คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 4
ภาพแรกที่ปรากฏต้องคลองจักษุเมื่อลืมตาขึ้นมา คือ ใบหน้างามของสาวลูกครึ่งที่กำลัง
จ้องมองมาด้วยสายตาที่เป็นห่วง ถัดไปเป็นไพรวัลย์ เกิด และเจ้าคะมุ วารินทร์ผงกหัวขึ้น ส่ายหัว
ไล่ความมึนงงเบาๆ กวาดสายตาไปยังทุกคนแล้วไปหยุดอยู่ที่แม่สาวผมสีทราย
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น? น้องเล็ก เธอไม่เป็นอะไรหรอกเหรอเนี่ย" เขาพูดอย่างงงๆ เกิดขยับเข้ามา
อธิบาย
"นายหญิงเล็กไม่เป็นอะไรหรอกนาย ก็มีแต่นายนั่นแหละที่อาการหนัก กลิ้งหลุนๆ หัวกระแทก
หินสลบ ดีที่ไม่หัวร้างข้างแตก"
"ฉันน่ะเหรอ" เขาพึมพำ แต่สายตาจับจ้องไปยังสาวเลือดผสมผู้เป็นต้นเหตุ ซึ่งมองมาอย่างสำนึก
ผิดเช่นกัน ตาต่อตาประสานกันแวบหนึ่ง ชายหนุ่มเสหลบ แล้วมองไปยังเกิด ถามเบาๆ
"แล้วช้างล่ะ?"
"ไอ้ด้วนน่ะ นาย มันคงสาๆกลิ่นนายหญิงเล็ก เลยออกมาทักทาย ไม่มีอะไรมากหรอก" เกิดตอบ
เรียบๆ ไพรวัลย์ขยับเข่ามาใกล้ๆ หัวเราะ
"ยังไม่ทันออกป่าเลย พ่อนายพรานของเราก็มีอันล้มหมอนนอนเสื่อ ท่ามันจะไม่เหมาะยังไง
พิกล"
"พูดดีไปเถอะ นายโต เอาไว้เข้าป่าจริงๆ จะรู้สึก อ้อ
แล้วรู้ได้ยังไงนายเกิด ว่ามันเป็นไอ้ด้วน
ฉันไม่ยักสังเกต"
"พอมันเข้าใกล้ถึงได้รู้แหละ นาย หางมันด้วน แล้วก็มีกระดึงเล็กๆ ที่นายหญิงดารินผูกไว้ให้อีก
ตอนนี้นายกินยาแล้วนอนพักเสียเถอะ ผมสั่งเด็กต้มข้าวต้มไว้ให้แล้ว สักพักคงเอาขึ้นมาให้"
พรานมือฉมังกล่าว
"เฮ้อ ! พ่อพรานใหญ่ ไม่รู้กระทบกระเทือนสมองหรือเปล่า เอ้า ! ยา กินซะ จะได้กินข้าวต้ม"
หนุ่มลูกครึ่งบอกยิ้มๆ ดารินีส่งถาดยาให้ วารินทร์ยกขึ้นมากระดกเข้าปากรวดเดียว ตามด้วยน้ำดื่ม
อึกใหญ่ เขาล้มตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง พริ้มตาพึมพำ
"นายผิดหวังมากใช่ไหม ที่เห็นลูกชายพรานใหญ่อย่างกันต้องลงมานอนแอ้งแม้งอยู่อย่างนี้ เฮ้อ !
กันน่ะ รู้แล้วก็ยอมรับมานานแล้วว่า เทียบกับคุณพ่อไม่ติดเลยสักด้าน"
"นายน้อยอย่าคิดมากเลย" เกิดว่า สายตาจับจ้องมายังชายหนุ่มเต็มไปด้วยอาการคารวะนับถือ
มากกว่าจะดูแคลน "นายกล้ามากที่วิ่งสวนดักหน้าช้างไปหยั่งงั้น แถมมีแค่แฝดลูกปรายกระบอก
เดียว ถึงนายรพินทร์พ่อของนายเองยังไม่กล้าเอาปืนลูกซองจะไปยิงช้าง แต่นายก็กล้าหาญมาก
จริงๆ รู้ว่ามีอันตรายอยู่ข้างหน้า ยังอุตส่าห์วิ่งไปดักหวังช่วยนายหญิงเล็กอีก ไอ้เกิดนับถือนาย
จริงๆ"
"ใช่แล้ว" หนุ่มลูกครึ่งสกุล อนันตรัยเอ่ยสนับสนุน "แล้วก็ขอบคุณแทนยัยเล็กมันด้วย ไม่ได้นาย
วิ่งเข้าไปดูให้ มีหวังได้ช็อกตายกันไปข้าง อ้าว แล้วนี่หายไปไหนล่ะ เมื่อกี้ยังเห็นแวบๆ ยังไงกัน
ไม่รู้จักขอบอกขอบใจกันมั่งเล้ย นี่ วารินทร์ ทีหลังไม่ต้องช่วยอะไรมันแล้ว ยายเด็กแก่นนั่น เห็น
แล้วหมั่นไส้ชะมัดเลย"
"ช่างเถอะ ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร" เพื่อนสนิทรุ่นน้องกล่าวเรียบๆ ตาพริ้มลงคล้ายจะหลับ เกิดเก็บ
ถาดยายกให้เด็กรับใช้แล้วเลี่ยงออกไป ปล่อยให้วารินทร์นอนหลับโดยไม่มีใครไปรบกวนเขาอีก
"มายืนเหม่ออะไรอยู่คนเดียว ฮึ ยายเล็ก?" ดารินีสะดุ้ง เสียงพี่ชายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หญิง
สาวหันขวับ ก็พบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นจับจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว หล่อนยิ้มเซียวๆให้นิดหนึ่ง
ถามถึงอาการของคนเจ็บ
"พี่วารินทร์เป็นอย่างไรบ้างคะ"
"ก็นอนหลับไปแล้ว ถามทำไมหรือ?" พี่ชายถาม
"เปล่าหรอกค่ะ แต่เล็กเป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัว ก็ควรจะถามไถ่อาการเขาบ้าง"
"อ้อ รู้ตัวเหมือนกันหรือ เรานี่ล่ะน้า แก่นซนซะจนได้เรื่อง ดีนะไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ช่างมัน
เถอะ ตอนนี้เราควรจะเอาเวลาไปคิดตระเตรียมของในการเดินทางดีกว่า"
"งั้นก็แปลว่า พี่วารินทร์ยอมรับนำทางให้เราแล้วเหรอคะ?" น้องสาวว่า ดวงตามีประกายตื่นเต้น
ยินดี
"ใช่แล้ว พี่คิดว่าต่อจากนี้เล็กเองก็ควรจะเอาใจใส่ดูแลเขาให้ดีหน่อย" ไพรวัลย์ว่า น้ำเสียงกรุ้ม
กริ่ม น้องสาวทำหน้างง
"ทำไมเล็กต้องดูแลเขาด้วยล่ะคะ เล็กไม่ใช่หมอซะหน่อย พี่โตต่างหากที่เป็นหมอ และควรจะดูแล
เอาใจใส่เขา"
พี่ชายหัวเราะ ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง ทำหน้าทะเล้น
"เอ๊ ก็พี่มันไม่ใช่แกนี่นา
" เขาเว้น เหล่มองน้องสาวที่กำลังทำหน้างง
"ทำไมคะ ไม่เห็นเกี่ยวกันสักหน่อยนี่"
"ก้อ
" หนุ่มลูกครึ่งเว้น ยื่นริมฝีปากไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูน้องสาว ดารินีร้องออกมาคำหนึ่ง
เมื่อได้ฟังข้อความนั้น เหวี่ยงกำปั้นเข้ากลางหลังพี่ชาย เจ้านั้นร้องแอ้ ตาเหลือก วิ่งหลบลงบันได
ไป กำปั้นที่สองที่กำลังเหวี่ยงไล่หลังวิ่งตามมาอย่างดุร้าย แต่ปากก็ไม่วายหัวเราะอย่างชอบใจ
"บ้าๆๆๆ พี่โตบ้าที่สุดเลย" เสียงน้องสาวดังไล่หลังมา ดารินีกระทืบเท้าเต้นเร่าๆ อยู่อย่างนั้นคน
เดียว
สองวันให้หลัง
รถจิ๊ปสองคันแล่นคลุกฝุ่นฝ่าเปลวแดดมุ่งหน้าตรงมายังหมู่บ้านกลางไพรลึก มาจอดนิ่งสนิทอยู่
ตรงหน้าเรือนใหญ่ คนงานของบริษัทไทยไวด์ไลฟ์สามสี่คนขนกล่องไม้ใบใหญ่สอง-สามกล่อง
ลงจากหลังรถทั้งสองคัน วารินทร์หรี่ตามองอย่างสงสัย เมื่อคนงานทั้งสี่คนขนลังไม้มาวางไว้ที่
ลานหน้าบ้าน
"นั่นกล่องอะไร?" ชายหนุ่มถาม คนงานที่ดูว่ามีอาวุโสกว่าคนงานที่มาด้วยกัน "คุณอำพลฝาก
อะไรมาถึงกระมัง"
คนงานที่ว่ายกผ้าขาวม้าผืนเล็กๆ ขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลมาจากใบหน้าเกรียมกร้านแดด สะท้อนแสง
ตะวันยามเที่ยงเป็นมันระยับ
"เปล่าขะรับ กล่องสองใบนี่เป็นของนายผู้ชายกับนายผู้หญิง เมื่อวันก่อน นายห้างอำพลท่านฝาก
มาให้น่ะขะรับ งั้นผมฝากกับนายไว้เลยนะขะรับ"
" อ๋อ ได้ซิ" ชายหนุ่มรับคำ คนงานกล่าวขอบคุณเขา ยกมือไหว้อำลา ก่อนจะพากันขึ้นรถ แล้ว
แล่นออกไปในทางเดิมตอนขามาเมื่อสักครู่ใหญ่ๆ
สองพี่น้องอนันตรัยเดินขึ้นมาจากลำธารด้านท้ายของหมู่บ้าน โดยมีเกิดถือปืนเดินคุ้มกันอยู่ห่างๆ
เสียงหัวเราะหยอกล้อกันดังลั่น วารินทร์กวักมือเรียก
"ฮ้า
ของที่สั่งได้เร็วขนาดนี้เชียว?" ไพรวัลย์อุทานอย่างแปลกใจเมื่อมองเห็นกล่องไม้สองกล่อง
นั้น "คุณลุงอำพลนี่รวดเร็วใช้ได้แฮะ"
"งั้นก็แสดงว่า ของในลังไม้สองลังนี้ คือของที่นายจะเอาติดไปด้วยใช่มั้ย ไหนบอกว่าจะมาถึงใน
อีกสามวันข้างหน้าไง?" ชายหนุ่มเลือดราชสกุลถาม
"ก็ใช่ กันสั่งไว้ว่าไม่เกินอาทิตย์นี้ แต่ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้เร็วขนาดนี้ คุณลุงอำพลแกแอ๊คที
ฟดีแท้" สหายหนุ่มรุ่นพี่ว่า "แต่เอ๊ะ ! ของที่สั่งมีกล่องเดียวไม่ใช่หรือ ยายเล็ก รู้สึกจะเป็นเครื่อง
มือตรวจหาอายุของโบราณวัตถุนี่นา ไหงมีแถมมาอีกกล่อง?" เขาพึมพำอย่างแปลกใจ พลางมอง
หน้าน้องสาวอย่างงุนงง
"พี่โตก็เปิดดูเลยสิคะ อาจเป็นของจำเป็นที่ลุงอำพลจัดหาให้ก็ได้ บางทีเราอาจจะลืมของใช้
บางอย่าง ซึ่งอาจจะจำเป็นต้องใช้ แกเลยเตรียมมาให้เสียทีเดียว" น้องสาวว่า
หนุ่มลุกครึ่งพยักหน้า พลางเดินอ้อมไปทางด้านหน้ากล่อง ขยับเลื่อนสลักล็อกกล่องออกแล้ว ยก
มันขึ้น
"โอ้ว
นี่มัน ปืนนี่นา!" เขาอุทานเมื่อเห็นสิ่งของภายในกล่อง "ปืนยาวล่าสัตว์"
มันคือปืนไรเฟิลขนาดยาว รุ่น steyr-manlicher SSG-P1 ติดศูนย์กล้อง วางสงบนิ่งอยู่
ในลังไม้ บุด้วยโฟมกันกระแทก มีกล่องกระสุนสามสี่กล่องวางสลงบนิ่งอยู่ข้างกัน วารินทร์เดิน
เข้ามาดูใกล้ๆ อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
"ให้ตาย นี่มัน มันลิเคอร์ เอสเอสจี ของออสเตรียนี่หว่า !"
ไพรวัลย์แกะปืนออกจากรางด้วยความระมัดระวัง ตัวปืนใหม่เอี่ยม ลำกล้องเขียวดุจปีกแมลงทับ
กลิ่นของเหล็กกับไม้อบอวลอยู่บนตัวปืนกระบอกนั้น ดารินีขยับเข้ามาใกล้ๆ กล่องไม้ชะโงกมองดู
ของในกล่อง ชี้ให้พี่ชายดู
"พี่โตคะ ยังมีอีกกระบอกแน่ะ วางซ้อนกันอยู่นั่น"
"เออจริง" เจ้าพี่ชายว่า พลางวางปืนในมือลงในราง แล้วเลื่อนลงไปช้อนปืนยาวอีกกระบอกขึ้น
มา มันคือ ยูเอส มารีน คอปส์ ของสหรัฐ ซึ่งบัดนี้กำลังสะท้อนแสงแดดเป็นมันวาวอยู่ในมือของ
หนุ่มลูกครึ่ง
"โห.. เรมิงตัน เอ็ม 40 คนละรุ่นคนละประเทศเลยนิ อีตาลุงอำพลแกหามาได้ไงนะ?"
"ว่าแต่แกให้มาทำไมคะ เราไม่ได้จะออกป่าล่าสัตว์สักหน่อย?" น้องสาวถามพลางมองสลับปืน
ทั้งสองกระบอกในลังไม้อย่างฉงน
"งั้นขอหารือเรื่องแผนการเดินทางเสียเลย อันที่จริงกันก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน นี่เป็นว่า
คุณอำพลแกเตรียมมาให้อย่างเสร็จสรรพ ต้องขอบใจแกล่ะ" วารินทร์ว่า
"หารือเรื่องอะไรวะ ปืนสองกระบอกนี่น่ะเหรอ" ปากถาม แต่สายตาจ้องเข้าไปยังศูนย์กล้องของ
เรมิงตัน โมเดล เอ็ม-สี่ศูนย์ กระบอกนั้นอย่างพอใจ "ดีจัง กล้องนี่ถอดออกได้ด้วย แถมมีศูนย์เปิด
มาให้อีกต่างหาก"
"นายนี่ก็ล่ะน้า
ไพรวัลย์" เพื่อนผู้มีศักดิ์เสมือนญาติติงขึ้น "งั้นถามตรงนี้เสียเลย นายมีแผนที่
หรือพิกัดตรงแคมป์ปลายทางที่เราจะไปกันหรือเปล่า หรือว่าสักแต่จ้างพรานนำทาง แล้วปล่อยให้
เป็นหน้าที่ของเขาทั้งหมด?"
ผู้ถูกถามเลิกคิ้ว วางปืนกระบอกนั้นลงในรางตามเดิม
"ที่จริงกันก็ว่าจะคุยเรื่องนี้ให้มันเสร็จไปตั้งแต่วันก่อนแล้วล่ะ พอดีเกิดอุปัทวเหตุขึ้นกับนาย เอา
ล่ะ เราจะมาหารือเรื่องนี้อย่างละเอียด ก่อนที่จะออกเดินทางจริงในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งดู
เหมือนฝ่ายกันจะไม่เตรียมพร้อมอะไรสักอย่าง งั้นขอถามฝ่ายนายก่อนแล้วกันเกี่ยวกับเรื่องลูก
หาบ ที่ร่วมเดินทางไปด้วย มีกี่คน?"
"ลูกหาบจะมีทั้งสิ้นไม่เกิน 10 คน ไม่รวมพวกพรานพื้นเมืองอันชำนาญพื้นที่เส้นทาง ในเขตนรก
ดำ ส่วนกันก็จะเป็นผู้คุ้มกันและผู้อำนวยความสะดวกทั้งหมดขณะเดินทาง แต่ที่จริงจากที่กันกะดู
น้ำหนักของไม่จำเป็นต้องใช้ลูกหาบมากขนาดนั้นก็ได้ เพียงแต่เป็นตัวยืนเผื่อไว้ในกรณีใดๆก็ตาม
ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างทาง จำพวกอุบัติเหตุ และแบ่งเป็นพลขับในช่วงเส้นทางถึงหล่มช้าง"
"ฮืม
อันที่จริง ของก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนี่นะ แต่กันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าคุณอำพลแกส่งปืนมาให้
พวกเราทำไม เราไม่ได้จะออกป่าล่าสัตว์ไม่ใช่หรือ?"
"นายก็ต้องเข้าใจ เข้าป่าก็ต้องถือปืนไว้เป็นธรรมดา นายไม่ได้จะล่าสัตว์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
สัตว์จะไม่ล่าเรา อันนี้คุณพ่อแกพูดไว้หรอกนะ และกันก็ถือเป็นข้อปฏิบัติทุกครั้ง เวลาออกป่า เอา
ละ พูดกันตามตรง นายเคยยิงไรเฟิลขนาดนี้มาก่อนหรือเปล่า?" ชายหนุ่มเลือดราชสกุลถาม ชี้มือ
ไปยังปืนไรเฟิลสองกระบอกในลังไม้
"ก็เคยล่ะนะ แต่เป็นการยิงในสนามซ้อมมากกว่า"
"แล้วน้องเล็กล่ะ?" เขาหันไปถามหญิงสาวลูกครึ่งที่ยืนพิงเสาฟังเงียบๆ
"เคยไปล่าสัตว์แถวเกาะทาสมาเนียสมัยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆค่ะ รู้สึกจะไปกับคุณแม่ แต่ก็
ไม่ได้ยิงอะไร ลักษณะเป็นการทัศนาจรมากกว่าจะไปล่าสัตว์โดยตรง" หล่อนตอบ
"เอาล่ะ เป็นว่าเคยจับปืนมาบ้าง ทุกคน" วารินทร์ว่า "เชื่อว่าคุณอำพลแกทำถูกแล้วที่ส่งปืนมาให้
ด้วย สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ดีกว่าจะให้นายจ้างสองคนพึ่งเหล่าพรานนำทางเพียงอย่างเดียว
ซึ่งเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากๆ"
"อืม..งั้นก็แปลว่าให้ถือปืนสองกระบอกนี้เข้าป่าไปด้วยสิ ไงยายเล็กไหวหรือเปล่า?" พี่ชายหัน
ไปถาม น้องสาวยักไหล่นิดหนึ่ง
"ไม่น่าจะมีปัญหาค่ะ บ้านเราเองก็คุ้นเคยกับมันดี คุณพ่อก็เป็นนักเล่นปืนตัวยง เชื่อว่าจะไม่มี
ปัญหาอะไรมาก หากว่าเราจำเป็นต้องถือปืนขณะเดินป่า"
"เอาล่ะปัญหาเรื่องปืนหมดไป งั้นมาถึงปัญหาเรื่องเส้นทาง นี่เราพูดกันให้เสร็จไปก่อน นายมี
แผนที่พิกัดแคมป์มาหรือเปล่า?"
แทนคำตอบ ไพรวัลย์หยิบกระดาษซีร็อกส์ สามแผ่น ที่เตรียมเอาไว้ออกมาจากแฟ้มเอกสารในมือ
ของดารินี ซึ่งคงจะขึ้นไปเอามาเมื่อครู่นั่นเอง มันเป็นแฟนที่พิกัดขนาดย่อ อัตราส่วน 1 ต่อ 10000
และภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงภาพจริงจากพิกัดดังกล่าว
"นี่เป็นที่ตั้งของแคมป์เป้าหมาย ซึ่งกันกะไว้ว่าไม่น่าจะเกินไปจากทางตอนเหนือของพม่า และ
จากจุดเริ่มต้นแท้จริงซึ่งก็คือหล่มช้าง ไม่น่าจะใช้เวลาเกิน หนึ่งอาทิตย์ กันเผื่อขาดเผื่อเหลือให้
แล้ว" หนุ่มลูกครึ่งอธิบาย
สหายของเขาครางฮืออย่างใช้ความคิด แย้งเบาๆ
"อันที่จริงทางเดินต่อจาก หล่มช้างส่วนมากต้องตัดผ่านเทือกเขาหลายเทือก จากที่กันดูในแผนที่
แล้วเทียบกับของจริงแล้ว เราต้องปีนเขากันส่วนใหญ่ หากคิดจะตัดทางกันจริงๆ กันไม่แน่ใจว่า
หนึ่งอาทิตย์จะพอ"
"นายมีเวลาเกือบสองอาทิตย์เพื่อน หากขาดเหลือยังไงก็ แต่ก็ต้องทำเวลาด้วย อันที่จริงจากรูปใน
แคมป์ที่ถ่ายจากดาวเทียมนี่ แสดงให้เห็นรันเวย์ขนาดย่อมๆ แน่ละ นั่นหมายความว่ามีเครื่องบิน
เป็นพาหนะในการไปมาหาสู่ เฮ้อ ถ้าไม่ติดว่าหาเครื่องบินเช่าแบบเหมาลำไม่ได้ล่ะก็ ไม่มาจ้าง
นายหรอก ขอให้รู้ว่าหมดทางจริงๆ ถึงถ่อมาพึ่งนายเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราไม่หาทางอื่นมาก่อนหรอก"
"งั้น เราก็จำเป็นต้องเร่งการเดินทางเฉพาะเที่ยวขาไป ส่วนนอกนั้นก็เป็นเรื่องของทางฝ่าย
นายอย่างนั้นเหรอ?"
"ใช่แล้ว"
"ฮืม
งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เป็นอันว่าเราหาข้อสรุปได้แล้ว เอาล่ะ แล้วเราค่อยคุยกันอีกที
ตอนนี้เราหาอะไรเล่นกันสนุกๆเถอะ"
"เล่นอะไร?"
แทนคำตอบ หนุ่มเลือดราชสกุลชี้นิ้วไปยังปืนสองกระบอกในลังไม้
"นายไม่อยากลองดูศูนย์เจ้านี่เหรอ กระสุนก็ออกเหลือเฟือ" พูดพลางยกกล่องกระสุนที่วางอยู่
ข้างๆขึ้นมาพิจารณา ก็พบว่ามันเป็นกระสุนสำหรับล่าสัตว์ หัวแข็งและหัวอ่อนอย่างละครึ่ง
"ว่าแต่แกไปหามาจากไหนนะ ขนาดกันเป็นตำรวจเองแท้ๆ ยังไม่มีปัญญาที่จะหาได้เลย นี่แสดง
ว่าแกต้องสั่งตรงจากโรงงานเลยทีเดียว" ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ ลูบคลำลำกล้องของ เอสเอสจี
กระบอกนั้นอย่างพอใจ
"นี่สงสัยว่าพ่อกันคงสั่งมาให้กระมัง ปืนขนาดนี้หายากมากเลยนะ ถ้าไม่สั่งตรงจากโรงงานก็หา
ซื้อตามท้องตลาดไม่ได้หรอก ดูนี่สิ บอกยี่ห้อ บริษัทที่ผลิต แล้วก็ปีที่ผลิต นี่มันเมื่อเร็วๆนี้เองนี่
นา" ไพรวัลย์ชี้ให้ดูลำกล้องที่สลักวันเดือนปีที่ผลิต รวมถึงยี่ห้อบริษัท
"ไม่แน่นะ พ่อนายเป็นทหารเก่า อาจจะหาปืนขนาดนี้ได้ไม่ยาก โมเดล เอสเอสจี รุ่นนี้เคยใช้ใน
กองทัพออสเตรียเมื่อปี '69 เป็นปืนทหารขนานแท้ทีเดียว แรงปะทะก็มากกว่าปืนล่าสัตว์รุ่นก่อนที่
เรามีอยู่ตอนนี้แทบจะทุกกระบอก ยกเว้น .600 ไนโตรฯ ซึ่งเป็นไรเฟิลขนาดใหญ่"
"ฮืม..แต่เทียบดูกับเรมิงตัน กระบอกนั้นแล้วกันว่ามันยังเล็กไปหน่อยนะ สงสัยจริงว่าถ้าถอดศูนย์
กล้องออกแล้วมันจะหนักเท่าไหร่?"
"สี่กิโลฯ มาตรฐาน สำหรับไรเฟิล ขนาดนี้ พอประมาณทีเดียว" ชายหนุ่มเลือดราชสกุลพึมพำ
"กระสุนคงหายากทีเดียว กันเห็นขายตามท้องตลาด แพงหูฉี่" ไพรวัลย์คราง ขณะยกปืนขึ้น
ประทับไหล่ขวา เล็งส่องศูนย์ไปข้างหน้า
"ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงไม่ใช่ รึไง คุณอำพลแกกว้างขวางมากในวงการธุรกิจ ทั้งในและนอก
ประเทศ เป็นเล็กน้อยกะแค่หาปืนสองกระบอก"
"ใช้กระสุนขนาดไหน?" สหายหนุ่มลูกครึ่งถาม
" ก็พอประมาณทีเดียว 7.62 x 51 ขนาดเดียวกับ .308 วินเชสเตอร์ แรงพอใช้ทีเดียว สำหรับ
อำนาจหยุดยั้งบวกกับแรงปะทะที่มากถึง 168 เกรน"
"ไม่รู้สินะ แต่กันว่ามันยังเล็กไปสำหรับกัน"
"งั้นจะยากอะไร นายก็ถือเรมิงตันกระบอกนั้นแล้วกัน ส่วนกระบอกนี้ก็ยกให้น้องเล็กไป เพราะ
น้ำหนักและแรงถีบมันค่อนข้างน้อย จึงเหมาะสำหรับผู้หญิง" วารินทร์อธิบาย
"แล้วระยะหวังผล?"
" น่าจะอยู่ในช่วง
นั้น"
ไพรวัลย์วางปืนกระบอกนั้นลง แล้วหันไปสนใจกับเรมิงตัน โมเดล เอ็ม สี่ศูนย์ ที่วางสงบนิ่งอยู่
ข้างกัน ชายหนุ่มเลือดราชสกุลเหลือบมองดารินีแวบหนึ่ง สายตาสบกันชั่วครู่ก็เบนหลบไปตาม
เคย หึ วางท่าเงียบขรึมไปเถอะแม่สาวน้อย เข้าป่าเมื่อไหร่ฉันจะแกล้งเธอให้หนำใจทีเดียว เขา
คิดเงียบๆ คนเดียวยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก
หนุ่มลูกครึ่งหยิบขึ้นมาพิจารณา พลางถอดสลักดูลูกเลื่อน ส่องกล้องเล็งศูนย์อย่างผู้ชำนาญ และ
คุ้นเคยกับปืนเป็นอย่างดี ไม่ใช่มือใหม่อย่างที่วารินทร์คิดแต่แรก
"เป็นไง พอไหวหรือเปล่า ไพรวัลย์ ?" หนุ่มเลือดราชสกุลถามมาเบาๆ
"หยั่งงี้ค่อยโอเคหน่อย งั้นกันถือกระบอกนี้แหละ ว่าแต่กระสุน?"
"ไม่มีปัญหา ชนิดเดียวกันขนาดเดียวกันทั้งสองกระบอก คุณลุงอำพลแกจัดมาให้นายหลายกล่อง
ทีเดียว ยังกะจะไปรบแน่ะ"
ลูกชายนักผจญภัยผู้รวยอารมณ์ขันหัวเราะ พยักหน้ากับน้องสาว
"ไง ยายเล็ก ลองดูซักหน่อยมั้ย?" แทนคำตอบ น้องสาวหยิบยก ไรเฟิล โมแล เอสเอสจี ขึ้นมาถือ
ไว้ เล็งส่องศูนย์อย่างชำนาญ
" เอาสิคะ อืม
เหมาะมือดีจริง แต่ว่าเราจะลองยังไงคะ ไม่เห็นมีเป้าเลย"
วารินทร์ชี้ไปยังยอดมะพร้าว ซึ่งกำลังออกลูกเป็นพะวงเล็กๆ ห้อยดกเต็มคอ ไพรวัลย์พยักหน้า
แกะกระสุนออกมาหนึ่งกล่อง บรรจุลงแม็กกาซีนแบบห้านัด ของเมิงตัน เอ็ม สี่ศูนย์ กระบอกนั้น
กระชากลูกเลื่อนขึ้นลำ ยืนตัวตง ขาขวาเหยียบยันไปยังเสาเรือน ลักษณะทรงตัวกันแรงกระแทก
ของปืน เล็งไปยังเป้าหมายอย่างปราณีต
.
เปรี้ยง !
ลูกกระสุนขนาด 168 เกรน ตีคว้านตัดขั้นลูกมะพร้าวอ่อนหล่นตุ้บลงมาถึงพื้นดิน พวกคนงานที่
ทำงานอยู่รอบๆ ต่างชะโงกหน้ามาดูอย่างแปลกใจ ซึ่งเจ้าของบ้านก็โบกไม้โบกมือเป็นความหมาย
ว่าลองปืน
อีกเปรี้ยง และอีกเปรี้ยง จนกระสุนห้านัดในแม็กกาซีนหมดเกลี้ยง ควันกรุ่นลอยออกมาจาก
ปลายกระบอกปืน หนุ่มลูกครึ่งมองดูผลงานแล้วร้องออกมาอย่างยินดี
"ว้าว ! ศูนย์เที่ยงชะมัด เห็นชัดถนัดตาเลยทีเดียว จากศูนย์กล้องแบบนี้"
"งั้นเดี๋ยวเล็กลองมั่งนะคะ" น้องสาวร้องออกมาอย่างนึกสนุก เมื่อเห็นพี่ชายถอยออกมา
หล่อนกระชากลูกเลื่อนขึ้น บรรจุกระสุนลงแม็กกาซีน สอดเข้าไปในตัวปืน เล็งไปยังเป้าหมาย
เดิมนั้นอย่างตั้งใจ
"จะไหวเร้อ? ปืนขนาดนี้มันถีบยัน บ่าเล็กๆจะยันมันไหวเร้อ น้องเล็ก"
เสียงลอยๆ แว่วมากระทบโสตแม่สาวลูกครึ่งอารมณ์เยือก ตบะหล่อนขาดผึงลงอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อมองเห็นผู้ "สบประมาท" ซึ่งๆหน้าของหล่อน แววตาขี้เล่นคู่นั้น บวกกับริมฝีปากเบะยั่ว
โทสะ ชายหนุ่มผิวปากหวือดังอย่างเจตนาจะยั่วเย้า ดารินีกระทืบเท้าอย่างขัดใจ วารินทร์นั่นเอง
หญิงสาวกลั้นใจ เหนี่ยวไกอย่างฉุนเฉียว เสียงดังลั่นดุจฟ้าผ่าเมื่อกระสุนหัวแข็งแล่นออกจาก
ปากกระบอกปืน
มะพร้าวแซงนั้นหลุดหล่นร่วงลงมาทั้งแซง มันหล่นปุอยู่ตรงโคนต้นนั่นเอง ดารินีเหลือบมอง
ลูกชายพรานใหญ่อย่างกับจะบอกว่า "เห็นไหมล่ะ ฉันก็ทำได้" ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เขายิ้มตอบ
มาเช่นกัน หากแต่เป็นยิ้มแสยะแบบยั่วหยอก ไพรวัลย์หัวเราะก๊ากออกมาอย่างสุดกลั้น เมื่อเห็นสี
หน้าของชายหนุ่มญาติสนิทซึ่งกำลังทำตาเหล่หยอกเอินน้องสาวเขาราวกับผู้ใหญ่เล่นกับเด็ก เขา
พอจะรู้ว่าวารินทร์ตั้งใจจะยั่วให้น้องสาวเขาตบะแตกให้ได้ ดารินีที่เมื่อแรกมาถึงหนองน้ำแห้งก็
ตั้งแง่ใส่เจ้าของบ้านเลยทีเดียว ก็ดีแล้ว เขาบอกตัวเอง โดนแก้เผ็ดเสียมั่ง จะได้ไม่อวดดีทำที
เป็นเงียบขรึมจนเกินงามอีกต่อไป
"อ้อ งั้นขอให้ 'นายพรานใหญ่' ยิงให้ดูทีสิคะ" ดารินีว่า พลางผลักปืนไรเฟิลขนาดกลางกระบอก
นั้น ยัดเยียดใส่มือให้เขา วารินทร์เห็นข้อบกพร่องของหญิงสาวข้อหนึ่ง หล่อนขึ้นลำไว้โดยไม่
ได้ลดนกหรือห้ามไกเอาไว้เลย แต่กลับเอาปากลำกล้องเสยแหงนตั้งขึ้น วนเวียนอยู่บริเวณใบ
หน้าเขาอย่าหวาดเสียว หากแต่เขาเบนหลบ แล้วฉวยหยิบปืนกระบอกนั้นมาไว้ในมือ ลดนก
ลงเสีย
"ข้อสำคัญของนักเล่นปืน หรือผู้ที่ใช้ปืนก็คือ ห้ามเอาปืนมาเล่นลักษณะนี้ ถึงแม้ว่าจะมีลูกบรรจุไว้
หรือไม่ก็ตาม เป็นมารยาทขั้นเบื้องต้นของผู้ใช้ปืน กรุณาปฏิบัติตามด้วย" ชายหนุ่มเลือดราชสกุล
กล่าวเนือยๆ พลิกดูลูกเลื่อน เขาจับกระชากถอยหลัง จับกระสุนยัดเข้าไปอีกนัดหนึ่งแทนกระสุน
ที่หญิงสาวยิงออกไปเมื่อครู่
"อ๋อ งั้นเหรอคะ? บังเอิญฉันไม่ได้เป็นนักเล่นปืนเสียด้วย เลยไม่ทราบว่าจะต้องปฏิบัติตาม
กฏอย่างไร อันที่จริงก็ไม่อยากจะถือให้หนักมือหรอก เดินตัวเปล่าซะยังจะดีกว่า" หล่อนใช้
สรรพนามว่า "ฉัน" แทนชื่อตัวเองที่เคยใช้ เหน็บชายหนุ่มได้อย่างเจ็บแสบ หางตาคมปลาบมอง
ผ่านเลยแวบหนึ่งอย่างเอาเรื่อง วารินทร์ยักไหล่ เอียงคอ
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คราวหลังกรุณาอย่าเล่นอย่างนี้อีกนะครับ น้องเล็ก ไม่เฉพาะแต่กับพี่ แต่ขอ
ให้ถือเป็นข้อปฏิบัติในการใช้ปืนตลอดไป"
"ก็ถ้าฉันไม่ทำตามล่ะ?" หล่อนถามเลิกคิ้ว จ้องอย่างเอาเรื่อง ลูกชายจอมพรานจ้องตอบ ดวงตามี
แววยิ้ม หากหน้าเคร่งขรึมลง
"แล้วกัน ยายเล็ก ไหงเป็นคนเกเรหยั่งงี้ล่ะ?" พี่ชายร้องติงมาเบาๆ "อย่าสนใจเลย วารินทร์ ยาย
เนี่ยบทจะห่ามก็ห่ามขึ้นมาซะงั้น
.นิสัยพาลพาโลมาตั้งนานแล้ว ยายเด็กนี่"
"พูดดีๆ นะพี่โต ใครกันคะที่เกเร" หล่อนหันไปแหวใส่ "ก็นายนี่น่ะสิคะ ดูถูกเล็ก พี่โตก็ได้ยิน"
แล้วหันมาเผชิญหน้ากับวารินทร์อีกครั้งอย่างจะเอาเรื่องเต็มที่ "ก็เลยต้องแสดงให้เห็นฝีมือกัน
บ้าง ไม่งั้นจะคิดว่าเล็กเป็นลูกไล่ให้คอยดูถูกค่อนแคะอยู่เรื่อย"
"งั้น 'คุณน้องเล็ก' จะเอายังไงกันล่ะขอรับกระผม ส่วนเรื่องให้ขอโทษน่ะ ไม่มีวันเสียล่ะ" ลูก
ชายจอมพรานแกล้งยั่วหนักเข้า สาวลูกครึ่งหน้าง้ำ เดินไปหยิบ เรมิงตัน เอ็ม-สี่ศูนย์มาจากมือพี่
ชาย บรรจุกระสุนใส่แม็กกาซีนอย่างรวดเร็ว เล็งไปที่ยอดมะพร้าวต้นเดิม แล้วลั่นไกอย่างประณีต
กระสุนหมุนควงตัดผ่านยอดสีเขียวอ่อนของมะพร้าว ขาดตกปุลงกับพื้น
ชายหนุ่มเลือดราชสกุลยิ้มแวบหนึ่ง เขาพอจะจับจุดอ่อนของแม่สาวลูกครึ่งอารมณ์เย็นได้แล้ว
ดารินีไม่ชอบให้ให้ใครดูถูกหรือปรามาสฝีมือของหล่อน
ชายหนุ่มปรบมือแปะๆ หากแต่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มอย่างกวนโทโส โค้งให้อย่างยอมแพ้ แต่
กิริยาเต็มไปด้วยอาการยั่วเย้า
ไพรวัลย์เดินเข้ามากระซิบ ข้างๆเพื่อนรุ่นน้อง ลอบขยิบตาให้
"เฮ้ยๆ ใจเย็นวารินทร์ นายยังไม่รู้จักยายเล็กดี ยายนี่ฟิวส์ขาดขึ้นมา ยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์อีก น่า
กลัวเป็นบ้า บรื๋อ !"
ลูกชายจอมพรานตบไหล่ ขยิบตาตอบ
"ไม่เป็นไรหรอก เชื่อมือกันเหอะ"
แม่สาวลูกครึ่งหน้าบึ้งมองมาอย่างสงสัย เดินเข้ามาใกล้ๆ
"ซุบซิบอะไรกันคะ นินทาเล็กกระมัง" ไม่พูดเปล่า ขยับลูกเลื่อนขึ้นลำหน้าตาเฉย
"หวึย
ไอแอมซอรี่ โห ยายเล็กแค่นี้ก็ต้องเล่นกันขนาดนี้เชียว" พี่ชายว่า วิ่งหลบหลัง วารินทร์ที่
กำลังทำหน้ายิ้มๆ แบบล้อเลียน
" เออ..จำไว้เลย พี่โต" หล่อนชี้หน้าพี่ชาย แล้วเลื่อนมาทางลูกชายจอมพราน "ส่วนเรา..ระวังตัว
ให้ดีเถอะ วันพระไม่ได้มีหนเดียวหรอก"
"แล้วกาน
ยายเล็ก นั่นมันคำพูดอาฆาตกันไม่ใช่เหรอ
แล้วนั่นจะไปไหน?" พี่ชายร้องถาม
เมื่อเห็นน้องสาวเดินผละไป โดยไม่วายกล่าวคำอาฆาตทิ้งไว้ วารินทร์มองตามอย่างขันๆ ยิ้มออก
มากับไพรวัลย์
"ท่าทางน้องสาวนายจะเฮี้ยวน่าดู เอาเถอะ เส้นทางอีกยาวไกล หวังว่าคงจะไม่ต้องมาฆ่ากันกลาง
ป่าหรอกนะ นายโต"
"ไม่รู้โว้ย
เอ
ว่าแต่ยายเล็กไปไหนนะ ดูดู โมโหจนเข้าป่าไปแล้วมั้ง ชักเป็นห่วงแล้วสิ ยายนี่
ชอบทำอะไรขาดสติเสมอ เวลาโกรธ" พี่ชายมองตามอย่างเป็นห่วง
"คงไม่เป็นไรหรอก นั่นไงตาเกิดเดินตามไปแล้วนั่น" สหายหนุ่มรุ่นน้องชี้ตาม "เอาเถอะตอนนี้
ขอลองปืนก่อนละเพื่อน" เขาตัดบท แล้วคว้า เอสเอสจี กระบอกนั้นขึ้นมาเล่นอย่างพึงใจ ไม่สน
อะไรอีก
ความคิดเห็น