยู่บนโต๊ะถูกหยิบยกออกไป และสิ่งสุดท้ายที่จาเร็ดได้มองเห็นก็คือรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของบุพการี ก่อนที่เด็กน้อยจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างกะทันหันเมื่อเขาได้ล้มตัวลงนอน
ท่ามกลางลมพายุที่พัดกระหน่ำอยู่กลางป่าลึก ได้ปรากฏร่างของชายร่างสูงที่กำลังฝ่าลมพายุไปพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายข้างใบใหญ่ คล้ายกับว่าเขากำลังรีบมุ่งหน้าไปยังที่แห่งไหนสักที่ที่ไม่สามารถรีรอให้ถึงตอนเช้าได้อีกแล้ว เขาถึงได้เดินฝ่าสายฝนในกลางดึก ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ในป่าใหญ่
ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าไหร่แล้ว มือหนายกขึ้นปาดน้ำฝนที่นองอยู่ทั้งบนใบหน้าและเส้นผม สายตานิ่งเรียบของเขามองสอดสองเข้าไปในความมืดมิดของป่ากว้าง ราวกับว่ากำลังมองมันอย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งที่สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้านี้ลดหย่อนการมองเห็นของเขาไปถึงครึ่งต่อครึ่ง
ฝ่าเท้าที่ถูกห่อหุ้มโดยรองเท้าบูทเหยียบย่ำลงบนดินชื้นแฉะไปในป่าใหญ่ แสงสลัวจากการที่ฟ้าแล่บทำให้มองเห็นหนทางข้างหน้าขึ้นมาบ้าง ว่าเขาควรที่จะเดินไปทางไหนเพื่อให้ถึงยังจุดหมายปลายทางต่อ
บางทีมันอาจจะเป็นบ้านไม้หลังเล็กกลางป่าที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตรงหน้าจากที่เขายืนอยู่
00.06 am
เสียงฟ้าร้องที่ยังดังกึกก้องอยู่บริเวณนอกบ้านหลังเล็กนี้ทำให้ร่างของเด็กน้อยสะดุ้งจากห้วงแห่งนิทรา ดวงตากลมมนปรือขึ้นอย่างช้าๆเนื่องจากอาการสะลึมสะลือหลังจากที่ตื่นนอนจากอาการหลับลึกกว่าปกตินั้นยังไม่หายไป จาเร็ดนึกแปลกใจที่ตนเองหลับลึกกว่าปกติทุกวันที่เขานอนหลับ เขาจะต้องหลับตาแน่นแล้วคลุมโปงก่อนนอนด้วยซ้ำหลังจากที่ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิดแล้ว
โดยเฉพาะในคืนที่ฝนตก จาเร็ดจะหลับยากกว่าเดิมเป็นพิเศษ
ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นนอนตัวเกร็งและสายตาเริ่มที่จะมองสอดส่องไปทั่วทั้งห้อง เมื่อจู่ๆเสียงพูดคุยปริศนาก็ดังขึ้นให้ได้ยิน พร้อมทั้งเสียงโยกย้ายไปมาของเฟอร์นิเจอร์ด้านนอกห้องที่ทำให้จาเร็ดยิ่งใจเต้นเพราะความกลัวเข้าไปใหญ่ บ้านหลังเล็กนี่เป็นไม้ทั้งหลัง นั่นจึงไม่แปลกเลยสักนิดที่แม้แต่การเดินไปมาเพียงก้าวสองก้าวก็ทำให้จาเร็ดที่นอนนิ่งอยู่ได้ยินเสียงต่างๆที่อยู่ภายนอกห้องเสียแล้ว
แสงไฟจากด้านนอกห้องที่สอดผ่านบานประตูไม้เข้ามานั่นทำให้จาเร็ดนึกสงสัย ว่าใครกันแน่ที่กำลังเที่ยวเดินไปมาและทำเสียงดังอยู่ในห้องรับแขกด้านนอกห้องนอนของเขาในขณะนี้ ไม่รอช้า จาเร็ดรีบพับเก็บความกลัวของตัวเองเอาไว้ในใจ ความคิดในหัวได้พาร่างกายให้ไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องเสียแล้ว มือเล็กค่อยๆบิดและแง้มประตูเปิดออกดูเพียงครู่ ก็เห็นวาเป็นคุณแม่ของตัวเองที่กำลังยกชาร้อนจำนวนสองถ้วยเดินผ่านหน้าไป
ว่าแต่ ดึกขนาดนี้แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่นอนหรือไงกัน
"ไม่น่าเชื่อว่าพายุหนักขนาดนี้แกยังอุส่าฝ่ามาได้"
"เรื่องแค่นี้ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับฉันหรอก"
เสียงทุ้มเข้มของชายสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นทำให้จาเร็ดนึกแปลกใจ ว่าพ่อกับแม่ของตนไม่ได้อยู่ด้วยกันแค่สองคน แต่คุณพ่อของเขากำลังคุยอยู่กับใครคนหนึ่งที่จาเร็ดก็ไม่ได้มองเห็นใบหน้าของเขาผู้นั้นชัดเจนนัก เนื่องจากแสงไฟริบหรี่จากเทียนไขเล่มเล็กในห้องนั่งเล่นนั้นไม่ได้มอบแสงสว่างมากมายซะทีเดียว
"แกมาเยี่ยมฉันล่าสุดก็เมื่อหกปีก่อน ตอนที่ฉันยังไม่พาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่กระท่อมกลางป่านี่ด้วยซ้ำ"
จอร์ชพูด เขามองไปยังใบหน้านิ่งเรียบที่เพื่อนสนิทของตนชอบทำอยู่เป็นประจำ ร่างสูงที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงข้ามกับเขายกชาร้อนที่ภรรยาคนสวยของเพื่อนสนิทนำมาเสิร์ฟให้ขึ้นจิบ พลันสายตาเฉียบคมสีทมิฬนั้นก็จ้องมองไปยังร่างของคู่รักสามีภรรยาที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโซฟาสีน้ำตาลไหม้
"เกิดอะไรขึ้นหรือไงถึงได้ตามมาพบฉันถึงที่นี่"
เขาเอ่ยถามยิ้มๆแต่นั่นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ว่าเพื่อนรักที่ไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งหกปี ทำไมถึงมาโผล่ที่หน้ากระท่อมของเขาได้ในคืนที่ลมฝนโหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ แถมเมื่อครั้งที่ได้เจอกันล่าสุด จอร์ชกับภรรยาและลูกชายยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ
เขาจึงได้นึกสงสัยว่า -วิลล์ ที่เกือบกลายเป็นอดีตเพื่อนรักหลังจากที่ไร้การติดต่อซึ่งกันไปยาวนานถึงหกปี รู้และหาเขาเจอได้อย่างไรในป่ากว้างนี้
"ภารกิจใหม่ของฉัน งานมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ฉันเลยอยากได้คู่หูของฉันไปช่วยกันทำให้ภารกิจนี้สำเร็จ"
"วิลล์.."
"งานนี้ผู้ว่าจ้างจ่ายหนัก เพิ่มค่าตัวให้เป็นสามเท่า"
บทสนทนาที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจนักของคุณพ่อและชายแปลกหน้ายิ่งเพิ่มทวีคูณความอยากรู้แก่จาเร็ดเข้าไปใหญ่ ร่างเล็กแง้มประตูออกกว้างกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆชะโงกหน้าออกมาจากห้องทีละเล็กทีละน้อย เพื่อสังเกตการณ์ว่าคุณพ่อและชายแปลกหน้าผู้นั้นคุยเรื่องอะไรอยู่กันแน่
"ฉันทำมันไม่ได้"
"แกต้องทำ แกรู้ดี ถ้าแกไม่ทำมันจะเกิดอะไรขึ้น"
"ไม่วิลล์ ฉันทำมันไม่ได้อีกแล้ว"
"แกก็รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ฉันเลิกเป็นมือปื-"
"จาเร็ด ทำไมยังไม่นอนอีกจ๊ะเด็กดี"
กายบางสะดุ้งโหยงเพราะเสียงเอ่ยทักของคุณแม่ที่บังเอิญเดินเข้ามาพบเขาที่แอบเปิดประตูฟังบทสนทนาเหล่านั้นเข้าพอดี สีหน้าของเธอยังยิ้มแย้มหวานหยดย้อยอย่างไม่มีเปลี่ยน พร้อมทั้งร่างของคุณแม่คนสวยที่เดินเข้ามาใกล้เจ้าลูกชายตัวจ้อย บทสนทนาระหว่างชายทั้งสองจึงต้องเงียบลงและเบี่ยงความสนใจมายังร่างเล็กของจาเร็ดที่รีบลุกขึ้นยืนแทน
"จา.. เอ่อ จาแค่อยากเข้าห้องน้ำครับ"
"อ่า.. พูดแบบนี้กลัวจนฉี่รดที่นอนหรือเปล่านะลูกแม่"
"คุณแม่ จาเปล่าสักหน่อยครับ"
"จาเร็ด มาทางนี้สิลูก"
เสียงของผู้เป็นพ่อเอ่ยเรียกลูกชายตัวเล็กอย่างนุ่มนวล จาเร็ดจึงละความสนใจจากการสนทนากับผู้เป็นแม่และเดินไปหาพ่อของเขาที่นั่งคุยอยู่กับชายผู้หนึ่งอยู่
"มาทำความรู้จักกับเพื่อนของพ่อ"
จาเร็ดเดินไปนั่งยังที่ว่างบนโซฟาข้างๆกับผู้เป็นพ่อ ดวงตากลมมนจ้องมองไปยังชายที่ตนเองไม่คุ้นหน้า และคิดว่าไม่เคยพบกับเขามาก่อน สายตาทั้งสองสอดประสาน แต่เด็กชายกลับเป็นฝ่ายหลบสายตาลงต่ำไม่กล้ามอง เพราะดวงตาของอีกฝ่ายที่มองมานั้นช่างราบเรียบและนิ่งงันเสียจนเดาใจไม่ออก
สายตาเฉียบคมนั้นคล้ายกับพวกฆาตกรโรคจิตเวลาที่มองเหยื่อของเขาแบบที่คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิด
"วิลล์ เพื่อนสนิทพ่อเอง ทักทายเขาสิ"
"สวัสดีครับ อาวิลล์"
"นี่จาเร็ด ลูกชายของฉัน"
จอร์ชเอ่ยแนะนำลูกชายของเขาแก่เพื่อนสนิท ชายหนุ่มมองพิจารณาไปยังใบหน้าวัยเยาว์ที่ถอดแบบพิมพ์เดียวกับเพื่อนสนิทตัวเองมาไม่มีผิดเพี้ยน
"น่ารักน่าชังไม่เบา"
เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยออกมา พร้อมกับที่ใบหน้านิ่งเรียบดูน่ากลัวค่อยๆเผยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก จาเร็ดเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง เด็กน้อยรู้สึกแปลกใจนักที่ในความเฉยชาของใบหน้านิ่งเรียบเช่นนั้น เพียงแค่เขาเผยรอยยิ้มเล็กๆออกมา มันกลับแผ่ซ่านความอบอุ่นออกมาจากใบหน้านั้นได้อย่างแปลกประหลาด
จาเร็ดยิ้มตอบกลับเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
อะไรกัน ในตอนแรกจาเร็ดคิดว่าชายผู้นี้คงมีน้ำเสียงและสายตาที่ขึงขังน่ากลัวไปกว่านี้ แต่นี่เขากลับดูท่าทางใจดียิ่งกว่าที่คิดเสียด้วยซ้ำ
"นี่ดึกมากแล้วเด็กดี พ่อว่าลูกควรเข้านอน"
และการบังคับให้ไปนอนโดยการใช้น้ำเสียงแสนอ่อนโยนนั้นของคุณพ่อก็ดังขึ้นเพื่อยุติบทสนทนาการทำความรู้จักกันของทั้งสอง จาเร็ดไม่กล้าปฏิเสธ แต่ลึกๆแล้วใภายในใจเด็กชายก็ยังไม่อยากที่จะเข้านอนอีกรอบหนึ่งเช่นกัน ทั้งร่างกายที่พึ่งตื่นนอน และเสียงคำรามของสายฟ้าจากด้านนอก สิ่งเร้าพวกนั้นทำให้การนอนหลับของจาเร็ดเป็นไปได้ยากยิ่ง
"จาพึ่งตื่นขึ้นมาเองนะครับ ฟ้าร้องเสียงดังแบบนี้จานอนไม่หลับหรอกครับคุณพ่อ"
เด็กน้อยให้เหตุผล และหวังเพียงว่ามันอาจจะมีมวลมากพอที่ทำให้คุณพ่อของเขาเห็นใจ ยอมปล่อยให้จาเร็ดสามารถลืมตาตื่นได้อีกสักนิดและเข้านอนไปพร้อมกันเมื่อถึงเวลาที่คุณพ่อและคุณแม่จะต้องเข้านอนแล้ว แต่พิจารณาจากสีหน้าของคุณพ่อ เหมือนเขาจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่
"เรามาเล่นเกมด้วยกันสักหนึ่งตาดีไหม"
จาเร็ดได้ยินมันออกมาจากปากของคุณอา และเขาคิดว่ามันฟังดูน่าสนใจมากๆ ประกอบกับที่เมื่อหันไปมองยังใบหน้าของคุณพ่อก็ได้รับเพียงแต่รอยยิ้มอบอุ่นกลับมา ไม่มีคำปฏิเสธหรือคำสั่งห้ามใดๆ เพียงแค่นั้นจาเร็ดก็รู้แล้วล่ะ ว่าคืนนี้เขาจะไม่ถูกดุแน่ๆหากว่าเขาเข้านอนดึกมากกว่าปกติไปสักเล็กน้อย
มุมปากอวบยิ้มอย่างดีใจ ดังนั้นกระดานหมากรุกของขวัญแสนล้ำค่าจากคุณพ่อจึงถูกรื้อออกมาจากชั้นเก็บของและนำมาวางไว้บนโต๊ะรับรองนี้อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่าเดิม จาเร็ดจึงลงมือจัดเรียงตัวหมากลงบนลายตารางของกระดานด้วยความคล่องแคล่ว ซึ่งการกระทำทั้งหมดนั้นก็ถูกบันทึกผ่านสายตาของร่างสูงที่นั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้ามไว้ทั้งหมด
"เล่นเก่งหรือ? เธอดูคล่องแคล่ว"
"ผมเล่นบ่อยครับ แต่ไม่ค่อยเก่ง"
"งั้นเหรอ"
"ครับ เล่นกี่ตาก็แพ้คุณพ่อตลอดเลย นอกจากว่าเขาจะออมมือให้ผม"
"แล้วอยากรู้ไหม ว่าต้องวางแผนยังไงให้เราเป็นฝ่ายชนะได้ทุกตา"
คำพูดของเขายังเปรียบเสมือนกลอุบายที่ทำให้จาเร็ดนั้นตกหลุมพรางโดยง่าย เด็กหนุ่มเงียบเสียงก่อนจะเพ่งเล็งความสนใจทั้งหมดไปที่ชายผิวแทน เงี่ยหูฟังและค่อยๆทำความเข้าใจกับทุกเคล็ดลับที่เขาเอ่ยปากบอก มันไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมากมายเลยสำหรับเกมกระดานหมากรุกนี้ แค่ความมีสติ ว่องไว และรอบคอบ นั่นก็จะสามารถทำให้ชนะได้โดยง่าย
เมื่อพิจารณาดูแล้ว จาเร็ดคิดว่าคุณอาที่เขาพึ่งจะได้รู้จักนี้ต้องเป็นคนใจเย็นมากแน่ๆ ฟังจากระบบแนวคิดที่มีในหัวของเขามันค่อนข้างที่จะแตกต่างจากคนอื่นออกไปสักเล็กน้อย แต่สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือไหวพริบ ความว่องไวของสายตา การตัดสินใจที่เด็ดขาด รวมไปถึงท่าทางนิ่งงันที่ทำให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างจาเร็ดเดาใจยากไปอีกขั้น ว่าเขาจะเดินหมากตัวไหนต่อ
"อาวิลล์เก่งจังเลยครับ ผมอยากรู้จังว่าถ้าแข่งกับคุณพ่อใครจะเป็นฝ่ายชนะ"
จาเร็ดเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ดวงหน้าหวานมองสลับมือหนาหยาบกร้านที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด ขณะที่เขาเคลื่อนย้ายตัวหมากในเกมกระดานได้อย่างลื่นไหลและดูมีชั้นเชิง เด็กน้อยชอบมันเหลือเกิน เมื่อรอยยิ้มร้ายๆแบบนั้นปรากฏชัดขึ้นบนมุมปาก ยามเมื่อคนร่างสูงเป็นฝ่ายรุกฆาตเด็กตัวเล็กได้สำเร็จ
"อีกตาหนึ่งนะครับ ผมสาบานเลยว่าจะเอาชนะอาวิลล์ให้ได้"
"ทำได้ก็ลองดู"
"แต่รอบนี้ต้องมีของมาพนันด้วยนะครับ"
จาเร็ดเสนอ วิลล์เลิกคิ้วเมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงของคนอายุน้อยกว่าบอกมาแบบนั้น
"เธอจะพนันอะไรล่ะ"
"ถ้าผมชนะ อาวิลล์ต้องเล่าเรื่องสยองขวัญให้ผมฟังนะ!"
แม้แต่ของรางวัลในเกมกระดานง่ายๆแบบนี้ ดูเอาเถอะว่าจาเร็ดก็ยังไม่ยอมละทิ้งสิ่งที่ตนชอบที่สุด แม้ว่าจะกลัวมันอยู่มากก็ตามแต่
"ถ้าฉันชนะล่ะ ฉันได้อะไร?"
วิลล์ถามกลับบ้าง นั่นเป็นคำถามที่จาเร็ดเองก็ไม่ได้เตรียมคำตอบไว้
นั่นสิ วิลล์เองก็อยากรู้ ว่าสิ่งที่เขาจะได้รับมันจะคุ้มหรือเปล่ากับการที่เขายอมเผยเทคนิคในการเล่นกระดานหมากรุกนี้ให้
"ถ้าอาวิลล์ชนะ ผมแบ่งพื้นที่บนเตียงของผมให้อาวิลล์นอนพักคืนนี้ก็ได้"
นั่นก็เป็นคำตอบและของรางวัลที่ วิลล์เองก็ไม่ได้คิดไม่ฝันไว้ว่าจาเร็ดจะมอบให้เช่นเดียวกัน
"นี่มันก็ดึกแล้วแถมพายุยังโหมกระหน่ำอยู่แบบนี้ อาวิลล์ติดฝนอยู่ที่นี่แน่ๆคืนนี้"
มันเป็นคำพูดคำจาของเด็กที่ไม่ได้รู้ประสีประสาและมันมีความน่ารักน่าเอ็นดูซ่อนอยู่ในตัวของมันเอง นับเป็นความกรุณาที่แสนใจดีอยู่ไม่น้อย
ใจดีผิดคน
"มาเล่นกันเถอะ มาดูกันว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน"
สิ้นเสียงของชายหนุ่ม สงครามเกมกระดานหมากรุกขนาดย่อมก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ได้ผ่านการแข่งขันกันมานักต่อนักแล้ว มาตานี้จาเร็ดดูตั้งใจยิ่งกว่าในคราวก่อนเป็นเท่าตัวเพราะไม่อยากยอมแพ้ พยายามนึกถึงเทคนิคที่ชายฝั่งตรงข้ามได้พร่ำสอน และเขาแอบจ้องมองพร้อมทั้งอ่านการเดินเกมของคู่ตรงข้ามอย่างไม่วางตา
และมองเห็นว่ามือหนาของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังหยิบจับตัวหมากเพื่อเดินเกมอยู่นั้นมีรอยแผลเป็นคล้ายถูกไฟไหม้อยู่บริเวณหลังมือข้างขวา
เขาคงจะเจ็บปวดกับมันน่าดู ตอนที่แผลนั้นยังไม่แห้งสนิทดีนัก
"เอาแต่เหม่อแบบนั้นเดี๋ยวก็แพ้หรอก"
"ค..ครับ?"
จาเร็ดที่พึ่งหลุดออกจากภวังค์ขานรับตะกุกตะกัก นั่นเพราะรู้ตัวว่าเขาถูกจับได้เสียแล้วสำหรับการที่ตั้งใจมองไปยังมือคู่นั้นของชายร่างสูงตรงหน้ามากเกินไป
"ตาเธอแล้ว หนุ่มน้อย"
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ แต่ครั้นเมื่อจะหยิบตัวหมากเดินเกมต่อ เขากลับต้องรู้สึกงงงวยกับกระดานหมากตรงหน้าที่ดูแปลกตาไปหมดเสียแล้ว และนั่นมันทำให้จาเร็ดต้องรู้สึกลนลานขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไม่รู้ว่าจะต้องเดินเกมต่อไปอย่างไรดี
จาเร็ดเป็นรองอีกฝ่ายอยู่มากโข ทั้งอายุ ไหวพริบ และประสบการณ์
"รุกฆาต.."
และมันเป็นวิลล์อีกครั้งที่ได้รับชัยชนะในเกมนี้ไป
รอยยิ้มเบาบางที่มุมปากของเขามองดูอารมณ์ดีไม่น้อยสำหรับชัยชนะที่ได้รับ ต่างกันกับจาเร็ดอย่างลิบลับที่รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะความประมาทของตัวเองแท้ๆจึงทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะชนะในเกมตานี้ไป
"ผลออกมาแพ้ได้ยังไงกันนะ ผมคิดว่าตัวเองจะชนะด้วยซ้ำ"
"เพราะฉันออมแรงหรอก"
"ไม่เห็นจะออมแรงตรงไหนเลย สุดท้ายแล้วผมก็แพ้อยู่ดี"
จาเร็ดทำหน้ามุ่ยอย่างไม่ชอบใจให้กับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนเอาจริงเอาจังอะไรกับเกมกระดานพวกนี้มากนัก
"เอาน่า.."
"ผมแค่เสียดายนิดหน่อย นั่นตาสุดท้ายแล้ว"
"ก็ตาสุดท้ายแล้วจริงๆ.."
เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่งเรียบนิ่งเสียงเบาอย่างที่จาเร็ดไม่มีทางที่จะได้ยิน เขาปั้นรอยยิ้มใจดีขึ้นบนมุมปาก ส่งไปให้เด็กน้อยฝั่งตรงข้ามที่ยังไม่หายดีจากอาการหน้างุ้มงอ หลังจากที่ผลการเล่นเกมกระดานหมากรุกได้จบลงไปเมื่อสักครู่อย่างหมาดๆ
"ผมอดฟังเรื่องสยองขวัญ"
"มันก็ไม่แน่.."
จาเร็ดหูผึ่งเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาที่แสนหนักอึ้งจากอาการง่วงนอนที่เริ่มเกิดขึ้นก็เหมือนจะเปล่งประกายและเบิกโพล่งมากขึ้นจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด
"ผมอยากฟัง"
"ดึกแล้ว ฉันอยากพักผ่อน"
"โธ่ อาวิลล์"
เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยท่าทางและน้ำเสียงงอแงเมื่อถูกขัดใจ ผิดกับคุณอาที่กำลังฉีกยิ้มและหัวเราะเสียงเบาในลำคอเมื่อได้กลั่นแกล้งเด็กตรงหน้าได้สำเร็จ
"อย่างที่อาวิลล์บอก คนดีควรเข้านอนได้แล้วนะ"
คุณแม่ของเขาที่นั่งมองดูการแข่งขันเมื่อครู่อยู่ตรงโซฟาข้างๆเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อจาเร็ดหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นพ่อก็ได้รับเป็นคำตอบอย่างเดียวกัน นั่นจึงถึงเวลาแล้วที่เด็กทีจะต้องเข้านอนเป็นครั้งที่สอง ในเวลาที่ดึกดื่นและลมฝนข้างนอกตัวบ้านที่เหมือนจะพัดรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม
"ก็ได้ครับ แต่อาวิลล์นอนกับผมนะ"
"จาเร็ด.."
"ผมทำตามข้อตกลงนี่ครับแม่ ผมแพ้ ผมก็ต้องยอม"
จาเร็ดเอ่ยอธิบายให้กับผู้เป็นแม่ได้รับฟัง พลางมองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของพ่อและแม่ที่ต่างก็มีท่าทีเรียบนิ่งขึ้นจากในคราแรกที่ร่วมนั่งวงสนทนาต่อกัน
เขาไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมบุพการีทั้งสองจึงได้มีท่าทางเช่นนั้นออกมา แต่ในเมื่อเขาสัญญาแล้ว สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา เรื่องการแบ่งที่นอนไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรของจาเร็ดอยู่แล้ว
มันดีเสียอีกที่จะได้มีเพื่อนนอนในคืนที่พายุฝนฟ้าตกลงมาอย่างน่ากลัวเช่นในคืนนี้
"ขอบใจสำหรับที่นอน"
นั่นคล้ายกับว่าวิลล์จะตอบกลับต่อเพื่อนชายหญิงทั้งสองของเขามากกว่า
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูไม่เต็มใจเท่าไรนักก็ตามแต่ ที่ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธต่อความหวังดีนั้นของเด็กหนุ่มอย่างเกรงอกเกรงใจ
"รีบเข้านอนเถอะ คนดี"
"ราตรีสวัสดิ์นะครับคุณพ่อ คุณแม่"
จาเร็ดเอ่ยบอกโดยที่ไม่ลืมบอกฝันดีพร้อมทั้งส่งจูบราตรีสวัสดิ์แสนหวานลงบนแก้มของบุพการีทั้งสอง จัดการเดินนำไปที่ห้องนอนของตัวเองก่อนเพราะกลัวว่าอีกคนจะไม่รู้ทาง
โดยที่ไม่ได้หันไปเห็นใบหน้าของบุพการีเลยสักนิด ว่าเขาทั้งสองมีท่าทีกระอักกระอ่วนกันมากเพียงใด
จนกระทั่งประตูห้องนอนถูกปิดลง และจาเร็ดที่เดินตรงไปนั่งลงบนเตียงนอนของตัวเอง
"ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเข้ามานอนบนเตียงนุ่มๆนี้ของผมนะ"
"ขอบใจที่เมตตา ให้ฉันใช้เตียงด้วย"
"เตียงผมใหญ่จะตาย ไม่เป็นไรหรอกครับ"
"หรือเพราะแค่ว่าเธอกลัวผีจากเรื่องสยองขวัญพวกนั้นกันแน่นะ"
"เปล่านี่ครับ ผม.. ผมมีเมตตาของที่คุณบอกต่างหากล่ะ"
ทั้งสองต่างถกเถียงกันในระหว่างที่เตรียมตัวเข้านอน ใช้เวลาไม่นานนัก เตียงนอนกว้างที่ถูกทิ้งให้ว่างเปล่าเมื่อก่อนหน้าจึงถูกจับจองโดยสองร่างของอาหลาน นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่ช่วยนำพาความอบอุ่นให้เข้ามาสู่ร่างกาย จาเร็ดรู้สึกว่าดวงตาเริ่มหนักอึ้ง เขาใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วทุกที
"เธอชอบเรื่องสยองขวัญหรือ?"
ท่ามกลางความเงียบที่จาเร็ดเกือบจะเข้าสู่ห้วงแห้งนิทราไปแล้ว จู่ๆกลับมีเสียงทุ้มของคนที่นอนอยู่ข้างๆเอ่ยถามขึ้น
"ผมชอบฟังมากๆครับ คุณพ่อก็ชอบเล่าให้ฟังด้วย"
"งั้นหรือ"
"แต่ผมกลัวผีนะครับ กลัวจนนอนไม่หลับเลย"
จาเร็ดบอกเล่าถึงอาการของตัวเองที่ค่อนข้างจะสวนทางกันกับความชื่นชอบส่วนตัวเหลือเกิน
"อาวิลล์ล่ะ มีเรื่องน่ากลัวๆมาเล่าสู้คุณพ่อของผมหรือเปล่า?"
และไม่ลืมที่จะถามคำถามกลับไปยังชายร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆกันบ้าง
เขาดูลึกลับชอบกล นั่นกระมังสิ่งที่ทำให้เขาดูน่าสนใจขึ้นมา
"ฉันมีเยอะ"
"ถ้าอย่างนั้นผมก็อยากฟังนะ"
น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างสนอกสนใจ แม้ว่ามันจะเจือปนไปด้วยความง่วงตามประสาเด็กก็ตามแต่ เพราะนี่มันเป็นเวลาดึกมากแล้ว และจาเร็ดเองก็ควรที่จะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปตั้งนานแล้ว
"ไหนว่ากลัวผี"
"ผมมีอาวิลล์ ผมไม่กลัวแล้ว"
จาเร็ดไม่ต้องเกรงกลัวอีกต่อไปแล้วว่าคืนนี้ตนเองจะต้องนอนไม่หลับเนื่องจากเผลอไปนึกถึงเรื่องน่ากลัว หรือเพราะเสียงดังโครมครามของสายฝนที่พัดกระหน่ำอยู่นอกตัวบ้านหรือเปล่า นึกสบายใจขึ้นมาเมื่อร่างของชายหนุ่มนอนทอดกายอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ผีสางอย่างที่ชอบนึกถึงอยู่ในทุกๆคืน
"ฝันดีนะครับ อาวิลล์"
แต่จาเร็ดไม่รู้เสียแล้ว ว่าอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าผี
ก็คนแปลกหน้าอย่างไรล่ะ
"ราตรีสวัสดิ์"
เปรี้ยงงงงงงงง!
"เฮือกก!"
เด็กหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอในขณะที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งนิทราสะดุ้งตื่นขึ้นจากโลกแห่งความฝันทันที เพราะเสียงดังเปรี้ยงปร้างโครมครามที่ดังสนั่นจนน่าใจหาย
ซึ่งมันเหมือนจะไม่ใช่เสียงฟ้าร้อง
และความหนาวเย็นจากมวลอากาศ ที่แม้ว่าเขาจะกำลังห่มผ้าห่มผืนหนาอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงพวกมันเหล่านั้น ความหนาวเย็นที่มาพร้อมกับความว่างเปล่าบนเตียงอันไร้ซึ่งร่างของคุณอาที่เคยนอนหลับอยู่ข้างๆกันเมื่อตอนก่อนนอน
อาการใจสั่นเริ่มเกิดขึ้นเมื่อจู่ๆความหวาดกลัวก็เริ่มเข้ากัดเซาะอยู่ในอก หัวใจดวงน้อยเต้นแรงตุบตับเพราะเรื่องน่ากลัวที่เริ่มก่อตัวอยู่ในหัวสมอง มันประมวลฉากออกมาเป็นภาพความรุนแรงต่างๆนานาที่น่าสยดสยอง นั่นเพราะไปเผลอจำมันมาจากเรื่องเล่าแสนน่ากลัวของคุณพ่อ
สิ่งที่เขาชอบรู้ชอบฟังมันส่งผลร้ายต่อตัวเขาก็ในวันนี้
จาเร็ดสะดุ้งโหยงทันทีเมื่อเสียงเสียดสีกันของพื้นห้องและประตูไม้ที่ถูกเปิดออกดังขึ้นทำให้รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องเป็นใคร ความหวาดกลัวเมื่อครู่ก็พลันหดหายลงไปได้บ้าง
"ป..ไปไหนมาครับ?"
แต่ก็เกิดคำถามขึ้นเมื่อได้เห็นผมเพ้าและชุดเสื้อผ้าที่ดูเปียกโชกจากน้ำฝน จาเร็ดจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจต่อสภาพภายนอกที่ดูแปลกไปของคุณอา แสงสลัวจากโคมไฟที่บรรจุเปลวเทียนอยู่ด้วยในทำเขามองไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่รู้สึกได้ว่าน้ำโคลนที่เลอะอยู่ตามเสื้อผ้าของชายหนุ่มนั้นสีเข้มนัก
เสียงล็อกประตูห้องนอนได้ดังขึ้น..
"จาเร็ด.. ยังอยากฟังเรื่องสยองขวัญหรือเปล่า?"
"ค..ครับ?"
จาเร็ดขานรับอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ มุมปากของชายร่างสูงเคลือบแคลงด้วยรอยยิ้มมองดูหยาบกระด้าง ไม่มีหลงเหลือแม้แต่ความอบอุ่นและใจดีแบบที่จาเร็ดเคยรู้สึกได้เหมือนอย่างในคราแรกที่พบกัน
"เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นว่า..."
เขาค่อยๆเดินมาใกล้ๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
จนจาเร็ดสามารถมองเห็นได้ชัด ว่าคราบสีแดงบนเสื้อผ้าของเขานั้นมันไม่ใช่โคลน
"อ-อาวิลล์.."
และมีบางอย่าง
เขากำลังถือบางสิ่งบางอย่าง และมันถูกซ่อนเอาไว้ด้านหลังโดยฝ่ามืออีกข้างที่ไม่ได้มีแผลไฟไหม้ปรากฏอยู่
"อาวิลล์.. ฮึก"
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณพ่อ.."
คุณพ่อซึ่งถูกยิงเข้าตรงกลางหน้าผาก..
"มีคุณแม่.."
คุณแม่ซึ่งกลายเป็นศพถูกยัดใส่กระสอบอยู่หน้าประตูบ้าน..
"และลูกชาย.."
เป็นเด็กหนุ่มน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งกำลังนั่งตัวสั่นและน้ำตารื้นอย่างหวาดกลัวอยู่ในตอนนี้
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นของฟ้าฝนด้านนอก อากาศหนาวเย็นที่ทำเอาผิวตัวขนลุกซู่
"ทั้งสามคนถูกฆ่าตายในกระท่อมกลางป่าบนหุบเขา ที่ในคืนนั้นกำลังเกิดลมพายุพัดกระหน่ำรุนแรง.."
เรื่องราวสยองขวัญได้ถูกบอกเล่าออกมาในคืนนั้นแล้ว
end
จบลงไปแล้ว ฟิคที่อิชั้นดองมานานแสนนาน ตั้งแต่ตอนปล่อยทีเซอร์armyzipปีที่แล้ว;;-;; จริงๆมันควรลงได้ตั้งนานแล้ว แต่เพราะความซุ่มซ่ามที่เผลอไปกดลบทิ้งทำให้ต้องแต่งใหม่ขึ้นมาทั้งหมด นั่นทำให้อารมณ์ในการแต่งหายพรึ่บไปในชั่วพริบตา แต่วันนี้เรากลับมาแล้ว กลับมาสร้างความงงงวยให้คุณผู้อ่านอีกครั้งว่าเอ๊ะ ตอนนี้นี่มันมายังไง555555
ปกติแล้วเราชอบแต่งจบแบบไม่อธิบายอะไรมาก ชอบให้คุณผู้อ่านได้วิเคราะห์กันเองมากกว่า แต่ตอนนี้คงเป็นตอนแรกที่เราอยากจะอธิบายถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ให้คุณผู้อ่านได้อ่าน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน;;-;; เพราะเราก็ไม่แน่ใจมากนักว่าแต่งให้ครอบคลุมสิ่งที่ตัวเองอยากจะสื่อออกไปได้หมดหรือเปล่า เราอาจจะขาดตกบกพร่องตรงไหนไปบ้าง เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ไปจะเป็นสรุปเนื้อเรื่องโดยคร่าวๆครับผม
จากเรื่องทั้งหมดนี้คุณผู้อ่านคงพอเข้าใจได้บ้างว่าจอร์ชกับวิลล์เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่แล้วจอร์ชก็ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ประจำแล้วย้ายที่อยู่พาลูกเมียหนีเข้าไปสร้างบ้านอยู่กลางป่าลึก ซึ่งในเรื่องเรามีแอบแง้มๆให้ว่าอาชีพที่จอร์ชทำก็คือมือปืน หรือการรับจ้างฆ่าคนนั่นเอง
ตอนที่เปิดเรื่องมาแล้วจอร์ชเล่านิทานให้จาเร็ดฟัง ใช่ค่ะ จอร์ชเอาความจริงของตัวเองมาเล่า นั่นเป็นครั้งหนึ่งที่เขาได้รับมอบหมายให้ไปฆ่าคนๆหนึ่งด้วยกันกับวิลล์ เพราะแบบนี้จึงทำให้จาเร็ดรู้สึกเหมือนว่าเรื่องที่เล่านั้นมันเหมือนจริงๆมาก เพราะมันเกิดขึ้นจริงไงคะ
และในคืนที่ฝนตก เพื่อนรักอย่างวิลล์ก็มาปรากฏตัวที่กระท่อมอย่างปริศนา ทั้งที่จอร์ชย้ายจากถิ่นฐานเดิมมาแล้วถึงหกปีแต่วิลล์ก็ยังหาเจอ วิลล์มาหาเพราะจะชวนกลับไปทำงานรับจ้างฆ่าคนด้วยกันอีกเหมือนเดิม แต่จอร์ชไม่อยากไปทำแล้วเพราะเขามีครอบครัวที่ต้องดูแล นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำสั่งที่วิลล์ได้รับมอบหมายอีกคำสั่งหนึ่งว่าถ้าจอร์ชไม่ยอมมาร่วมด้วยก็ให้ฆ่าได้เลย คำสั่งนี้ไม่ได้ถูกเขียนไว้ในเนื้อเรื่อง แต่ก็น่าจะพอเดาออก สังเกตได้จากการที่จอร์ชต้องพาลูกเมียหนีมาอยู่ถึงกลางป่าลึกที่ไม่มีใครหาเจอ แต่วิลล์ก็ยังตามหาจนพบ นั่นเพราะคำสั่งที่วิลล์ได้รับมาอีกเช่นกัน ไม่ว่าจอร์ชจะไปอยู่ที่ไหนเขาจึงต้องหาให้พบ พร้อมทั้งฆ่าปิดปาก เพราะจอร์ชเคยมีส่วนพัวพันในวงการนี้ (เกลียดคำว่าวงการของตัวเองจริงๆ55555)
และฉากเล่นหมากรุกจะทำให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความนิ่งเงียบและเยือกเย็นของฆาตกรอย่างวิลล์ ที่ขนาดจาเร็ดสังเกตและมองตามตาไม่กระพริบก็ยังคงพลาดท่าให้กับไหวพริบของวิลล์อยู่ดี และจะเห็นได้ชัดว่าพ่อกับแม่มีท่าทีต่อต้านไม่น้อยตอนที่วิลล์จะไปนอนแล้ว เพราะไม่อยากให้ใกล้ลูกของตัวเอง แต่จาเร็ดที่ชอบฟังเรื่องผีแต่ก็กลัวเรื่องผีอยากให้วิลล์ไปนอนเป็นเพื่อนอยู่ดี เพราะน้องกลัวผี(เอ็นดู) พ่อแม่เลยต้องเลยตามเลย เพราะไม่อยากให้ลูกจับสังเกตได้ว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นในไม่ช้าแล้ว หลังจากการที่จอร์ชปฏิเสธการกลับไปทำงานกับวิลล์
และถ้าถามว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวมันจบลงยังไง นี่ไงนิทานที่วิลล์จะเล่าให้จาเร็ดฟัง ครอบครัวและกระท่อมกลางป่าที่เขาพูดถึงอยู่ก็คือ... แหะๆ