ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศิวาอาถรรพณ์

    ลำดับตอนที่ #1 : 1

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 49


    รถเก๋งขนาดสองตอนคันหรู แล่นฝ่าเปลวแดดและเปลวฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเพราะอากาศที่แห้งแล้งประกอบ

    กับลมที่กำลังโกรก ผ่านประตูใหญ่ของสถานีกักสัตว์ เข้ามาจอดยังหน้าที่ทำการ บริษัท ไทยไวล์ดไลฟ์

    รถเก๋งสีดำเปื้อนฝุ่น ทรงสำรวยคันนั้นกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนงานบริษัทนับสิบที่กำลังลำเลียงขน

    กรงสัตว์ล็อตแรกของปีเข้าในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่หลายตู้ เพื่อส่งไปขายยังสวนสัตว์ทั้งในและ

    นอกประเทศ ที่ต่างสอดสายตามาอย่างแปลกใจระคนอยากรู้อยากเห็น

    ผู้ที่ก้าวลงมาจากรถหรูคันนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายแบบลูกครึ่งไทย -ฝรั่ง ดวงตาสี

    น้ำตาลอ่อนๆ ถูกซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นกันแดดสีชา ผิวขาวตามแบบอย่างชาวกรุงที่ไม่เคยสัมผัสกับ

    งานหนักมาก่อน ทว่ากลับสมส่วนได้รูปอย่างคนที่เคยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


    อีกคนเป็นสุภาพสตรีรูปร่างได้สัดส่วนเช่นกัน ใบหน้าเรียวยาวรูปไข่ รับกับผมสีทรายที่ยาวลงมาถึงกลาง


    แผ่นหลัง ผิวขาวนวลเนียนเปล่งปลั่งท่ามกลางเปลวแดดแรงกล้าของยามบ่ายในขณะนี้


    นายประเสริฐผู้จัดการสถานีกักสัตว์ของไทยไวล์ดไลฟ์ กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับแขกทั้งสองคนซึ่งพอจะ

    มองออกได้ว่าเป็นแขกสำคัญ และได้นัดหมายกันไว้ก่อนแล้ว

    "เชิญคุณทั้งสองข้างบนเถิดครับ คุณอำพลกำลังรอพวกคุณอยู่ทีเดียว"

    'แขก' ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่จะเดินตามนายประเสริฐขึ้นไปยังห้องอำนวยการ ท่ามกลาง

    สายตาหลายสิบคู่ของคนงานที่มองตามหลังมาอย่างอยากรู้อยากเห็น




    อำพล พลากร ในชั่วโมงนี้คือชายวัยเฉียดปลดเกษียร แต่กลับไม่มีสิ่งใดเลยสำหรับเขาที่เปลี่ยนไป

    สำหรับเขาและแขกสำคัญทั้งสอง มีเพียงผมสีดอกเลาที่ขาวโพลนเต็มศีรษะของเขาเท่านั้นที่บ่งบอกถึง

    ความเปลี่ยนแปลง ภายในระยะเวลาเกือบยี่สิบห้าปีที่ผ่านมานี้ เขาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลัง

    ง่วนกับการตรวจสอบอยู่ เอ่ยทัก 'แขก' ทั้งสองคนพลางผายมือให้ทั้งคู่นั่งลงบนโซฟาถัดจากโต๊ะทำงาน

    ของเขา


    "สวัสดีครับ คุณไพรวัลย์ คุณดาริณี เชิญนั่งซิครับ" เขาผายมือไปทางโซฟาตัวหรูอย่างเชื้อเชิญให้นั่ง

    ด้วยอาการที่ให้เกียรติเต็มที่

    ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนจะถอดแว่นกันแดดสีชาออก สีหน้าแววตาเขาทอประกายขี้เล่นรัก

    สนุกแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงประกายแห่งความเข้มแข็งองอาจ อันส่อให้เห็นถึงความเป็นลูกผู้ชายแท้ที่

    ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนเอาไว้ด้วย ช่างองอาจสมชายชาตรี แข็งแกร่งบึกบึนเหมือนกับผู้ให้

    กำเนิดทั้งสองของเขาเหลือเกิน นายอำพลคิด สายตาที่จับจ้องมองไปยังชายหนุ่มเต็มไปด้วย

    ความเอ็นดูระคนปลาบปลื้มภูมิใจลึกๆ กับเด็กชายเล็กผู้หนึ่ง ที่ถือกำเนิดขึ้นได้เพียงไม่นาน

    ก่อนที่บิดาบังเกิดเกล้าจะออกไปเผชิญทุกข์ยากลำบากในดงดิบมรณะอันกำหนดอนาคตแน่

    นอนมิได้นั้น ถูกแล้ว !! เขาคือบุตรชายคนโตของนักเดินป่าผู้มีอารมณ์ขันได้ทุกขณะ ไชย

    ยันต์ อนันตรัย กับแหม่มสาวจอมทรหดอดีต "ราชินีแห่งไพรกว้าง" มาเรีย ฮอฟมัน นั่นเอง



    อำพลละสายตาจากชายหนุ่มเบนไปยังหญิงสาวที่กำลังนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ เผยสัดส่วนอวบ

    อัดงดงามตามแบบอย่างตะวันตก ทว่ากลับงามแบบคมซึ้งตามอย่างตะวันออก หญิงสาวผู้นี้ถือกำเนิด

    ภายหลังไพรวัลย์เกือบ ห้าปี มาเรียให้กำเนิดลูกสาวคนที่สองภายหลังกลับจากเยี่ยมพ่อที่ทรานสวาล

    สหภาพแอฟริกาใต้ และตั้งชื่อลูกสาวคนที่สองว่า "ดาริณี"


    ดาริณีถอดแว่นกันแดดทรงเก๋ตามสมัยนิยมออกบ้างตามภายหลังจากนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พี่ชายของ

    หล่อน ใช้สายตาคมปลาบสีเขียวเข้มตามอย่างมารดาจับจ้องไปยัง นายอำพล พลากร ซึ่งกำลังมองมาที่

    หล่อนเช่นกัน


    "มีอะไรแปลกไปหรือคะ ลุงอำพล?" หล่อนถามเสียงใส สำเนียงการพูดไทยไม่ค่อยชัดนักตามแบบ

    อย่างผู้ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่นอกประเทศไทย บนดินแดนยุโรปอันไกลโพ้นอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน

    ของผู้เป็นมารดา


    "ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่เห็นคุณดาริณีแล้วอดนึกถึงคุณไชยยันต์กับคุณมาเรียไม่ได้ ช่างเหมือน

    กันจริงๆ แม่คุณ ราวกับถอดแบบออกมาทีเดียวแหละ" ผู้จัดการบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์เอ่ยยิ้มๆ


    "สายดายมากค่ะ ที่ขณะนี้คุณพ่อกับคุณแม่ ไม่ได้มากับเราด้วย แต่ก็ได้ฝากความคิดถึงมายังทุกคนที่นี่

    ด้วยนะคะ" หญิงสาวตอบเรียบๆ


    "ใช่ครับ ที่เรามานี่ก็จะมาเยี่ยมคุณพ่อรพินทร์กับคุณแม่ดารินเสียด้วยเลย ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านตอนนี้

    อยู่ที่หนองน้ำแห้งหรือเปล่าครับ" ไพรวัลย์ อนันตรัย เอ่ยถาม น้ำเสียงของเขานุ่มแต่ชัดถ้อยชัดคำ และ

    ชัดเจนตามสำเนียงไทยแท้ทุกประการ อันเนื่องมาจากการคลุกคลีและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยมา

    ตลอดนั่นเอง ซึ่งแตกต่างจากน้องสาวที่ออกจะแหม่มจ๋าอยู่พอสมควร

    "โอ เสียใจด้วยนะครับ คุณรพินทร์กับคุณหญิงดาริน ขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่หนองน้ำแห้งครับ ท่านทั้งสองเดิน

    ทางสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับการแพทย์แผนปัจจุบันที่ อังกฤษน่ะครับ เดินทางก็ตั้งแต่เมื่อวันก่อนโน่นละ

    ครับ คุณทั้งสองคงจะไม่ทราบข่าวกระมัง?"


    "อุว้า…ไม่ทราบมาก่อนเลยครับคุณลุง ไม่เช่นนั้นก็คงจะรีบขึ้นมาเสียตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ก็แม่ตัวยุ่ง

    ของเรามัวแต่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ นี่ถ้าคุณพ่อไม่โทรทางไกลมาเร่งให้ขึ้นมาเยี่ยมแม่ดารินเสียไวๆ

    เจ้าหล่อนก็คงเอ้อระเหยลอยชายไม่ยอมมาอยู่นั่นเอง" ชายหนุ่มลูกครึ่งโคลงหัวจุ๊ปากเบาๆ พลางบุ้ย

    ปากมาทางน้องสาวในเชิงตำหนิ


    "แล้วกัน พี่โตนี่ โทษเล็กได้ยังไงกันคะ แหม เล็กบอกแล้วนี่นาว่าให้รีบขึ้นมาเสียตั้งแต่ต้นเดือน ก็พี่โต

    นั่นแหละที่มัวแต่ลอยชายไปวันๆ ครั้นพอเล็กกลับมาจากอเมริกาก็เร่งให้ขึ้นมาแบบกระชั้นชิดทีเดียว"


    ดาริณีบ่นพลางค้อนพี่ชายเป็นวง นายอำพลหัวเราะหึๆ ด้วยความเอ็นดู หญิงสาวลูกครึ่งถอดแบบ

    ความงามมาจากแม่ไม่มีผิดเพี้ยน จะแปลกไปก็ตรงนิสัยที่ค่อนข้างจะไว้เนื้อไว้ตัว ไม่ "ซุกซน"
    ดังเช่นมาเรียสมัยบุกเบิกเทือกเขาพระศิวะสังเกตได้จากการแต่งกายที่ค่อนข้างมิดชิด และ

    กริยาที่ดูเงียบขรึม หากแฝงเอาไว้ด้วยความช่างคิด แก่นแก้วตามแบบของสาวสมัยใหม่ไฟ

    แรง แตกต่างจากพี่ชายที่ได้นิสัยขี้เล่นจากพ่อมามากทีเดียว แววตาคู่นั้นดูซุกซนและซ่อน

    ความอารมณ์ขัน อารมณ์รักสนุกเอาไว้อย่างเห็นได้ชัดเจน
    "แล้วใครอยู่เฝ้าบ้านพักละคะ ลุงอำพล
    เห็นว่ามีคนเก่าคนแก่ของคุณพ่อรพินทร์ด้วยนี่คะ" หล่อนหันมาถามนายห้าง บ. ไทยไวล์ดไลฟ์

    "อ๋อข้อนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ที่หนองน้ำแห้งมีคนดูแลผลัดเปลี่ยนกันเสมอๆ ตามแต่ใครจะสะดวก

    คงไม่ถึงกับไม่มีคนอยู่กระมังครับ…ว่าแต่ พวกคุณมากันมือเปล่าหรือครับ" ประโยคสุดท้ายนายอำพล

    ถามกลับเรียบๆ

    "แหม ก็มาเท่าที่เห็นนะสิครับลุงอำพล จะเอาอะไรมาได้ด้วยล่ะ หรือว่าลุงอำพลอยากได้ของ

    ฝากกระมัง?" ไพรวัลย์พาซื่อถามเล่นๆกึ่งเย้า ผจก. สูงอายุเล่น

    "หามิได้ครับ ผมหมายถึงเพียงว่า การที่พวกคุณทั้งสองจะไปยังหนองน้ำแห้งก็ควรจะมีปืนหรือคนคุ้มกัน

    ไว้บ้าง นึกเอาไว้เสมอว่ายี่สิบกว่าปีผ่านมาแล้ว แต่หนองน้ำแห้งก็ยังคงเป็นป่าลึกที่หลงสำรวจอยู่มากที

    เดียว จะมีก็แต่คุณรพินทร์เท่านั้นแหละ ที่เป็นคนตั้งสถานีกักสัตว์ขึ้นในป่าลึกแห่งนั้น พอจะมีความเจริญ

    ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ให้นึกเสมอว่า สัตว์ป่าอาจจะโผล่ออกมาทักทายพวกคุณในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้ ผม

    ไม่อยากให้พวกคุณประมาทว่ามันไม่มีอันตรายใดๆ อ้อ..อีกอย่าง รถที่พวกคุณเอามานั้นบุกฝ่าเข้าไปยัง

    บ้านคุณรพินทร์ไม่ได้หรอกครับ ทางมันขรุขระและลำบากเกินไปสำหรับรถเก๋งแบบสำรวยคันนั้น

    ประเดี๋ยวเอารถจี๊บผมไปดีกว่า สะดวกและเหมาะสำหรับทางที่ลำบากแบบนั้น"

    เสียงรถยนต์ดังกระหึ่มบวกกับเสียงโครมครามเอะอะโวยวายเบื้องนอก ทำให้ทั้งหมดต้องเงี่ยหูฟังด้วย

    ความสนใจ ดาริณีลุกไปที่หน้าต่าง แล้วใช้กล้องส่องทางไกลที่นายอำพลยื่นให้ ส่องดูเหตุการณ์ชุลมุน

    เล็กๆ ตรงลานหน้าตึกอำนวยการ ที่มีตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่ มากมายหลายตู้


    จี๊ปแลนด์โรเวอร์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งแล่นฝ่าดงฝุ่นเข้ามาจอดลงเบื้องหน้าตึกอำนวยการอย่างแช่ม

    ช้า ตามด้วยขบวนรถบรรทุกอีกหลายคัน แล่นตามเข้ามา ซึ่งดูเหมือนดูเหมือนจะเป็นคาราวานส่งสัตว์นั่น

    เอง เสียงเอะอะหยอกล้อกันของพนักงานดังเจี๊ยวจ๊าวไปหมด ชายคนหนึ่งก้าวเท้าลงมาจากรถจี๊ป สวม

    หมวกเก่าคร่ำใบหนึ่งคาดแถบด้วยหนังเสือดาว รูปร่างผึ่งผาย ไหล่กว้างและค่อนข้างบึกบึน ทั้งที่มองดู

    จากที่ด้านหลังเท่านั้น แต่ดาริณีก็อดที่จะบอกตัวเองไม่ได้ว่า คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นที่ไหนมา

    ก่อน


    "นั่นใครคะ? ลุงอำพล" หญิงสาวบุ้ยปากถาม นายอำพลลุกขึ้นมายังหน้าต่าง มองไปยังร่างองอาจที่เห็น

    อยู่ไรๆ เบื้องล่าง


    "อ๋อ นั่นละครับ ท่าพวกคุณมาไม่เสียเที่ยวซะแล้ว"


    "หมายความว่ายังไงคะ นั่นคงเป็นพ่อรพินทร์กระมัง?"

    "ไม่ใช่หรอกครับคุณรพินทร์ขณะนี้น่าจะอยู่ที่อังกฤษ นั่นคงเป็นลูกชายคนเดียวของเขาและคุณหญิงดา

    ริน"

    "คุณพระช่วย นั่นน่ะเหรอ วารินทร์ ผมนึกว่าเขากำลังศึกษาอยู่ที่เยอรมันเสียอีก" หนุ่มลูกครึ่งนามไพร

    วัลย์ถามนายอำพลด้วยความประหลาดใจกึ่งฉงน เกี่ยวกับ "ลูกพี่ลูกน้อง" ของเขาที่นายห้าง บ. ไทย

    ไวล์ดไลฟ์กำลังเอ่ยถึง


    "เป็นความจริงที่ว่าเขาศึกษาที่เยอรมันครับ แต่ภายหลังจากเรียนจบแล้วเขาต้องกลับมายังหนองน้ำแห้ง

    บ้านเกิด ตามความต้องการของคุณพ่อของเขา ซึ่งก็คือคุณรพินทร์นั่นเอง"

    "ฮือ จริงทีเดียว ผมไม่ได้เจอไอ้เสือมานานมาก ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่ยัยเล็กนี่สิครับ ยังไม่เคยเจอกับ

    ครอบครัวนี้เสียเลย ด้วยว่าต้องไปอยู่โรงเรียนประจำเสียตั้งแต่ยังเล็กๆ"

    "อีกสักครู่เขาคงจะขึ้นมาหรอกครับ แล้วพวกคุณคงได้สนทนากับเขา" นายอำพลบอกเรียบๆ

    "วารินทร์ ไพรวัลย์ คนนี้เองน่ะหรือ" ดาริณีพึมพำเบา พลางใช่สายตาคมกริบมองสำรวจไปยังร่างผึ่งผาย

    ที่เห็นจากหน้าต่างห้องอำนวยการ สาวลูกครึ่งพินิจมองอย่างครุ่นคิด ลอบสำรวจชายหนุ่มผู้นั่นอย่าง

    ละเอียด






    วารินทร์ ไพรวัลย์ ก้าวเข้ามาในห้องอำนวยการ บ ไทยไวล์ดไลฟ์ ด้วยอาการสงบ เขาเป็นชายหนุ่มรูป

    ร่างผึ่งผาย ใบหน้าคมสันระคางไปด้วยหนวดเคราที่ขึ้นจนเขียวครึ้ม ผิวคล้ำกร้านตามแบบคนทำ

    งานกลางแจ้ง มือถือไรเฟิลล่าสัตว์ ขนาด .458 แอฟริกันแม็กนั่มกระบอกเก่าคร่ำ อันเป็นที่คุ้นตาสำหรับ

    นายอำพล วารินทร์ มีส่วนคล้ายกับพ่อของเขามากแทบจะเรียกได้ว่าถอดแบบกันออกมาเลยทีเดียว เขา

    ถอดหมวกคาดหนังเสือดาวเก่าเกรียมใบนั้นออกมาพัดวีเบาๆ เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวในยามบ่าย

    "เที่ยวนี้เห็นจะมีสัตว์มามากกระมัง" นายห้างอำพลถามเรียบๆ

    "ครับ เห็นคุณพ่อท่านทำบัญชีเอาไว้ ไอ้ผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรหรอกครับ คุณอำพล อาศัยว่า

    ก่อนท่านจะเดินทางไปอังกฤษได้ฝากเรื่องกับผมไว้ ไอ้ผมจะนิ่งดูดายหลบอู้ก็ไม่ได้เสียด้วย ไม่ใช่อะไร

    หรอกครับ ไม้เรียวมันจะลงหลังผมน่ะสิเวลาท่านกลับมา คุณพ่อน่ะไม่กระไรหรอกครับ แต่คุณแม่คงเอา

    ผมตายทีเดียว" ชายหนุ่มพูดติดตลก นายอำพลหัวเราะหึๆ ด้วยรู้ฤทธิ์ หม่อมราชวงศ์หญิงผู้นั้นดี เขาผาย

    มือไปยังแขกพิเศษทั้งสอง


    "แน่ะ คุณวารินทร์ นี่ไงครับคุณไพรวัลย์กับคุณดาริณี ที่ผมได้แจ้งให้คุณรพินทร์ทราบแล้วว่าจะขึ้นมา

    เยี่ยมที่หนองน้ำแห้ง แต่คุณรพินทร์ก็หนีไปอังกฤษเสียก่อน"


    โดยไม่ต้องทักทายอะไรมากมายนัก ไพรวัลย์นั้นกรากเข้ามาจับมือถือแขนอย่างสนิทสนมรักใคร่เพราะ

    เคยคลุกคลีหยอกล้อกันมาตั้งแต่เด็ก ผิดกับน้องสาวที่ยกมือไหว้แต่พองาม วารินทร์ลองชำเลืองดูแม่

    น้องสาว ดาริณีดูจะเป็นหญิงสาวที่ไว้ตัวมากพอควรทีเดียว สังเกตได้จากท่าทาง และแววตา

    แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างจะเปิดเผย และขี้เล่นลึกๆ ตามอย่างนิสัยพื้นเพของคนตะวันตก



    ภายหลังจากสนทนาปราศรัยกันอยู่ไม่นานนัก วารินทร์ก็ขอตัวกลับโดยอ้างว่าจำเป็นต้องไปทำธุระในตัว

    อำเภอ นายอำพลเซ็นเช็คค่าขนสัตว์รุ่นล่าสุดให้ ชายหนุ่มลูกชายคนเดียวของพรานผู้ยิ่งใหญ่ก็เดินลับ

    หายลงไปชั้นล่าง โดยมีสองพี่น้องอนันตรัยเดินตามลงไปติดๆ



    รถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ขนาดกลางเก่ากลางใหม่กระดอนขึ้นลงบนทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อตามสภาพของถนน

    ที่ตัดผ่ากลางดงดิบทุรกันดาร ฝุ่นจากถนนดินที่อาจเรียกได้ว่า "ทางเกวียน" ปลิวฟุ้งกระจายไปตาม

    อากาศยามบ่ายแก่ๆ เบื้องหน้าไกลลิบที่เห็นคือภูเขาสูงทะมึนที่ถูกกั้นกลางเอาไว้ด้วยป่าทึบทอดเป็น

    แนวยาวไปสุดลูกหูลูกตา ป่ารอบด้านเงียบสนิท มีเพียงเสียงแมลงไพรบางชนิดเท่านั้นที่กำลังส่งเสียง

    ระงมร้องเรียกหาคู่อยู่ก้องป่า ณ ขณะนี้


    ไพรวัลย์ อนันตรัย พินิจมองสหายรุ่นน้องผู้มีความเกี่ยวพันเป็นญาติห่างๆ ที่กำลังทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์

    ในขณะนี้อย่างนิยมชมชอบ ด้วยเขาและวารินทร์ได้เคยสนิทสนมเล่นหัวกันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะย้าย

    ไปเข้าโรงเรียนประจำ และห่างกันไปเมื่อทั้งสองแยกย้ายไปศึกษาในขั้นอุดม วารินทร์เป็นคนเงียบ

    ขรึม เยือกเย็นแต่บางขณะก็เป็นคนพูดมาก ราวกับเป็นบุคคลสองบุคลิก แววตาแฝงแววช่าง

    คิด และฉลาดลึกๆ แต่ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยแววขี้เล่น อบอุ่น ทำให้ผู้คนรอบข้างไม่รู้สึกอึดอัดเวลา

    อยู่ด้วย



    "เฮ้! พ่อโชเฟอร์เอก เมื่อไหร่จะถึงหา? หนองน้ำแห้งน่ะ" ไพรวัลย์แหกปากถาม ขณะที่รถกระดอนลง

    หลุมค่อนข้างลึกตอนหนึ่ง เสียงสองพี่น้องครางอู้ เจ้าพี่ชายนั้นสบถลั่น ส่วนแม่น้องสาวค้อนเบาๆ บ่น

    อุบอิบอะไรอยู่คนเดียวบนเบาะที่นั่งตอนหลัง วารินทร์หัวเราะเบาๆ ลักษณะเขาเป็นคนหัวเราะง่าย และมี

    อารมณ์สุนทรีเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด


    "ใจเย็นๆ น่า ไพรวัลย์ ก็ป่าดงดิบนี่นะ จะให้วิ่งสะดวกเหมือนถนนคอนกรีต หรือทางด่วนในกรุงได้ยังไง

    เล่า เอาเหอะ ซักพักก็คงถึงละเพื่อน" ชายหนุ่มลูกชายอดีตจอมพรานผู้ยิ่งยงตอบ พลางหัวเราะเบาๆ

    เขาลอบชำเลืองดูดารินีทางกระจกส่องหลัง แม่สาวลูกครึ่งตาคมผมสีทรายนั่นดูท่าจะหยิ่งเอา

    การทีเดียว ชายหนุ่มบอกตัวเอง สังเกตจากตาสีเขียวนั้นมีแววดุนิดๆ ปากเชิดอย่างไว้ตัว จมูก

    คมโด่งตามแบบลูกครึ่ง หน้าผากกว้างกลมมน รับกับผมสีทราย งามตามอย่างผู้หญิงตะวันตก

    ผสมกับตะวันออก แปลกตาไปอีกแบบ เขาคิด



    คาราวานรถขนสัตว์ที่มาด้วยในคราวแรกล่วงหน้าไปรอที่หนองน้ำแห้งแล้ว รอบด้านที่มืดลงเรื่อยๆ จน

    กระทั่งมืดสนิทกลางป่าดิบดงกันดารแห่งนี้ มีเพียงแสงไฟจากรถแลนด์โรเวอร์คันนี้เท่านั้นที่ยังคงส่อง

    แสงพุ่งไปท่ามกลางความมืดสนิทเบื้องหน้า ดารินีมองไปรอบๆ ป่าดิบแห่งนั้น มันแฝงเอาไว้ด้วยความน่า

    กลัว ที่คาดเดาไม่ได้ว่า สิ่งที่อยู่ในความมืดรอบกายนั้นมีอะไรบ้าง เสียงหรีดหริ่งและเรไรร้องดังระงม

    บางขณะก็มีเสียงสัตว์แหวกหญ้าวิ่งตะบึงหายไปในความมืด ขณะรถแล่นผ่าน บางขณะหล่อนก็อดสะดุ้ง

    ไม่ได้เมื่อแสงไฟสะท้อนตาสัตว์ที่วิ่งตัดทางออกมาจากพงรกๆ ข้างทาง ก่อนจะวิ่งลับหายไปในฝั่งตรง

    กันข้าม ด้วยนิสัยชาวกรุง หญิงสาวลูกครึ่งผู้ผ่านแสงสีและความเจริญมามากมาย ทำให้อะไรๆ ในป่าดง

    กันดารอย่างนี้ น่ากลัวสำหรับหล่อนไปหมดซะทุกอย่าง


    เป็นความจริงทีเดียวที่ว่าป่าหนองน้ำแห้งนั้นเป็นป่าลึกกันดาร และเงียบสงบ ทว่า สำหรับวารินทร์ที่เจน

    ไพรมาค่อนชีวิต เขาอ่านสัญญาณป่าได้ดีเยี่ยม สรรพสำเนียงของสัตว์ทุกชนิด กลิ่นของป่า ชายหนุ่มลูก

    ชายจอมพรานสำเหนียกสัญญาณไพรได้บางชนิด เสียงแมลงไพรที่ร้องระงมเมื่อครู่หยุดส่งเสียงไปนาน

    แล้ว ป่าทั้งป่าเงียบกริบไร้เสียงใดๆ จะมีก็เพียงความเงียบบางชนิด ที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ....


    ทันใด !!

    กลิ่นสาบสางบางชนิด ลอยมากระทบกับฆานประสาทอันแม่นยำยิ่งของเขา "เห็นจะไม่ผิดแน่"

    ชายหนุ่มคิดในใจ สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบทิศ ในขณะเดียวกันก็ขับรถไปเรื่อยๆระแวด

    ระวัง มันไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งสำหรับรถจี๊ปไม่มีหลังคาคันนี้ เขาชะลอความเร็วให้ลดลง ราวกับ

    เตรียมพร้อมกับเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น หากลางสังหรณ์ของเขาไม่ผิดพลาด มือ

    ขวาเลื่อนลงมาสัมผัสกับไรเฟิลล่าสัตว์กระบอกเก่าที่ตกทอดมาจากบิดากระบอกนั้น


    ชั่วพริบตานั้นเอง !!


    สัตว์อะไรชนิดหนึ่งกระโจนลงมาจากพงเถาที่อยู่สูงขึ้นไป หล่นตุบลงยังกระโปรงรถ วารินทร์

    เบรกรถดังลั่นขณะที่ไพรวัลย์ร้องเฮ้ย ด้วยความตกใจ ดังลั่นป่า ชายหนุ่มลูกชายจอมพราน

    ขยับมือตวัดไรเฟิลเก่าคร่ำกระบอกนั้นไปยังเป้าหมายที่แสงไฟจากหน้ารถส่องให้เห็นเป็นเงา

    ลางๆ


    เสือดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งแยกเขี้ยวขาววับ จ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สองเท้าหน้า

    ตะกุยตัวถังรถดังแกรก แกรก ดวงตาสีเขียวแบบพยัคฆ์เบิกโพลงราวกับอาฆาตแค้น ระหว่าง

    มันกับปากกระบอก .458 กระบอกนั้นมีเพียงกระจกหน้ารถที่คั่นระหว่างลูกตะกั่วกับเสือร้ายสีดำ

    ปลอดตัวนั้นเอาไว้


    เจ้าเสือร้ายแยกเขี้ยวขู่คำรามเบาๆ ดวงตาเบิกโพลงอย่างประสงค์ร้ายหมายชีวิต ไพรวัลย์กับ

    ดารินีซึ่งเลือดได้จับตัวเป็นก้อนแข็ง เหงื่อซึมโทรมกายอยู่ใกล้ๆ กับวารินทร์ บัดนี้ตาเหลือกเบิก

    โพลงด้วยความหวาดหวั่นไปกับเจ้ากาฬพยัคฆ์ตัวนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างฝากเอาไว้ที่ปืนกระบอกที่

    กำลังส่องไปทาง "มัน" อย่างเดียวเท่านั้นเอง



    พยัคฆ์ร้ายสีดำตัวนั้นราวกับจะรู้ถึงพิษสงของลูกตะกั่ว มันกระโดดขึ้นไปยังเถาไม้ที่อยู่สูงเหนือศีรษะทุก

    คนขณะนี้อย่างรวดเร็ว วารินทร์วาดปืนไล่หลังไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า กระดิกนิ้วระเบิดกระสุน ลูกตะกั่ว

    แรงปะทะหนักหน่วงนัดนั่นทะลวงผ่านช่องแคบๆ ถากกระจกหน้ารถมุมซ้ายบนออกไป ในขณะที่ "มัน"

    กระโจนพุ่งลงมายังรถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ไม่มีหลังคาคันนั้น เป้าหมายของกรงเล็บคมกริบคู่นั้น คือ เหยื่อ

    สามคนที่มันกำลังจ้องเอาชีวิตขณะนี้


    ลูกปืนนัดแรกของวารินทร์พลาดเป้าหมายเสียแล้ว เขากระชากลูกเลื่อนในทันทีที่รู้ว่าพลาด เพียงเสี้ยว

    วินาทีเสือดำปลอดตัวนั้นเผ่นกระโจนลงมาจากเถาวัลย์บนต้นไม่สูงราวกับลูกธนูแผลงออกจากแหล่ง

    เขี้ยวขาววับสะท้องแสงไฟจากปลายกระบอกปืน เปรี้ยง ! ลูกชายอดีตจอมพรานผู้ยิ่งใหญ่ลั่นไกนัดที่

    สอง กระสุนหัวอ่อนนัดนั้นตีคว้านแหวกอากาศมุ่งเข้าสู่เป้าหมายคือจุดตายกลางสมอง.....


    ขณะนั้นอากาศกำลังเริ่มหนาวเย็นด้วยเป็นเวลาหัวค่ำ ทว่าทุกคนบนรถจี๊ปคันนั้นกลับ

    หนาวสะท้านเยือก เมื่อกระสุนหัวอ่อนแรงปะทะหนักนัดนั้น พุ่งทะลุหัวสมองเจ้ากาฬพยัคฆ์อย่าง

    แม่นยำด้วยฝีมือยิงปืนของลูกชายอดีตพรานใหญ่แห่งป่าหนองน้ำแห้ง เจ้าเสือร้ายตัวนั้นสะดุ้ง

    เฮือกร้องคำรามดังก้องป่า แต่ไม่มีอะไรทำให้ทุกคนขนลุกซู่ได้เท่ากับว่า เสือดำปลอดตัวนั้น

    อันตรธานหายไปกลางอากาศภายหลังจากถูกทะลวงจากกระสุนไรเฟิล มันอันตรธานไปได้

    อย่างไร ราวกับเป็นมนตร์มืดมายาที่ถูกบันดาลขึ้นฉะนั้น



    "วารินทร์...." ไพรวัลย์กระเดือกน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อมองเห็นเสือ

    ร้ายอันตรธานหายไปกลางอากาศ มันเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนในคืนธาตุวิปริต เหงื่อกาฬเปียก

    ชุ่มไปทั่วร่าง ดารินีนั่งคอแข็งอยู่ตอนหลัง หล่อนกำลังบ่นพึมพำหรือไม่ก็กำลังสวดมนตร์อยู่คนเดียวหลัง

    รถ มีเพียงดวงตาที่เบิกโพลง จ้องมองไปบนเถาไม้สูงแห่งนั้น ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย


    "มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วารินทร์ นายเห็นเหมือนกันหรือเปล่า" ไพรวัลย์ถามเสียงแหบพร่า แผ่วต่ำท่าม

    กลางความมืดที่หนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ นี่เพียงเหยียบย่างเข้ามาถึงป่าดงดิบแห่งนี้เท่านั้น

    อาถรรพณ์ไพรเถื่อนก็เล่นงานพวกเขาเสียแล้ว


    "กันเห็นเหมือนนายนั่นแหละ ไพรวัลย์ เสือผีตัวนั้นมันหายไปกลางอากาศ จะว่าตาฝาดก็กระไรอยู่ หรือ

    ว่ายังไง น้องดารินี" วารินทร์ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ พลางยื่นซองบุหรี่ไปยังน้องสาวญาติห่างๆ ที่นั่งนิ่งตัว

    แข็ง เย็นเฉียบหนาวไปจนถึงกระดูก อยู่ตอนหลังของรถจี๊ป หญิงสาวโบกมือเป็นกริยาว่าไม่สูบ ชายหนุ่ม

    หัวเราะกร่อยๆ พลางยื่นต่อไปยังไพรวัลย์ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งอึ้ง คอแข็งพูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน


    "มันหมายความว่ายังไง? วารินทร์ เสือตัวนั้นมันหายไปได้ยังไง " ไพรวัลย์ถามละล่ำละลักถามเสียงสั่น

    สะท้าน พลางปาดเหงื่อที่ชุ่มอยู่ตามใบหน้าที่ซีดขาว มือคว้าบุหรี่ไปจุดสูบทั้งซอง


    "ถ้าพูดถึงในแง่วิทยาศาสตร์ เป็นไปได้ว่าเราทั้งสามอาจตาฝาดหรือเกิดจากทฤษฎีอะไรอย่างหนึ่งของ

    การหักเหแสง หรือเกิดจากการสร้างภาพหลอนตัวเอง ทำให้เกิดภาพจากมโนสำนึกที่สร้างขึ้นมาในใจ ที่

    นี่มันเป็นป่าลึก เราอาจจินตนาการไปเองก็ได้ว่า ที่ไหนมีป่า ที่นั่นย่อมมีสัตว์ป่า เช่นเสือ เป็นต้น" ลูก

    ชายอดีตจอมพรานอธิบายเรียบๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะไพรวัลย์เท่านั้นหรอกที่สงสัย แม้แต่เขาเอง ผู้ช่ำ

    ชองต่อป่าหนองน้ำแห้งแทบจะเดินได้ทะลุปรุโปร่ง รู้จักต้นไม้แทบทุกต้น สัตว์ป่าทุกชนิด ยัง

    ฉงนและอดคิดไม่ได้ เสือตัวนั้นอาจเป็นวิญญาณอาฆาตแค้น หรือ เกิดจากอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ของ

    ป่าเหมือนที่พรานเก่าๆ เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆก็ได้ เพียงแต่ไม่อยากเอ่ยถึงให้ทำลายกำลังใจที่

    เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของผู้ร่วมเดินทาง



    "แต่เล็กไม่คิดหรอกนะ ว่ามันจะเกิดจากทฤษฎีอะไรที่พี่วารินทร์ว่า" แม่สาวลูกครึ่งแย้งเบาๆมาจากตอน

    หลัง ดวงตาสีเขียวบัดนี้เบิกโพลงท่ามกลางความมืด


    "เรื่องนี้มันอธิบายยากมาก น้องเล็ก คงจำนิทานปรัมปราเกี่ยวกับป่าดงดิบอาถรรพณ์ได้สินะ ไพรวัลย์

    เรื่องที่เรามักจะได้ยินได้ฟังในทำนองนิทานก่อนนอนตอนเด็กๆน่ะ" วารินทร์เอ่ยเรียบๆ ขณะที่เพื่อนชาย

    พยักหน้า


    "ใช่แล้ว วารินทร์ พ่อฉันเล่ากรอกหูให้ฟังก่อนนอนทุกคืน จำได้ว่าตอนเด็กๆ มักจะได้ยินนิทานทำนองนี้

    อยู่เสมอ เป็นต้นว่า เมืองในหมอก ขุมเพชรพระอุมานั่น แล้วยังมีเรื่องพิสดารกลางป่าอีกมากมาย จำ

    แทบไม่หวาดไม่ไหว แต่ยัยเล็กคงยังไม่เคยได้ยินละมัง ไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่เด็ก"


    "เรื่องพิสดารนั่นเกี่ยวกับสิ่งเราเจออยู่นี่เหรอคะ ?"


    ไพรวัลย์ขยับปากจะเล่า ทว่าวารินทร์ขัดขึ้นเรียบๆ


    "เราไปคุยกันที่บ้านดีกว่า อีกไม่นานก็ถึงแล้ว" ว่าพลางตะบึงควบขับเจ้าจี๊ปแลนด์โรเวอร์คันนั้น มุ่งตรง

    ไปยังจุดหมายปลายทาง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×