ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศิวาอาถรรพณ์

    ลำดับตอนที่ #2 : 2

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 49


    หนองน้ำแห้งยามค่ำคืนดูสว่างไสวไปด้วยไฟฟ้าจากบ้านต้นไม้หลังงามที่ถูกตกแต่งให้ดูงดงาม

    ท่ามกลางไพรเถื่อน ทะมึนที่รายล้อมอยู่รอบด้าน  มันเปรียบเสมือนวิมานกลางป่า  มองจาก

    ไกลๆจะเห็นแสงสว่างจาก
    "คฤหาสน์" หลังน้อยนี้ลิบๆ รายล้อมด้วยชุมชนเล็กๆที่ยังคงมนต์

    เสน่ห์แห่งไพรดิบเอาไว้เหมือนเดิม  ใครจะรู้ว่าเมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านั้น สถานีกักสัตว์

    หนองน้ำแห้งแห่งนี้ เคยเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ รอยเท้าของคนเมืองที่


    เหยียบย่ำลงบนผืนป่าทุรกันดารผืนนี้ มีคณะเดินทางคณะแรกที่ฝ่าความอาถรรพณ์ ตีแผ่เส้นทาง

    สายสนธยาเข้าไปยังมรกตนคร แหล่งขุมเพชรพระอุมาสมบัติยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกผู้คน



               
    รถคาราวานขนสัตว์ได้มาจอดยังลานขนสัตว์เรียบร้อยแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะได้รับอันตรายใดๆ

    อย่างที่คิดกันไปแต่แรก จากเจ้าเสือมหาภัยซึ่งบัดนี้ไม่อาจรู้ได้ว่า มันคืออะไร สองพี่น้องอนันตรัยนั่งนิ่ง

    เงียบมาตลอดทาง มีเพียงแววตาและใบหน้าที่ซีดขาวเท่านั้น ที่บ่งบอกถึงความรู้สึกก้นบึ้งของจิตใจใน

    ขณะนี้เมื่อรถจี๊ปแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านต้นไม้  เกิด ซึ่งบัดนี้อยู่ในวัยกลางคน ได้เข้ามาช่วยขนของ

    สัมภาระลงจากรถจี๊ป เขายังคงความเป็นเกิดคนเดิมในสมัยก่อน คือทำงานรับใช้นายรพินทร์ซึ่งเป็นพ่อ

    ของวารินทร์อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น  เกิดมีครอบครัวแล้ว ลูกชายทั้งสองของอดีตพรานเลือดร้อนต่างก็สืบ

    ทอดสายเลือดพรานฝีมือดีมาจากพ่อแทบทุกอย่าง  



                   
    "เดี๋ยวเกิดให้เด็กช่วยพานายไพรวัลย์กะน้องสาวขึ้นข้างบนทีนะ ประเดี๋ยวฉันจะตามขึ้นไป  คง

    อยู่ได้นะน้องเล็ก บ้านต้นไม้ทาร์ซานไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลังนี้
    " ประโยคท้ายเป็นคำถามเชิง

    สัพยอก ผู้ถูกถามชำเลืองค้อนให้แวบหนึ่ง พลางหันไปช่วยพี่ชายยกสัมภาระที่ติดตัวมาจากรุงเทพฯ แล้ว

    เดินขึ้นไปตามเด็กรับใช้ที่เดินนำหน้า  วารินทร์หรี่ตามองสองพี่น้องที่กำลังเดินขึ้นบ้าน พลางนั่งลงบนตอ

    ไม้ล้มขนาดใหญ่ ควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ หันหน้าไปถามเกิด



                   
    "เกิดพอจะมีความรู้เกี่ยวกับไสยศาสตร์ หรือภูตผีหรือเปล่า"



                   
    เกิดทำหน้าตื่นๆแปลกใจ ทุกทีนายน้อยวารินทร์ ไม่เคยแสดงออกว่าสนใจหรือเชื่อในสิ่งเหล่านี้

    เลย แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในไสยเวทย์เชิงพรานมากมายเท่าใด แต่เกิดเองก็เห็นว่านาย

    น้อยลูกชายจอมพรานผู้นี้เป็นคนหัวสมัยใหม่ เกินกว่าจะมาเชื่องมงายเกี่ยวกับเรื่องผีสาง เทวดา หรือ

    ไสยศาสตร์ใดๆ



                   
    "ก็พอรู้ละ นายน้อย แต่ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญอะไรหรอก จะมีก็แต่ลุงบุญคำเท่านั้นแหละ ที่เชี่ยว

    ชาญไสยเวทย์มาก แต่แกก็ตายไปนานแล้ว ลำพังวิชาความรู้ที่เกิดมีก็แค่หางอึ่ง เอาตัวรอดพ้นคมเขี้ยว

    สัตว์ร้ายไปวันๆละนาย นายน้อยถามทำไมหรือ เจอผีมากระมัง?
    "



                   
    "ถ้าจะว่าใช่มันก็ใช่ละ " ชายหนุ่มอัดควันลึกเข้าปอด พยักหน้าถามแผ่วต่ำ "เกิดเคยเห็นหรือเคย

    ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเสือผีหรือเปล่า
    "    



                   
    "ฮ้า  นายน้อย นี่แปลว่าไปเจอมาละสิท่า  เกิดนึกอยู่แล้วเชียว ทุกทีไม่เคยจะเห็นสนใจเรื่องพวก


    นี้
    " พรานมือดีลูกมือรพินทร์ ไพรวัลย์ อุทานอย่างแปลกใจ วารินทร์ ถอนใจเฮือก เหม่อมองไปยังความมืดที่

    ไร้ขอบเขตนั้น พูดแผ่วเบา



                   
    "ไอ้ดำ ! ดำปลอดทีเดียว ตัวขนาดน้องๆไอ้ลาย  ดวงตามันบ่งบอกถึงความอาฆาต แค้น

    อย่างบอกไม่ถูก ที่น่าตกใจก็คือมันสมองราวกับมนุษย์ และร่างกายแข็งแรงว่องไว มันรู้ รู้ว่าลูกปืนมี

    พิษสงเพียงใด ขนาดสามารถกระโดดหลบก่อนที่ฉันจะลั่นไกเพียงชั่ววูบ   และยังฉวยโอกาสจู่โจมได้ทันที

    ที่รู้ว่าฉันพลาด แต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ  นัดที่สองยิงมันเข้าจุดตายกลางสมองแท้ๆ แต่มันกลับ

    หายไปกลางอากาศ เหมือนเป็นวิญญาณหรืออากาศธาตุทีเดียว
    "   



                   
    "ฮ้า นาย จริงหรือนี่" พรานเกิดอุทานอีกครั้ง คราวนี้อุทานด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว ขน

    ลุกซู่ไปหมด พลางกระเถิบเข้าวารินทร์  



                   
    "มันโผล่มาเดี๋ยวเดียว กระโจนหมายขย้ำนายทั้งสองที่อยู่บนเรือนนั่น ดีที่ฉันเอาปืนไปด้วย

    ลำพังสองคนนั่นมือเปล่า ถ้ามากันเองเห็นจะแย่ แต่ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ มันหายไปได้อย่างไร และหายไป

    ไหน นั่นคือสิ่งทีฉันอยากรู้
    "


                   
    "เสือผี !" เกิดครางแผ่วเบา เขาเป็นชาวป่าขนานแท้ดั้งเดิมที่หวาดกลัวต่อความอาถรรพณ์ สิ่งลี้

    ลับ ผิดปกติวิกลวิการเป็นที่สุด แม้จะเคยเผชิญ พบเห็นสิ่งเหล่านี้มามากมายคราวบุกเทือกพระศิวะ แต่

    ไม่ทำให้เขาเลิกกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้นี่แต่อย่างใด


                   
    "เอาละ ฉันจะขึ้นข้างบนละ เกิดช่วยกำชับเวรยามด้วย ว่าให้ระวังเหตุร้าย เพิ่มกำลังเวรยาม

    ตามเห็นสมควร แต่อย่าเพิ่งบอกอะไรให้พวกนั้นฟังนะ ดีไม่ดีจะแตกตื่นกันเปล่าๆ
    " ชายหนุ่มลุกขึ้น หยิบ

    ไรเฟิลคู่กายที่พิงไว้กับตอไม้ล้มข้างกายขึ้น พรานเกิดรับคำ ก่อนจะผละไปสั่งงานตามที่ได้รับมอบหมาย





                   
    สองพี่น้องอนันตรัยนั่งเล่นอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ไพรวัลย์ถือวิสาสะหยิบบรั่นดีจากในตู้ขึ้น

    มาเปิดดื่ม ด้วยคุ้นเคยเข้านอกออกในที่นี่อยู่เนืองๆ และเป็นเพื่อนเล่นของวารินทร์มาแต่เล็กแต่น้อย เขา

    จึงเปรียบเสมือนสมาชิกอีกคนหนึ่งของบ้านทาร์ซานหลังนี้  ส่วนแม่สาวลูกครึ่งนั้นยืนพิงขอบหน้าต่าง

    คลึงแก้วบรั่นดีเหม่อมองทอดสายตาออกไปยังความมืด  ครุ่นคิดอะไรอยู่ลำพังคนเดียว



                   
    บนโต๊ะกินข้าวเด็กรับใช้ได้จัดมื้อเย็นอย่างน่ากินทีเดียว ซึ่งทั้งคนครัวและเด็กรับใช้ต่างพากัน

    ย้ายตามดารินมาจากราชสกุลวราฤทธิ์  รวมไปถึงเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย  ชายหนุ่ม

    เจ้าของบ้านเชื้อเชิญแขกทั้งสองลงนั่ง ก่อนที่อาหารมื้อค่ำจะเริ่มขึ้นอย่างเรียบง่าย


                   
    หลังอาหาร ทั้งหมดมานั่งรวมกันอยู่ในห้องรับแขก  วารินทร์ถือโอกาสหยิบบรั่นดีมาเปิดเพิ่มอีก

    ขวด บรรยากาศรอบๆ บ้านพักเงียบกริบมีเพียงเสียงแมลงไพรบางชนิดเท่านั้นที่ส่งเสียงร้องระงมอยู่ใน

    ขณะนี้



                   
    "ว่ายังไง พ่อพรานเอก? " ไพรวัลย์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น สายตาจับจ้องไปยังสหายรุ่นน้อง

    ด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ดารินีขยับเข้ามานั่งตรงข้ามสองชายอย่างกระหายใคร่รู้ไม่แพ้กัน


                   
    "นายเคยได้ยินเรื่องของเสือสมิงบ้างหรือเปล่า โต?"  ลูกชายพรานใหญ่ถามแผ่วต่ำ กระดก

    บรั่นดีเข้าปากอึกใหญ่



                   
    "อืม  เป็นเรื่องที่พ่อแม่กัน รวมถึงคุณลุงเชษฐา เล่ากรอกหูให้ฟังตั้งแต่เด็กทีเดียว ก็ไม่รู้เหมือนกัน

    ว่ามีเค้าความจริงขนาดไหน เพราะเล่าให้ฟังทีไรมันฟังดูเหมือนนิทานยังไงชอบกล
    "



                   
    "เสือสมิงเป็นอย่างไรหรือคะ พี่โต?" สาวลูกครึ่งถามแทรกเข้ามาแผ่วเบา ผู้ถูกถามถอนใจแผ่ว

    ต่ำบอกมาเบาๆ


                   
    "เสือสมิงคือ เสือที่กินคนเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีวิญญาณอาฆาตแค้นมากมายวนเวียนสิ่ง

    สู่ในตัวมัน  มีมันสองราวกับมนุษย์ เพราะผีตายโหงเหล่านั้นเป็นผู้บอกบงการทุกสรรพสิ่งแก่มัน ถึงแม่

    น้อยเองก็เคยเล่าให้พี่ฟังว่า เคยเห็นเสือตัวหนึ่งมีผู้ชายนั่งมาด้วยบนหลังชี้บอกตำแหน่ง ของแม่น้อยซึ่ง

    กำลังแอบเจ้าเสือตัวนั้นอยู่บนต้นไม้กับพ่อรพินทร์  มารู้ทีหลังว่าเป็นคนที่นั่งมาบนหลังเสือคนนั้นตาย

    เพราะถูกเจ้าเสือร้ายตัวนั้นขย้ำกินเป็นเหยื่อนานแล้ว เท็จจริงยังไงต้องถามแม่น้อยเอง
    "    



                   
    "เรื่องมันพิสดารมากทีเดียว" ดารินีครางออกมา สีหน้าแสดงความอัศจรรย์ใจเต็มที่



                   
    "ยังมีอีกนะ เรื่องนี้พี่ฟังมาจากลุงใหญ่  เรื่องไอ้กุดเจ้าของพรมหนังเสือผืนใหญ่ที่ปูในห้องรับแขก

    บ้านลุงใหญ่ไงล่ะ ไอ้กุดคือเสือที่ไม่ได้ฆ่าเพราะหิวแต่ฆ่าเพราะวิญญาณอาฆาตบงการ มันเคียดแค้น

    มนุษย์ที่ทำให้มันเจ็บ  มันจึงจ้องฆ่าเฉพาะมนุษย์  มีคราวหนึ่งมันคาบลูกหาบคนของพ่อรพินทร์ไปแต่เมื่อ

    ถูกตามมันกลับสร้างรอยลวงให้คนที่ตามเข้าใจผิด ตามรอยหลงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าสัตว์

    เดรัจฉานสามารถคิดเองได้ขนาดนี้ ยกเว้นเสียแต่ว่ามีพลังงานลึกลับคอยกระตุ้นเตือนบอกมันอยู่
    "



                   
    สายลูกครึ่งตามคมผมสีทรายคนนั้นนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง วารินทร์

    แอบสำรวจร่างสมส่วนได้รูปนั้นเงียบๆ ราวกับมีอะไรมาสะกิดใจอย่างแปลกๆ ทั้งที่เขาเองไม่

    เคยทำตัวเจ้าชู้ไก้แจ้แอบมองผู้หญิงคนไหนอย่างนี้มาก่อน แต่กับแม่สาวลูกครึ่งคนนี้ เหมือนมี

    แรงดึงดูดอย่างประหลาดเร้นลับ สะกดผู้ชายทุกคนที่มองไม่ให้ละสายตาไปจากร่างงามนั้น



               
    "ว่าแต่ เจ้าเสือดำตัวนั้นเป็นเสือสมิงด้วยหรือเปล่าคะ" สาวสวยลูกครึ่งหลายเชื้อชาติถาม

    ประสบการณ์ในป่าเกี่ยวกับเรื่องเร้นลับหรืออาถรรพณ์ไพรต่างๆ ดูจะเป็นเรื่องน่าสนุกน่าสนใจไปเสีย

    ทุกอย่างสำหรับหล่อน  



                   
    "ไม่ใช่หรอก เสือดำตัวนั้นมันคนละประเภท คนละชนิดกับเสือสมิงที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่  เสือ

    สมิงคือเสือจริงๆ มีตัวมีตนจริงๆ แต่จิตวิญญาณถูกบงการด้วยสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ แต่เจ้าเสือที่เราเจอ

    เมื่อหัวค่ำมันคืออะไรกันแน่  พี่ก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
    " พี่ชายตอบแผ่วต่ำ



                   
    "ถ้าว่ากันในแง่วิทยาศาสตร์มันอาจเกิดจากภาพหลอนได้อย่างว่า  แต่ถ้าหากมองในแง่ของไสย

    ศาสตร์ มันก็คือวิญญาณของเสือตัวนั้นเองซึ่งอาจถูกคนฆ่าตาย แล้วเกิดเป็นความอาฆาตแค้น ปรากฏ

    ตัวหลอกหลอนผู้คนที่ผ่านไปมาก็ได้ ประจวบกับเราแจ๊กพ็อตแตก เลยเจอมันเข้าอย่างจัง
    " เจ้าของบ้านว่า



                   
    "ว่าอันที่จริง กันไม่คิดว่านายจะเชื่อเรื่องพวกนี้เลย วารินทร์" เพื่อนชายสัพยอก เอียงคอล้อ



                   
    "เฮ้ย ๆ ไพรวัลย์ กันน่ะถึงจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านไสยมนต์ดำโดยตรง ก็จบมาทางจิตศาสตร์

    นะเพื่อน ว่ากันตามทฤษฎีทางจิต เชื่อในเรื่องอำนาจของจิตที่ออกจากร่างหลังตายไปแล้ว ไม่ว่าคนหรือ

    สัตว์ ก็คงจะเข้าข่ายทฤษฎีนี้ กันเองก็เคยทดลองเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาเหมือนกัน แต่ยังไม่มีความคืบ

    หน้าก็เรียนจบเสียก่อน  กันเสียอีกที่ไม่คิดว่านายกับน้องเล็กจะเชื่อเรื่องพวกนี้ทั้งๆที่ดูผิวเผินจะเป็นคนหัว

    สมัยใหม่แท้ๆ
    "



                   
    "งั้นนายมาหมกตัวอยู่ที่หนองน้ำนี่ทำไมแห้งวะเพื่อน  จะว่ามาสืบทอดกิจการของพ่อรพินทร์ก็ไม่

    น่าจะใช่ เป็นพรานก็ไม่เห็นจำเป็นต้องจบจิตศาสตร์มาเลยนี่หว่า?
    "


                   
    วารินทร์เอนหลังลงพิงพนักอย่างสบายอารมณ์ ก่อนตอบเรียบๆ ปนฉิวๆ


                   
    "พูดแล้วจะหาว่าคุย กันน่ะ เป็นตำรวจเฟ้ย   แล้วที่เห็นมารับจ๊อบเป็นพรานอยู่เนี่ยก็เพราะคุณ

    แม่หรอก ท่านสั่งเอาไว้ว่าให้ขึ้นมาดูให้ที ประจวบกับกันได้พักร้อนห้าเดือน เลยว่างมาดูแลให้
    "


                   
    "เฮ้ย บ้าแล้ว ตำรวจอะไรวะพักร้อนตั้งห้าเดือน"


                   
    "กรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษน่ะ ทำงานคล้ายสายลับอะไรเทือกนั้น แต่ว่ากันอยู่หน่วยสอบ

    สวนกลาง เลยไม่ค่อยจะมีงานเสี่ยงๆ  ให้ทำมากมาย นี่เห็นเป็นคนกันเองเลยบอกให้รู้  แหม ไอ้เรารูปหล่อ

    พ่อไม่รวย ก็ต้องมีดีอะไรสักอย่างมั่ง นี่ถ้าไม่รักกันจริงไม่บอกร๊อก  ปล่อยให้คิดว่าเป็นพรานป่าหน้าเหี้ยม

    เสียฉิบ
    "    


                   
    ไพรวัลย์ปล่อยก๊าก ขณะที่สหายรุ่นน้องเขาลอบชำเลืองไปทางแม่ผมสีทรายคนสวย
    "ของเขา"

    หล่อนกำลังทำสีหน้าครุ่นคิด เย็นเยียบ โดยไม่สนใจบทสนทนาของสองชายเอาเสียเลย  ให้ตายเถอะ วา

    รินทร์บอกตัวเองในใจ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขาอยากร่วมเรียงเคียง

    หมอนตั้งแต่แรกพบได้ถึงขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหนนะ ถึงมาทำให้หัวใจเราหวั่น

    ไหวตั้งแต่แรกเจอได้ขนาดนี้ ดูเจ้าพี่ชายก็ท่าทางจะหวงน้องเสียด้วยซิ  แล้วดวงตาสีเขียวเข้มคู่

    นั้นก็ดูราวกับไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใด ต่อให้เราพูดยั่วเย้าเชิญชวนให้สนทนาด้วยสักแค่ไหนก็

    ตาม

                    "ว่าแต่นายกับน้องเล็กเถอะ จะมาค้างด้วยสักกี่วันล่ะ อย่าบอกนะว่าจะรอจนกว่าพ่อแม่กันจะ

    กลับมา เฮ้ยพอดีเหล้าหมดตู้ นายน่ะกินทีเป็นโอ่งเป็นไห ไพรวัลย์
    " วารินทร์สัพยอกเป็นเชิงแก้ขวย สหาย

    รุ่นพี่ปล่อย



    ก๊ากดังลั่นอีกครั้ง


                   
    "เปล่าหรอกว่ะเพื่อน ก็กะจะมาอยู่ซักอาทิตย์นึง จนกว่าคนที่บ้านจะเอาสัมภาระเดินป่ามาส่ง

    ให้
    "

                    "สัมภาระ? นายจะออกป่ากระมัง?"


                   
    "อืม" วารินทร์หยุดหัวเรา เขาจ้องหน้าสหายรุ่นน้องที่มีความเกี่ยวพันเป็นญาติสนิท บอกเรียบๆ



                   
    "อันที่จริงกันก็มีจุดประสงค์สำคัญในการขึ้นมาครั้งนี้ วารินทร์  กันมาเพื่อจะขอร้องให้พ่อรพินทร์

    พาออกป่าน่ะ
    "



                   
    สายตาอันคมกริบของชายหนุ่มลูกชายจอมพรานจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของ

    ชายหนุ่มลูกครึ่ง ราวกับต้องการค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง



                   
    "นายจะออกป่าทำไม และเพื่ออะไร?"



                   
    ไพรวัลย์ถอนใจเฮือก บุ้ยปากไปทางแม่น้องสาว ที่กำลังยืนกอดอก  สูบบุหรี่พินิจมองกะโหลก

    มหิงสาที่แขวนประดับบนฝาผนังคนเดียวเงียบๆ



                    
     
    "ให้ยายเล็กเป็นคนอธิบายแล้วกัน เป็นเรื่องของเธอโดยตรงนี่นะ"



                   
    หญิงสาวลูกครึ่งผู้ถูกเอ่ยถึงหันมา ใบหน้าราบเรียบ  เดินไปยังหยิบที่เขี่ยบุหรี่ที่ทำจากหัว

    กะโหลกเสือขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะพูดขึ้นน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ



                   
    "ก่อนอื่นขอถามพี่วารินทร์ก่อนนะคะ ว่าเคยได้ยินชื่อของ ดร.นาธาน  อิริก บ้างหรือเปล่า?"



                   
    "น้องเล็กหมายถึง นักโบราณคดีชื่อดังที่ค้นพบซากเมืองโบราณในทวีปอเมริกาใต้ที่เป็นข่าวครึก

    โครมออกทีวีเมื่อครึ่งปีก่อนนั่นน่ะเหรอ
    "



                   
    "นี่แสดงว่าพี่วารินทร์ก็ติดตามข่าวมาอย่างดีทีเดียว ใช่แล้วค่ะ ดร . นาธานคนนั้นแหละ ที่เป็น

    เป้าหมายในการออกป่าครั้งนี้ของเรา
    "



                   
    "เล่าต่อไปซิ"



                   
    "หลังจากงานชิ้นเอกที่ค้นพบซากเมืองโบราณทางหมู่เกาะในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็น

    ทวีปที่รุ่งเรื่องในสมัยก่อน หรือมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเกาะที่เรารู้จักในนามแอทแลนติส  ดร.นาธานมี

    ความเชื่อว่าหากทฤษฎีที่ว่า ระหว่างทวีปแอฟริกากับอเมริกาคือเกาะแอทแลนติสแล้ว ย่อมแสดงว่าเมือง

    โบราณที่เคยรุ่งเรื่องเมื่ออดีตกาลนานมาแล้วมีอยู่จริง อารยธรรมในระหว่างลุ่มน้ำไทรกริส
    ยูเฟรติส

    ย่อมปรากฏและมีความเจริญในระยะเวลาใกล้เคียงกัน รวมไปถึงอารยธรรมในอินเดีย แถบจีนตอนใต้ -

    พม่าตอนบนที่เป็นป่าหลงสำรวจ มานานนับหลายศตวรรษ  เขาจึงตกลงใจว่าจ้างพรานนำทางกลุ่มหนึ่ง

    เดินทางเข้าไปสำรวจซากเมืองโบราณซึ่งมีข่าวว่าค้นพบในทางตอนเหนือของพม่า เพื่อสำรวจและเก็บ

    ข้อมูลนำไปทดสองตรวจหาอายุที่ศูนย์วิจัยในอังกฤษ
    "



                   
    "น้องเล็กคงมีความเกี่ยวข้องกับคณะสำรวจที่ว่านั่นกระมัง?"



                   
    แม่สาวลูกครึ่งยิ้มมุมปาก พยักหน้า



                   
    "พี่วารินทร์พูดถูกแล้วค่ะ เล็กเป็นหนึ่งในคณะสำรวจโบราณสถานที่ว่า เพียงแต่ว่าเพิ่งจะตาม

    ไปสมทบ เราเลยต้องหาคนนำทางฝีมือดีที่จะพาเราเข้าไปยังแคมป์สำรวจ ซึ่งเรามองไม่เห็นใครนอกจาก

    พ่อรพินทร์
    "


                   
    "แต่ว่ากว่าท่านจะกลับก็คงเดือนหน้า น้องเล็กจะรอท่านไหวหรือ" วารินทร์หยั่งเชิง จริงทีเดียว

    เขาคิด ตั้งแต่พบหน้าครั้งแรกก็รู้แล้วว่า สองพี่น้องนี่ต้องมีจุดประสงค์ที่แอบแฝงมากกว่าการมา

    เยี่ยมเยือนธรรมดา โดยเฉพาะแม่สาวดารินีนั่น ท่าทางนิ่งสงบซะจนน่ากลัว



               
    "เรารอไม่ได้หรอกค่ะ พี่วารินทร์ คณะสำรวจได้ค้นพบวัตถุโบราณที่เรียกได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญ

    ชิ้นหนึ่ง และเล็กเองมีหน้าที่จะต้องนำมันกลับไปยังศูนย์วิจัยที่ลอนดอน  ที่ว่ารอไม่ได้คือการแถลงข่าวที่

    จะเกิดขึ้นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ทำให้เรามีเวลาเดินทางค่อนข้างรีบเร่ง และจะคลาดเคลื่อนไม่ได้แม่

    แต่วันเดียว สรุปคืองานชิ้นนี้เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาดค่ะ แต่เราจะหาพรานนำทางได้ที่ไหน เมื่อพ่อ

    รพินทร์ไม่อยู่
    "



                   
    "มีสิ" ไพรวัลย์ซึ่งนิ่งเงียบมตลอดแทรกขึ้นเบาๆ สายตาจับจ้องวารินทร์อย่างมีความหมาย



                   
    "ในเมื่อจอมพราน รพินทร์ ไพรวัลย์ ไม่สามารถนำทางให้เราได้ เราก็ยังมี รพินทร์จูเนียร์ ที่มี

    สมรรถภาพพอที่จะนำเราไปยังจุดหมายได้
    "



                   
    วารินทร์แทบสำลักบรั่นดี ร้องเฮ้ย



                   
    "หมายความว่า...."



                   
    "ใช่แล้ว วารินทร์ นายนั่นแหละ เหมาะที่สุด"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×