คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : แรกพบ
เรื่องนั้นมันเริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน...
“เฮ้อ ! ร้อนเป็นบ้าเลยโว้ย” ผมหน้ามุ่ยพึมพำอยู่คนเดียวตรงม้านั่งหินอ่อนใต้ร่มมะขามต้น
ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านสาขา กระจายร่มเงาของมันให้ทั้งคนและสัตว์ได้พักพิงพึ่งพา แต่ก็ยังร้อน
อบอ้าวอยู่ดีสำหรับอากาศในยามเที่ยงวัน ของกลางเดือนมีนาคม อุณภูมิที่สูงเกือบ องศา
เซลเซียสนั้น กระตุ้นต่อมเหงื่อของผมให้ขับระบายน้ำออกมาตามรูขุมขน มันไหลย้อยเป็น
ทาง และหยดติ๋งๆ เปียกชุ่มไปหมดราวกับคนเพิ่งอาบน้ำ
ผมยกนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าคร่ำอันเป็นของขวัญที่แม่ซื้อให้เมื่อนานมาแล้ว ด้วยความรู้สึก
หงุดหงิด พลางสบถเล็กๆ อย่างเดือดดาลใจ พลางนึกถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองต้องมานั่งอยู่ ณ
ที่นี้ ทั้งๆที่เป็นเวลาพักผ่อนในช่วงหน้าร้อนของผม
แน่ละ เหตุผลเดิมๆ รอเพื่อน
นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์เริ่มทยอยกันเดินลงมาตามบันไดวนที่เชื่อมชั้นล่างกับชั้นบนของ
ตึกเข้าด้วยกัน น่าแปลกที่ตึกรูปทรงทันสมัยขนาดห้าชั้นหลังนี้ ไม่มีลิฟท์ติดให้นักศึกษาขึ้นลง
ด้วยเหตุผลทางงบประมาณ ทำให้นักศึกษาผู้น่าสงสารของคณะอักษรฯ ต้องเหงื่อไหลไคลกับ
การเดินสัญจรขึ้นลงบันไดวนแห่งนี้
ผมนั่งมองด้วยความประหลาดใจ จากจุดที่นั่งอยู่ มันไม่ไกลนักจากตึกอักษรฯ ครุ่นคิดด้วย
ความไม่เข้าใจกับเหตุผลที่คนเหล่านี้ยังคงต้องนั่งเลคเชอร์ในมหา’ลัย กับชั่วโมงเรียนอัน
แสนเบื่อหน่ายที่เบียดบังเวลาสำหรับพักผ่อนของพวกเขาไป ใช่แล้ว ซัมเมอร์หฤโหด ช่วง
เวลาที่พร้อมจะบั่นทอนพลังชีวิตของนักศึกษาให้หมดสิ้นไปอย่างน่าสงสาร
พวกที่ลงเรียนซัมเมอร์มีอยู่สองจำพวก หนึ่งคือ พวกที่ขยันจนเกินเหตุ กล่าวคือพวกที่ต้องการ
เรียนจบให้เร็วที่สุด ทั้งๆที่หลักสูตรกำหนดให้จบได้ในระยะเวลา 4 ปี แต่คนจำพวกนี้กลับ
พร้อมที่จะกวาดหน่วยกิตลงกระเป๋าให้เยอะที่สุด เพื่อจะจบก่อน 4 ปี เขาเป็นพวกบ้าเรียนที่ใส่
แว่นตาหนาๆ หอบหิ้วเอกสารกองใหญ่ท่วมหัว และสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ราวกับจะไปภู
กระดึง ส่วนพวกที่สองต่างจากพวกแรกโดยสิ้นเชิง พวกเขาเป็นนักศึกษาที่ไม่ผ่านการสอบ
ได้ เอฟ สีแดงในใบเกรด แน่ละ
พวกนี้มักจะหมกตัวอยู่หลังห้อง ซุบซิบสนทนาเกี่ยวกับ
เรื่องไม่เป็นเรื่อง อาทิ เรื่องห่ามๆ สามกๆ ที่เก็บมาเล่าจากหนังสือปกขาว เรื่องของตระกร้อ
เดิมพัน หรือไม่ก็หมกมุ่นอยู่กับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่สอดไส้ไว้ในหนังสือเรียน- สำหรับ
อ่านในเวลาเลคเชอร์ และนักศึกษาจำพวกหลังนี้ส่วนมากมักใช้เวลามากกว่า 4 ปีในการจบ
ปริญญาตรี 1 ใบ
อากาศทวีความร้อนอบขึ้นทุกขณะ ทั่วบริเวณมีเพียงเสียงแกรกกรากจากลุงภารโรงที่
กำลังกวาดใบไม้อยู่ที่ลานหน้าคณะ พวกนักศึกษาที่จอแจอยู่เมื่อครู่หายไปแล้ว อย่างรวดเร็ว
พวกเขาคงเบื่อหน่ายกับการเรียน หรือไม่ก็กลัวแสงแดดกับความร้อนของอากาศยามเที่ยงวัน
จึงพากันหลีกลี้ไปให้เร็วที่สุด บางทีพวกเขาอาจจะหลบมุมไปนั่งกินไอศกรีม หรือ น้ำแข็งไส
เย็นๆที่ไหนสักแห่งก็ได้ ผมคิด
ตี๊ด
เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กๆ ในกระเป๋าเสื้อของผมสั่นเล็กๆ ผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะ
ควักมันขึ้นมาดู หน้าปัดสีแบบทันสมัยแสดงผลว่ามีข้อความเข้า ผมเปิดอ่านด้วยความหงุด
หงิดเล็กๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
อาร์ม
วินเองนะเว้ย วันนี้ไม่รอนะ เดี๋ยวเรากลับพร้อมน้องเตย(แฟนใหม่เรา) ขอบใจมาก เพื่อนรัก
วิน
ผมถอนใจฟืดฟาดด้วยความเดือดดาลที่เพิ่มสูงปรี๊ดขึ้นอีกระลอกหนึ่ง อย่างช่วยไม่ได้ สบถ
เบาๆอีกครั้ง ส่ายหัวดิกเมื่อสำเหนียกว่า เพื่อนรักตัวดีของผมชิ่งกลับบ้านไปก่อนแล้ว ทั้งๆที่
ผมอุตส่าห์มารอรับมันอย่างดิบดี โดยที่ตัวมันเองเป็นคนขอเอาไว้ด้วยซ้ำ แถมยังเอาสาวมาเป็น
ข้ออ้างให้เจ็บใจเล่นอีกต่างหาก หนอย
เพื่อนนะเพื่อน
โครม !
เสียงดังมาจากข้างหลัง ผมหันขวับอย่างตกใจ
ถังขยะใบใหญ่หนึ่งล้มกลิ้งโคโล่ลงกับพื้น
ขยะกระจายเกลื่อนพื้น ร่างๆหนึ่งนอนฟุบอยู่บนพื้น ส่งเสียงร้องโอยๆ พร้อมกับชายหน้า
เหี้ยมสองคนที่ย่างสามขุมเข้ามาหาพร้อมกับมีดขาววับในมือ
คนตีกัน?
ผมคิดอย่างตกใจ เบิ่งตามองเหตุการณ์นั้นอย่างตื่นๆ ชายคนแรกนั้นเดินเข้ามาหิ้วปีกคนที่
นอนฟุบอยู่ซึ่งพอจะมองเค้าหน้าได้ลางๆ ว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี หากหน้านั้นอาบโซมไป
ด้วยเลือดที่ทะลักไหลออกมาจากหางคิ้วขวาที่แตกเป็นทางยาว ใบหน้าเป็นรอยช้ำเป็นปื้นเต็ม
ไปหมด
ชายคนที่สองปรี่เข้ามาสอยหมัดเข้าที่หน้าท้องของชายหน้าตาดี เสียงเขาร้องอู้บ ! ก่อนทรุด
ฮวบลงไปกองแทบเท้า ร้องครางด้วยความเจ็บปวด
“จำไว้ ! ทีหลังอย่ามายุ่งกับแฟนกูอีก” ชายคนที่สองสำรากใส่ ตาวาววามอย่างน่ากลัว “วันนี้กูแค่
สั่งสอน ถ้ามีคราวหน้ากูไม่เอามึงไว้แน่”
ชายหน้าตาดียิ้มเหี้ยมๆ ทั้งๆที่ตาทั้งสองข้างเริ่มลืมไม่ขึ้นแล้ว เขาขากคำใหญ่ ก่อนถ่มรดใบหน้า
เหี้ยมเกรียมนั้นอย่างไม่ยี่หระ
อีกกร้วมเข้าที่มุมปาก ชายหน้าตาดีหน้าหันตามแรงหมัด เลือดทะลักปรี่ออกมาริมฝีปากส่วนที่
โดนหมัดกระแทก ชายหน้าเหี้ยมคนแรกปรี่เข้ามายึดแขนทั้งสองข้าง แล้วหิ้วปีกให้ทรงตัวเอาไว้
เสียงชายหน้าเหี้ยมคนที่สองคำรามอย่างเดือดดาลใจขีดสุด มันสบถดังลั่นโดยไม่สนว่าใครจะได้
ยินบ้าง เงื้อมีดขาววับในมือขึ้นทันที
เขาตายแน่
.
ความคิดสองแง่ขัดแย้งกันอยู่ในหัวสมองน้อยๆทึบๆ ของผม ใจหนึ่งอยาก
เข้าไปช่วยเพราะถ้าหากไม่ช่วยชายหน้าตาดีคนนั้นตายแน่ อีกใจหนึ่งก็ค้านความคิดแรกอย่างสิ้น
เชิง มันบอกว่าหากเข้าไปช่วยผมเองที่ต้องรับความเดือดร้อนนั้นแทน
ผมคิดอยู่ชั่วครู่ก็วิ่งไปคว้าเอาไม้หน้าสามจากกองไม้เก่าๆ หลังตึกอักษรที่กองสุมๆ กันเอา
ไว้มาถือไว้ในมือ แล้ววิ่งอ้อมไปด้านหลังชายคนที่สอง เสียงชายหน้าเหี้ยมคนแรกที่หิ้วปีกชาย
หน้าตาดีเอาไว้ร้อง เฮ้ย ! ตาเหลือกเบิกโพลงมองมาที่ผม ชายหน้าเหี้ยมคนที่สองหันขวับ แต่สาย
ไปซะแล้วสำหรับมัน ผมเหวี่ยงไม้ในมือสุดแรง เสียงดัง พลั่ก ! เหลี่ยมมุมไม้กระทบเข้ากับที่ทัด
ดอกไม้ของชายคนนั้น มันร่วงผล็อยสลบเหมือดกลางอากาศ มีดสปริงคมปลาบในมือร่วงหล่นลง
กับพื้น ผมกระโดดตะครุบไว้ เสือกดันไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อชายหน้าเหี้ยมอีกคนปรี่เข้ามา
มันชะงักหยุดกึก หน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองเห็นมีดในมือผม พร้อมกับไม้หน้าสาม
“ไปซะ” ผมสั่ง สีหน้าเหี้ยมเกรียมเอาบ้าง “ก่อนที่กูจะแจ้งตำรวจ” ผมสำทับ พลางล้วงเอา
โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อมากดโชว์เบอร์ 191 ให้มันเห็น เจ้านั่นหน้าซีดเหลือสองนิ้ว ตะลีตะ
เหลือกหิ้วปีกชายอีกคนที่นอนสลบอยู่ก่อน ลากจากไปอย่างทุลักทุเล แต่ไม่วายกล่าวคำอาฆาต
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
ผมมองตามพวกมันไป แล้วทิ้งไม้กับมีดในมือ ละสายตาจากพวกนั้น แล้วก้มลองดูชาย
หน้าตาดีที่นอนฟุบหมดสติอยู่อย่างเป็นห่วง
ใบหน้าหล่อเหลาแบบนักร้องญี่ปุ่น นั้นโซมไปด้วยเลือดสดๆ จากแผลแตกที่หัวคิ้ว และ
ริมฝีปากไหลย้อยลงมาเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาว ที่พอจะมองออกว่าเป็นเสื้อนักศึกษา ดวงตาปิดสนิท
เพราะหมดสติ นอกนั้นเนื้อตัวเขียวเป็นจ้ำๆ จากการโดนรุมทำร้าย
“ทำไงดีหว่า เรา?” ผมคราง ทำอะไรไม่ถูก เดินวนอยู่รอบๆ เหลียวหาคนช่วยเหลือ เจ้า
กรรม ไม่มีมนุษย์อยู่ในบริเวณนั้นแม้แต่คนเดียว ขนาดลุงภารโรงที่กวาดใบไม้อยู่เมื่อสักครู่ ก็ไม่
เห็นแล้ว ทั้งๆที่น่าจะเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้ แล้วควรโดดเข้ามาช่วยเจ้าหนุ่มนี่
เมื่อหมดทางเข้าจริงๆ ผมก็ต้อง (จำใจ) แบกร่างไร้สตินั้นขึ้นหลัง
เอ..ไหงตัวมันอ่อน
นุ่มปวกเปียกงี้วะ?? แต่ก็หนักไม่เบาแฮะ ผมพึมพำเบาๆ กับตัวเอง แล้วขยับตัวให้เข้าที่ กระชับร่าง
นั้นให้อยู่ในท่าที่ผมสามารถพาเขาไปยังรถได้ รถผมจอดอยู่ไกลมาก มันนิ่งสงบอยู่ที่ลานจอดรถ
คณะวิทย์ อันห่างจากตึกอักษรฯ ไปสองช่วงตึก คิดมาถึงตอนนี้แล้ว ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ว่าทำไมถึงอุตริจอดรถไกลนัก(วะ)
ทางเดินไปยังคณะวิทย์ ห่างออกไปทางด้านตะวันตกของตึกอักษรฯ ไม่ถึงสองร้อยเมตร
ซึ่งถือว่าไม่ไกลหากเป็นยามธรรมดาเดินตัวเปล่า แต่นี่ ผมต้องแบกร่างหนักอึ้งของไอ้เจ้าหน้าหล่อ
นี่ขึ้นหลัง วิ่งตรงไปยังรถที่รู้สึกว่ามันแสนไกล โชคดีที่แถวนั้นไม่มีคนอยู่เลย ไม่งั้นใครก็คงได้เข้า
ใจผิดกันบ้างแหละว่าผมทำฆาตกรรมอำพราง ฆ่าแล้วเตรียมนำศพไปทำลาย
ในที่สุดก็มาถึงรถซะที เจ้ากรรมอีก มันเป็นรถเก๋งสองตอนแบบสปอร์ต หลังคาต่ำกว่ารถ
เก๋งแบบสี่ตอนปกติ ผมต้องอุ้มร่างเขาแล้วพยายามสอดเข้าไปแต่มือที่แบกรับน้ำหนัก ทุลักทุเลอีก
อย่างช่วยไม่ได้
“อย่าเพิ่งตายนะคุณ” ผมพยายามตบหน้าเขาเรียกสติให้กลับคืนมา แต่ไร้ผล หน้าที่แตกยับ
นั้นยังคงเงียบ นิ่งสนิท ทำให้ผมต้องรีบออกรถตรงไปยังโรงพยาบาลทันที
ที่โรงพยาบาล หลังจากส่งร่างอ่อนปวกเปียกนั้นเข้าห้องแบบฉุกเฉิน ผมต้องอธิบาย
คร่าวๆ กับหมอเจ้าของไข้อีกว่าเหตุการณ์เป็นมาอย่างไร
“หมอว่าแจ้งความเถอะครับ” หมอแนะนำเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ
“ผมว่ารอให้เจ้าตัวเขาฟื้นขึ้นมาดีก่อนดีกว่าครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับเขา เป็น
แค่คนที่เห็นเหตุการณ์เท่านั้น
ว่าแต่เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?” ประโยคหลังผมถามหมอ
“ บอบช้ำมากครับ แขนเดาะ หมอเข้าเฝือกให้แล้ว นอกนั้นก็ไม่น่าห่วง นอกจากอ่อน
เพลียมาก” หมอตอบ พร้อมยื่นฟิล์มเอ็กซเรย์ที่สแกนกระดูกแขนของชายคนนั้นให้ผมดู พบว่ามัน
บิดเบี้ยวผิดรูปไปเล็กน้อย
“ยังไงผมฝากเขาด้วยนะครับ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายผมรับผิดชอบเอง” ผมว่า แล้วนึกในใจว่า
ทำไมเราต้องมาเสียเงินเพื่อไอ้หน้าหล่อคนนี้ด้วย เพื่อนรึก็ไม่ใช่ ไม่รู้จักกันสักนิด ช่วยแค่นี้ก็ถือว่า
บุญแล้ว แต่อีกใจหนี่งก็ปลอบว่า เอาน่า
เพื่อมนุษยธรรม
หมอเขียนเอกสารค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าห้องให้ผม แล้วบอกให้ไปชำระที่ฝ่ายการเงิน
ผมบอกขอบคุณหมอ ลุกขึ้นยืนเตรียมผละไป แต่หมอก็ร้องทักเบาๆไว้ก่อนถามมาว่า
“ถ้าคนไข้ฟื้นแล้วจะให้หมอบอกว่าใครเป็นเจ้าของไข้ครับ?”
ผมนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนยิ้มบางๆให้หมอ พยักหน้าเบาๆ
“บอกว่า ผม นาย จตุภพ เวียงวรกานต์ เป็นคนช่วยเขาไว้ก็ได้ครับ”
ผมทิ้งท้าย ก่อนเดินออกไปจากห้องนั้น ตรงไปยังฝ่ายการเงินของโรงพยาบาล
ความคิดเห็น