ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศิวาอาถรรพณ์

    ลำดับตอนที่ #3 : 3

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 50


    วารินทร์ยกมือขึ้นลูบคางที่ระคายไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มนั้นอย่างใช้ความคิด สีหน้ายุ่งยาก

    และลำบากใจอย่างที่สุด


    "ถ้ากันปฏิเสธล่ะ?"

    "เฮ้ย ถือว่าช่วยกันหน่อยเถอะ วารินทร์ ตอนนี้กันมองไม่เห็นใครแล้ว นอกจากนายซึ่งรับถ่าย

    ทอดความรู้และประสบการณ์ในการเดินป่าทั้งหมดมาจากพ่อรพินทร์"

    ชายหนุ่มที่มีนามสกุลว่าไพรวัลย์ หัวเราะหึๆ แผ่วเบา แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบาก

    ใจ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นสีกันเบาๆ ส่วนสายตานั้นจับจ้องไปยังวงหน้าคมสันแบบลูกครึ่งของ

    ไพรวัลย์

    "อย่างกันน่ะ ไม่ได้ถึงครึ่งของพ่อหรอก ว่าแต่นายแน่ใจใช่ไหม ที่จะผ่านเข้าไปยังเขต 'นรกดำ'

    แห่งนั้นจริงๆ?"


    "แน่ใจอย่างที่สุด วารินทร์ เพราะเป็นทางเดียวที่เราจะเข้าถึงแคมป์ขุดค้นได้เร็วที่สุดในฝั่ง

    ไทย" สหายรุ่นพี่ผู้มีชื่อเป็นนามสกุลของจอมพรานผู้ยิ่งยงในแถบนี้ตอบเสียงเรียบ ยกแก้ว

    บรั่นดีขึ้นคลึงเบาๆด้วยมือซ้าย


    "เอาล่ะ…ไว้กันจะลองคิดดู" วารินทร์ตัดบท พลางชำเลืองไปทางแม่สาวลูกครึ่งแวบหนึ่ง ดวงตาสี

    เขียวนั้นมีแววขอร้องวิงวอน แต่ชั่วขณะก็เสมองหลบไปทางอื่นเสีย
    ชายหนุ่มยิ้มในหน้าอย่าง

    นึกสนุก แกล้งถามไพรวัลย์

    "สมมติว่า….ถ้ากันยอมนำทางให้ครั้งนี้ กันจะได้อะไรบ้างวะ?"


    "แน่นอนเพื่อนยาก" หนุ่มลูกครึ่งตอบ ยิ้มกว้างอย่างคนเปิดเผย "ทางสมาคมโบราณคดีอังกฤษ

    กำหนดงบครั้งนี้อย่างไม่อั้น ถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาจะได้อ่ะนะ ทั้งนี้มันก็สุดแต่นายจะเรียกไป สรุป

    ว่า ค่าตอบแทนครั้งนี้อาจจะงามกว่าโบนัสประจำปีของนายหลายเท่าทีเดียวล่ะ"


    "อ๋อ แหงสิ กันจะบอกไว้ก่อนเลยนะไพรวัลย์ งานนี้ ถ้าค่าจ้างไม่ 'งาม' จริงล่ะก็กันไม่รับนำให้

    เด็ดขาดเลยนะเว้ย" ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกล่าวยิ้ม ชำเลืองมองแม่สาวงามลูกครึ่งผู้มีศักดิ์ราว

    ญาติแท้ๆอย่างมีคงามหมาย ขณะเน้นคำว่า "งาม"


    "นายไม่ต้องห่วงเลยเรื่องนั้น ก็กันบอกอยู่นี่ไงว่า มันสุดแต่นายจะเรียกไป ซึ่งมันก็น่าจะเป็นที่

    พอใจทั้งสองฝ่าย นายได้เงินค่าจ๊อบพิเศษ ส่วนทางโน้นก็ได้สิ่งของที่เขาต้องการ"


    "ของอันประเมินค่าไม่ได้น่ะหรือ นายโต?" วารินทร์ถาม


    "นายก็ต้องเข้าใจนะ วารินทร์ งานครั้งนี้มันสำคัญต่อยัยเล็กจริงๆ ไอ้กันน่ะไม่เท่าไหร่หรอก

    เพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร เถอะน่า…ถือว่าช่วยๆกันน่ะไอ้เกลอ" ไพรวัลย์ตบไหล่สหายรุ่น

    น้องเบา อย่างขอร้อง

    "เอาล่ะ…ก็กันรับปากอยู่นี่ไงว่าจะคิดดูก่อน ใจร้อนเป็นเด็กๆไปได้"

    "เออๆ ยังไงก็ให้เร็วๆหน่อยนะเว้ย เพราะเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ ยิ่งนายตัดสินใจช้าเท่าไหร่

    ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะล่าช้าไปด้วย ยกเว้นแต่ว่าเราจะหาพรานนำทางคนอื่นได้"

    "เอ๊ะ ! นายโตนี่ยังไง กะจะเอาให้วันนี้เลยเหรอไงวะ" วารินทร์หัวเราะอย่างขันในท่าทีของลูก

    ชายนักผจญภัยเลือดข้นผู้รวยอารมณ์ขัน "เอา….ไว้พรุ่งนี้ละกัน แล้วจะให้คำตอบ แต่ตอนนี้แยก

    ย้ายกันไปนอนได้ ดึกมากแล้ว….เฮ้อ..อยู่อยู่ก็หาเรื่องมาให้ซะงั้น ไอ้พี่น้องคู่นี้มันยังไงกันนะ"

    ประโยคหลังเขาจงใจยั่วให้กระทบโสตแม่สาวอารมณ์เย็น ดวงตาสีเขียวทอประกายประหลาด

    แวบหนึ่ง ก่อนที่หล่อนจะเสมองไปทางอื่นอีกตามเคย
    วารินทร์ซ่อนยิ้มมิดชิด พอใจที่ยั่วสำเร็จ

    กระดกบรั่นดีในมือรวดเดียวหมดแก้วบอกตัดบท

    "จะยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้นายพาน้องเล็กไปนอนก่อนเถอะ ถึงนายเองก็เหมือนกันควรจะไปพัก

    ผ่อนได้แล้ว ยังเหนื่อยอยู่ไม่ใช่เหรอ ไว้มีอะไรค่อยพูดกันพรุ่งนี้"


    "โอเค้…ไป ยัยเล็ก เจ้าของบ้านเค้าไล่ให้ไปนอนแล้ว เราก็ไปกันเถอะ" ไพรวัลย์รับคำอย่างว่า

    ง่าย พลางจูงมือน้องสาวเดินลับหายไปทางห้องที่เคยมาพักนอนด้วยบ่อยๆ เจ้าของบ้านมองตาม

    นึกในใจอย่างมีแผนบางอย่าง….




    "นาย วู้ ! นาย อ้าว ! นายน้อยน่ะเอง นายไม่อยู่หรือคะรับ" วารินทร์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง

    กู่ที่ดังมาแต่ไกล จากเนินท้ายบ้านที่ติดกับชายดง

    "ใครมาแต่เช้าวะ? เกิดไปดูให้ฉันที" วารินทร์เงยหน้าขึ้นจากท้องรถจิ๊ปที่กำลังซ่อมค้างอยู่

    พลางหันไปสั่งเกิด พรานวัยกลางคนผู้เคยผ่านเทือกพระศิวะรับคำง่าย พลางชะโงกหน้าเหลี่ยม

    มุมที่บังอยู่ เพ่งไปยังเจ้าของเสียงกู่เมื่อครู่


    "อ๋อ ไอ้ 'คะมุ' นายน้อย ลูกไอ้มุ หลานไอ้คะหยิ่นนั่นแหละ แต่เอ๊ะ มันมาทำอะไร"

    ลูกชายจอมพรานเลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถ หยิบผ้าเช็ดหน้าเก่าๆ มาเช็ดคราบน้ำมันเครื่อง

    ที่ย้อยหยดลงมาเปื้อนใบหน้า พลางมองไปทางเนินที่กะเหรี่ยงหนุ่มหลายชายผู้ยิ่งใหญ่แห่งหล่ม

    ช้าง ป้องปากตะโกนมา

    คะมุเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวผิวคล้ำตามแบบฉบับของกะเหรี่ยง ดวงตามีแววดุคล้ายคะ

    หยิ่นกับเจ้ามุ หากเค้าหน้าคล้ายนางอั้วผู้เป็นแม่อยู่มากทีเดียว บนหัวโพกผ้าขาวม้ามีแดง มือถือ

    ปืนลูกซองแฝด สะพายย่ามเก่าๆ ขาดๆ ผืนหนึ่ง

    "เฮ้ย เอ็งมาทำอะไรวะ ไอ้คะมุ อย่าบอกนาว่าช้างลง นายก็ไม่อยู่เสียด้วยสิ" เกิดว่า

    "โอ้ย! น้าเกิด ไอ้ช้างมันไม่กล้าลงหรอก ถ้าขืนมาลองดีซิ จะโดนเป่าเอา อีกอย่างช้างงาเดี๋ยวนี้

    หายาก มันกลัวคน เลยขยับถอยเข้าดกลึกเรื่อย อ้อ! แล้วนี่นายไม่อยู่เหรอ"

    "พ่อไม่อยู่หรอก คะมุ เรามีธุระอะไรจะฝากฉันไว้หรือเปล่าล่ะ? ถ้าคุณพ่อกลับมาจะได้เรียนท่าน

    เสียเลย" วารินทร์ว่า


    "อ๋อ นายน้อย พอดีผมมีธุระต้องผ่านมาทางนี้พอดี เลยแวะเข้ามาเยี่ยม กะว่าจะเข้ามากราบนาย

    รพินทร์ด้วย หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นท่านออกป่า"

    "ธุระอะไรของเอ็งวะ หาของป่ารึ?" เกิดถาม

    "เปล่าจ้ะน้า ข้าตามรอยเสือตัวนึงอยู่"

    "เสือ? ไอ้ลายกระมัง หรือยังไง มันลากคนไปกินล่ะซี"

    "ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ที่ข้าตามนี่ ไอ้ดำตะหาก"

    "ไอ้ดำ? เอ็งตามมันทำไมวะ"

    "ก็เมื่อเดือนก่อนนี้สิน้า" หนุ่มกะเหรี่ยงหล่มช้างเว้นวรรค "ไอ้พวกที่ไปทำไร่ติดเขตชายดงนั่น

    แหละ มันชื่อไอ้เกย ลูกชายมันโดนเสือคาบเผ่นเข้าป่าไป"

    "แล้วยังไง" เกิดเร่ง

    "พ่อกะพวกเร่งตาม กะล้มมันในวันนั้นให้ได้ ตามเจออยู่ริมดงโน่น กำลังแทะซากเด็กอยู่เลย

    พ่อซัดด้วยแฝดกระบอกนี้แหละ โดนเต็มหน้าอก มันเผ่นอ้าวเข้าป่าไปอีก" คะมุยกปืนลูกซอง

    แฝดลำกล้องสั้นให้ดู "เล่ห์มันยิ่งกว่าเสือสมิงอีก นายน้อย มันไม่หนี แต่ซุ่มรอจังหวะบนคาคบไม้

    ใหญ่ทึบ พอคนเผลอ มันกระโจนคาบไอ้คงลูกบ้านเผ่นแผล็วหายลับเข้าดงไปอีกคน"

    "แล้วยังไง ได้ตัวมั้ย?" วารินทร์ถาม เขาเริ่มจะมองเห็นอะไรที่มันผิดปกติขึ้นมาไรๆแล้ว

    "ไม่มีใครเห็นมันอีกเลย นายน้อย จนสามสี่วันก่อนที่โน่น…แถวเขาโล้น ข้ากำลังซุ่มดักยิง

    เลียงผากับเพื่อนอยู่ มันก็มาให้เห็นอีก คราวนี้มันย่ำตามรอยเกวียนพวกทำไร่อยู่ท้ายเนินนั่น

    แหละนาย ข้าเลยเร่งเดินมาถึงนี่ เผื่อจะได้แจ้งข่าวอะไรให้รู้มั่ง"


    "ตายห่..เสือผี!" เกิดคราง พลางมองหน้าวารินทร์อย่างสยองใจ

    "แล้วไม่ตามกันเหรอ เห็นว่ามันโดนลูกซองเต็มอก มันคงไปไม่ได้ไกล" ชายหนุ่มว่า

    "โอ้ย ! นาย ถ้ามันมีรอยให้ตามอย่างว่าก็ดีซี" คะมุว่า สีหน้าหวั่นๆ " นี่รอยเลือดยังไม่มีซักหยด

    จะมีก็แต่รอยเท้ากะรอยลากศพเข้าดงลึกไปนั่นแหละ นาย แต่ผมเห็นเต็มตาว่า พ่อยิงโดนมัน

    เต็มๆ แต่ทำไมไม่มีเลือดก็ไม่รู้"

    "เหลวไหลน่า ถ้ายิงโดนมันก็น่าจะมีเลือดบ้าง เป็นว่า มุพ่อของเรายิงมันไม่ถูกมากกว่า"ชาย

    หนุ่มสายเลือดราชสกุลขัดเสียงต่ำ "หรืออาจจะยิงโดน แต่อำนาจของกระสุนไม่สามารถทำให้มัน

    หยุดอยู่ได้"

    "ผมก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นแหละ นาย แต่ถึงมันจะเป็นเสือผี หรืออะไรก็ช่าง ผมต้องล้มมันให้

    ได้ อย่างน้อยก็เพื่อแก้แค้นให้ลูกบ้านสองคนที่ถูกมันคาบไป"

    "เอ็งใจถึงดี เหมือนพ่อ เหมือนปู่เอ็ง ไอ้คะมุ แต่เอ็งเชื่อเถอะ เสือประเภทนี้มันเหมือนนกรู้ มันรู้

    ว่าคนแค้น อาฆาต และตามล่ามัน มันไม่อยู่รอให้เอ็งเอาลูกปืนไปยัดขมองมันร็อก!นอกเสียจาก

    ว่า..." พรานมือฉมังแห่งหนองน้ำแห้งเว้น

    "นอกจากอะไรหรือน้า?"

    "ก็นอกจากมันจะเห็นว่าเอ็งเป็นเหยื่อน่ะซี มันถึงจะย้อนมาเพื่อล่า! แล้วเมื่อนั้นมันก็จะตกเป็น

    เหยื่อเสียเอง"

    น้านี่พูดก็อะไรแปลกๆ งงนะเนี่ย เจ้ากะเหรี่ยงหล่มช้างคราง เกาหัวแกรกๆอย่างไม่

    เข้าใจ


    โธ่ ไอ้โง่ มันก็เหมือน กับดักสัตว์นั่นแหละ ต้องมีเหยื่อล่อ มันถึงจะเข้าให้ เกิดว่า  หนุ่มชาวป่า

    พยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ  แต่ไม่วายทำหน้างงๆทึ่มๆ เกิดหมั่นไส้เอาศอกเหน็บมันที่สีข้าง คะ

    มุร้องโอ้ย ครางเบาๆ พลางกระเถิบหนีพรานมือฉมังรุ่นพ่อ


    เอาล่ะสบายใจได้ ขอให้มันเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้เหอะ ได้เป็นศพเข้าสักวันแน่ ลูกชายจอม

    พรานว่า
    อ้อ..ไหนๆก็มาแล้ว กินข้าวด้วยกันซี คะมุ  เขาเอ่ยชวน เจ้านั่นยิ้มแหย ส่ายหน้า


    เชิญเถอะนาย ผมเรียบร้อยมาตั้งแต่ตีนดงนั่นแล้ว


    งั้นเหรอเออไม่เป็นไร ชายหนุ่มเว้นก่อนหันไปสั่งให้เด็กรับใช้ที่ทำงานอยู่แถวนั้นเตรียมตั้ง

    โต๊ะได้ เพราะได้เวลาอาหารเช้า


    คะมุ  เรามีธุระอะไรที่ไหนมั้ย?เขาหันไปถามเจ้ากะเหรี่ยงหล่มช้างหลานชายคะหยิ่น อดีต

    เพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของคณะเดินทางมหาวิบาก
    ถ้าไม่มีเดี๋ยวรอฉันอยู่ตรงนี้นะ  มีงานจะขอ

    ร้องไหว้วานเราน่ะ


    โอ้ย จะขอร้องไหว้วานอะไรนาย มีอะไรก็สั่งมาเถอะ ไอ้คะมุทำได้ทุกอย่างแหละ พรานหนุ่ม

    ร้องขำๆ ไม่จำเป้นต้องขอร้องไหว้วานอะไรทั้งสิ้น จริงสินะ วารินทร์คิด ชาวป่าในละแวกนี้

    เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน  ซึ่งทั้งหมดนั้นก็มาจากจอมพรานผู้หญิงใหญ่ซึ่งเป็นบิดาของ

    เขา รพินทร์ ไพรวัลย์ นั่นเอง


    ดีแล้วงั้นรออยู่นี่แหละ ลูกชายจอมพรานเอ่ยก่อนผละเดินขึ้นเรือนไป


     


    ไพรวัลย์ อนันตรัย ยืนบิดตัวอยู่ตรงระเบียงไม้ที่ทำยื่นออกมาจากตัวเรือนใหญ่  สำเนียงเสียงของ

    ไพรกว้างในยามเข้าตรู่เป็นเสน่ห์ที่แปลกประหลาด ดึงดูดเขาให้ยึดติดอยู่กับที่นี่ ป่าใหญ่ผืนนี้มี

    มนต์ขลังต่อทุกคนที่เคยย่ำผ่าน หนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมัน-ฝรั่งเศส บอกกับตัวเองว่าไม่มีที่ไหนอีก

    แล้ว ที่มีเสน่ห์แห่งไพรพฤกษ์มากมายเท่าที่แห่งนี้


    ว่าไง ไอ้เกลอ ตื่นแต่เช้าเชียวนะ วารินทร์ร้องทักเมื่อเดินขึ้นบันไดมาพ้นเหลี่ยมมุมบัง สหาย

    หนุ่มรุ่นพี่ของเขาหันขวับ ยิ้มตอบ


    ทำไงได้ ไม่อยากพลาดดูตะวันขึ้นว่ะ ตะวันขึ้นที่นี่สวยจริงๆ  


    มันจะสวยอะไร้ มันก็เหมือนๆเดิมทุกวันนั่นแหละ เออ..นี่ แล้วน้องแกล่ะ ตื่นหรือยัง?


    ไม่รู้สิ อยู่ในห้องน้ำละมั้ง ว่าพลางบุ้ยปาก นั่นไงออกมาพอดี ว่าแต่ถามทำไม?


    ดวงหน้าผุดผาดประดับเอาไว้ด้วยเรือนผมสีทราย หยักศกปลิวไสวยามเมื่อกระทบลบยามเช้า

    ริมฝีปากบางผิดจากคนตะวันตก เผยอขึ้นหน่อยๆ หล่อนอยู่ในชุดสบายๆ สำหรับวันพักผ่อน

    ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกระพริบตาถี่ๆ กล่าวเสียงเรียบ


    อาหารเช้าพร้อมแล้ว กันก็เลยขึ้นมาตาม ไม่มีอะไรหรอก เขาเสกลบเกลื่อน ดารินีเลื่อนตัวผ่าน

    สองชาย เดินลงบันไดไป วารินทร์แอบมองตาม ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ถอนใจเบาๆ


    สวย? เจ้าพี่ชายเดินเข้ามากระซิบเบา


    อืม.. วารินทร์ตอบอย่างลืมตัว


    ชอบ?ไพรวัลย์ยังพอใจเย้าต่อ ชายหนุ่มลูกชายจอมพรานร้องเฮ้ย!


    บ้าน่ะ ! นายโต ไป ลงไปเลย กับข้าวตั้งโต๊ะแล้ว


    คนนามสกุลอนันตรัยหัวเราะชอบใจก่อนเดินลงไปตามบันไดที่ทอดยาวลงสู่พื้นเบื้องล่าง
    บ้าน

    ทาร์ซาน
     หลังนี้



     


    อาหารมื้อนั้นเรียบง่าย  ทั้งสามคนรับประทานอย่างรวดเร็ว หลังอาหารเช้าผ่านไป วารินทร์ก็พา

    สองพี่น้องย้ายวงมาที่ม้าหินอ่อนใต้ร่มประดู่ขนาดใหญ่หลายคนโอบ อากาศในยามเช้าบริสุทธ์

    ปลอดโปร่ง  แจ่มใสเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนในยามเช้าของวันสบายๆ


    เป็นอะไรไปวะ หน้าตาซีเรียสตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว  ไพรวัลย์เปิดฉาก การสนทนา ยกกาแฟขึ้น

    จิบอย่างอารมณ์ดี


    ไม่มีอะไรหรอก พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปยังงั้นแหละ สหายรุ่นน้องตอบ


    คิดเรื่องอะไรวะ   เรื่องยัยเล็กเหรอ?หนุ่มลูกครึ่งแหย่ ทำไมเขาจะดูไม่ออก ว่าสหายผู้มีศักดิ์

    เสมือนญาติผู้นี้  สนใจในตัวน้องสาวเขาขนาดไหน ดูจากอากัปกริยาเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ก็รู้แล้ว


    เฮ้ย ไม่ใช่โว้ย วารินทร์ร้องเฮ้ย รีบปฏิเสธอย่างคนร้อนตัว หนุ่มลูกครึ่งสหายเขาหัวเราะก้าก ชี้

    นิ้วชี้มาทางเขา โยกไปมาเป็นกริยาว่ารู้เท่าทันความคิด


    อย่าปฏิเสธเลย เพื่อนยาก สายตาของนายมันก็บอกอยู่แล้ว เอาเถอะ กันไม่ขัดข้องหรอกนะ ถ้า

    หากว่านายจะจีบน้องสาวกัน ขออย่างเดียว
    . เขาเว้นระยะ เม้มปาก


    ขออะไรวะ?วารินทร์ถามพาซื่อ


    นายต้องเรียกกันว่าพี่ว่ะ ไม่งั้นไม่ยอมให้จีบยัยเล็กด้วย ไพรวัลย์ป้องปากบอก หน้าทะเล้น

    พลางตบไหล่สหายรุ่นน้องอย่างรักสนิท
    อ้าวเฮ้ย! หน้าแดงเลยไอ้เสือนี่


    ไอ้บ้าโต วารินทร์ร้องอย่างเหลืออดหน้าแดงวูบ ที่ถูกตามทันในความคิด กันกำลังคิดอีกเรื่อง

    ตะหาก


    เรื่องอะไรวะ?


    เรื่องฉุกละหุกนิดหน่อยน่ะ ก็ไอ้เรื่องป่าๆดงๆนี่แหละ คิดๆดูมันก็พิสดารเหมือนกันนา กันคิด

    ไปทีแรกก็ตงิดใจอยู่แล้ว


    สหายของเขาทำหน้างงเต็มที่ วารินทร์ถอนใจเฮือก ยกกาแฟขึ้นจิบ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

    เกี่ยวกับเสือดำที่ลากชาวบ้านหล่มช้างไปกินถึงสองศพ


    เสือดำอะไรวะ ลากคนไปกินได้? ตัวมันก็ไม่น่าจะใหญ่ขนาดจะลากศพคนไปได้เลย ถ้าเป็นเด็กก็

    ว่าไปอย่าง
    ไพรวัลย์คราง


    เด็กหนึ่ง ผู้ใหญ่หนึ่งใช่แล้ว กันกำลังคิดเรื่องนี้เหมือนกัน เสือดำที่มีกำลังลากศพคนเข้าป่าได้

    อย่างไร้ร่องรอยให้แกะตาม เรื่องมันพิสดารมากทีเดียว


    งั้นก็เป็นไปได้สองลักษณะ คือ ถ้ามัน ไม่ตัวใหญ่ผิดเพศพันธุ์ กำลังมันก็ต้องน้องๆ ไอ้ลายที

    เดียว


    กันก็คิดว่าอย่างนั้น ชายหนุ่มเจ้าของบ้านลูบคางเบาๆ กริยาอย่างใช้ความคิด แล้วทีนี้ นายล

    อคิดดูดีๆสิว่า ภายในสองวันมานี้  เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง กันรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไงอยู่
     
     
        


    ทำไมเหรอ? เอ๊ะ!..” ไพรวัลย์ร้อง เอากำปั้นทุบลงบนฝ่ามืออย่างนึกขึ้นได้ นายกำลังคิดว่ามัน

    เกี่ยวกับเสือดำตัวที่เราเจอหัวค่ำเมื่อวานนี้น่ะเหรอ  เป็นไปได้เหรอ?


    กันก็กำลังคิดอยู่นี่.แต่เอาล่ะ ถึงมันจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันยังไง หน้าที่ของเราตอนนี้ก็แค่เฝ้า

    ระวัง เท่านั้น


    ฮืม..จริงซีนะ นี่มันหมู่บ้านพรานนี่นา  เออ..ว่าแต่ เรื่องที่คุยกันไว้เมื่อคืน ว่ายังไง? หนุ่มลูกครึ่ง

    เปลี่ยนเรื่อง วกเข้าประเด็นสำคัญที่พูดค้างไว้ทันที


    ก็ไม่ว่ายังไงหรอก ก็ถ้านายหาคนนำทางไม่ได้ กันก็จะนำทางให้ ลูกชายจอมพรานตอบเรียบๆ

    สหายเขาร้องออกมาอย่างดีใจ


    ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนรัก


    ถ้างั้นกันขอทราบรายละเอียดการเดินทาง


    ก็ ไม่มีอะไรมาก เราจะไปกันสองคนนี่แหละ ของกินของใช้ที่จำเป็นในระหว่างเดินทาง เราจะ

    เอาเฉพาะแค่ให้ถึงแคมป์เท่านั้น  เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่เราต้องขนอะไรไปมาก กะอีแค่ไป

    เอาของเก่าน่ะ


     
    นายจะคิดอย่างนั้นก็ไม่ถูก งั้นขอพูดให้รู้กันไปเลยว่า  ทางที่รถจิ๊ปจะวิ่งเข้าไปได้สุดถนนอยู่แค่

    ชายดงของนรกดำแค่นั้นแหละ ไม่ว่าด้านไหน เพราะมีทิวเขายาวสลับซับซ้อนมากมายกั้นเอาไว้

    เพราะงั้นเราถึงจำเป็นต้องวางแผนก่อนการเดินทาง ไม่ใช่สักแต่ว่าจะไป แล้วก็ไปได้


    เอนั่นสินะ งั้นก็หมายความว่า ต่อจากนั้นเราต้องเดิน?


    ใช่  แต่เป็นการเดินเพียงอาทิตย์กว่าๆ และผ่านนรกดำเพียงเสี้ยวเดียว มุ่งตรงตัดเข้าสู่ลำน้ำสาละ

    วิน ข้ามฝั่งไปยังพม่า นั่นหมายความว่า ทางกลับนายจะสะดวกมากทีเดียวหากออกทางพม่า แต่ทาง

    ไปนี่สิ ทั้งยากลำบาก และธุรกันดาร
    เพราะต้องตัดผ่านเทือกเขาสูงชันมากมาย มันทุลักทุเลก็ตรง

    นี้แหละ


     


    ตายละวาอีทีนี้จะทำไงดี กันไม่ถนัดเสียด้วยซี เรื่องปีนๆป่ายๆ ไพรวัลย์คราง สีหน้าหนักใจ

    ถ้าเป็นยัยเล็กล่ะไม่ว่า รายนั้นน่ะแชมป์ปีนเขามหาลัย เฮ้อ !นี่ถ้าไม่ติดว่าเวลาจำกัด กันไปเข้า

    ทางพม่าดีกว่า นั่งรถวันเดียวถึง


    ไม่รู้โว้ย อันนั้นมันเรื่องของนายละ วารินทร์หัวเราะ เอาล่ะ เราจะมาคุยถึงสิ่งของที่จะเอาไป

    ด้วย มีอะไรบ้างล่ะ จำแนกให้กันฟังที



    ที่จำเป็นก็มีเครื่องมือเฉพาะทางเกี่ยวกับการตรวจหาอายุวัตถุเบื้องต้นของยัยเล็กนั่นละ แล้วก็

    เครื่องมือเวชภัณฑ์ของกัน นี่ล่ะที่ขาดไม่ได้จริงๆ


    เดี๋ยวๆ.. ชายหนุ่มสหายรุ่นน้องร้องขัด ตาโตนายเป็นหมอหรอกเหรอเนี่ย? กันนึกว่านายเป็น

    ทหารซะอีก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน นายฝึกทหารอยู่ที่แซนด์เฮิร์สท์นี่หว่า
    !”


    บุตรชายคนโตของนักผจญภัยผู้มากอารมณ์ขันยิ้ม พลางอธิบาย


    คนเรามันมีสิทธิ์ชอบอะไรไม่ชอบอะไรได้ วารินทร์ อย่างนาย เห็นทีแรกก็ไม่นึกเหมือนกันว่า

    เป็นตำรวจ  สำหรับกัน กันชอบที่จะช่วยเหลือคน ก็เลยลาออกตอนอยู่เตรียมนายร้อยปีสอง มาลง

    เรียนเตรียมหมอ    ก็เพิ่งจบนั่นแหละ ช้ากว่านายตั้งหลายปีแน่ะ


    แล้วลาออกทำไมวะ เห็นตอนเด็กๆ บ่นอยากเป็นทหารไม่ใช่เรอะ  เจตอีกทีไหงกลายเป็นหมอไป

    ซะงั้น


    ก็ไม่มีอะไร บอกแล้วไงว่ากันเกิดอยากจะเป็นหมอขึ้นมากะทันหัน มันเกี่ยวกับอารมณ์ชั่ววูบน่ะ

    แล้วจะถามทำไมเนี่ย คุยเรื่องเข้าป่าอยู่ดีๆ?


    วารินทร์เอามือโปะลงบนหน้าผากตัวเองเบาๆ หัวเราะแหบๆ แล้ววกเข้าสู่ประเด็นที่คุยค้างไว้


    เอาล่ะ เราจะมาคุยเรื่องเข้าป่าต่อก็แล้วกัน สำหรับฝั่งกัน จะมีกัน กับลูกหาบ และก็คนของคุณพ่อ

    สามสี่คน ซึ่งพอคุ้นเคยในเส้นทางอยู่แล้ว ส่วนฝ่ายนายล่ะ มีใครไปด้วยยังไงบ้าง  จะได้กะเกณฑ์

    สิ่งของที่จะเป็นได้ถูก


    บอกแล้วไงว่ามีแค่กันกับยายเล็กสองคน ก็แค่พายายเล็กไปส่งที่แคมป์เท่านั้นแหละ สิ่งของที่จำ

    เป็นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่ได้บอกไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบหมายให้นายจัดการก็แล้วกัน จะได้

    ไม่มีอะไรผิดพลาด
    หนุ่มลูกครึ่งว่า อ้อ ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนายเรียกมาเลย กันจะเป็นตัวแทน

    สำหรับติดต่อไปยังสมาคมโบราณคดีอังกฤษเอง



    วารินทร์พยักหน้า ยิ้มบางๆ


    อย่าห่วงเลย เรื่องนั้นไว้ทีหลังเถอะ แล้วแม่น้องสาวนายหายไปไหนล่ะเนี่ย ไม่เห็นตั้งแต่เมื่อกี้

    แล้ว


    คงเดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยแหละ ถ้านายจะตามไปก็ได้นะ กันไม่หวงห้ามอะไร ท้ายประโยคมี

    หางเสียงยั่ว


    เอ๊ ! นายโตนี่  ที่กันถามก็เพราะว่าเป็นห่วง นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าแถบนี้น่ะ ดงดิบทั้งนั้น ปกติจะ

    ไปไหนยังต้องถือปืนห้อยไปด้วยเลย



    นั่นน่ะสิ ชักเป็นห่วงขึ้นมาเสียแล้ว  ยายนี่ยิ่งแก่นๆอยู่ด้วย พี่ชายคราง พลางสอดส่ายสายตาหา

    น้องสาว


    เอาน่า  คนไม่เคยเข้าป่าก็ยังงี้แหละ เท่าที่จำได้ไม่เคยเห็นน้องนายเข้าป่าเลยนี่หว่า ตอนเด็กๆ พอ

    เริ่มเข้าโรงเรียนก็ได้ข่าวว่า ถูกส่งตัวไปนอกไม่ใช่เหรอ  คงไม่สมบุกสมบันเท่านายล่ะมั้ง
    วาริ

    นทร์เปรย


    ที่ไหนได้ ยายเล็กเนี่ย อึดถึกกว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างเราอีก ทรหดเป็นที่หนึ่ง ไม่งั้นหล่อนไม่

    มาเป็นนักโบราณคดีหรอก เพราะส่วนใหญ่งานจำพวกขุดค้นโบราณสถาน โบราณวัตถุมันก็จำ

    เป็นต้องมีคุณสมบัติประเภททรหดสุดใจขาดดิ้นอยู่แล้ว


    งั้นนายจะห่วงอะไรเล่า คงไปเล่นน้ำท้ายบ้านล่ะมั้ง วันนี้มันก็ร้อนแทบจะดับจิตอยู่แล้ว เอาเถอะ

    สักพักคงกลับมาเองนั่นแหละ
    …”


    ชั่ววินาทีนั้นเอง
     


    เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังก้องไปทั่วคุ้ม สองชายสะดุ้ง ก่อนลูกชายจอมพรานจะพุ่งปราดไป

    ยังเกิดและคะมุที่นั่งคุยกันอยู่ไม่ไกล ซึ่งบัดนี้ประสาททุกส่วนตื่นตัวฉับไวไม่แพ้หนุ่มเลือด

    ราชสกุล วารินทร์ปราดเข้าไปคว้าลูกซองแฝดลำกล้องสั้นจากหลานชายหัวหน้ากะเหรี่ยงหล่ม

    ช้าง วิ่งพรวดพราดไปยังที่มาของเสียงซึ่งอยู่ท้ายคุ้มเรือนใหญ่ อันเป็นธารน้ำสายเล็กๆ ไหลพาด

    ผ่านติดกับชายดงอันหมายถึงป่าดิบทึบมากด้วยอันตราย มีเพียงรั้วไม้ไผ่เล็กๆ กั้นไว้พอเป็น

    เครื่องหมายบอกแนวสุดเขตของคุ้มใหญ่เท่านั้น


    ไพรวัลย์ซึ่งบัดนี้ตะลึงทำอะไรไม่ถูก กระพริบตาถี่ๆ ด้วยความงุนงง แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ใน

    ทันที ถลันวิ่งตามวารินทร์ซึ่งออกวิ่งนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยสองพรานพื้นเมืองซึ่งยัง

    จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน



    วารินทร์ ไพรวัลย์ บัดนี้บรรลุถึงร่องแซงน้ำไหลผ่านสายนั้น เบื้องหน้าเขาคือสตรีสาวนางหนึ่ง

    ผมหล่อนสีทรายหยักศกไว้ยาวถึงกลางหลังอย่างเก๋ไก๋ ตามแบบฉบับลูกครึ่ง ไม่ผิดแน่ หล่อน

    นั่นเอง ดาริณี อนันตรัย ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตระหนกอกสั่นนั้น
    .ไม่ใช่หล่อน



    คชสารตัวหนึ่งเหยียบยืนอยู่บนฝั่งตรงข้ามของสายธาร ห่างจากร่างของหญิงสาวผู้ไม่ทราบจะ

    เรียกว่าเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่  หูใหญ่ราวกระด้งโบกสะบัดไปมา

    อย่างดุดัน งาใหญ่ยาวคู่นั้นแหลมคมขาววับ
     ดวงตาหยีเล็กสีแดงดุจทับทิม หรือมิฉะนั้นก็โลหิต

    จ้องเขม็งไปที่หญิงสาว  หล่อนนั่งนิ่งอยู่กับที่ ขยับตัวไม่ได้



    ลูกชายจอมพรานกระเดือกน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น  ในใจสวดภาวนา แผ่เมตตา

    ให้เจ้าช้างใหญ่ตัวนั้น  เขาหักลำกล้องแฝดลงดูกระสุนที่บรรจุไว้ เจ้ากรรมอีก มันเป็นกระสุนลูก

    ปลายทั้งสองลำกล้อง ซึ่งแน่ละ เจ้าของปืนกระบอกนี้ใส่ไว้เพื่อยิงเสือ ไม่ใช่ช้าง



    เสียงดังสวบสาบขึ้นเบื้องหน้า เจ้าคชสารใหญ่ตัวนั้นโบกหูดังวืดวาด เดินช้าๆ ข้ามลำน้ำสาย

    เล็กๆนั้นมายังฝั่งที่มนุษย์ยืนอยู่  วารินทร์สบถ หักลำกล้องเข้าที่ ตวัดปืนขึ้นประทับไหล่  สายตา

    จับจ้องไปยังเบื้องหน้า



    ดารินี อนันตรัย มองเห็นแต่เพียงชายหนุ่มยืนจังก้าห่างหล่อนไปไม่กี่หลาเท่านั้น หญิงสาวรวบ

    รวมกำลังลุกขึ้น เผ่นทะยานเข้าหาวารินทร์ซึ่งไม่ทันมองหล่อน เขาร้องอุทานอย่างตกใจ  เสยลำ

    กล้องแฝดกระบอกนั้นขึ้น  เสียงดัง ปึ้ก
    ! เมื่อดารินีวิ่งเสยสวนเข้ามาปะทะเขาอย่างจังปืนในมือ

    ร่วงหล่นหายไป  สาวลูกครึ่งล้มกลิ้งลงกับพื้น พลางเกี่ยวชายหนุ่ม เซล้มลงกระแทกดินไปด้วย

    กัน ทั้งคู่กลิ้งหลุนๆ ศีรษะของวารินทร์ชนเข้ากับโขดหินก้อนใหญ่ข้างๆอย่างแรง  สำนึกสุดท้าย

    ของลูกชายจอมพราน คือดวงหน้าของแม่สาวน้อยที่กำลังกอดเขาอยู่ และเสียงร้องแปร๋นอย่างดุ

    ร้ายของเจ้าช้างป่าเชือกนั้น
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×