คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 5
หนองน้ำแห้งในยามค่ำคืนก็เหมือนกับทุกคืนในดงลึก หมู่บ้านกลางป่าแห่งนี้ถูกย้อมไป
ด้วยสีดำมืดของยามค่ำคืน ส่องสว่างด้วยเครื่องปั่นไฟ ไสวอยู่กลางพนา เสียงหรีดหริ่งเรไรอันเป็น
สำเนียงไพรแว่วดังมากระทบโสตประสาทอยู่ตลอดเวลา อันเป็นเสน่ห์เร้นลับอีกประการหนึ่ง ที่
ทำให้หนองน้ำแห้งแห่งนี้ ดูเด่นเป็นสง่าสวยงามอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางไพรลึก
สองพี่น้องอนันตรัยผู้มีศักดิ์เป็นนายจ้างของ ลูกชายจอมพราน กำลังง่วนอยู่กับของเล่นชิ้นใหม่
อันเป็นไรเฟิลแบบทหารอยู่บนม้านั่งติดระเบียง โดยมีวารินทร์นั่งจิบบรั่นดีมองอยู่อย่างเงียบๆ บน
เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ในความคิดของเขา ไรเฟิลแบบลอบสังหารทั้งสองกระบอก ไม่เหมาะที่จะใช้
บุกป่าดงดิบอย่างสิ้นเชิง เนื่องด้วยเป็นไรเฟิลแบบทหาร แรงปะทะต่ำหากเทียบกับไรเฟิลล่าสัตว์
ทั่วไป ทั้งหัวกระสุน ขนาด .308 วินเชสเตอร์ ไม่ได้มีอำนาจหยุดยั้งสัตว์ป่าประเภทหนังหนาได้
อย่างที่สองพี่น้องคิด จริงอยู่มันเป็นไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่ยิงได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำต่อเป้าหมาย
แต่แรงปะทะสำหรับกระสุนที่ใช้ประหัตประหารคน ไม่ได้มีความหมายเลย เมื่ออาจเผชิญหน้า
กับช้าง หรือกระทิง ตลอดจนสัตว์ป่าทุกชนิดที่มีวิญาณธาตุทรหด คงจะด้วยไม่คุ้นเคยกับการ
ออกป่าล่าสัตว์ นายอำพลถึงเลือกจัดไรเฟิลขนาดกลางแรงปะทะต่ำ ที่ใช้สำหรับลอบยิงคนด้วย
กันเท่านั้นมาให้ ชายหนุ่มเลือดราชสกุลพิจารณาดูอย่างเงียบๆ คนเดียวที่เคาน์เตอร์มุมห้อง
ไพรวัลย์ อนันตรัย เดินมาทรุดกายลงนั่งบนโซฟาตัวหนึ่งในห้องรับแขก ถัดจากเคาน์เตอร์ วาง
ไรเฟิลที่ถือติดมืออยู่เมื่อครู่ ลงบนโต๊ะหวาย แสงไฟสะท้อนกับลำกล้องสีเขียวปลาบดุจแมลงทับ
นั้นเป็นมันเลื่อม อยู่ท่ามกลางหลอดไฟนีออนจากเครื่องปั่นไฟ
"วารินทร์" หนุ่มลูกครึ่งเอ่ย แต่สายตาจับจ้องไปยังไรเฟิลที่วางสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า "นายว่าไรเฟิล
กระบอกนี้มันเล็กไปไหม?"
ผู้ถูกถามเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
"ทำไมเหรอ?"
"ไม่มีอะไรหรอก แต่รู้สึกว่ามันจะเล็กไปหน่อย กันเคยถือ ซาโก้ กระบอกนึง ตอนเป็นแพทย์
ฝึกหัดอยู่แถบอเมซอน ไม่รู้สินะ ก็คิดว่ามันใหญ่กว่าไอ้เจ้า เอ็ม สี่-ศูนย์ กระบอกนี้ แต่ซาโก้
กระบอกนั้นมันก็ยังเล็กกว่าปืนล่าสัตว์รุ่นก่อนซะอีก"
"แล้วยังไง"
"อำนาจหยุดยั้งของมันยังน้อย วารินทร์ มันเป็นปืนสำหรับยิงคนหรือลอบสังหาร ถ้าเทียบ
กับ .458 แม็กนั่มของนาย ก็ปู่กับหลานทีเดียวแหละ"
"ฮืม..กันเองก็คิดอยู่แล้วล่ะ สังเกตดูคุณอำพลแกไม่ชำนาญเรื่องป่าเอาเสียเลย มันก็เลยกลายเป็นว่า
แกหวังดีประสงค์ร้ายสินะ"
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ว่าแต่ว่าเราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี จะไปซื้อหาอะไรกันตอนนี้ก็คงไม่ทัน
แล้วล่ะ"
ไพรวัลย์ครางอย่างหนักใจ โคลงหัวดูปืนที่อยู่ตรงหน้าอย่างหมดศรัทธา
"จะยากอะไร อย่าลืมว่านี่คือบ้านของพรานใหญ่ ลองไปเลือกดูสักกระบอกสิ ในห้องนั่นน่ะ แต่
มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่านายจะทนแรงถีบไหวหรือเปล่า ไรเฟิลที่ใช้ล่าสัตว์น่ะ ทารุณไม่หยอกนา" วา
รินทร์ชี้ไปใน "คลังแสง" ย่อมๆ ที่เป็นตู้เก็บปืนล่าสัตว์มากมายหลายรุ่นทั้งเก่าใหม่ วางเรียงกัน
เต็มพรืดประดุจคลังแสงย่อมๆ
"อืม
น่าสนแฮะ บอกตรงๆ กันเองก็อยากจะทดลองยิงดูให้ทุกกระบอกเหมือนกัน ให้ตาย ยิ่งพูด
ยิ่งคึก"
"แต่กระสุนมันน้อยหน่อย มีไม่เท่าไหร่ สำหรับไรเฟิลรุ่นเก่า ต้องสั่งตรงจากโรงงานเลยทีเดียว"
"ช่างเถอะ แล้วเราค่อยพูดกันถึงเรื่องนี้อีกที ตอนนี้ขอหารือเรื่องแผนการเดินทางให้เสร็จสิ้นเสีย
ก่อน พอของล็อตสุดท้ายมาถึงจะได้ออกเดินทางเลย เวลามันก็ล่วงเลยไปทุกขณะ" หนุ่มลูกครึ่ง
ว่า หยิบแผนที่ที่ม้วนอยู่ข้างๆ มากางเตรียมเอาไว้ วารินทร์ลุกขึ้นมานั่งลงใกล้
"ถ้าดูจากพิกัดแล้ว แคมป์ของนายน่าจะอยู่บริเวณนี้ของเทือกเขานกอินทรีย์ อันขนาบไปกับแม่น้ำ
สาละวิน โดยมีหล่มช้างคั่นกลาง สังเกตดู นายโต แคมป์ของนายน่าจะอยู่ห่างออกไปจากหล่มช้าง
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ขนาบกับแม่น้ำสะละวินไปเหมือนกัน"
"เอ
แล้วอย่างนี้เราทำแพแล้วล่องไปกับแม่น้ำสาละวินนี่ จะไม่ง่ายกว่ารึ แถมยังประหยัดเวลาได้
มากด้วย" ไพรวัลย์ถาม สีหน้าครุ่นคิด
"ยากมาก แม่น้ำสาละวินบางตอนเชี่ยวกราก และเป็นแก่งลึก น้ำไหลเชี่ยวทีเดียว ไม่นับอันตราย
ต่างๆ จากภูมิประเทศ และจากสัตว์ป่า เราอยู่กลางน้ำเราจะตกเป็นเป้าของสัตว์ร้ายบางชนิด อย่าง
เช่นพวกจระเข้ ซึ่งมีชุกชุมมาก" สหายรุ่นน้องเขาแย้ง "ดังนั้น จะมีสองทางที่เป็นไปได้ คือเดิน
เลียบแม่น้ำไปซึ่งอาจต้องใช้เวลาหน่อยแต่ทางค่อนข้างสะดวกสบายตามแกน หรือปีนไปบนเทือก
เขาลูกนี้ ซึ่งทางลัดกว่ามาก หากแต่ต้องลำบากปีนป่ายลัดเลาะกันมากทีเดียว แต่ประหยัดเวลากว่า"
"ฮืม
นั่นสินะ จะไปทางตรงหรือทางลัดดี ทั้งสองทางต่างมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป แล้วกะว่าจะ
ใช้เวลาเท่าไหร่ ไม่ว่าเราจะเลือกทางใด?"
"ไม่เกินสองอาทิตย์ทั้งสองทาง นี่เป็นเวลาที่กะเผื่อไว้แล้ว ทางเลียบแม่น้ำไปอาจจะนานหน่อย
ราวๆ อาทิตย์กว่า ส่วนถ้าปีนเขาลัดไปไม่น่าจะเกินอาทิตย์"
"ฮืม
. ถ้างั้นตกลงเลียบแม่น้ำไปดีกว่า กันไม่อยากจะเสี่ยงปีนภูปีนผาให้เสียวเล่นเลย ยิ่งกลัว
ความสูงอยู่ด้วย"
"โอเค งั้นเราเกมกันเรื่องนี้ สำหรับเรื่องปืน เดี๋ยวนายช่วยอธิบายให้น้องเล็กฟังด้วย ฉันไม่ศรัทธา
เลย พับผ่า สำหรับไรเฟิลกระบอกนั้น" บุ้ยปากทางหญิงสาวลูกครึ่งที่นั่งส่องศูนย์ ไรเฟิลขนาด
เอสเอสจี ดูอย่างติดใจ "แรงปะทะ 168 เกรนมันแรงก็จริง แต่หยุดสัตว์ร้ายไม่ได้หรอก หากมัน
ชาร์จเข้ามา นี่พูดเผื่อไว้ หากว่าเราเจอเหตุการณ์อย่างนั้นจริงๆ ซึ่งจะได้เจอแน่ๆ ในเขตนรกดำ
สัตว์มันไม่กลัวคนนะจะบอกให้"
"นี่ถามจริงๆ เหอะ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเราใช้ปืนขนาดกะจิ๋วหลิวนี้ไม่ได้ ทำไมไม่บอกตั้งแต่
ตอนกลางวันโน่นล่ะ?"
สหายลูกครึ่งถาม ร้อยตำรวจโทผู้กำลังพักร้อนหัวเราะ แผ่ว แต่ลึกด้วยความหมายของน้ำเสียง
"ก็กะว่าจะไม่บอกแหละ อยากแกล้งคน! แต่ก็ใจร้ายไม่ลงเหมือนกัน คงจะน่าดูพิลึก ถ้าหากน้อง
สาวนายนั่น
" บุ้ยปากไปทางสาวลูกครึ่งที่กำลังมองมาอย่างสงสัย "
เผชิญหน้ากับกระทิง แต่
ถือไม้จิ้มฟันกระบอกจิ๋วนี้อยู่ มันคงน่าดูชมพิลึก"
พี่ชายหัวเราะก๊าก ยกนิ้วหัวแม่มือให้อย่างสบอารมณ์
"เด็ด ! ให้มันได้อย่างนี้ เพื่อนเรา แต่ก็น่าเห็นใจ ยายเล็กก็เหลือเกิน รวนกันตั้งแต่เจอหน้าที
เดียว นี่คงเหม็นขี้หน้านายกระมัง"
"อย่าเอ็ดไป นายโต ฉันยังมีเรื่องจะแกล้งน้องนายอีกเป็นกรุ สำคัญว่าอย่าแกล้งห้ามหรือกระโตก
กระตากไปเสียก่อนล่ะ จะเอาให้นั่งร้องไห้ตามออร์เดอร์เลยทีเดียว
ว่าแต่ตอนนี้เรามาดูปืนกัน
เถอะ" เขากวักมือเรียกให้ไพรวัลย์เข้ามาใกล้ๆ ชี้มือผ่านกระจกเข้าไปในตู้ที่ปืนล่าสัตว์หลายชนิด
หลายยี่ห้อวางเรียงกันเป็นตับ "อยากถือขนาดไหนเลือกเลย แต่ต้องคำนึงถึงกระสุนด้วย บางชนิด
กระสุนมันก็น้อย"
หนุ่มลูกครึ่งเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เลือกหยิบขึ้นมากระบอกหนึ่ง มันคือ เรมิงตัน โมเดล เซเว่น แอล
เอส แม็กนั่ม
"โอ้โห ! นี่มันเรมิงตัน แอลเอส แม็กฯ เลยนี่หว่า ไปหามาจากไหนวะ สวยเป็นบ้า!" เขาคราง ลูบ
ไล้ลำกล้องอย่างหลงใหล ไพรวัลย์ไม่ใช่คนที่ไม่คุ้นเคยกับปืนล่าสัตว์ เขารู้จักแม้นาดของปืน รุ่น
ยี่ห้อ ลูกชายจอมพรานคิด บอกได้แม้กระทั้งขนาดกระสุนซึ่งนักเดินป่ามือใหม่ไม่ใคร่รู้จักกัน
"อย่าลืมซิ ไพรวัลย์ กันเป็นตำรวจนะเพื่อน หาปืนขนาดนี้ไม่ยากหรอก ผิดนัก อยากได้จริงๆ สั่ง
ตรงจากโรงงานก็ยังไหว ว่าไง
ชอบหรือเปล่า?" ประโยคหลังถามยิ้มๆ
"อย่างนี้สิ ใช่เลย ดูสิ ศูนย์เปิดซะด้วย แจ่ม !" หนุ่มลูกครึ่งตอบ ยิ้มอย่างถูกใจ "ให้ตายมันเหมาะ
มือจริงๆ ได้มายังไงนะ?"
"ถ้าชอบก็เอาไว้เสียเลย แล้วนี่กระสุน" ลูกชายจอมพรานหยิบกล่องกระสุนขนาด 7 มิลลิเมตรให้
"อ้อ แล้วของยายเล็กล่ะ นายคงไม่ใจร้ายถึงขนาดปล่อยให้มันถือไม้จิ้มฟันไปตลอดทางหรอก
นะ"
"นั่นสินะ" วารินทร์คิดชั่วครู่ แล้วหยิบ ซาเวจ โมเดล สิบเอ็ด จีเอ็นเอสขึ้นมาถือไว้ "คงต้องเป็น
กระบอกนี้แหละนะ เบาดี แถมยังใช้กระสุนได้หลายขนาด"
"ให้ตายสิ วารินทร์ เห็นคลังปืนนายแล้วมันตื่นเต้นดีแท้ ไอ้นี่ คงเป็น ซาเวจ สิบเอ็ดจีเอ็นเอส
สินะ"
"อืม..เอาล่ะ ได้แล้ว กระบอกนี้เหมาะสมที่สุด ถ้าไม่นับ .300 เวฯ แม็กฯ กระบอกนี้ กระสุนมัน
น้อย แถมคุณแม่ท่านรักเสียด้วยสิ ไอ้ สามร้อยกระบอกนี้ กลับมาเห็นหายไปจากรางจะยุ่ง"
"เอาล่ะ ปัญหาเรื่องปืนหมดไปได้ซะที กันก็ยังนึกอยู่เหมือนกันแหละ ว่าถ้าถือเจ้าไม้จิ้มฟัน
สองกระบอกนั้นเข้าป่าก็คงแย่ แล้วพวกลูกหาบล่ะ ถือปืนขนาดเดียวกันหรือเปล่า?" ไพรวัลย์ถาม
"พวกนั้นถือลูกซอง ซึ่งอำนวยผลในระยะใกล้ๆ หากต้องยิงอะไรก็ตาม" ผู้ถูกถามตอบ ปิดตู้
กระจกนั้น บิดตัวหาวอย่างขี้เกียจ "กันไปนอนก่อนนะ ง่วงเป็นบ้าเลย"
ไพรวัลย์พยักหน้าอย่างว่าง่ายฉวยคว้า แอลเอส แม็กนั่ม กระบอกนั้นติดมือไปที่โซฟาพร้อมกล่อง
กระสุน สหายหนุ่มเลือดราชสกุลมองออกไปยังนอกระเบียง
เช่นเคย ตาต่อตาสบกันอีกครั้ง แต่คราวนี้มีแววดุดันแฝงอยู่ วารินทร์ยิ้มเล็ก ก่อนผละเข้าห้อง
นอนไปโดยไม่สนใจสองพี่น้องนั่นอีกเลย
15 คนได้ไม่ต่ำกว่า 2 อาทิตย์ เต็นท์นอน และเครื่องนุ่งห่มชนิดสำหรับใช้กลางป่า กลุ่มนายจ้างจับ
กลุ่มหารือกันเพื่อนปรึกษาถึงแผนการเดินทางในวันพรึ่งนี้ เมื่อตะวันขึ้น ขบวนรถจี๊ปก็จะมุ่งเข้าสู่
หล่มช้าง อันเป็นสถานีสุดท้ายก่อนเข้าดงลึกกันจริงๆ
พวกลูกหาบต่างพากันจัดแพ็กข้าวของลงหีบห่อสัมภาระที่ โดยใช้เชือกผูกของกับหลังรถจี๊ปสอง
คัน ที่จะใช้บรรทุกของ
"พรุ่งนี้แล้วสินะ" ไพรวัลย์เอ่ยทำลายความเงียบ "เห็นพวกนี้ขยันขันแข็งกันแล้วรู้สึกคึก ไม่ได้เข้า
ป่ามานานแล้ว เที่ยวนี้เห็นจะเอาให้หนำทีเดียว"
วารินทร์ กวักมือเรียกพรานพื้นเมืองซึ่งสองพี่น้องนายจ้างรู้จักแต่เพียงเกิด กับเส่ยซึ่งเป็นคนเก่า
คนแก่มานานนม(อันที่จริงดารินีไม่รู้จักมีกคุ้นใครเลย) นอกนั้นเป็นพรานหนุ่มอีกสามคน และเจ้า
คะมุ หลายชายผู้ยิ่งใหญ่แห่งหล่มช้าง
"ขอโทษที่ไม่ได้แนะนำให้รู้จักกันก่อน เพิ่งจะเจอตัวเหมือนกัน นี่นายเกิด นายเส่ย คุ้นหน้ากันดี
อยู่แล้ว แล้วนั่น 'แหวง' 'พงษ์' แล้วก็ 'ชัย' จะเป็นคนคุ้มกันพวกนายเวลาเข้าป่าไปแล้วทำนอง
บัดดี้นั่นแหละ สามคนนี่มือดีทั้งนั้น ไว้ใจได้เสมอ" ชายหนุ่มแนะนำพรานพื้นเมืองทั้งสามให้
นายจ้างรู้จัก สามคนนั่งลงพนมมือไหว้ แหวง พรานหนุ่มคาดซองกระสุนลูกซองเต็มหน้าอก ท่า
ทางซื่อๆ พงษ์ พรานป่าหน้าตาเหี้ยม แต่ยิ้มง่าย และชัย หนุ่มลูกครึ่งไทย-กะเหรี่ยง พูดไม่ค่อยชัด
นักตามแบบของกะเหรี่ยง สองพี่น้องยิ้มโบกทักทายนิดหนึ่ง ก่อนวารินทร์จะไล่ให้ทั้งสามไปทำ
งานที่ค้างไว้อยู่
"เอาล่ะ ขอซักซ้อมก่อน นะ สถานีแรกของเราคือหล่มช้างใช่มั้ย แล่วเราต้องใช้เวลาเดินทางนาน
เท่าไหร่ จากหนองน้ำแห้งนี้" ไพรวัลย์ถาม
"ราวๆ สองวัน เราจะพักค้างแรมในจุดแรกที่ ห้วยยายทอง จากนั้นก็จะบึ่งถึงหล่มช้างเลย แต่ทาง
มันไม่ค่อยดี เป็นทางเกวียน" สหายรุ่นน้องตอบ พลางชี้ให้ดูถึงเส้นทาง ทีลัดเลาะไปทางตะวัน
ออกผ่านหุบหมาหอน "เราไม่สามารถจะเลียบแม่น้ำไปได้ในตอนต้น ทางมันหวาดเสียวอันตราย
มาก เพราะเป็นที่ลุ่ม ขวางกั้นด้วยหุบเขา ดงทึบ ตัดทางยากมาก"
"งั้นก็แสดงว่าเราจะถึงหล่มช้างภายในสองวัน?" ผู้ถามคือสาวลูกครึ่ง คู่อรินั่นเอง หล่อนเงียบ
ขรึมฟังการสนทนาแต่อย่างเดียวมาโดยตลอด นี่เป็นการถามถึงเส้นทางครั้งแรกของหล่อนเลยที
เดียว วารินทร์ยิ้มมุมปากตอบเรียบๆ
"เราจะถึงหล่มช้างในตอนค่ำของวันมะรืน หรืออีกสองวันต่อจากนี้"
"ก็นั่นสิ ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่แค่นั้นมันก็จบ จะวิเคราะห์ให้ยืดยาวไปอีกทำไมไม่ทราบ" แหว
มาอีก ลูกชายจอมพรานหัวเราะหึๆ ยักคิ้วให้อย่างอารมณ์ดี
"อ้าวก็จะได้รู้ให้ชัดไปเลย ดีกว่าจะมาถามภายหลังซึ่งอาจจะขี้เกียจตอบก็ได้"
"เอ๊ะ! สองคนนี้ยังไงกันนะ คิดผิดเสียแล้วซีเรา ที่เอามาร่วมทางกัน เอาเถอะๆ ยายเล็กเก็บของไป
เลยเธอน่ะ ยังไม่เสร็จไม่ใช่หรือ เสร็จแล้วก็แพ็คกระเป๋าให้พี่บ้าง" ไพรวัลย์ตัดบทอย่างขำๆ พลาง
หันมาทางวารินทร์ตบไหล่ "เอาล่ะ สำหรับนายก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมากอีก รายละเอียดก็รับ
ทราบกันหมดแล้ว"
พรานหนุ่มเลือดราชสกุลยิ้มมุมปาก ลอบขยิบตายักคิ้วกับสหาย แล้วเก็บม้วนเอกสารอันแสดง
พิกัดรวมถึงเส้นทางการเกินทาง แล้วผละไปหล่อยให้สองพี่น้องนั่งคุยอำรกันตามลำพังอยู่ใต้ถุน
เรือน
เงยหน้าขึ้นจากกองสัมภาระที่กำลังจัดแจงอยู่ มองอย่างฉงน
"มีอะไรหรือ พงษ์ กระหืดกระหอบมาเชียว"
"มีคนมาหานายขะรับ เขายืนรออยู่นั่นน่ะ" พงษ์ชี้ไปทางเงามืดหลังรถจี๊ป ที่มองเห็นเงาตะคุ่มๆ
อยู่ ชายหนุ่มมองตามอย่างสงสัย
"เอ๊ะ ! ใคร มาดึกดื่น? พวกตะเคียนทองหรือเปล่า?"
"เปล่าครับนาย ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยครับ" พงษ์ตอบ
"มากันกี่คนล่ะ?"
"คนเดียวครับ นาย เป็นกะเหรี่ยง"
พรานหนุ่มมือสมัครเล่น(แต่ฝีมือจัดจ้านเกินกว่ามืออาชีพ) ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจหนักขึ้นกว่าเดิม
แล้วโบกมือขึ้นลงเป็นเชิงกวัก
"กะเหรี่ยงที่ไหนวะ เอาล่ะ ไปเรียกมันเข้ามา สงสัยพวกเอาของป่ามาแลกละมั้ง"
พงษ์รับคำ แล้วเลี่ยงไปทางด้านมุมอับที่เจ้ากะเหรี่ยงคนนั้นรออยู่ ได้ยินเสียงสนทนาเป็นภาษา
กะเหรี่ยงเบาๆ แล้วร่างนั้นก็ก้าวออกจากมุมมืดมายืนหยุดอยู่ตรงหน้า
มันเป็นกะเหรี่ยงรูปร่างสูงใหญ่ กายกำยำราวกับห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อ ผิวดำแดง เจ้ากะเหรี่ยงผู้
นั้นก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าลูกชายจอมพราน แล้วทรุดตัวลงนั่ง ยองยองบนพื้น วางอาวุธคู่กาย
ที่ถือมาด้วยลงข้างๆ มันคือ ไรเฟิลขนาด .375 แม็กนั่ม
หากมันจะเป็นกะเหรี่ยง วารินทร์คิด มันก็เป็นกะเหรี่ยงที่สูงใหญ่กำยำเกินเผ่าพันธุ์นัก ใบหน้า
เรียวยาวรูปไข่ดุจใบหน้าของสตรี หากเต็มไปด้วยปื้นหนวดแลสากเครา ผมปรกหน้ารกรุงรัง
นั้นยาวประป่า มัดโพกเอาไว้ด้วยผ้าแถบสีแดงเก่าๆ ไหล่กว้างของมันถูกสะพายเอาไว้ด้วยย่าม
สีมอๆ เก่าคร่ำคร่า กำไลอันทำจากเมล็ดของผลไม้บางชนิดรวมกับกระดูกสัตว์เล็กๆห้อยเต็ม
แขนทั้งสองข้าง
"แกมีธุระอะไรหรือ?" ชายหนุ่มเลือดราชสกุลถามขึ้นเป็นภาษากะเหรี่ยง น้ำเสียงเข้ม "หาของ
ป่ามาแลกอะไรกระมัง?"
ดวงหน้านั้นมีแววยิ้ม โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำตาลเข้มอันประดุจจะเต็มไปด้วยอำนาจแรงกล้า ตอบ
เรียบๆ เสียงทุ้มลึก
"หามิได้หรอกนาย พ้มไม่ได้เอาของมาแลกอะไร"
"งั้นแกมีธุระอะไร?"
"พ้มได้ยินว่าจะออกป่ากันรึคะรับ" มันเริ่ม "ท่านจะกรุณารับพ้มไว้ด้วยได้ไหม ให้แบกหามอะไร
ก็ได้"
ชายหนุ่มพรานสมัครเล่นขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
"เอ๊ะ ! แกรู้ได้ยังไง ฉันไม่เคยประกาศรับสมัครลูกหาบนี่?"
กะเหรี่ยงผู้นั้นยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน มันยิ้มสวยทีเดียวหากใบหน้านั้นจะมองว่าเป็นเพศหญิง วาริ
นทร์คิด
"พ้มได้ข่าวจากหมู่บ้านตะเคียนทองทางพู้น เดินมาสองวันแล้วนาย ได้ข่าวว่าจะเข้าดงดำกันไม่
ใช่รึ ?"
"ฮืม
แกรู้ข่าวได้ดีทีเดียว เอาล่ะ แกจำเป็นอะไรถึงต้องมาสมัครเป็นลูกหาบ ว่ากันตามตรง ลูก
หาบที่มีก็ครบแล้วเสียด้วย"
"คะรับ พ้มกะจะข้ามฟากทางเหนือของเทือกตานินตายีน่ะนาย แต่พ้มไปเองไม่ได้ ระหว่างทาง
เสือชุมมาก เลยต้องมาอาศัยพวกนายนี่ละคะรับ กรุณาให้พ้มติดไปด้วยเถอะ พ้มยินดีรับใช้พวก
เจ้านายทุกอย่าง" มันอ้อนวอน
สีหน้าเหลื่อมเงามันเลื่อม ดวงตาคู่นั้นมีแววขอร้องวิงวอน ลูกชายจอมพรานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
"เอาล่ะ ฉันไม่ใช่ผู้จะตัดสินใจเรื่องนี้โดยตรง ผู้มีอำนาจคือหัวหน้าคณะของเรา" ว่าพลางผิวปาก
หวือ กวักมือเรียกสหายของเขาที่ยืนจัดของง่วนอยู่บริเวณหลังรถจี๊ปคันแรกอันเป็นพาหนะ
สำหรับนายจ้าง ไพรวัลย์เดินตรงเข้ามาแล้วทรุดลงนั่งบนแคร่ข้างๆ สหายรุ่นน้องของเขา
มองอย่างสงสัยราวกับจะถามว่ามีเรื่องอะไร
"กะเหรี่ยงคนนี้ขอเดินทางไปกับเราด้วย นายจะว่าไง?" วารินทร์ถาม
"เอ๊ะ ! เรายังพอมีที่ว่างอยู่หรือ สำหรับรถจิ๊ปสองคัน กับคน 18 คน พร้อมสัมภาระ?" หนุ่มลูกครึ่ง
ถามกลับ
"ก็ยังพอมีอยู่ที่สองที่ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับนายซึ่งเป็นนายจ้างโดยตรง"
"ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือ ถ้าแค่ต้องการอาศัยไปด้วย?" ประโยคสุดท้ายหนุ่มลูกครึ่ง
หันไปถามเจ้ากะเหรี่ยงผู้นั้น
"ขะรับพ้ม" มันตอบด้วยภาษาไทยลิ้นบ้านป่า แปร่งๆ
"นี่แกพูดไทยได้ด้วยหรือ?" ผู้ถามคือวารินทร์ เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอย่าง
ต้องการค้นหาคำตอบ กะเหรี่ยงส่วนมากน่ะ พูดไทยไม่ได้หรอก เขาคิด แต่แกผ่าพูดไทยได้ นี่มัน
อะไรกันโว้ย อยู่ๆก็เข้ามาสมัครงาน โดยที่นายจ้างไม่ได้แจ้งความจำนงขอรับสมัครอะไรทั้งนั้น
"พูดได้นิดหน่อยขะรับ พ้มเคยไปทำงานในเหมืองแร่ที่เมืองกาญจน์ ก็พอพูดได้บ้าง" มันตอบด้วย
เสียงทุ้มลึกอีกตามเคย
"ว่ายังไง วารินทร์ ไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือ?" ไพรวัลย์หันมาถามความเห็น
อ๋อ ปัญหาน่ะ มีแน่ๆ วารินทร์คิดในใจ แต่คำตอบมีว่า "ขึ้นอย่กับดุลยพินิจของนาย จะรับหรือไม่
รับก็แล้วแต่นายซึ่งเป็นนายจ้างโดยตรง"
"เอา
ว่าแต่นายชื่ออะไรล่ะ?" ถามเจ้ากะเหรี่ยงซึ่งนั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ รอคำวินิจฉัย
"พ้มชื่อ 'โส่ย' ครับนาย"
"เอาล่ะ โส่ย ประเดี๋ยวแกเดินไปบอกคนงานทางนั้นนะ แล้วเอาหีบห่อสัมภาระของแกไปเก็บเสีย
ด้วยเลย หลังรถจี๊ปที่มีคนแก่ยืนอยู่นั่นน่ะ" วารินทร์ชี้ไปทางเส่ย เจ้ากะเหรี่ยงยกมือไหว้ท่วมหัว
แล้วฉวยปืนไรเฟิลขนาด .375 แม็กนั่ม ติดมือไปพร้อมกับย่ามเก่าๆ สีมอๆ ใบนั้นไปตามทางที่ชี้
บอก โดยมีพรานหนุ่มเลือดราชสกุลมองตามไปด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก
"นายแน่ใจหรือว่าจะให้เจ้ากะเหรี่ยงคนนี้ติดรถไปด้วย บอกตรงๆมันแปลกมากอยู่นะ ไพรวัลย์"
เขาเอ่ยกับสหายรุ่นพี่
"แปลกยังไง?" หนุ่มลูกครึ่งถามพาซื่อ
"นายไม่ได้สังเกตหรือ หนึ่งล่ะ มันรู้ได้ยังไงว่าเราจะไปไหนกัน และรู้มาจากใคร สอง เราไม่ได้
ประกาศหาลูกหาบ คนของเราเองก็มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องหามาเพิ่ม และสาม มันเองเป็น
ใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆก็โผล่มาสมัครเป็นลูกหาบ อีกอย่าง
ที่นี่ดึกดื่นค่ำคืนไม่มีกะเหรี่ยงที่
ไหนโผล่หัวออกมาจากบ้านหรอก นี่แสดงว่ามันเป็นคนนอกพื้นที่ แล้วมันรู้ว่าเราจะไปไหนได้
อย่างไร อ้อ
ดูปืนมันสิ สามร้อยเจ็ดสิบห้าซะด้วย กะเหรี่ยงปกติถือแค่ปืนแก๊ป หรืออย่างมากก็
ลูกซอง แต่ไอ้นี่มาแหวกแนว ถือซะหรูเชียว ตรงนี้ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือ?" วารินทร์ให้เหตุผล
เหยียดยาว
"ฮืม
จริงของนาย กันยอมรับว่ามองข้ามอะไรไปมากอยู่ แต่เราก็หลวมตัวรับมันเข้าขบวนเสีย
แล้ว" ไพรวัลย์ครางอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกกราก "แล้วจะเอายังไง ไล่มันไปเลย
ดีไหม?"
"อย่าเลย
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้ามันแค่อาศัยคงไม่เป็นอะไรมากนักหรอก คอยจับตาดูมันให้ดีก็
แล้วกัน อย่าเพิ่งวางใจอะไรนัก"
"ได้
ไม่มีปัญหา ดีแล้วที่มาบอกกันก่อน กันเองยอมรับว่าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องอะไรอย่างนี้
มาก่อน ก็ต้องอาศัยนายซี่งเป็นตำรวจโดยตรง"
"งั้นตกลงตามนี้" วารินทร์ตบบ่าสหาย แล้วแยกย้ายไปจัดการกับหีบห่อสัมภาระของตนต่อไป
ดวงจันทร์กลมโตเปล่งรัศมีเป็นกลศกั้นรอบกาย ส่องสว่างไปทั่วในยามค่ำคืน ทั้งบ้านที่ปลูก
คร่อมต้นไม้ใหญ่ที่พาดล้มทับผ่านลำธารสายเล็กๆสายนั้น ตระหง่านงามประดุจคฤหาสน์หลัง
โตใต้เงาแห่งพระจันทร์
พวกลูกหาบต่างพากันแยกย้ายไปนอนเพื่อเก็บแรงสำหรับเดินทางในวันรุ่งขึ้น ทั่วละแวกเงียบ
สงัดเมื่อยามสิ้นแสงไฟอันวับแวมอยู่เมื่อหัวค่ำ รอบบริเวณก็เหลือแต่เสียงหรีดเรไรที่ร้องดังระงม
อยู่ทั่วไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบเงียบเชียบ
ดารินีนั่งมองพระจันทร์อยู่ที่ระเบียง หล่อนกำลังนั่งตรวจเช็คสภาพของ ซาเวจ สิบเอ็ด จีเอ็นเอส
กระบอกนั้นอยู่อย่างพอใจ ทั้งศูนย์ และสภาพของปืนดีมากสมกับเป็นสมบัติของนักเล่นปืนตัวยง
อย่างรพินทร์ ไพรวัลย์ แถมยังน้ำหนักเบาเหมาะมือสำหรับมือขนาดหล่อน ซึ่งยิงปืนล่าสัตว์ที่มี
แรงปะทะหนักๆไม่ค่อยได้
เสียงฝีเท้าย่างเยื้องมาหยุดอยู่อย่างเงียบกริบข้างหลัง กอดอกยืนมองหล่อนอยู่เงียบๆ ทว่ากลับมี
เสียงถอนหายใจเฮือกเบาๆ
"ยังไม่นอนอีกหรือขอรับ คุณน้องเล็ก นี่ก็ดึกมากแล้วนะ"
หล่อนหันขวับ วารินทร์นั่นเอง
"อ้อ ! แล้วมันธุระอะไรของนายไม่ทราบ ฉันจะนอนเมื่อไหร่มันก็ไม่เกี่ยวกับใครนี่" หล่อนแหว
ใช้สรรพนามว่า "นาย" กับชายหนุ่มอย่างเปิดเผยเพราะไม่มีพี่ชายมายืนคุมให้รักษามารยาท
"มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของกระผมหรอกครับ 'คุณนายจ้าง' แต่ผมมีหน้าที่ตรวจตราดูแลทุกคนที่นี่
ดังนั้นจึงจำเป็นและจำใจมากที่จะต้องมาขออัญเชิญ 'คุณนายจ้าง' เข้านอนได้แล้ว" ชายหนุ่มกวน
ยักคิ้วให้
"เถอะ..ถึงเวลาเดี๋ยวฉันก็ไปนอนเองแหละน่า ว่าแต่นายออกมาทำอะไรไม่ทราบ อ้อ..ถ้าหมดธุระ
แล้วก็ไปได้เลยนะ ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว"
"ง้านรึ
นี่พอไม่มีพี่ชายยืนคุมก็เปลี่ยนสรรพนามเลยนะครับ เมื่อหัวค่ำยังเรียกพี่อยู่หยกๆ ไง
ตอนนี้กลายเป็นนายไปซะแล้ว ยังไง?"
"ไม่ยังไงร็อก ก็แค่อยากจะเรียก มีปัญหาอะไรไหม?"
เอาล่ะสิ วารินทร์คิด แม่ไม่ยอมลดราวาศอกให้กับใครอย่างที่คิดจริงๆ เขาหัวเราะแผ่ว สายตาจับ
จ้องไปยังหญิงสาวเป็นประกายวามวาว
"เอ๊ะ! พี่ไปทำอะไรให้น้องเล็กเคืองมิทราบ จำได้ว่าไม่เคยเลยนี่"
หล่อนจ้องหน้า ตอบเขา สีหน้าสงบเย็น หากแต่เผ็ดร้อนในน้ำเสียง
"เคยแน่ ! ก็วันก่อนเราน่ะทำอะไรไว้ล่ะ ดูถูกฉันไว้ไม่ใช่เหรอ?"
พรานหนุ่มเลิกคิ้ว ทำท่าทางครุ่นคิด
"เอ..เห็นจะจำผิดเสียแล้วสิ พี่ไม่เค้ยไม่เคยทำอะไรให้น้องเล็กเคืองเลยหนิ ตรงกันข้าม ออกจะ
เอาใจ"
หล่อนคอแข็ง แววตาวาม ขยับปากจะโต้ หากแต่ก็หยุดปากเงียบในชั่วครู่เพราะรู้ว่าเป็นเชิงชาย
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ บนเก้าอี้ตัวข้างๆหล่อน หญิงสาวขยับถอยออกอย่างรู้เชิง
"อันที่จริงเราไม่เคยพูดกันตามลำพังมาก่อนเลยนะ" เขาเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นลอยๆ เมื่อเห็น
หญิงสาวงันไป
"ก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องพูด" หล่อนกล่าวตอบมาลอยๆ เช่นกัน ต่างคนต่างเงียบงันกันไปนาน
ต่างตกอยู่ในความประหม่าแปลกๆ ที่เริ่มเกาะกุมจิตใจ
"เอาล่ะ ฉันจะไปนอนล่ะ นายจะอยู่เฝ้าใครหรืออะไรก็เชิญ" ดารินีพูดเบาๆ พลางฉวยปืนแล้วลุก
ขึ้นยืน "ถ้าหากฉันทำอะไรไม่ถูกล่ะก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ไม่มีเจตนา" หล่อนทิ้งท้าย ขยับเดินเข้า
ในตัวบ้าน ชายหนุ่มชะงัก ผละจากเก้าอี้จะเดินตาม แต่แล้วก็เลิกล้มความตั้งใจ มองตามหล่อนไป
อย่างเงียบๆ
เขานั่งมองพระจันทร์อยู่ชั่วครู่ใหญ่ๆ จึงลุกเดินเข้าห้องนอน
คืนนั้นก็ผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ทว่ามรสุมกลับรุมเร้าในใจพรานหนุ่มเลือดราชสกุลอย่างหาความ
สงบไม่ได้
ความคิดเห็น