คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 6
ก่อนแสงแรกแห่งวันจะโผล่พ้นจากพื้นดิน ขบวนคณะการเดินทางก็พร้อมสำหรับจะบุกตะลุยเข้า
ดงลึก พวกลูกหาบขึ้นประจำที่บนรถจี๊ป รวมไปถึงไอ้เจ้ากะเหรี่ยงลึกลับที่เพิ่งเข้ามาร่วมขบวนด้วย
เมื่อคืน ท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความสงสัยของลูกหาบคนอื่นๆ มันโหนตัวขึ้นนั่งในตอนท้าย
ของจี๊ปแบบทหารคันใหญ่ ไม่สนใจกับสายตาที่มองมา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเส่ยในการอธิบาย
และแนะนำมันกับพวกลูกหาบคนอื่นๆ
วารินทร์ก้าวขึ้นมานั่งบนตอนขวาของรถ ข้างๆเกิดซึ่งทำหน้าที่เป็นพลขับ เขาตรวจสอบและนับ
จำนวนคน เมื่อเห็นว่านายจ้างทั้งสองขึ้นมานั่งบนตอนกลางของรถเรียบร้อย เขาจึงร้องบอกให้
เคลื่อนขบวน เสียงรถดังกระหึ่มเมื่อเสียงรถจี๊ปคันใหญ่ทั้งสองเคลื่อนตัวออกมาจากชุมชนหนอง
น้ำแห้งอย่างช้าๆ และเริ่มเร่งความเร็วขึ้นเป็นระยะ ตามแต่สภาพของถนนซึ่งจะอำนวยให้ อากาศ
ในตอนเช้าเย็นสบาย และเริ่มมองเห็นแสงทองจับที่ขอบฟ้าเหนือเทือกเขาไกลลิบนั้นรำไร
“พอจะบอกถึงแผนการเดินทางของวันนี้ได้ไหม วารินทร์?” ไพรวัลย์ร้องถามมาจากตอนกลางอัน
เป็นตำแหน่งที่นั่ง ถัดไปตอนหลังเป็นพรานพื้นเมืองทั้ง 4 คือ เส่ย แหวง พงษ์ และชัย ซึ่งนั่ง ติด
กับลูกหาบอีกสองคนที่แบ่งเฉลี่ยมานั่งไปกับนายจ้าง ไม่ให้รถอีกคันแบกน้ำหนักมากนัก
“สำหรับวันนี้เราจะมุ่งห้วยยายทองก่อนเป็นอันดับแรกสำหรับพักแรมในคืนนี้ นายมีอะไรสงสัย
หรือเปล่า?” พรานใหญ่อันเป็นหัวหน้าของพรานพื้นเมืองและลูกหาบทุกคนตอบ ถือปืนในมือ
ชันขึ้น มันคือ ซาโก้ ซาฟารี เอ้กตี้ แอนนิเวอร์ซารีติดศูนย์กล้อง กระสุนขนาดเดียวกับ .375
ฮอลแลนด์แอนด์ฮอลแลนด์ แม็กนั่ม หนุ่มลูกครึ่งขยับตัวนิดหนึ่ง สายหัว
“เปล่าหรอก กันแค่อยากจะรู้น่ะ ว่าแต่ ห้วยยายทองนี่เสือชุมไม่ใช่เหรอ ได้ยินข่าวมานานแล้ว”
เขาถาม ขณะที่น้องสาวมองอกกไปนอกหน้าต่าง สำรวจทิวทัศน์ข้างทางอย่างอารมณ์ดี
“ใช่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้วล่ะ คนกวนหนัก” พรานหนุ่มมือฉมังกล่าว ก่อนชะโงกหน้าโผล่พ้น
หน้าต่างออกไปดูรถคันข้างหลังที่เว้นระยะห่างกันราว
เป็นสง่าอยู่ตอนหลังสุด เขาจ้องอยู่ชั่วครู่ ก่อนหลบวูบเข้าในรถตามเดิม
“มีอะไร?” หนุ่มลูกครึ่งถาม พลางเปิดกระจกรถออกหน่อยหนึ่ง ลมอ่อนๆ พัดผมสีทองสลวยของ
เขาปลิวไปมา
หนุ่มเลือดราชสกุลไม่ตอบ เสหัวเราะเรียบๆ แล้วมองออกไปยังนอกรถ ยุติการสนทนาใดๆ ลงโดย
สิ้นเชิง
แสงแดดเริ่มแผดกล้าขึ้นตามลำดับ ชั่วขณะเวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเกือบเพล สองข้างทางอันเป็น
ป่าโปร่งสลับกับเนินเขาหัวโล้นซึ่งมีให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ถูกแดดย้อมให้มีสีสันต่างๆกันไป ถนน
ที่รถกำลังวิ่งอยู่นั้นตัดผ่าน ซิกแซ็กไปตามภูมิประเทศอันเป็นเนินเขาเล็กๆ สลับกับทุ่งหญ้า บาง
ตอนตัดผ่านป่าโปร่ง และลำห้วยเล็กๆ ลักษณะเป็นทางเกวียน ปะปนกับหินลูกรังร่วนซุยในบาง
ตอน และบางตอนก็ตัดผ่านทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ตัดผ่าเข้าไปในใจกลาง แล้วทะลุออกในทางทิศ
ตะวันเฉียงเหนือจากเขาโล้นอันเป็นจุดสังเกตแรก ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากหนองน้ำแห้งเท่าไหร่นัก
หากรถจิ๊ปสองคันกลับแล่นได้อย่างช้าๆ ตามสภาพภูมิประเทศและสภาพถนนที่ไม่ค่อยสะดวกเท่า
ไหร่
“ถึงไหนแล้ว?” ไพรวัลย์ที่เผลองีบหลับไปงัวเงียถามขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ารถเริ่มแล่นช้าลงเป็นลำดับ
กระทั่งจอดสงบนิ่งอยู่กับที่ โงหัวขึ้นมองไปผ่านกระจกหน้ารถออกไป พ้นจากพนักพิงของวาริ
นทร์ที่บังสายตาอยู่
ภาพที่เห็นคือต้นยางขนาดใหญ่หลายคนโอบต้นหนึ่ง ล้มทับพาดผ่านเป็นแนวขวางกับธารน้ำที่
ไหลรินลงมาจากโขดหินอันขนาบซ้อนกันอยู่หลายชั้น ลักษณะเป็นน้ำตกขนาดย่อมๆ รากของ
มันชี้ฟ้า ส่วนของร่มเงานั้นพาดทับหินอีกก้อนอันมีลักษณะเป็นช่องทางเดินรถโดยเฉพาะที่ตัด
ลึกลงไปต่ำกว่าระดับเส้นทาง กีดขวางเส้นทางเดินรถซึ่งจะต้องแล่นฝ่าสายน้ำจากลำธารแห่งนี้
ไป ซี่งมันจะต้องเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่บริเวณริมเนินนั่นเอง และถอนรากหักโค่นลงมาอย่าง
ปัจจุบันทันด่วน
และ..อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มันหักโค่นลงมาอย่างนี้?
เสียงรถจี๊ปคันหลังจอดนิ่งสนิทลงเช่นกันเมื่อแล่นตามมาถึงและเห็นว่าหมดทางที่จะไปต่อได้
พวกลูกหาบต่างกรูกันลงมาเพื่อที่จะดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้า
ไกด์นำทางของคณะลงมาก่อนนานแล้ว เขายืนอยู่บนกลางลำต้นของยางใหญ่นั้น สีหน้าครุ่นคิด
สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบด้าน มือถือไรเฟิลเตรียมพร้อม
เส่ยซึ่งเดินตรวจไปรอบๆบริเวณร้องโว้กว้ากโบกไม้โบกมืออยู่ตรงสันเตี้ยๆ บนสันน้ำตก ชี้ให้ดู
ตำแหน่งอันมีหลุมกว้าง เว่อออกมาจากเนื้อดินเนื้อหินที่ซ้อนทับกันอยู่หลายชั้น ชายหนุ่มเดินไต่
ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“รอยยังใหม่ๆ อยู่เลย นาย ไม่เกินวัน” เส่ยบอก แล้วก้มลงกอบดินขึ้นมากำหนึ่ง ยื่นให้
วารินทร์ “แล้วมันล้มได้ยังไง ผมก็กำลังคิดอยู่”
สีหน้าลูกชายจอมพรานครุ่นคิดหนักกว่าเก่า ใบหน้านั้นขรึมลง บอกเส่ยเบาๆ
“เอาล่ะ เราพักเที่ยงตรงนี้ก่อน บอกลูกหาบด้วย” แล้วล้วงเอากระสุน .375 ห้านัดที่มัด
เอาไว้ด้วยหนังยางมาถือไว้ เดาะเล่นในมือ “เราพอจะเลี่ยงลงต่ำไปได้ แต่ต้องตัดลิดเอากิ่งก้าน
ของมันออกไป น่าจะพอผ่านไปได้” เขาสั่ง พรานวัยกลางคนรับคำแล้วผละไปตามที่สั่ง ส่วนเขา
แยกลงมาอีกทาง ซึ่งเป็นป่าโปร่งต่ำข้างๆ โขดหินก้อนใหญ่ที่สุดของสันเนิน
รอยอะไรชนิดหนึ่ง เหยียบย่ำลงบนดินร่วนเละเป็นตมนั้น บุ๋มลึกลงไป เมื่อเขาก้มลงดู
ให้ชัดเจนจึงรู้ได้ว่า มันคือรอยเท้าช้างขนาดใหญ่สองสามรอย เป็นรอยใหม่ยังไม่ทันข้ามวัน
เพราะมีน้ำขังอยู่ในรอยนั้น ทุกรอย เขาเดินสำรวจรอบๆ และเห็นรอยตัดหักพงขึ้นไปทางป่า
หินเหนือศีรษะขึ้นไป เป็นรอยหักกิ่งไม้ยาวเป็นทาง และทุกรอยเป็นรอยใหม่ไม่เกินหนึ่งวันเช่น
กัน
ไม่มีปัญหา มันต้องเป็นช้างตัวเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“โทนหรือนาย?” เกิดที่เดินตามมาถามเบาๆ จากทางด้านหลัง สีหน้าเคร่ง ชายหนุ่มเลือด
ราชสกุลพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ
“ผมว่ามันต้องเป็นตัวเดียวกับที่งัดต้นยางนั่นลงมาแน่ๆ นาย สังเกตดูรอยมันใหญ่เหลือ
เกิน” พรานมือฉมังให้ความเห็น เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆ วัดความกว้างของรอยเท้าช้างนั้นดู พึมพำ
เบาๆ “แต่มันจะงัดขึ้นมาทำไมผมก็ไม่รู้”
“แล้วพวกนั้นล่ะ?” ไกด์หนุ่มถาม เขาหมายถึงนายจ้างทั้งสองกับพวกลูกหาบ
“อ๋อ..กำลังรอนายอยู่ฟากคะโน้นแหละครับ บอกให้ผมมาตามนาย”
พรานนำทางหนุ่มหรี่ตา ก่อนพยักพเยิดให้เกิดเดินตามเขามาอย่างเงียบๆ
บริเวณลาดหินริมน้ำตกสายเล็กๆ นั้น พวกลูกหาบซึ่งส่วนใหญ่เรียบร้อยกับอาหารเที่ยง
แล้ว ต่างช่วยกันตัดลิดกิ่งไม้ของยางใหญ่ อยู่อย่างขะมักขเม้น แหวกให้เป็นช่องทางสำหรับที่จะ
ให้รถวิ่งผ่านไปได้
ไพรวัลย์ปรี่เข้ามา กระซิบถาม
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า วารินทร์ ?”
สหายรุ่นน้องสั่นหน้า สีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ
“ไม่มีอะไรหรอก เดินตรวจดูรอบๆเฉยๆ ตามวิสัยพราน อย่าใส่ใจเลย” เขากลบเกลื่อน “อีกสัก
พักก็คงเดินทางต่อได้ รอให้พวกลูกหาบเคลียร์ทางให้เสร็จก่อน”
หนุ่มลูกครึ่งพยักหน้า แต่ดวงตายังมีแววคลางใจ เขาพอจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับป่าอยู่บ้าง ดัง
นั้นพฤติการณ์ที่มันผิดแผกไปจากปกติ นั่นเป็นเรื่องที่กระตุ้นให้เขาครุ่นคิด จำแนกและแยกแยะ
ถึงสรรพปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เขาฉลาดพอที่จะไม่กระโตกกระตากอะไรออก
ไป แต่ก็ไม่โง่พอที่จะมองข้ามอะไรไปเสียทีเดียว
ราวๆ ชั่วโมงครึ่ง ลูกหาบก็เคลียร์ทางจนเสร็จสิ้น พอที่จะให้รถจิ๊ปทั้งสองคันลอดผ่านไปได้ เสียง
พรานนำทางหนุ่มร้องให้เก็บข้าวของสำภาระ และเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยก่อนจะสั่งให้ลูกหาบ
เตรียมตัวออกเดินทางต่อได้ เสียงสตาร์ทรถดังกระหึ่ม กังวานก้องกับโขดหินใหญ่ที่ขนาบอยู่ทั้ง
สองด้าน แล้วสั่งรถจิ๊ปทั้งสองเคลื่อนผ่านต่อไป
มันเป็นเวลาบ่ายโมงเศษๆ ระหว่างที่รถจี๊ปคันที่สองเคลื่อนตัวผ่านช่องทางที่ถูกแหวกออก นั้น
เอง
เสียงร้องแปร๋น ดังก้องไปทั่วบริเวณ พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของอะไรชนิดหนึ่ง วิ่งไล่กวดท้ายรถ
จิ๊ปคันรั้งท้ายเข้ามาติดๆ เสียงลูกหาบร้องออกมาอย่างตกใจอื้ออึง พร้อมๆกับเสียงปืนดังแว่วมา
อย่างถนัดถนี่
วารินทร์ชะงัก ชะโงกตัวผ่านกระจกข้างเพื่อมองไปด้านหลัง และพริบตานั้นเองเขารู้สึก
ประหนึ่งว่าโลกจะถล่มทะลายลง ณ บัดนั้น เสียงดารินีตะโกนเสียงแหลม ดังลั่นแข่งกับเสียง
ร้องของสัตว์ป่างายาวตัวนั้น
“ช้าง ! มันมาได้ยังไง!?”
งายาวโง้งสีขาวขุ่น แหลมปานไม้เสี้ยมนั้น พุ่งเข้างัดเสยรถจี๊ปคันหลัง ทว่าพลาดถูกหลังคารถ
ตอนหลังอันเป็นพลาสติก ขาดวิ่น ปลิวติดปลายงาไปด้วย มันเสียหลัก ชะงักไปวูบหนึ่ง แต่พริบ
ตาก็ปรี่เข้าใส่อีกระลอก เสียงปืนลูกซองอันเป็นปืนประจำมือของพวกลูกหาบดังเป็นชุดราวกับ
ประทัดวันตรุษ และนั่นยิ่งเท่ากับเป็นการสร้างความดุร้ายให้มัน ดวงตาหยีเล็กนั้นแดงก่ำ เลือด
โซมกาย ชโลมหัวอันใหญ่โตนั้นแดงฉาน เสียงไรเฟิลดังลั่นอีกเป็นชุด มันมาจาก .375 ในมือเจ้า
กะเหรี่ยงดงลึกลับนั่นเอง ทุกนัดเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ หากไม่มีอำนาจถึงพอที่จะหยุดความ
กระหายเลือดของช้างโทนคลั่งตัวนี้ได้
วารินทร์สบถ เหวี่ยงซาโก้ เอ้กตี้ฯ กระบอกนั้นขึ้นไหล่ขวาอย่างรวดเร็วในท่าเอี้ยวตัวกลับหลัง 45
องศา เล็งผ่านศูนย์กล้องขยาย 4
เท่านั้นไปจับยังเป้าหมายอันเป็นจุดตายกลางสมอง ดังที่เคยได้ฝึกมาทั้งในสนามฝึกและสนามแห่ง
ชีวิตจริง เขาเล็งประทับปืนทั้งที่ยังชะโงกตัวออกมานอกหน้าต่าง ใช่หัวไหล่ขวาดันตรึงให้ติดกับ
ขอบกระจกด้านหน้า เพื่อหยุดยั้งแรงถีบของปืนไรเฟิลล่าสัตว์ที่อยู่ในมือ
ปัง ! นัดแรกจากมือของเขาลั่นวูบผ่านลำกล้องออกไปด้วยความเร็วสูง แฉลบผ่านหนอกเนื้ออัน
เป็นส่วนนูนขึ้นมาจากหน้าผากเจ้าช้างโทนเชือกนั้น ไหลโซมทะลักเลือดออกมา แดงเถือก มัน
ทรุดฮวบลงวูบหนึ่ง และวูบนั้นเองที่มันวิ่งเสยเข้ามาปะทะหลังรถจี๊ปคันหลังด้วยความเร็วอย่าง
เหลือเชื่อ
เสียงดังปัง ขึ้นอีกครั้ง เปล่า นั่นไม่ใช่เสียงจากปากกระบอกปืนของใครทั้งสิ้น หากเป็นเสียงจาก
ยางหลังของรถคันรั้งท้าย งาแหลมของมันนั่นเอง ที่ปักสวบเข้าพอดีกับยางหนานั้นเข้าอย่างจัง
โดยอาศัยจังหวะการเสียหลักของรถที่กำลังพุ่งขึ้นเนิน รถเจ้ากรรมเสียหลักวูบ แถกแวบลงข้าง
ทางอย่างช่วยไม่ได้
และ
.นั่นเป็นโอกาสของมันแล้ว!!
เสียงร้องอย่างมุ่งร้ายหมายชีวิต ที่มองเห็นมนุษย์ทุกผู้เป็นศัตรู มันพุ่งปราดเข้ามาอีกครั้งด้วยพลัง
ใจ พลังกายอันทรหด..
วินาทีดับจิตนั้น เสียงปังขึ้นอีกนัดหนึ่ง คราวนี้คือกระสุน 300 เกรน จากปากลำกล้องของ เอ้กตี้ฯ
กระบอกประจำมือพรานนำทางหนุ่มนั่นเอง มันแล่นฝ่าอากาศพุ่งเสียบเข้าตรงหว่างคิ้ว ต่ำกว่าจุด
เดิมเล็กน้อย
มันทรุดฮวบลง ศีรษะอันใหญ่โตทิ่มลงกับพื้นดินอันเป็นฝุ่นทราย แถกดินแตกอู้มาหยุดอยู่ข้างๆ
ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ห่างจากพวกลูกหาบ ที่ยืนนิ่งราวถูกสะกด ไม่ถึงวา
หมดฤทธิ์ร้ายกาจลงเพียงแค่นั้น
วารินทร์สาวเท้ายาวๆ มาที่ซากช้างอย่างรวดเร็ว เขาสบถดังลั่น ท่ามกลางลูกหาบที่ยืนมุงดู
ซากช้างร้าย เสียงพึมพำกันดังเซ็งแซ่ สองนายจ้างเดินตามมาติดๆ สีหน้าตกใจอย่างคนไม่เคยใน
เหตุการณ์ โดยมีสองพรานพื้นเมืองอดีตลูกมือรพินทร์ ไพรวัลย์เดินตามมาอย่างติดๆ
“ช้างรียำ ! ห่าดง” ใครคนหนึ่งระหว่างเกิดและเส่ยสบถขึ้น พรานนำทางหนุ่มปรี่เข้าไปตรวจ
สอบดูอย่างละเอียด พลางถามเสียงขุ่น
“มันมาได้ยังไง ใครเห็นบ้าง?”
นายหวัน หัวหน้าลูกหาบชี้มือลงไปป่าโปร่งๆ สลับกับโขดหินระกะตานั้น
“โน่นครับนาย อยู่ๆมันก็พุ่งมาจากแนวหินตรงนั้น แล้วไล่แทงเลย ครับ ไม่รู้บ้าเลือดมาจากไหน
ผมเองก็ไม่เคยเห็นช้างที่ไล่แทงคนก่อนหยั่งงี้”
“มันซุ่มอยู่ก่อนแล้วขะรับนาย พ้มเห็นรอยมันตั้งแต่อยู่ในแอ่งน้ำตกโน่นแล้ว ยังใหม่อยู่เลย สงสัย
ใครยิงเจ็บไว้ก่อนแล้ว” ผู้เอ่ยคือกะเหรี่ยงดงลึกลับคนนั้น “พอรถพ้นโขดหินนั่นไปมันก็พุ่งใส่
เลย พ้มเองก็ยิงใส่มันไปหลายนัดเหมือนกัน แต่เอาไม่อยู่”
วารินทร์ไม่ตอบคำ แต่ก้มลงสำรวจซากช้างร้าย
ส่วนหัวอันใหญ่โตของมันถูกชโลมไปด้วยเลือดจากบาดแผลหลายแห่ง ลูกปืนขนาด .375 นัด
แรกของเขาพุ่งทะลุเข้าโพรงอากาศแล้วผ่านเลยออกเบื้องหลัง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มันไม่อยู่
กับที่ในครั้งแรก ส่วนนัดที่สองตัดเข้าสมองอันเป็นจุดตายซึ่งเป็นนัดที่หยุดความกระหายเลือด
มันลง นอกนั้นเป็นรอยกระสุนลูกปรายจากปืนลูกซองของพวกลูกหาบ และรอย .375 หัวอ่อน
ของเจ้ากะเหรี่ยงโฉมงาม ผู้ลึกลับ เจาะผ่านทะลุงวงไปสามนัด ปากด้านล่างทะลุออกปลายคาง
อีกหนึ่งนัด
นอกจากนี้ยังพบรอยกระสุนลูกซองแบบลูกโดดอีกที่โคนขาหลังซ้าย กับโคนหาง กินเว่อเข้าไป
กับเนื้อก้น หน้าท้องแตกยับไปด้วยอานุภาพของกระสุนลูกปรายอีกกลุ่มหนึ่ง เลือดสีดำคล้ำแห้ง
เกรอะ ทั้งหมดเป็นรอยเก่า ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มันเป็นช้างลำบาก ทุรนทุรายอยู่ด้วยความ
แค้น คอยดักเล่นงานมนุษย์ทุกคนที่ผ่านทางมาโดยไม่สนว่าจะเป็นมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น
“ชัดเลยนาย ช้างลำบาก” เกิดครางหลังตรวจดูบาดแผล “มันเจ็บอยู่ก่อนนาย ว่าแต่มันมาซุ่มอยู่
ตรงนี้ได้ยังไง?”
“มีใครยิงมันไว้ก่อนแน่ แต่ผ่ามายิงที่หาง ไม่ยักยิงที่หัว มันเลยกลายเป็นช้างเจ็บหยั่งงี้” เส่ยให้
ความเห็นมาอีกคน “มิน่ามันถึงไปงัดต้นไม้หักโค่นลงมา คงทุรนทุรายอยู่หลายวัน”
“ลูกปืนเราเล็กไป ถึงว่าเอามันไม่อยู่” ลูกหาบพึมพำเซ็งแซ่
“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า?” วารินทร์ถาม พลางสอดส่ายสายตาดูพวกลูกหาบ ปรากฏว่าไม่มีใคร
ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก นอกจากถลอกปอกเปิกเพราะกระโดดลงจากรถตอนยางแตกและเสีย
หลักตกวูบลงข้างทางเท่านั้น
เขาสั่งให้ลูกหาบจัดการเปลี่ยนยางอะไหล่ที่ติดมาด้วย การเดินทางจำเป็นต้องชะงักลงอีกครั้งโดย
อุปัทวเหตุที่น่าหวาดเสียวนั้น
สองนายจ้างยังคงตกใจกับเหตุที่ฉุกละหุกนั้น ด้วยไม่คุ้นกับเหตุระทึกแบบนี้มาก่อน
ไพรวัลย์นั้นเดินแจกยาแดงกับทิงเจอร์สำหรับฆ่าเชื้อในแผลสดให้กับพวกลูกหาบที่ได้รับบาดเจ็บ
ส่วนดารินี นั่งซบลงกับโขดหินข้างทางอย่างเหนื่อยอ่อน สีหน้ายังคงแสดงถึงความตกใจใน
เหตุการณ์เมื่อครู่อย่างยากระงับ
“เธอเป็นยังไงบ้าง?”
เหลือบตาขึ้นดู ก็พบกับสายตาชายหนุ่มเลือดราชสกุลที่มองมาอย่างเป็นห่วง หล่อน
สะบัดหน้าเบาๆ อย่างไล่ความมึนงง
“ไม่เป็นไร แค่ตกใจนิดหน่อย อย่าห่วงเลย” ตอบแผ่วเบา
“เราอาจเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีก
แล้วเธอจะทำไง” เขาถาม มองดูมือสองข้างของ
หล่อนที่ปราศจากปืนเพราะไม่ได้ติดมือมาด้วย ด้วยความตกใจในเหตุการณ์ หญิงสาวยิ้มเซียวๆ
แหยงๆ
“อ้อ
ป่านี้ดุขนาดนี้เชียว?”
“ป่า ย่อมมีสัตว์ และขึ้นชื่อว่าสัตว์มันไม่เป็นมิตรกับคนนักหรอก เพราะฉะนั้น เวลาจะ
ไปไหนมาไหนในป่าถึงต้องถือปืนติดมือไปด้วยยังไงล่ะ เอาล่ะ
ดูเหมือนพวกนั้นจะเปลี่ยนยาง
เสร็จแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางเถอะ เราเสียเวลามากมากแล้ว” เขาพูดจบก็ผละไป ทิ้งให้หล่อน
นั่งหน้าง้ำอยู่ตรงนั้น
“ออกรถได้ มุ่งห้วยยายทอง !”
สิ้นเสียงตะโกนสั่งของไกด์นำทาง คณะเดินทางทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากซาก
ช้างร้ายตัวนั้น โดยทิ้งอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ อันเป็นเหมือนเหตุบังเอิญนั้นไว้เบื้องหลังโดยไม่ใส่
ใจคิดกับเรื่องอันจิ๊บจ๊อยนี้อีกต่อไป
ยกเว้นสองนายจ้างที่นั่งไม่ติดในตอนหลังของรถจี๊ป อย่างอกสั่นขวัญแขวน และยังคงตื่นงงกับ
เหตุการณ์อันฉุกละหุกนั้น
รถจี๊ปของคณะเดินทางเคลื่อนตัวตัดทางผ่านป่าโปร่งสลับกับเนินเขาแห้งแล้งข้างทางมาอย่าง
เชื่องช้า เพราะด้วยสภาพภูมิประเทศอันเต็มไปด้วยต้นไม้แห้งๆ สลับกับเนินหินโสโครกที่งอกขึ้น
มาระเกะระกะเต็มไปหมด และด้วยสภาพถนนหรือจะเรียกให้ถูกคือ “ทางเกวียน” แคบๆ ที่ตัดผ่า
เข้าไปในใจกลางของดงเถื่อนไพรดิบ บางตอนของถนนคือทางเดินของน้ำ หรือลำธารกว้าง บาง
ช่วงก็ตัดขึ้นเนิน และก็มีบางส่วนที่ต้องฝ่าเข้าไปกลางดงหิน อันมีสภาพเป็นแก่งน้อยใหญ่ยากยิ่ง
ต่อการสัญจรด้วยรถยนต์
ไพรวัลย์นั้นนั่งไม่ติดที่ด้วยยังตื่นต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาอยู่ เขาควักหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยวอย่าง
ยากระงับอารมณ์ แล้วสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างจะหาเพื่อนคุย ทว่าทุกคนภายในรถกลับ
นั่งสงบเรียบเฉยไม่มีทีท่าใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากพวกพรานหนุ่มที่คุยอะไรกันงึมงำอยู่ท้ายรถ
วารินทร์ดูเหมือนจะจับกระแสความรู้สึกนี้ได้ เขาเอื้อมมือมาแตะหัวเข่าสหายรุ่นพี่ หันหน้ามายิ้ม
ให้ ถามเบาๆ
“เป็นอะไรไปหรือ ไพรวัลย์?”
“โธ่ ถามได้เป็นอะไร ก็ตื่นเต้นน่ะสิ นายก็เห็นไม่ใช่เรอะ ยิ่งกว่าตอนเจอไอ้เสือผีนั่นซะอีก น่า
กลัวชิบหาย” หนุ่มลูกครึ่งสบถพรู สีหน้าแหยงๆ “ยายเล็กยิ่งแล้วใหญ่ หน้างี้ซีดเชียว ถามจริงๆ
เถอะ ไอ้ป่าที่เราจะบุกกันไปเนี่ยมันดุขนาดนี้เลยเหรอ?”
ผู้ถูกถามหัวเราะหึๆ มองหน้าสหายลูกครึ่งตรง ดวงตาเป็นประกายยิ้มๆ
“ดุหรือไม่ดุ เหตุการณ์มันก็สอนนายอยู่โทนโท่แล้ว แล้วจะรู้ยิ่งกว่านี้เมื่อเข้าดงลึกไปเรื่อยๆ
สำหรับไอ้ช้างลำบากนี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์เท่านั้นเอง เทียบกันแล้วมันอาจเป็นแค่อุบัติเหตุเล็กๆน้อย
เท่านั้นแหละ”
“ตายห่
นี่แค่เริ่มเท่านั้นเร้อ รู้งี้เช่าเรือบินไปดีกว่า ว่าไงเล็ก” หนุ่มลูกครึ่งเอามือโปะหน้าผากตัว
เอง หันไปถามน้องสาวซึ่งตกอยู่ในอาการเดียวกัน
“เรือบินหรือเรือเหาะอะไรก็มีค่าเท่ากัน แคมป์ขุดค้นของนายอยู่ใจกลางป่าลึก มันเป็นป่าดิบ
อันตรายจากสัตว์ป่ามีอยู่รอบด้าน กันเคยเข้าไปสำรวจนรกดำกับพ่อ แล้วเคยเห็นรอยเท้าช้างขนาด
ใหญ่ พอที่จะลงไปนั่งขัดสมาธิได้เลยทีเดียว ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย เราเจอ
มันแน่ๆ สำหรับเส้นทางสายนี้ และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า ไม่ทันจะออกห่างจากหนองน้ำแห้งอัน
เป็นสถานีเริ่มต้นของเราเท่าไหร่เลย ก็เจอกับอันตรายจากสัตว์ป่าเสียแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เข้า
ดงลึกไปแล้วจะเจอกับอะไรบ้าง” ชายหนุ่มมัคคุเทศก์อธิบาย
สหายหนุ่มลูกครึ่งคราง พลางมองดูไรเฟิลในมืออย่างสยองใจ พึมพำแผ่วเบา
“ตายละวา
ไอ้เจ้าเรมิงตันกระบอกนี้ มันท่าจะเล็กไปเสียแล้ว”
“ไม่เล็กไปหน่อยหรอก สำหรับกระสุนแรงปะทะขนาด 300 เกรน ถ้าเลือกวางตรงจุดตายได้
ช้างก็ช้างเถอะ เดี้ยงเหมือนกันหมด” ลูกชายจอมพรานเอ่ย ชูไรเฟิลในมือให้ดู
“อ้อ
แล้วจุดตายที่ว่ามันง่ายต่อการฝังกระสุนขนาดนั้นเชียว?” ดารินีซึ่งเงียบไปนาน เหน็บ ดวง
ตาสีฟ้าแบบฝรั่งจ๋าจ้องมองมาที่ชายหนุ่มมัคคุเทศก์เขม็ง “เมื่อกี้ก็เห็นนี่นา พวกลูกหาบยิงกันแตก
เป็นข้าวตอก ยังเอามันไม่อยู่ ถึงนายเองก็เถอะ ตั้งสองนัดถึงจะเอามันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ประโยคหลังถามแผ่วเบา แต่รุนแรงในน้ำเสียง
“แล้วกัน ยายเล็ก ทำไมเรียกวารินทร์เค้าอย่างนั้นล่ะ เค้าแก่กว่าเราไม่ใช่เรอะ?”
‘ยายเล็ก’ ยักไหล่ เบะปาก เสมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
“ว้า ชักพาโลใหญ่แล้วนะเรา..ช่างมันเถอะ ว่าแต่นายมีขนาดแรงกว่าไอ้เจ้านี่มาด้วยมั้ย ชักไม่มั่น
ใจเสียแล้ว” พี่ชายของน้องสาวตัวดียกเรมิงตัน เซเว่น แอลเอส แม็กนั่ม ขึ้นมาดู ถามอย่างแหยงๆ
“แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้เตรียมการอะไรด้านนี้มาก่อนเลย ถ้ารู้ล่วงหน้าก่อนล่ะก็ พ่อขนปืนต่อสู้
อากาศยานมาซะเลย ต่อให้ช้างหรือไดโนเสาร์มันก็ต้องกระจุย”
“แรงขนาดนั้นคงไม่มีหรอก เดี๋ยวเราจะคุยเรื่องนี้กันอีกทีเมื่อถึงหล่มช้าง อันเป็นสถานีสุดท้าย
ก่อนเข้านรกดำ ระหว่างนี้เชื่อว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว ยกเว้นมันจะเป็นอะไรที่ผิดวิสัย
จริงๆ” พรานนำทางกล่าวเรียบๆ
“ใช่สิ
อะไรที่ผิดวิสัยคงเป็นประเภทไดโนเสาร์อย่างพี่โตว่ากระมัง เพราะขนาดช้างโทนตัว
นั้น ยังเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆสำหรับนายเลยนี่” หญิงสาวลูกครึ่งไม่วายแขวะมายังวารินทร์อีก พรานนำ
ทางหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เอาล่ะสิ เมื่อห่างพ้นจากภัยมาได้ไม่เท่าไหร่ หล่อนก็เปิดศักราช
ยวนเขาเสียแล้ว อย่างนี้มันน่านัก ชายหนุ่มคิด แต่คำพูดมีว่า
“คงไม่ถึงไดโนเสาร์หรอก อย่างมากก็แค่เสือโคร่งตัวใหญ่ๆซักตัว ที่มันจะดอดเข้ามาคาบนัก
โบราณคดีสาวสวยแต่ปากจัด เผ่นหายเข้าป่าไปแค่นั้นแหละ”
“นาย !” หล่อนแหว หน้าตาบ่งบอกว่าโกรธจัด จนพี่ชายต้องเข้ามาห้ามศึก ก่อนจะลามปามใหญ่
โตไปมากกว่านั้น
“แล้วกัน
ไม่ทันไรปีนเกลียวกันอีกแล้ว นี่นึกว่าเย้ากันเล่นๆไม่ใช่เหรอไง ไหงกลายเป็น
ทะเลาะกันจริงๆไปได้”
“เล็กเนี่ยนะคะ จะไปเล่นแง่ยั่วเย้าอะไรกับนายนี่ ก็มีแต่พรานนำทางยวนโทสะของพี่โตนั่น
แหละ คอยหาเรื่องเล็กอยู่เรื่อย คราวก่อนก็ทีนึงแล้ว ยังแค้นไม่หายเลย” หล่อนว่า กัดริมฝีปากจ้อง
หน้ามัคคุเทศก์หนุ่มอย่างจะเอาเรื่อง ก็เห็นประกายยิ้มๆ ในดวงตาสีดำขลับของพรานหนุ่มเลือด
ราชสกุล สีหน้าเขาเรียบๆ หากยิ้มอยู่ในหน้า อย่างต้องการจะยั่วเล็กๆ
“เอาๆ แม่คุณ จะยังไงก็ช่างเถอะ ช่วยเงียบๆเสียทีได้มั้ย จะปรึกษางานกับพรานนำทางเค้า” พี่ชาย
ปรามเสียงต่ำ ดารินีสะบัดหน้าหนีอย่างไม่ต้องการจะตอแยอะไรด้วยอีก หากแววตาไม่วายมีแวว
ขุ่น
วารินทร์กางแผนที่ ชี้จุดหมายที่กากบาทเอาไว้ด้วยปากกาสีน้ำเงิน ชี้ให้ไพรวัลย์ดู
“จุดแรกเราจะมุ่งห้วยยายทอง แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น เราต้องผ่านหุบชะมด ซึ่งเป็นช่องหินแคบๆ
และที่เราต้องระวังก็คือเสือ ซึ่งมีชุกชุมมากอยู่ในบริเวณ”
“ฮืม
เตือนกันไว้ก่อนอย่างนี้ก็ดี เวลาฉุกละหุกขึ้นมาจะได้ปรับใจรับทัน แล้วอีกอย่างเราจะได้
ระวังตัวเอาไว้ด้วย” ชายหนุ่มลูกครึ่งกล่าว เอานิ้วมือเคาะกับพนักพิงหลังของเบาะด้านหน้าตน
อย่างปราศจากความหมาย โดยมีไรเฟิลพาดตักอยู่ “ว่าแต่มันมาได้ยังไงนะ ไอ้เจ้านั่นน่ะ” เขา
หมายถึงช้างร้ายตัวนั้น สีหน้าแสดงว่ายังไม่ลืมเหตุการณ์ระทึกนั้นง่ายๆ
“แถบนี้เป็นเขตของมันทั้งนั้นแหละ นายโต โทนทั้งนั้น ไอ้พวกช้างโขลงไม่ค่อยเห็นหรอก มัน
หากินเข้าดงลึกไปตามลำดับ มีแต่ไอ้พวกช้างโทนนี่แหละ หากินป้วนเปี้ยนเขตคนออกมาเรื่อยๆ
บางคนเขาก็ยิงเพื่อไล่มันเวลามันกวนหนัก บางคนเขาก็อยากได้งา เหตุผลมันมีร้อยแปดสำหรับ
คนจะยิงช้าง” เกิดให้ความเห็นมาเบาๆ
“เฮ้อ
อีแบบนี้ไอแอมไม่ค่อยชอบเลยแฮะ มีครั้งนึงเคยตามรอยช้างที่แอฟริกากับพรานพื้นเมือง
ให้ตายเถอะ ยังไม่ตื่นเต้นเท่าเจอไอ้งวงยาวครั้งนี้เลย” ไพรวัลย์คราง
“ช้างแต่ละส่วนแต่ละทวีป มันไม่เหมือนกันหรอก จะมีส่วนเหมือนก็แต่สัญชาติญาณพื้นๆ บางที
นายอาจพบว่าช้างป่าแอฟริกา เลี้ยงเชื่อง ไม่ดุร้าย อย่างในสวนสัตว์แบบเปิด แต่ช้างป่าเอเชียนี่
คนละเรื่อง” วารินทร์เสริม สีหน้ามีแววยิ้มๆ
“จริง ข้อนี้เห็นด้วย ยังไงก็เถอะ ขอให้กันได้รู้ตัวไว้บ้าง ไม่ใช่จู่ๆก็พรวดพราดวิ่งเข้าไล่ อย่างนี้
หัวใจจะวายตายเสียก่อน ไม่ใช่ตายเพราะสัตว์ร้ายนั่นหรอก” หนุ่มลูกครึ่งห่อไหล่
“โธ่ นายโต ไอ้บทมันจะเล่นเราสัตว์มันเคยบอกรึ อยู่ๆ บทมันจะเอามันก็เอา ไว้ใจไม่ได้หรอก
ขึ้นชื่อว่าป่าน่ะ มีครั้งนึง ไอ้แหวงนั่นไง ไปนั่งซุ้มกับนายน้อยนี่แหละ นัยว่าเสือมันลากคนไป
นั่นแหละ ก็นึกว่าเสือมันจะไม่เข้า ที่ไหนได้ บทมันจะเล่นมันกระโจนพรวดเดียวข้ามซุ้ม ลากศพ
เข้าป่าไปได้อีก นึกแล้วก็ยังหวาดเสียว ดีอยู่หรอกที่เป็นศพซากลูกบ้านตะเคียนทองที่เสือมันกัด
ตายไว้ ไม่ใช่พรานที่ไปนั่งเฝ้ายิงมัน” เส่ยเสริมมาอีกคน พร้อมเล่าประสบการณ์ประกอบความ
เห็น
“อ้าว..แล้วกัน น้าเส่ย ผมก็ไปกับนายน้อยน้า
นี่น้าดูถูกฝีมือนายน้อยรึไง?” เจ้าพรานหนุ่มแหวง
แย้งมาเบาๆจากหลังรถ
“นายกูไม่ห่วงหรอกวะ กูกลัวแต่ว่าเสือมันจะขบหัวเอ็งตายไปเสียก่อน”
เส่ยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วก็พลอยทำให้บรรยากาศที่ตื่นเครียดนั้นสงบลงได้บ้าง หนุ่มลูกครึ่ง
ลูกนายทหารอารมณ์ดีหันมาเอ่ยมัคคุเทศก์หนุ่มผู้เป็นสหาย
“เสียดายนะ กันไม่เคยเข้ามาลึกถึงขนาดนี้เลย ว่างๆมาล่าสัตว์กันดีไหม วารินทร์ อยากลองมา
นานแล้ว”
“ได้เสมอ สัตว์แถวนี้ยังชุมอยู่มาก โดยเฉพาะสัตว์จำพวกเก้ง กวาง ซึ่งเราไม่เคยล่ามันเกินความจำ
เป็น นอกจากเป็นอาหารชั่วครั้งชั่วคราว” สหายหนุ่ม ตอบมาอย่างอารมณ์ดี ผิวปากหวือใช้นิ้ว
เคาะกระจกเป็นจังหวะ ยิ้มพราย “อันที่จริงกันก็ไม่ใช่พรานมืออาชีพอะไรหรอกนะ ยังไม่ถึงขึ้น
คุณพ่อหรอก นั่นน่ะ เข้าป่าทีไรกันตามไม่เคยทันสักที ฝีมือยิงปืนก็ไม่เป็นสับปะรด อาศัยว่าเป็น
ตำรวจ ผ่านหลักสูตรการใช้ชีวิตในป่ามามาก เลยทำให้รอดพ้นเขี้ยวเล็บงาสัตว์ไปได้วันๆ แต่ก็
เบื่อๆ อยู่เหมือนกัน กะว่าจะขอย้ายลงใต้ซะเลย ออกพื้นที่”
“เบื่ออะไรวะ ไม่เห็นมีอะไรน่าเบื่อสักนิด?” เพื่อนรุ่นพี่ถาม
“ก็คุณแม่น่ะสิ..” วารินทร์เว้น เหลือบชำเลืองมองแม่สาวลูกครึ่ง “
ท่านคะยั้นคะยอให้มีเมีย
กันก็ปฏิเสธเสียเรื่อย กลัวว่าอยู่ๆไปจะได้เมียแถวหนองน้ำแห้งนี้น่ะซี ไอ้กันก็ไม่ค่อยชอบแบบ
ไทยๆบ้านป่าซะด้วย ชอบแบบลูกครึ่งๆ มากกว่า” ประโยคหลังทำน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม ทำสุนัขหยอก
ไก่(ต่อหน้าพี่ชาย) แล้วก็ได้ผล แม่สาวผมสีทรายหน้าแดงด้วยริ้วเลือด ชั่วขณะหล่อนก็เบนหน้า
หลบ จะด้วยอายหรืออะไรก็ไม่ทราบได้
“แต่กันชอบแบบไทยๆมากกว่า เห็นพวกแหม่มมาเยอะแล้ว บอกตรงๆเบื่อว่ะ” ไพรวัลย์ว่า
มัคคุเทศก์หนุ่มไม่ตอบกระไร ควักหมากฝรั่งออกมาปอกเคี้ยวแทนที่จะสูบบุหรี่ ซึ่งเขาให้เหตุผล
ว่าหมดเปลืองโดยจำเป็น และเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับการเดินทาง ซึ่งนายจ้างทั้งสองต่างก็เชื่อ
ฟังและยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี คือไม่นำบุหรี่หรือยาสูบใดๆติดมาด้วยเลย
“อีกนานหรือเปล่า กว่าจะถึงห้วยยายทอง นี่ก็บ่ายแก่ๆ แล้วนะ” หนุ่มลูกครึ่งยังอดที่จะ
โพล่งถามออกมาไม่ได้ เขาหันไปถามเกิด ผู้ทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์ พลางยกข้อมือขึ้นดูเวลา มัน
บอกเวลาบ่ายสามกว่า สีของแดดเริ่มออกส้มๆ และลดความร้อนแรงของรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตลง
ตามลำดับ
“อีกไม่นานหรอกครับ นาย นี่ก็เลยโป่งกระทิงมาตั้งนานแล้ว อีกไม่ไกลหรอกครับ นั่นไง หุบ
ชะมดอยู่ข้างหน้านี่เอง” พรานมือฉมังตอบ พลางยกมือชี้ไปข้างหน้าอันเป็นหินขนาดใหญ่สอง
ก้อนตั้งขนาบกันในลักษณะช่องเขา หรือประตูแคบๆ สำหรับผ่านไป หุบชะมดอยู่ห่างจากห้วย
ยายทองไม่เกิน
“อ้อ..งั้นเหรอ นั่นใช่ไหมที่เป็นที่พักแรมสำหรับเราในคืนนี้?” ดารินีถามมาบ้างหลังจากนั่ง
กระสับกระส่ายนิ่งเงียบไปนาน หล่อนคนเบื่อที่จะต้องนั่งแกร่วอยู่ในรถอย่างเดียว จึงเริ่มหยิบ
นู่นทำนี่อย่างคนอยู่นิ่งๆไม่ได้ เป็นต้นว่า เอากล้องส่องทางไกลออกมาส่องเข้าไปยังไพรรอบด้าน
ดูนกชมไม้ไปตามเรื่อง
“ครับ” เกิดตอบสั้นๆ แล้วเร่งตะบึงเหยียบคันเร่งรถจี๊ปขนาดใหญ่นั้นให้พ้นผ่านช่องว่างระหว่าง
หินก้อนเขื่อง สองก้อนที่วางซ้อนทับ เกยกันกันอยู่ เสียงล้อข้างหลังซ้ายของรถระบบขับเคลื่อนสี่
ล้อ ฟรีกับอากาศดังเสียดแก้วหู และต่อมาคือความสะเทือนโคลงเคลงเมื่อมันลงกระทบกับพื้นดิน
อย่างแรง ยามเคลื่อนตัวผ่านหินก้อนนั้นมาได้
เสียงไพรรอบด้านเงียบสงัด ประดุจจะรับรู้ถึงความแปลกปลอมที่ปนเปื้อนเข้ามา นั่นคือเหล่า
มนุษย์ทั้ง 18 ชีวิต หรีดหริ่งเรไรเงียบเสียงลงสนิท ราวกับต้องการหลีกลี้หนีหน้าไปจากไพร
กันดารอันถูกบุกรุก คงเหลือแต่เพียงเสียงรถจี๊ปสองคันที่ดังกระหึ่ม สะท้อนกับราวป่าไปมาอยู่
หึ่งๆ และเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของลูกหาบ บ้างเป็นบางคราวเท่านั้น
เมื่อบรรลุถึงเนินใหญ่ที่เต็มไปด้วยดินโป่งสีขาวเพราะเกล็ดเกลือจับไปทั่ว วารินทร์สั่งให้รถทั้ง
สองคันจดนิ่งสนิท แล้วสั่งให้ลูกหาบเร่งกางเต็นท์สำหรับพักนอนในค่ำคืนแรกแห่งการเดินทาง
พื้นที่สำหรับตั้งแคมป์เป็นทางด่านสัตว์เก่าที่มุ่งลงไปสู่โป่งนั้น โดยมีต้นไม้ใหญ่สองต้นเกิดเคียง
กันเป็นคู่ ห่างออกไปไม่ถึง
ทางหนึ่งไปสู่โป่งเกลือ อีกทางหนึ่งไปสู่ลำธารน้ำสายหนึ่งอันไหลออกมาจากหุบเขากว้างใหญ่ที่
ชาวป่าเรียกว่า “หุบหมาหอน” ซึ่งลำธารที่ว่าอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกไม่เกิน 30 เมตรจากที่พัก
ลูกหาบต่างเร่งทำงานแข่งกับเวลา กองไฟกองใหญ่ถูกก่อไว้กลางแคมป์พักนอนก่อนมืด
สนิท และอาหารที่ถูกหุงหาขึ้นก่อนที่รัตติกาลจะมาเยือนในไพรพฤกษ์อันกันดาร รอบด้านเริ่ม
มืดลงทุกที อาจจะเนื่องมาจากอยู่ในดงกันดารหรือก็ไม่ทราบได้ อากาศรอบด้านก็เย็นเยียบลง
ทุกทีตามวิสัยของป่าลึกทั่วๆไป
มัคคุเทศก์หนุ่มเดินสำรวจพื้นที่รอบๆที่ตั้งแคมป์ หายไปกับพรานหนุ่มคู่ใจของเขาทั้งสาม
คือแหวง พงษ์ และชัย คงเหลือแต่สองพรานเกิดและเส่ย อยู่เฝ้าแคมป์พร้อมกับลูกหาบทั้งหมด
และนายจ้างทั้งสอง
“เอ
มันยังไงอยู่นา
ไอ้เกิด” เส่ยกระซิบกระซาบกับเพื่อนคู่หู
“ยังไง อะไรวะ?” เกิดย้อนถาม
“ก็ที่ตั้งแคมป์น่ะซี
เอ็งไม่เห็นเรอะโน่น..” พรานมือฉมังชี้ทางต้นไม้ใหญ่สองต้นที่
ขึ้นอยู่ข้างกันเป็นคู่ “ตะเคียน! คู่เสียด้วยนามึงนา นายแกผ่ามาเลือกตั้งแคมป์ตรงนี้ ไม่กลัวผีป่าผี
โป่งมันหลอกเอารึไงวะ” เส่ยคราง ห่อไหล่ลงอย่างสยองใจ
“ไอ้บ้า
คิดอะไรของเอ็งวะ ไอ้เส่ย งมงายอะไรนักหนาวะ อย่าพูดไปเชียวนะโว้ย
เดี๋ยวนายโตกับนายหญิงเล็กได้ยินล่ะก็ เขาจะหาว่าเอ็งพูดจาเพ้อเจ้อ ไป
ไปทำงานต่อได้แล้ว”
สหายพรานกล่าว อย่างไม่เชื่อถืออะไรนัก
“นี่เอ็งไม่เชื่อข้ารึ ไอ้เกิด?” เส่ยพูดเสียงแหบเบา “อะไรๆเอ็งก็เคยเห็นมาแล้วไม่ใช่
เหรอ ว่าฤทธิ์เดชพรายตะเคียนน่ะเป็นยังไง เกิดทำอะไรลบหลู่ขึ้นมา แม่เล่นถึงตาย เอ็งจำไม่ได้
เรอะ คราวนายหญิงดารินคราวนั้นน่ะ?”
“ข้ารู้ ก็เห็นเหมือนกันเอ็งนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเราก็ต้องดูกาลเทศะบ้าง อย่างนายน้อย
แกเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา หัวสมัยใหม่ แกจะเชื่อเรื่องอย่างนี้เหรอวะ แล้วยังนายโตกับนาย
หญิงเล็กนั่นอีก ลำพังข้าจะเอาไงก็เอากัน แต่พวกนายล่ะ เค้าจะเชื่อหรือ? แล้วอีกอย่าง เอ็งรู้ได้ยัง
ไงว่าตะเคียนสองต้นนี้ จะมีอิทธิฤทธิ์ อะไรอย่างเอ็งว่า อาจะเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดาๆ ที่ขึ้นอยู่กลาง
ป่าเท่านั้นเอง” เกิดว่า แล้วยกเหตุผลขึ้นมากล่าวอ้าง สหายของเขาถอนใจเบาๆ สีหน้าหนักใจ
“เออวะ
ข้ารู้ถึงได้มาบอกเอ็ง ไม่กล้าบอกนายน้อยหรือพวกลูกหาบ แต่เอ็งเชื่อเถอะ
ไม่ใครก็ใครได้เจอกันมั่งล่ะ เอ็งดูสิ อย่างเต็นท์นอน พ่อเลือกวางซะทางสามแพร่ง โบราณว่าเป็น
ทางผีผ่าน ผีสัญจร ข้าล่ะเป็นห่วงนายสองคนนั่นซะจริง ไม่รู้คืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น” พรานมือดี
อดีตลูกมือ รพินทร์ ไพรวัลย์ กล่าวอย่างหนักใจระคนหวาดๆ ด้วยเขาเป็นคนเชื่อถือเรื่องโชคลาง
มากกว่าใครๆ
“เอาเถอะ
ข้าเชื่อว่านายน้อยแกคงมีเหตุผล ที่มาวางแคมป์ตรงนี้ อย่าลืมว่าแกเป็นลูก
ของ พรานใหญ่ รพินทร์ ไพรวัลย์ พ่อแกมีดีอะไรก็คงจะถ่ายทอดมาที่ลูกจนหมดนั่นแหละ เอ็ง
อย่าห่วงเลย ไปทำงานต่อเถอะ” เกิดปลอบ เส่ยพยักหน้า แต่สีหน้ายังคงมีแววหนักใจซ่อนเร้น
“เออ
ขอให้รู้ว่าข้าได้เตือนแล้ว” เขาทิ้งท้าย ก่อนผละไปสั่งงานกำกับความกับพวกลูก
หาบต่อ
มืดสนิทแล้ว บรรยากาศรอบด้านถูกย้อมด้วยสีดำมืดแห่งรัตติกาล ที่ย่างกรายเข้ามา
เยือนอย่างช้าๆ ไพรกันดารรอบกายเงียบสนิท เหลือไว้แต่เสียงสนทนาของมนุษย์ 18 คนกลาง
ไพรเถื่อน และเสียงแตกปะทุของฟืนในกองไฟ ที่ดังอยู่เป็นระยะ
นายจ้างทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในเต็นท์พักนอน ที่ถูกแวดล้อมด้วยกองไฟหลายสิบกอง
และเหล่าลูกหาบที่ตั้งเต็นท์ขนาดเล็กเฉพาะนอนได้คนเดียว รอบๆ กองไฟใหญ่ใจกลาง โดยมีรถ
จี๊ปทั้งสองคันจอดกั้นหัวท้ายไว้อย่างเป็นระเบียบอีกชั้นหนึ่ง
ไพรวัลย์กับดารินีอาบน้ำแล้ว จากน้ำในถังพลาสติกใบใหญ่ที่ถูกตักมาโดยพวกลูกหาบ
โดยวารินทร์ให้เหตุผลว่า ไม่ควรออกไปอาบยังลำธารโดยตรง เพราะอากาศอันอับชื้นและหนาว
เย็นอาจทำให้ไม่สบายได้ ทั้งยังไม่แน่ใจในความปลอดภัยจากสรรพสัตว์ร้าย อันอาจจะเกิดขึ้นได้
ทุกเมื่อ เพราะเป็นป่าเปลี่ยวลึกอันแยกจากหมู่คณะอยู่พอสมควร
“เอ
นี่วารินทร์เค้าไปไหนกันนะ ยายเล็กเห็นบ้างมั้ย?” ไพรวัลย์ที่กำลังนั่งตรวจเช็ค
สภาพของปืนไรเฟิล เรมิงตัน โมเดล แอลเอส แม็กนั่มอันเป็นปืนประจำมือ ถามเปรยขึ้น พลาง
เหลียวหาพรานนำทางอันมีศักดิ์เป็นสหาย ผ่านประตูกระโจมที่เปิดโล่งกว้างอยู่ แต่แล้วก็ผิดหวัง
เพราะเขาเห็นแต่เพียงลูกหาบที่นั่งล้อมวงกันข้างๆกองไฟกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานออกรส
หากแต่ปราศจากเงาของมัคคุเทศก์หนุ่ม ผู้ดูเหมือนจะหายไปตั้งแต่หัวค่ำ
ดารินีนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่บนเตียงสนามแบบพับ 3 ตอนหล่อนอยู่ในชุดไนท์กาวน์
แบบสบายๆ เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเมื่อได้ยินคำถาม หล่อนทำหน้าเลี่ยนๆ เมื่อได้ยินชื่อของพราน
นำทางหนุ่มสายเลือดราชสกุล ตอบแบบเรียบๆว่า
“ไม่รู้สิคะ เห็นพวกลูกหาบบอกว่าหายไปแต่หัวค่ำแล้ว คงเดินตรวจอะไรรอบๆแคมป์
กระมัง มันหน้าที่เขานี่”
หนุ่มลูกครึ่งวางปืนในมือลง มองจ้องหน้าน้องสาว ตรง นิ่ง สีหน้าจริงจังจนหล่อนต้อง
หลบวูบถามเบา หากหนักแน่นด้วยความหมาย
“เราน่ะเป็นอะไร ฮึ ยายเล็ก รู้สึกจะมีปัญหาจุกจิกมาตลอดทางเลย พี่ถามจริงๆ เถอะ
พรานนำทางของเราทำอะไรไม่ถูกใจเธอรึ ถึงได้หาเรื่องเขาอยู่เรื่อยน่ะ ? แต่พี่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมี
อะไรนี่”
สาวลูกครึ่งถอนใจเฮือก จ้องตอบพี่ชาย
“พี่โตไม่เห็นเหรอคะ เขาพูดจาอะไรไม่เข้าหูคนเลย คนอย่างนี้ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นลูก
แม่ดาริน แม่เขาออกใจดีพูดจาไพเราะ แต่ลูกชายสิ กวนประสาทชะมัดเลย” หล่อนว่า สีหน้าบอก
ถึงความหงุดหงิด จะเป็นเพราะพี่ชายหรือใครอื่นก็ไม่ทราบได้
“เขาพูดเล่นหรอกน่ะ เราน่ะคิดจริงจังไปเอง วารินทร์น่ะเป็นคนดี ไม่มีอคติกับใครหรอก
เธอเองนั่นแหละที่มีอคติกับเขา เราน่ะมาขอความช่วยเหลือจากเขาแท้ๆ ยังจะมาตั้งเงื่อนไขแง่
งอนอะไรอีก ดีว่าวารินทร์ไม่ได้มีความคิดเป็นเด็กๆเหมือนเธอ ไม่งั้นก็คงทะเลาะกันลั่นป่าแล้ว
เสียดายอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา ไม่ได้โตขึ้นเท่าไหร่เล้ย เธอนี่” พี่ชายเทศนายืด
ยาว พลางส่ายหน้านิดๆ อย่างอิดหนาระอาใจ น้องสาวขยับปากจะโต้ แต่พี่ชายยกนิ้วชี้ขึ้นมา
ทำนองปรามให้เงียบ แม่น้องสาวจึงเงียบลงได้แต่ก็ไม่วายบ่นอะไรอุบอิบอยู่คนเดียว
ดึกมากแล้ว อากาศหนาวเหน็บ พวกลูกหาบต่างพากันเข้าเต็นท์นอนกันหมด เหลือเพียง
เฉพาะเวรยาม 3-4 คนที่ถูกกำหนดให้เข้าเวรในกะแรก บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด และมืดมิด
ขมุกขมอมน่ากลัว จะมีก็แต่เสียงปะทุเล็กๆจากกองไฟใหญ่ใจกลางแคมป์เท่านั้นที่แว่วเสียงมาให้
ได้ยินอยู่เป็นระยะ
ดารินีนั้นนอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่อย่างนอนไม่หลับ คืนนี้หนาวเกินไป หล่อนบอก
ตัวเอง แล้วก็ยังใหม่นัก สำหรับที่นอนแห่งใหม่กลางไพรกว้าง หญิงสาวรู้สึกแปลกที่ หรือมิ
ฉะนั้นก็ผิดอากาศ ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาว หากแต่ความกันดารแห่งไพรลึก ทำให้อากาศนั้นหนาว
เหน็บตามสภาพป่าที่ค่อนข้างอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเป็นอย่างมาก
หล่อนขยับลุกขึ้นนั่งบนเตียงสนามแบบพับ 3 ตอนนั้น เหลียวมองออกไปนอกกระโจม พวกลูก
หาบนอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงเวรยามตามจุดเท่านั้น ที่ยังตื่นอยู่ หากก็ไม่ส่งเสียงใดๆ ‘เงียบ
กริบกันทั้งแคมป์’ หล่อนพึมพำ พลางเหลียวมองที่พี่ชาย ก็พบว่าเขากำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง
สนามเช่นเดียวกับของหล่อน อากัปที่กำลังกรนเบาๆ บอกให้รู้ว่ากำลังหลับสนิท เมื่อนั้น หญิงสาว
ลูกครึ่งจึงก้าวพ้นเตียง เดินตรงไปสู่กองไฟใหญ่ที่เบื้องนอกกระโจม ด้วยหวังว่าจะผิงไฟสักครู่
พอที่จะให้หายจากอาการหนาวเหน็บที่ทารุณอยู่ใน ขณะนี้
บรรยากาศที่เงียบสงัดจนวังเวงนั้น ช่วยเพิ่มความหนาวเย็นให้ทวีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ดาริ
นีเหลียวมองไปรอบๆ หล่อนรู้สึกแปลกๆ ราวกับอุปาทาน เพียงแค่ออกมานั่งผิงไฟอยู่ชั่วขณะ ก็
เหมือนถูกจับจ้องไปด้วยสายตานับร้อยๆ คู่ ชั่ววูบหญิงสาวก็บอกตัวเองว่าหล่อนคิดมากไปเอง
ผินมองทางต้นไม้ใหญ่สองต้นทางทิศตะวันตก แสงจากกองไฟกองใหญ่สาดส่องให้
เห็นถึงกิ่งก้านเงาสาขา ดูไหววูบวาบราวเมื่อยามลมพัดโบกโยกไปมา หล่อนห่อกายด้วยความ
หนาวเยือกอันสุดแสนจะทนทาน หากแต่ก็ยังทนนั่งอยู่ต่อไปเพื่อรับไอร้อนจากกองฟอนกลาง
แคมป์ เสียงหวีดหวิวดังรอบด้าน สาวลูกครึ่งหันขวับอย่างระแวงภัยไปทางที่มาของเสียง ก็พบว่า
มันเป็นเสียงของลมที่พัดผ่านต้นไม้บังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวที่หล่อนได้ยินเมื่อครู่
แวบหนึ่งหล่อนนึกถึงเรื่องผีสางกลางป่า ที่เคยได้ยินได้ฟังมา ทั้งจากพ่อ แม่ และเหล่าคน
รู้จักมากมายที่สรรหาเรื่องลึกลับนับไม่ถ้วนมาเหล่าให้ฟัง ชั่วขณะหล่อนก็คิดสงสัยว่า แท้ที่จริง
เรื่องเหล่านั้นมันเป็นยังไงกันแน่ เป็นเรื่องจริงที่คนเหล่าได้พบเห็นเป็นประสบการณ์มา หรือ
เป็นเพียงเรื่องลวงที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกเด็กเท่านั้น
เสียง พรึ่บ ! ดังขึ้นจากที่ใดสักแห่งไม่ไกลจากแคมป์ ดารินีสะดุ้ง หันขวับมองไปทางต้น
เสียงในทันที
.นกแสกตัวใหญ่ๆ ตัวหนึ่งโผบินจากกิ่งไม้ใหญ่ ตัดผ่านไปยังอีกต้นในฝั่งตรง
ข้าม แสงสีแสดจากกองไฟสาดส่องให้เห็นถึงรูปพรรณสัณฐานอันน่าเกลียดน่ากลัวของมัน เสียง
ร้อง แสก ! แสก ! ของมันดังก้องกังวานเสียงแก้วหูอยู่นั่นเอง หล่อนนึกถึงนกแสก ตำนานยมทูต
อันแฝงตัวมาในร่างนก เอาชีวิตผู้คนทุกคนที่ถึงกาลวาระแห่งมรณา ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วยที่
ถูกนกแสกมาฉวยฉกชิงเอาไป บ้างคนเขาก็เรียกมันว่า ‘นกผี’ ตามพฤติกรรมของมัน
ป่าย่อมมีสัตว์ป่า หญิงสาวสวยลูกครึ่งคิด นกทุกชนิดเป็นสัตว์ป่า เป็นสมบัติของป่า ในใจ
หนึ่งหล่อนคิดเช่นนั้น แต่อีกใจก็คิดถึงเรื่องโชคลาง อันเกี่ยวเนื่องกับนกผีตัวนั้น หากมันเป็นดัง
คำเล่าลือตามตำนาน ก็หมายถึงว่า คนในที่นี้อาจถึงฆาตแห่งความตายกระมัง?
ดารินีกระพริบตาถี่ๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านอันไม่เป็นแก่งสารนั้นออกจากห้วงสติ แล้วหลับ
ตาก้มหน้าลง พลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามากระทั่งหยุดลงตรงหน้าหล่อน หญิงสาวลืมตาก็พบ
เห็นร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อม่อฮ่อมสีกรมท่าแขนยาวรัดรูป กางเกงขายาวหนา บนศีรษะคาดเอาไว้
ด้วยผ้าแดงผืนเก่าๆคล้ำๆ เค้าหน้าสลัวๆ เพราะผินหน้าออกมาจากกองไฟ ใบหน้านั้นยิ้มละไม
กล่าวเบาๆ
“นายหญิงออกมานอกกระโจมทำไม ข้างนอกมันหนาวนัก” โส่ย กะเหรี่ยงคนดงผู้ลึกลับ
นั่นเอง เสียงทุ้มลึกนั้นกล่าวด้วยความเป็นห่วง มันพูดภาษาไทย หากแปร่งนิดๆ ตามสำเนียง
กะเหรี่ยง
หล่อนยิ้มให้ นึกชอบเจ้าลูกหาบคนนี้อย่างไม่มีเหตุผล ทั้งๆที่เพิ่งเห็นหน้าแวบเดียวเท่า
นั้นตอบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงรื่นหู
“ในกระโจมมันหนาว ฉันนอนไม่หลับ เลยออกมาผิงไฟ เธอล่ะ ไม่นอนหรือ?”
“ครับ ผมเป็นยามผลัดสอง จากเที่ยงคืนถึงตีสาม นาย
ไฟให้” มันบอก พลางทรุดตัวลงนั่งบนท่อนฟืน มือหยาบใหญ่คว้าท่อนฟืนโยนสุมเข้าไปในกอง
ไฟ ดารินีบอกขอบใจเบาๆ
“แปลก รู้สึกฉันจะไม่คุ้นหน้าเธอมาก่อน มาใหม่หรือ?” หล่อนถาม เจ้ากะเหรี่ยงผู้สูง
ใหญ่เกินกะเหรี่ยงพยักหน้า ตอบแช่มช้า
“ครับ ผมมาสมัครเป็นลูกหาบก่อนคณะของนายหญิงออกเดินทางเพียงคืนเดียว”
“มิน่าล่ะ ความจริงถึงพวกลูกหาบฉันเองก็ไม่ค่อยคุ้นหน้าใครหรอก ฉันก็พูดไปอย่าง
นั้นเอง ว่าแต่เธอชื่ออะไรนะ?”
ใบหน้าสีทองแดงนั้นยิ้มละไม ตอบหญิงสาวแผ่วเบาทุ้มนุ่ม
“ผมชื่อ ‘โส่ย’ ครับ นายหญิง”
“อ้อ โส่ย ชื่อแปลกดีนะ คล้ายๆพวกกะเหรี่ยง เธอเป็นกะเหรี่ยงหรือ?”
“ครับ ผมเป็นกะเหรี่ยง แต่ไม่แท้นัก มีหลายๆส่วนปนกันอยู่”
หญิงสาวลูกครึ่งพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ และพอใจที่ได้เพื่อนคุยสำหรับราตรีอัน
เปรียบประดุจมิคสัญญีกลายๆนี้
“เธออยู่ยามคนเดียวหรือ โส่ย?”
“เปล่าครับ นายหญิง ก็มีพวกพรานพื้นเมืองของ นายตำรวจ
ผมหมายถึง นายวารินทร์”
หล่อนทำหน้ากร่อยๆ เมื่อได้ยินชื่อของ ‘ศัตรู’ กลายๆ ของหล่อน
“ขอทีเถอะ อย่าพูดชื่อเขาให้ฉันได้ยินอีกเลย ฟังแล้วอารมณ์เสีย”
เจ้ากะเหรี่ยงโส่ยหัวเราะหึๆ ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลงไปในแก้มขวา มันเป็นยิ้มที่มีเสน่ห์
และน่ารักเป็นที่สุด
“ขออภัย นายหญิง หากแต่เป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกพรานพื้นเมืองของนายน้อยคอยอยู่
ยามบริเวณรอบๆ โดยผลัดกันไปในแต่ละเวลา”
“ทำไมถึงพากันเชื่อมือเขานักนะ ฉันเองไม่เห็นว่าเขาจะมือแน่สักเท่าไหร่ นี่น่ะหรือลูก
ชายหัวแก้วหัวแหวนของพรานใหญ่ รพินทร์ ไพรวัลย์?” ประโยคหลังดูเหมือนจะพึมพำรำพึงกับ
ตัวเอง
“มือเขาแน่จริงๆ นายหญิง อาจจะแน่กว่าพ่อของเขาก็ได้ แต่นาย
ถ่อมตัว
ใจ
“ใช่ เขาเล่นไม่รู้จักกาลเทศะ แล้วก็ชอบพูดอะไรกวนประสาทคนฟัง ฉันละเกลี๊ยด
เกลียด ถ้าไม่ติดว่าต้องพึ่งเขาล่ะก็ เอาลูกปืนกรอกปากไปนานแล้ว
แล้วนี่อยู่ไหนล่ะเนี่ย ไม่เห็น
แต่หัวค่ำแล้ว?” ประโยคหลังพึมพำถามกะเหรี่ยงโฉมงานนั้น ใบหน้าคมสันสีทองแดงถูกย้อม
ด้วยแสงจากกองไฟเป็นเงาวูบวาบ
“เขาคงหลบมุมไปนอนแล้วล่ะนายหญิง หลังจากทำหน้าที่ของเขาเสร็จแล้ว ขำม่เคย
ละเลยต่อหน้าที่ของเขา”
“อ้อ
ดูเหมือนเธอจะรู้จักเขาดีจังเลยนะ นายพรานป่าคนนั้นน่ะ” ดารินีกล่าวเสียง
ประชด ‘นายพรานป่า’ ในความหมายของหล่อนคือวารินทร์ซึ่งบัดนี้หายไปไหนไม่ทราบ
“ก็ไม่มากหรอก นายหญิง ผมเคยรู้จักเขาสมัยที่เขาประจำอยู่จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนผม
เป็นคนงานเหมืองแร่อยู่ที่นั่น”
“เอ..แล้วไปเกี่ยวข้องรู้จักกันท่าไหน ดูเหมือนว่าตำรวจกับคนงานเหมืองแร่จะไม่ใช่
อาชีพที่ต้องใกล้ชิดกันเท่าไหร่” หล่อนซัก ชักสนุกกับการไล่เลียงประวัติของมัคคุเทศก์หนุ่ม
“ปกติก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันหรอกครับ แต่ว่าตอนนั้นผู้หมวด
ขอโทษ ผมหมายถึง
นายน้อยวารินทร์นั่นแหละ ตามจับคนร้ายรายหนึ่งที่แอบเข้ามาหลบในเหมืองแร่ที่ผมทำงานอยู่
ผมช่วยเขาจับคนร้ายที่ว่านั่น เขาก็หายไปแล้วก็ไม่ได้ข่าวเขาอีกเลย มาพบอีกทีก็ที่หนองน้ำแห้ง
นี่แหละ ผมเองหลังออกจากเหมืองแร่แล้วก็ร่อนเร่มาเรื่อย ก็พอดีแว่วว่าเขากำลังเตรียมจะเข้าป่า
ในเขตนรกดำนั่น ผมเองก็มีจุดหมายแถวๆ นั้นเหมือนกัน เลยขอตามไปด้วย แรกๆ เขาก็ซักฟอก
ผมใหญ่
. คงจำผมไม่ได้นั่นเอง แต่ผมจำเขาได้ดี” เจ้ากะเหรี่ยงลึกลับว่า ดวงตาเป็นประกายลึก
“อืม
งั้นเธอก็รู้จักพื้นเพเขาดีล่ะสิ?”
“ก็พอรู้
นายหญิง พ่อเขาเป็นพรานใหญ่ชื่อก้อง ส่วนแม่เขาก็เป็นแม่ทูนหัวของนาย
หญิงไงล่ะ” โส่ยตอบเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเหมือนเคย
“เธอ รู้ได้ไงว่าแม่ดารินเป็นแม่ทูนหัวของฉัน” หญิงสาวลูกครึ่งถามเรื่อยๆมากกว่าจะ
อยากรู้จริงๆ
“พวกลูกหาบมันคุยกันว่าอย่างนั้น นายหญิง แว่วว่านายหญิงกับบ้านผู้หมวด สนิทชิด
เชื้อกันมิใช่รึ?”
ดารินียกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าคาง จ้อมมองดูกองไฟอย่างปราศจากความหมาย
“ใช่ แต่ฉันเองก็ไม่สนิทอะไรมากนักหรอกนะ ก็มีแต่พี่โต
ฉันหมายถึงนายโตน่ะ
เขาสนิทกันมากกว่า”
“อ้อ..อย่างนั้นรึ?” กะเหรี่ยงโฉมงามพึมพำเบาๆ ไม่เจาะจงว่ากับใคร สาวลูกครึ่งพิศ
ดูดวงหน้านั้น แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ใบหน้ารูปไข่นั้นหากไม่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราแล้วไซร้ ก็
คือดวงหน้าของผู้หญิงดีๆนี่เอง ทั้งจมูกที่เชิดรั้นขึ้น ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป โหนกแก้มสูง เรียว
และมน ดวงตาเป็นประกาย คมสวยซึ้ง
“นี่แน่ะ โส่ย ฉันชอบเธอเป็นพิเศษ เพราะงั้นถึงได้ออกมาชวนคุย อย่าหาว่าฉันละลาบ
ละวงเลยนะ” หล่อนเว้น จ้องดวงหน้านั้นอย่างรู้สึกต้องชะตา “เธอมีธุระอะไรกันเหรอ ถึงได้จะ
ติดตามคณะเดินทางไปด้วยกัน?”
ดวงหน้านั้นยังคงยิ้มละไมอยู่ตามเดิม กล่าวตอบหล่อนเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดที่
ปกคลุมรอบๆ แคมป์
“ไม่ละลาบละล้วงหรอกครับ นายหญิง ที่ผมขอเดินทางไปด้วยนั้น ผมต้องการกลับไปยัง
ถิ่นเก่า อันหมายถึงลุ่มน้ำสาละวินตอนบน ก็เลยขออาสาติดตามไปด้วย”
หญิงสาวลูกครึ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อย่างนี้นี่เอง ฉันพอเข้าใจแล้ว”
เสียงฝีเท้าเดินย่ำกรวดดินมาหยุดลงข้างหลัง พร้อมกับเสียงพูดลอยๆ แต่มีความหมาย
สำหรับคนได้ยิน
“ดึกดื่นค่อนคืนออกมาทำอะไรกันไม่ทราบ?”
ดารินีฉุนกึก หันขวับก็พบกับดวงหน้าคมสันอันกวนประสาท(ตามความคิดหล่อน) ยืน
เท้าสะเอวหนีบไรเฟิลยี่ห้อ ซาโก้ รุ่น ซาฟารี เอ้กตี้ แอนนิเวอร์ซารี กระบอกเดียวกับที่ล้มช้างร้าย
เมื่อกลางวัน กำลังจ้องมองมาที่หล่อน
หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนทันที หันไปเผชิญหน้ากับเขาอย่างตรงๆ ส่วนเจ้ากะเหรี่ยงโส่ยก็
ลุกขึ้นเช่นกัน ทำท่าจะผละไปอย่างสงบ มัคคุเทศก์หนุ่มเห็นก็ท้วงไว้
“อย่าเพิ่งไป โส่ย รอก่อนฉันมีเรื่องจะคุยกับแก
แต่ตอนนี้ผมขอให้คุณน้องเล็ก กลับเข้า
ไปยังเต็นท์ได้แล้ว อากาศตรงนี้หนาวหนัก เดี๋ยวจะไม่สบาย” ประโยคหลังพูดกับนายจ้างสาว
สวยผู้ดื้อรั้น
หล่อนตาวาว ขยับปากโต้
“อ้อ
ถือดีอย่างไรไม่ทราบ มาสั่งนู่นสั่งนี่ อย่าลืมว่าฉันเป็นนายจ้างนะ” เสียงของ
หล่อนเบาทว่าแรงด้วยความหมาย
“ขอรับกระผม และตอนนี้ขออัญเชิญนายจ้างกลับเข้าไปยังกระโจมพักได้แล้ว อย่าลืม
เช่นกันว่าเราไม่ได้มาปิกนิก” วารินทร์โต้อย่างเผ็ดร้อน
“อวดดี! นี่หมายความว่าฉันต้องทำตามคำสั่งนายทุกอย่างเหรอเหรอ ไม่มีทาง”
“อ้อ
นักโบราณคดีเขาดื้ออย่างนี้ทุกคนรึ?”
“ใช่ ! นายจะทำไม อย่ามาข่มขู่กันให้มากนะ เดี๋ยวทนไม่ได้ก็เอาลูกปืนกรอกปากเท่า
นั้น” หล่อนแหว ตาเขียวปัด วารินทร์หัวเราะๆหึ อย่างไม่สนใจจะถือสาหาความ ยกมือทั้งสอง
ข้างขึ้นอย่างยอมแพ้
“เอาละ
ยอมแพ้อย่างราบคาบ ไม่เถียงอะไรต่อแล้วแม่เจ้าประคุณ แต่ว่าตอนนี้พี่ของ
ร้องเถอะครับ น้องเล็ก อย่าออกมาตากน้ำค้างอย่างนี้เลย ประเดี๋ยวจะไม่สบาย น้ำค้างในป่ามัน
แรงหยอกรึ”
ดารินีจ้องหน้าชายหนุ่มเลือดราชสกุลตรงเขม็ง กล่าวเบาๆ แช่มช้า หากเน้นทุกคำ
“ฉันไม่กลับ”
พริบตานั้น ชายหนุ่มก้มตัวลงช้อนวูบเดียว หล่อนก็ตกมาอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงของเขา
เสียแล้ว หญิงสาว ตะลึงชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรีดร้องอย่างตกใจ พลางเอามือสองข้างทุบไหล่
เขา แผดเสียงร้องดังลั่นแคมป์
“ปล่อยนะ ! คนบ้า !คนผีทะเล ฯลฯ..”
ไม่สน
ชายหนุ่มคิด พลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในกระโจมโดยไม่สนใจกับกะเหรี่ยงโส่ย
ที่กำลังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และพวกลูกหาบที่งัวเงียฟางขี้ตาตื่นมาดูเพราะเสียงร้องของแม่สาวลูก
ครึ่ง
ไพรวัลย์งัวเงียตื่นขึ้นมาเช่นกัน แล้วเขาก็เห็นสหายรุ่นน้องสาวเท้ายาวๆ ตรงเข้าไปยัง
เตียงน้องสาว ก่อนจะวางร่างขาวโพลนในชุดนอนแบบไนท์กาวน์ที่ดิ้นเร่าๆ อยู่ในอ้อมแขนลง
บนเตียงสนามนั้น หนุ่มลูกครึ่งมองอย่างงุนงง วารินทร์หันหลังกลับเมื่อวางร่างร่างนั้นลงกับ
เตียงหล่อนนั่งร้องกรี๊ดๆ ตาเขียวปัดอย่างเอาเรื่อง
“บ้า ! คนไม่มีมารยาท ถือดียังไงหา!?” หล่อนแหว
วารินทร์ไม่สน หันไปหาไพรวัลย์ที่นั่งงง ยักคิ้ว ยิ้มให้ก่อน จะเดินออกไปทางเดิมตอนขา
มา ปล่อยให้พี่ชายของแม่สาวลูกครึ่งนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่อย่างนั้น
ด้านนอกกะเหรี่ยงหน้าสวยผู้ลึกลับยืนรอตามคำสั่งของวารินทร์ สักครู่ก็เห็นเขาก้าวยาวๆ
ออกมาจากเต็นท์นอนของนายจ้าง โบกไม้โบกมือให้พวกลูกหาบที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของ
ดารินีกลับไปนอนต่อได้ โส่ยส่งไรเฟิลที่เขาวางพิงข้างขอนไม้อันขนมาเป็นฟืน ลูกชายจอม
พรานบอกขอบใจเบาๆ แล้วก้าวมาทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้นั้น เจ้ากะเหรี่ยงโฉมงามก็ลงนั่งยองๆ
ข้างๆ
“นายหญิงออกมาทำไม แกรู้หรือเปล่า?” ถามเรื่อยๆ เหมือนไม่ต้องการคำตอบนัก
“พ้มก็ไม่รู้เหมือนกันคะรับ นาย ท่าทางจะทนหนาวไม่ไหวกระมัง เลยออกมาผิงไฟข้าง
นอกนี่”
ตาคมกริบของวารินทร์จับจ้องไปยังผิวหน้าสีทองแดงนั้น อย่างต้องการค้นหาคำตอบ แต่
ก็พบกับสีหน้าเฉยเมย ไร้พิรุธใดๆให้จับได้
“แกไม่ต้องแกล้งพูดเสียงเพี้ยนหรอก โส่ย ฉันรู้ว่าแกพูดไทยได้ชัด”
เจ้ากะเหรี่ยงยิ้มละไมตามเคย หันหน้าตรงมายังนายตำรวจหนุ่ม ผู้มีงานอดิเรกเป็นพราน
นำทางอยู่ในขณะนี้ กล่าวเสียงเรียบ หากหนักแน่นจริงจังในความหมาย
“ด้วยความสัตย์ ผู้หมวด พ้มพูดไทยได้ไม่ชัดนัก เสียงที่ท่านได้ยินก็เลยแปร่งอย่างที่ได้ยิน
นี่แหละ”
วารินทร์สะดุ้ง
“นี่เป็นข้อพิรุธของแกอีกข้อหนึ่ง โส่ย ผู้คนบ้านป่าที่ไหนจะเรียกฉันว่า ‘หมวด’ เขาไม่
รู้จักยศที่แท้จริงของฉันหรอก อย่างดีก็เรียกว่า ‘นายตำรวจ’ หรือว่าแกไม่ใช่คนบ้านป่าอย่างที่ฉัน
คิดแต่แรก?”
ร่างใหญ่นั้นหัวเราะเบาๆ เอามือเสียดสีกันเพื่อให้เกิดความอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่
หนาวเหน็บทารุณกาย
“หามิได้ พ้มเป็นคนบ้านป่าธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง มันเพียงแต่ว่าคนบ้านป่าคนนี้
แหละที่เคยรู้จักท่านมาก่อน ท่านคงจำผมไม่ได้กระมัง?” มันว่า “พ้มเคยช่วยท่านจับผู้ร้ายฆ่าคน
ได้ผู้หนึ่ง
ที่เหมืองแร่ในเมืองกาญจน์ ยังไงล่ะ”
วารินทร์ ไพรวัลย์ตะลึง
“จริงซีนะ
ฉันจำแกได้แล้ว เอาล่ะ ฉันถามแกตรงๆ ว่าแกมีธุระอะไรที่จะต้องมาขอ
ติดตามไปกับคณะของฉัน?”
“อย่างที่พ้มได้เรียนไปแล้ว พ้มมีธุระที่จะต้องไปให้ถึงยังลุ่มสาละวินตอนบน อันเป็น
ถิ่นฐานบ้านเกิด แล้วก็ไม่มีปัญญาที่จะไปได้ถึงโดยตัวคนเดียว จึงต้องขอพึ่งใบบุญของผู้หมวด ที่
จะไปให้ถึงตามจุดหมายของพ้ม”
“ฮืม
ฟังดูก็สมเหตุสมผลดี หากว่านั่นเป็นเหตุผลของคนดอยคนดงธรรมดา ถามจริงๆ
อีกสักข้อเถอะ แกเป็นใครมาจากไหน?”
เขาถามตรงๆ โดยไม่เปิดช่องว่างให้เจ้าคนดงได้ทันตั้งตัวติด โส่ยนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะ
ตอบมาอย่างระมัดระวังว่า
“พ้มเป็นคนดง ผู้หมวด เกิดในป่าลึกฟากเหนือคะนู้น ยังลุ่มน้ำสาละวินตอนเหนือ
เหนือขึ้นไปมากทีเดียว เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็พลัดกับถิ่นฐานลงมายังแถบสาละวินตอนล่าง หางาน
ทำสารพัด เลี้ยงปากท้องไปวันๆ ตามที่ท่านเคยรู้จักพ้ม แต่ท่านก็เว้นที่จะจำเสีย ครั้งแรกและครั้ง
สุดท้ายที่เจอท่าน พ้มทำงานอยู่ในเมืองแร่ไงล่ะ” มันเว้น “แต่นั่นก็ปีกว่ามาแล้ว ตอนนี้ผม ออก
จากเหมืองแร่มาแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย จึงหวังจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิด อันจากมานาน ถึงได้มา
สมัครเป็นลูกหาบของท่าน และบังเอิญว่าท่านก็รับผมเสียด้วย”
“ฮืม
จริง แต่ขอโทษเถอะ ถึงฉันจะจำแกได้ และถึงแกจะเคยช่วยฉันสำเร็จ แต่จะให้
ฉันไว้ใจแกได้สนิทน่ะยังสงสัย รู้ไม่ใช่รึ?”
“จริง ผู้หมวด ท่านเป็นคนละเอียดรอบคอบ ใครเขาจะไว้ใจคนนอกที่ไม่รู้จักมักคุ้น ท่าน
ทำถูกแล้ว เป็นผมก็คงกระทำเช่นเดียวกัน”
หนุ่มเลือดราชสกุลมองมันอย่างแคลงใจชั่วครู่ แล้วก็ผุดลุกขึ้นจะเดินไปทางที่นอนอัน
เป็นเปลสนามที่ผูกติดอยู่กับต้นไม้เล็กๆแต่แข็งแรง สองต้นที่ขึ้นอยู่ติดรถจี๊ป พลันเสียงนุ่มๆเย็นๆ
ของเจ้ากะเหรี่ยงลึกลับนั่นก็ลอยเข้าโสตประสาท
“ถ้าพ้มเป็นท่าน พ้มจะเตือนพรานหนุ่มของท่าน ให้ระวังไว้ ฟังว่าเขาเฝ้ายามทางทิศ
ตะวันตกไม่ใช่รึ
ท่านก็รู้ สำหรับตะเคียนสองต้นนั้น”
วารินทร์ชะงักกึก ชั่วครู่ก็เดินจากไป
ทิ้งให้เจ้ากะเหรี่ยงลึกลับคอยเฝ้ากองไฟนั้นคนเดียว
ความคิดเห็น