คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2
หนองน้ำแห้งยามค่ำคืนดูสว่างไสวไปด้วยไฟฟ้าจากบ้านต้นไม้หลังงามที่ถูกตกแต่งให้ดูงดงาม
ท่ามกลางไพรเถื่อน ทะมึนที่รายล้อมอยู่รอบด้าน มันเปรียบเสมือนวิมานกลางป่า มองจาก
ไกลๆจะเห็นแสงสว่างจาก "คฤหาสน์" หลังน้อยนี้ลิบๆ รายล้อมด้วยชุมชนเล็กๆที่ยังคงมนต์
เสน่ห์แห่งไพรดิบเอาไว้เหมือนเดิม ใครจะรู้ว่าเมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านั้น สถานีกักสัตว์
หนองน้ำแห้งแห่งนี้ เคยเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ รอยเท้าของคนเมืองที่
เหยียบย่ำลงบนผืนป่าทุรกันดารผืนนี้ มีคณะเดินทางคณะแรกที่ฝ่าความอาถรรพณ์ ตีแผ่เส้นทาง
สายสนธยาเข้าไปยังมรกตนคร แหล่งขุมเพชรพระอุมาสมบัติยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกผู้คน
รถคาราวานขนสัตว์ได้มาจอดยังลานขนสัตว์เรียบร้อยแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะได้รับอันตรายใดๆ
อย่างที่คิดกันไปแต่แรก จากเจ้าเสือมหาภัยซึ่งบัดนี้ไม่อาจรู้ได้ว่า มันคืออะไร สองพี่น้องอนันตรัยนั่งนิ่ง
เงียบมาตลอดทาง มีเพียงแววตาและใบหน้าที่ซีดขาวเท่านั้น ที่บ่งบอกถึงความรู้สึกก้นบึ้งของจิตใจใน
ขณะนี้เมื่อรถจี๊ปแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านต้นไม้ เกิด ซึ่งบัดนี้อยู่ในวัยกลางคน ได้เข้ามาช่วยขนของ
สัมภาระลงจากรถจี๊ป เขายังคงความเป็นเกิดคนเดิมในสมัยก่อน คือทำงานรับใช้นายรพินทร์ซึ่งเป็นพ่อ
ของวารินทร์อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น เกิดมีครอบครัวแล้ว ลูกชายทั้งสองของอดีตพรานเลือดร้อนต่างก็สืบ
ทอดสายเลือดพรานฝีมือดีมาจากพ่อแทบทุกอย่าง
"เดี๋ยวเกิดให้เด็กช่วยพานายไพรวัลย์กะน้องสาวขึ้นข้างบนทีนะ ประเดี๋ยวฉันจะตามขึ้นไป คง
อยู่ได้นะน้องเล็ก บ้านต้นไม้ทาร์ซานไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลังนี้" ประโยคท้ายเป็นคำถามเชิง
สัพยอก ผู้ถูกถามชำเลืองค้อนให้แวบหนึ่ง พลางหันไปช่วยพี่ชายยกสัมภาระที่ติดตัวมาจากรุงเทพฯ แล้ว
เดินขึ้นไปตามเด็กรับใช้ที่เดินนำหน้า วารินทร์หรี่ตามองสองพี่น้องที่กำลังเดินขึ้นบ้าน พลางนั่งลงบนตอ
ไม้ล้มขนาดใหญ่ ควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ หันหน้าไปถามเกิด
"เกิดพอจะมีความรู้เกี่ยวกับไสยศาสตร์ หรือภูตผีหรือเปล่า"
เกิดทำหน้าตื่นๆแปลกใจ ทุกทีนายน้อยวารินทร์ ไม่เคยแสดงออกว่าสนใจหรือเชื่อในสิ่งเหล่านี้
เลย แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในไสยเวทย์เชิงพรานมากมายเท่าใด แต่เกิดเองก็เห็นว่านาย
น้อยลูกชายจอมพรานผู้นี้เป็นคนหัวสมัยใหม่ เกินกว่าจะมาเชื่องมงายเกี่ยวกับเรื่องผีสาง เทวดา หรือ
ไสยศาสตร์ใดๆ
"ก็พอรู้ละ นายน้อย แต่ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญอะไรหรอก จะมีก็แต่ลุงบุญคำเท่านั้นแหละ ที่เชี่ยว
ชาญไสยเวทย์มาก แต่แกก็ตายไปนานแล้ว ลำพังวิชาความรู้ที่เกิดมีก็แค่หางอึ่ง เอาตัวรอดพ้นคมเขี้ยว
สัตว์ร้ายไปวันๆละนาย นายน้อยถามทำไมหรือ เจอผีมากระมัง?"
"ถ้าจะว่าใช่มันก็ใช่ละ " ชายหนุ่มอัดควันลึกเข้าปอด พยักหน้าถามแผ่วต่ำ "เกิดเคยเห็นหรือเคย
ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเสือผีหรือเปล่า"
"ฮ้า นายน้อย นี่แปลว่าไปเจอมาละสิท่า เกิดนึกอยู่แล้วเชียว ทุกทีไม่เคยจะเห็นสนใจเรื่องพวก
นี้" พรานมือดีลูกมือรพินทร์ ไพรวัลย์ อุทานอย่างแปลกใจ วารินทร์ ถอนใจเฮือก เหม่อมองไปยังความมืดที่
ไร้ขอบเขตนั้น พูดแผ่วเบา
"ไอ้ดำ ! ดำปลอดทีเดียว ตัวขนาดน้องๆไอ้ลาย ดวงตามันบ่งบอกถึงความอาฆาต แค้น
อย่างบอกไม่ถูก ที่น่าตกใจก็คือมันสมองราวกับมนุษย์ และร่างกายแข็งแรงว่องไว มันรู้ รู้ว่าลูกปืนมี
พิษสงเพียงใด ขนาดสามารถกระโดดหลบก่อนที่ฉันจะลั่นไกเพียงชั่ววูบ และยังฉวยโอกาสจู่โจมได้ทันที
ที่รู้ว่าฉันพลาด แต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ นัดที่สองยิงมันเข้าจุดตายกลางสมองแท้ๆ แต่มันกลับ
หายไปกลางอากาศ เหมือนเป็นวิญญาณหรืออากาศธาตุทีเดียว"
"ฮ้า นาย จริงหรือนี่" พรานเกิดอุทานอีกครั้ง คราวนี้อุทานด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว ขน
ลุกซู่ไปหมด พลางกระเถิบเข้าวารินทร์
"มันโผล่มาเดี๋ยวเดียว กระโจนหมายขย้ำนายทั้งสองที่อยู่บนเรือนนั่น ดีที่ฉันเอาปืนไปด้วย
ลำพังสองคนนั่นมือเปล่า ถ้ามากันเองเห็นจะแย่ แต่ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ มันหายไปได้อย่างไร และหายไป
ไหน นั่นคือสิ่งทีฉันอยากรู้"
"เสือผี !" เกิดครางแผ่วเบา เขาเป็นชาวป่าขนานแท้ดั้งเดิมที่หวาดกลัวต่อความอาถรรพณ์ สิ่งลี้
ลับ ผิดปกติวิกลวิการเป็นที่สุด แม้จะเคยเผชิญ พบเห็นสิ่งเหล่านี้มามากมายคราวบุกเทือกพระศิวะ แต่
ไม่ทำให้เขาเลิกกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้นี่แต่อย่างใด
"เอาละ ฉันจะขึ้นข้างบนละ เกิดช่วยกำชับเวรยามด้วย ว่าให้ระวังเหตุร้าย เพิ่มกำลังเวรยาม
ตามเห็นสมควร แต่อย่าเพิ่งบอกอะไรให้พวกนั้นฟังนะ ดีไม่ดีจะแตกตื่นกันเปล่าๆ" ชายหนุ่มลุกขึ้น หยิบ
ไรเฟิลคู่กายที่พิงไว้กับตอไม้ล้มข้างกายขึ้น พรานเกิดรับคำ ก่อนจะผละไปสั่งงานตามที่ได้รับมอบหมาย
สองพี่น้องอนันตรัยนั่งเล่นอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ไพรวัลย์ถือวิสาสะหยิบบรั่นดีจากในตู้ขึ้น
มาเปิดดื่ม ด้วยคุ้นเคยเข้านอกออกในที่นี่อยู่เนืองๆ และเป็นเพื่อนเล่นของวารินทร์มาแต่เล็กแต่น้อย เขา
จึงเปรียบเสมือนสมาชิกอีกคนหนึ่งของบ้านทาร์ซานหลังนี้ ส่วนแม่สาวลูกครึ่งนั้นยืนพิงขอบหน้าต่าง
คลึงแก้วบรั่นดีเหม่อมองทอดสายตาออกไปยังความมืด ครุ่นคิดอะไรอยู่ลำพังคนเดียว
บนโต๊ะกินข้าวเด็กรับใช้ได้จัดมื้อเย็นอย่างน่ากินทีเดียว ซึ่งทั้งคนครัวและเด็กรับใช้ต่างพากัน
ย้ายตามดารินมาจากราชสกุลวราฤทธิ์ รวมไปถึงเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ชายหนุ่ม
เจ้าของบ้านเชื้อเชิญแขกทั้งสองลงนั่ง ก่อนที่อาหารมื้อค่ำจะเริ่มขึ้นอย่างเรียบง่าย
หลังอาหาร ทั้งหมดมานั่งรวมกันอยู่ในห้องรับแขก วารินทร์ถือโอกาสหยิบบรั่นดีมาเปิดเพิ่มอีก
ขวด บรรยากาศรอบๆ บ้านพักเงียบกริบมีเพียงเสียงแมลงไพรบางชนิดเท่านั้นที่ส่งเสียงร้องระงมอยู่ใน
ขณะนี้
"ว่ายังไง พ่อพรานเอก? " ไพรวัลย์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น สายตาจับจ้องไปยังสหายรุ่นน้อง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดารินีขยับเข้ามานั่งตรงข้ามสองชายอย่างกระหายใคร่รู้ไม่แพ้กัน
"นายเคยได้ยินเรื่องของเสือสมิงบ้างหรือเปล่า โต?" ลูกชายพรานใหญ่ถามแผ่วต่ำ กระดก
บรั่นดีเข้าปากอึกใหญ่
"อืม เป็นเรื่องที่พ่อแม่กัน รวมถึงคุณลุงเชษฐา เล่ากรอกหูให้ฟังตั้งแต่เด็กทีเดียว ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ว่ามีเค้าความจริงขนาดไหน เพราะเล่าให้ฟังทีไรมันฟังดูเหมือนนิทานยังไงชอบกล"
"เสือสมิงเป็นอย่างไรหรือคะ พี่โต?" สาวลูกครึ่งถามแทรกเข้ามาแผ่วเบา ผู้ถูกถามถอนใจแผ่ว
ต่ำบอกมาเบาๆ
"เสือสมิงคือ เสือที่กินคนเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีวิญญาณอาฆาตแค้นมากมายวนเวียนสิ่ง
สู่ในตัวมัน มีมันสองราวกับมนุษย์ เพราะผีตายโหงเหล่านั้นเป็นผู้บอกบงการทุกสรรพสิ่งแก่มัน ถึงแม่
น้อยเองก็เคยเล่าให้พี่ฟังว่า เคยเห็นเสือตัวหนึ่งมีผู้ชายนั่งมาด้วยบนหลังชี้บอกตำแหน่ง ของแม่น้อยซึ่ง
กำลังแอบเจ้าเสือตัวนั้นอยู่บนต้นไม้กับพ่อรพินทร์ มารู้ทีหลังว่าเป็นคนที่นั่งมาบนหลังเสือคนนั้นตาย
เพราะถูกเจ้าเสือร้ายตัวนั้นขย้ำกินเป็นเหยื่อนานแล้ว เท็จจริงยังไงต้องถามแม่น้อยเอง"
"เรื่องมันพิสดารมากทีเดียว" ดารินีครางออกมา สีหน้าแสดงความอัศจรรย์ใจเต็มที่
"ยังมีอีกนะ เรื่องนี้พี่ฟังมาจากลุงใหญ่ เรื่องไอ้กุดเจ้าของพรมหนังเสือผืนใหญ่ที่ปูในห้องรับแขก
บ้านลุงใหญ่ไงล่ะ ไอ้กุดคือเสือที่ไม่ได้ฆ่าเพราะหิวแต่ฆ่าเพราะวิญญาณอาฆาตบงการ มันเคียดแค้น
มนุษย์ที่ทำให้มันเจ็บ มันจึงจ้องฆ่าเฉพาะมนุษย์ มีคราวหนึ่งมันคาบลูกหาบคนของพ่อรพินทร์ไปแต่เมื่อ
ถูกตามมันกลับสร้างรอยลวงให้คนที่ตามเข้าใจผิด ตามรอยหลงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าสัตว์
เดรัจฉานสามารถคิดเองได้ขนาดนี้ ยกเว้นเสียแต่ว่ามีพลังงานลึกลับคอยกระตุ้นเตือนบอกมันอยู่"
สายลูกครึ่งตามคมผมสีทรายคนนั้นนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง วารินทร์
แอบสำรวจร่างสมส่วนได้รูปนั้นเงียบๆ ราวกับมีอะไรมาสะกิดใจอย่างแปลกๆ ทั้งที่เขาเองไม่
เคยทำตัวเจ้าชู้ไก้แจ้แอบมองผู้หญิงคนไหนอย่างนี้มาก่อน แต่กับแม่สาวลูกครึ่งคนนี้ เหมือนมี
แรงดึงดูดอย่างประหลาดเร้นลับ สะกดผู้ชายทุกคนที่มองไม่ให้ละสายตาไปจากร่างงามนั้น
"ว่าแต่ เจ้าเสือดำตัวนั้นเป็นเสือสมิงด้วยหรือเปล่าคะ" สาวสวยลูกครึ่งหลายเชื้อชาติถาม
ประสบการณ์ในป่าเกี่ยวกับเรื่องเร้นลับหรืออาถรรพณ์ไพรต่างๆ ดูจะเป็นเรื่องน่าสนุกน่าสนใจไปเสีย
ทุกอย่างสำหรับหล่อน
"ไม่ใช่หรอก เสือดำตัวนั้นมันคนละประเภท คนละชนิดกับเสือสมิงที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่ เสือ
สมิงคือเสือจริงๆ มีตัวมีตนจริงๆ แต่จิตวิญญาณถูกบงการด้วยสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ แต่เจ้าเสือที่เราเจอ
เมื่อหัวค่ำมันคืออะไรกันแน่ พี่ก็บอกไม่ได้เหมือนกัน" พี่ชายตอบแผ่วต่ำ
"ถ้าว่ากันในแง่วิทยาศาสตร์มันอาจเกิดจากภาพหลอนได้อย่างว่า แต่ถ้าหากมองในแง่ของไสย
ศาสตร์ มันก็คือวิญญาณของเสือตัวนั้นเองซึ่งอาจถูกคนฆ่าตาย แล้วเกิดเป็นความอาฆาตแค้น ปรากฏ
ตัวหลอกหลอนผู้คนที่ผ่านไปมาก็ได้ ประจวบกับเราแจ๊กพ็อตแตก เลยเจอมันเข้าอย่างจัง" เจ้าของบ้านว่า
"ว่าอันที่จริง กันไม่คิดว่านายจะเชื่อเรื่องพวกนี้เลย วารินทร์" เพื่อนชายสัพยอก เอียงคอล้อ
"เฮ้ย ๆ ไพรวัลย์ กันน่ะถึงจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านไสยมนต์ดำโดยตรง ก็จบมาทางจิตศาสตร์
นะเพื่อน ว่ากันตามทฤษฎีทางจิต เชื่อในเรื่องอำนาจของจิตที่ออกจากร่างหลังตายไปแล้ว ไม่ว่าคนหรือ
สัตว์ ก็คงจะเข้าข่ายทฤษฎีนี้ กันเองก็เคยทดลองเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาเหมือนกัน แต่ยังไม่มีความคืบ
หน้าก็เรียนจบเสียก่อน กันเสียอีกที่ไม่คิดว่านายกับน้องเล็กจะเชื่อเรื่องพวกนี้ทั้งๆที่ดูผิวเผินจะเป็นคนหัว
สมัยใหม่แท้ๆ"
"งั้นนายมาหมกตัวอยู่ที่หนองน้ำนี่ทำไมแห้งวะเพื่อน จะว่ามาสืบทอดกิจการของพ่อรพินทร์ก็ไม่
น่าจะใช่ เป็นพรานก็ไม่เห็นจำเป็นต้องจบจิตศาสตร์มาเลยนี่หว่า?"
วารินทร์เอนหลังลงพิงพนักอย่างสบายอารมณ์ ก่อนตอบเรียบๆ ปนฉิวๆ
"พูดแล้วจะหาว่าคุย กันน่ะ เป็นตำรวจเฟ้ย แล้วที่เห็นมารับจ๊อบเป็นพรานอยู่เนี่ยก็เพราะคุณ
แม่หรอก ท่านสั่งเอาไว้ว่าให้ขึ้นมาดูให้ที ประจวบกับกันได้พักร้อนห้าเดือน เลยว่างมาดูแลให้"
"เฮ้ย บ้าแล้ว ตำรวจอะไรวะพักร้อนตั้งห้าเดือน"
"กรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษน่ะ ทำงานคล้ายสายลับอะไรเทือกนั้น แต่ว่ากันอยู่หน่วยสอบ
สวนกลาง เลยไม่ค่อยจะมีงานเสี่ยงๆ ให้ทำมากมาย นี่เห็นเป็นคนกันเองเลยบอกให้รู้ แหม ไอ้เรารูปหล่อ
พ่อไม่รวย ก็ต้องมีดีอะไรสักอย่างมั่ง นี่ถ้าไม่รักกันจริงไม่บอกร๊อก ปล่อยให้คิดว่าเป็นพรานป่าหน้าเหี้ยม
เสียฉิบ"
ไพรวัลย์ปล่อยก๊าก ขณะที่สหายรุ่นน้องเขาลอบชำเลืองไปทางแม่ผมสีทรายคนสวย "ของเขา"
หล่อนกำลังทำสีหน้าครุ่นคิด เย็นเยียบ โดยไม่สนใจบทสนทนาของสองชายเอาเสียเลย ให้ตายเถอะ วา
รินทร์บอกตัวเองในใจ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขาอยากร่วมเรียงเคียง
หมอนตั้งแต่แรกพบได้ถึงขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหนนะ ถึงมาทำให้หัวใจเราหวั่น
ไหวตั้งแต่แรกเจอได้ขนาดนี้ ดูเจ้าพี่ชายก็ท่าทางจะหวงน้องเสียด้วยซิ แล้วดวงตาสีเขียวเข้มคู่
นั้นก็ดูราวกับไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใด ต่อให้เราพูดยั่วเย้าเชิญชวนให้สนทนาด้วยสักแค่ไหนก็
ตาม
"ว่าแต่นายกับน้องเล็กเถอะ จะมาค้างด้วยสักกี่วันล่ะ อย่าบอกนะว่าจะรอจนกว่าพ่อแม่กันจะ
กลับมา เฮ้ยพอดีเหล้าหมดตู้ นายน่ะกินทีเป็นโอ่งเป็นไห ไพรวัลย์ " วารินทร์สัพยอกเป็นเชิงแก้ขวย สหาย
รุ่นพี่ปล่อย
ก๊ากดังลั่นอีกครั้ง
"เปล่าหรอกว่ะเพื่อน ก็กะจะมาอยู่ซักอาทิตย์นึง จนกว่าคนที่บ้านจะเอาสัมภาระเดินป่ามาส่ง
ให้"
"สัมภาระ? นายจะออกป่ากระมัง?"
"อืม" วารินทร์หยุดหัวเรา เขาจ้องหน้าสหายรุ่นน้องที่มีความเกี่ยวพันเป็นญาติสนิท บอกเรียบๆ
"อันที่จริงกันก็มีจุดประสงค์สำคัญในการขึ้นมาครั้งนี้ วารินทร์ กันมาเพื่อจะขอร้องให้พ่อรพินทร์
พาออกป่าน่ะ"
สายตาอันคมกริบของชายหนุ่มลูกชายจอมพรานจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของ
ชายหนุ่มลูกครึ่ง ราวกับต้องการค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง
"นายจะออกป่าทำไม และเพื่ออะไร?"
ไพรวัลย์ถอนใจเฮือก บุ้ยปากไปทางแม่น้องสาว ที่กำลังยืนกอดอก สูบบุหรี่พินิจมองกะโหลก
มหิงสาที่แขวนประดับบนฝาผนังคนเดียวเงียบๆ
"ให้ยายเล็กเป็นคนอธิบายแล้วกัน เป็นเรื่องของเธอโดยตรงนี่นะ"
หญิงสาวลูกครึ่งผู้ถูกเอ่ยถึงหันมา ใบหน้าราบเรียบ เดินไปยังหยิบที่เขี่ยบุหรี่ที่ทำจากหัว
กะโหลกเสือขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะพูดขึ้นน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
"ก่อนอื่นขอถามพี่วารินทร์ก่อนนะคะ ว่าเคยได้ยินชื่อของ ดร.นาธาน อิริก บ้างหรือเปล่า?"
"น้องเล็กหมายถึง นักโบราณคดีชื่อดังที่ค้นพบซากเมืองโบราณในทวีปอเมริกาใต้ที่เป็นข่าวครึก
โครมออกทีวีเมื่อครึ่งปีก่อนนั่นน่ะเหรอ"
"นี่แสดงว่าพี่วารินทร์ก็ติดตามข่าวมาอย่างดีทีเดียว ใช่แล้วค่ะ ดร . นาธานคนนั้นแหละ ที่เป็น
เป้าหมายในการออกป่าครั้งนี้ของเรา"
"เล่าต่อไปซิ"
"หลังจากงานชิ้นเอกที่ค้นพบซากเมืองโบราณทางหมู่เกาะในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็น
ทวีปที่รุ่งเรื่องในสมัยก่อน หรือมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเกาะที่เรารู้จักในนามแอทแลนติส ดร.นาธานมี
ความเชื่อว่าหากทฤษฎีที่ว่า ระหว่างทวีปแอฟริกากับอเมริกาคือเกาะแอทแลนติสแล้ว ย่อมแสดงว่าเมือง
โบราณที่เคยรุ่งเรื่องเมื่ออดีตกาลนานมาแล้วมีอยู่จริง อารยธรรมในระหว่างลุ่มน้ำไทรกริส ยูเฟรติส
ย่อมปรากฏและมีความเจริญในระยะเวลาใกล้เคียงกัน รวมไปถึงอารยธรรมในอินเดีย แถบจีนตอนใต้ -
พม่าตอนบนที่เป็นป่าหลงสำรวจ มานานนับหลายศตวรรษ เขาจึงตกลงใจว่าจ้างพรานนำทางกลุ่มหนึ่ง
เดินทางเข้าไปสำรวจซากเมืองโบราณซึ่งมีข่าวว่าค้นพบในทางตอนเหนือของพม่า เพื่อสำรวจและเก็บ
ข้อมูลนำไปทดสองตรวจหาอายุที่ศูนย์วิจัยในอังกฤษ"
"น้องเล็กคงมีความเกี่ยวข้องกับคณะสำรวจที่ว่านั่นกระมัง?"
แม่สาวลูกครึ่งยิ้มมุมปาก พยักหน้า
"พี่วารินทร์พูดถูกแล้วค่ะ เล็กเป็นหนึ่งในคณะสำรวจโบราณสถานที่ว่า เพียงแต่ว่าเพิ่งจะตาม
ไปสมทบ เราเลยต้องหาคนนำทางฝีมือดีที่จะพาเราเข้าไปยังแคมป์สำรวจ ซึ่งเรามองไม่เห็นใครนอกจาก
พ่อรพินทร์"
"แต่ว่ากว่าท่านจะกลับก็คงเดือนหน้า น้องเล็กจะรอท่านไหวหรือ" วารินทร์หยั่งเชิง จริงทีเดียว
เขาคิด ตั้งแต่พบหน้าครั้งแรกก็รู้แล้วว่า สองพี่น้องนี่ต้องมีจุดประสงค์ที่แอบแฝงมากกว่าการมา
เยี่ยมเยือนธรรมดา โดยเฉพาะแม่สาวดารินีนั่น ท่าทางนิ่งสงบซะจนน่ากลัว
"เรารอไม่ได้หรอกค่ะ พี่วารินทร์ คณะสำรวจได้ค้นพบวัตถุโบราณที่เรียกได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญ
ชิ้นหนึ่ง และเล็กเองมีหน้าที่จะต้องนำมันกลับไปยังศูนย์วิจัยที่ลอนดอน ที่ว่ารอไม่ได้คือการแถลงข่าวที่
จะเกิดขึ้นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ทำให้เรามีเวลาเดินทางค่อนข้างรีบเร่ง และจะคลาดเคลื่อนไม่ได้แม่
แต่วันเดียว สรุปคืองานชิ้นนี้เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาดค่ะ แต่เราจะหาพรานนำทางได้ที่ไหน เมื่อพ่อ
รพินทร์ไม่อยู่"
"มีสิ" ไพรวัลย์ซึ่งนิ่งเงียบมตลอดแทรกขึ้นเบาๆ สายตาจับจ้องวารินทร์อย่างมีความหมาย
"ในเมื่อจอมพราน รพินทร์ ไพรวัลย์ ไม่สามารถนำทางให้เราได้ เราก็ยังมี รพินทร์จูเนียร์ ที่มี
สมรรถภาพพอที่จะนำเราไปยังจุดหมายได้"
วารินทร์แทบสำลักบรั่นดี ร้องเฮ้ย
"หมายความว่า...."
"ใช่แล้ว วารินทร์ นายนั่นแหละ เหมาะที่สุด"
ความคิดเห็น