คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : TMTM: 1 My name is Camellia 100%
1
My name is ‘Camellia’
ถ้าพูดถึงเรื่องช่วงซัมเมอร์หรือปิดภาคฤดูร้อน ฉันนึกถึงกลิ่นของทรายนุ่มละเอียดลออ น้ำทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง ปูเสชวน ลมแรงๆ ที่พัดให้ผมปลิวไสว กับแดดแรงๆ จนต้องหาอะไรมาบังไว้ หรือไม่ก็ไอศกรีมรสมะนาวที่เปรี้ยวจี๊ดขึ้นสมอง ฉันนึกถึงสิ่งเหล่านี้...แต่ก็นั้นแหละ มันเป็นแค่สิ่งที่ฉันนึกคิด ซึ่งก็หมายความว่ามันไม่มีทางเป็นความจริงได้ ตลอดช่วงซัมเมอร์ฉันได้พบเจอกับอะไรที่แปลกประหลาด และพิศวงมากมายจนทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าโลกกลมๆ ใบนี้จะมีอะไรที่แปลกประหลาดมากกว่าสิ่งที่ฉันเคยพบหรือเปล่า? ฉันอาจจะเจอกับด็อพเพลแกงเกอร์เพื่อมายึดร่างฉัน หรือฉันอาจจะพบแฟรี่ที่ร่ำลือกันเป็นตำนาน แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้พานพบเจอกับตัวเอง เอาเป็นว่าสิ่งที่ฉันกำลังเล่าต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวฉันจริงๆ มันเป็นเรื่องที่คุณควรจะพิจารณามันไว้ ฉันเชื่อว่าหากคุณวางหนังสือเล่มนี้ลง คุณจะต้องมองรอบๆ ตัวแล้วพูดกับตัวเองว่า...
... “ชีวิตฉันอาจจะเจอกับเรื่องแปลกประหลาดก็เป็นได้...?”
02 June 20x5
ฉันมีชื่อว่า “คามิลเลีย เกรย์ ไวลด์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “คามิล” ก็ได้ฉันไม่ถือ ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ที่ St.Berton เกรดสิบเอ็ดเข้าไปแล้ว และอีกไม่นานก็จะเข้าสู่เกรดสิบสอง อีกสองวันก็จะถึงช่วงซัมเมอร์ที่ฉันถวิลหา ฉันเคยขอร้องพ่อให้พาฉันไปทะเลที่ไหนสักแห่งช่วงซัมเมอร์นี้ ท่านดูมีท่าทีลังเล ฉันกังวลใจจังว่าจะได้เที่ยวในช่วงซัมเมอร์รึเปล่า อุสาวางแพลนไว้ตั้งเยอะ...
“คามิล ไปทำเวรด้วยกันเถอะจ๊ะ~” ฉันละสายตาจากวิวท้องฟ้า หันมาสบตากับเบลล่า เจ้าของน้ำเสียงหวานสดใส เธอยังคงเป็นที่รักสำหรับเพื่อนๆ ทุกคน ด้วยมารยาทที่ดีและความนอบน้อมของเธอทำให้เธอไม่ค่อยถูกรังแกเท่าไหร่นัก จะหนักไปที่มีคนคอยปกป้องจน...น่ารำคาญ “อ๊ะ...เอ่อ ขอโทษจ๊ะ ถ้าคามิลไม่อยาก...”
“เปล่าๆ ขอโทษทีที่จ้องแบบนั้น ฉันคิดอะไรเครียดๆ อยู่นะ มา เดี๋ยวฉันช่วย”
ฉันกระพริบตาถี่ๆ เพื่อเป็นการกลบเกลื่อนความคิดที่ซ่อนอยู่ภายในหัว แล้วลุกขึ้นยื่นมือรับไม้กวาดจากเธอ
ฉันเป็นบุคคลหนึ่งที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ‘มีอิทธิพลเหนือเซนต์เบอร์ตัน’ เนื่องจากคุณพ่อฉันเป็นถึงรองรัฐมนตรีประจำเมืองนี้และให้งบประมาณสนับสนุนเซนต์เบอร์ตันจำนวนมาก บวกกับรูปลักษณ์ภายนอกของฉันที่ดูน่าเกรงขาม...มั้ง ได้ยินมาจากหนังสือ The Timer Magazine หนังสือรายสัปดาห์ของเซนต์เบอร์ตันว่าฉันเป็นบุคคลที่ลึกลับ น่าค้นหา ฉันว่าส่วนนึ่งน่าจะมาจาก ดวงตาสีม่วงเข้มกับผมยาวเหยียดตรงถึงกลางหลังที่ไม่ยอมมัดรวบ กับส่วนสูง 180 อัพ ซึ่งเป็นบุคลิกของหุ่นนางแบบโดยเฉพาะ
“อ่าาา...โอเคจ๊ะ” เบลล่าอึ้งไปสักพักก่อนจะยื่นไม้กวาดมาให้ฉัน ฉันรับไว้ด้วยความเต็มใจ
พวกเราอยู่ท่ามกลางห้องเรียนที่สกปรกโดยบรรยากาศแลดูน่าจะอึดอัดไปสักเล็กน้อย เอาตามตรงนะ...ฉันกับเบลล่าไม่ได้สนิทกันมากขนาดนี้หรอก เราจะคุยกันเฉพาะวันพุธเท่านั้น (เพราะเป็นเวรทำความสะอาดวันเดียวกัน) แต่น่าแปลก...ทุกวันหล่อนไม่เคยคิดจะมาทักฉันสักนิด วันนี้...แปลกจริงๆ แห่ะ
“เบลล่า...บ้านเธออยู่แถวไหนนะ ฉันได้ยินมาว่าพี่ชายเธอสอบติดแพทย์ที่มหาลัย Y นี่นา ที่นั่นเจ๋งมากเลยนะ!” ฉันหาเรื่องคุยทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดเหล่านี้ทิ้งไป
“ใช่จ๊ะ พี่ฉันสอบเข้าได้แล้วแต่ว่า...คุณพ่ออาจจะให้เรียนมหาลัยใกล้ๆ แถวนี้...”
“ห๊ะ!? หาที่เรียนใหม่ จากที่สอบติดมหาลัย Y เนี่ยนะ พ่อเธอประสาทรึเปล่า? ที่นั่นกว่าจะเข้า...”
“เพราะที่นั่นมันดีเลิศขนาดนั้นแหละ มันจำเป็นต้องใช้เงินมากมาย ซึ่งเธอก็รู้ว่า...” ครอบครัวเธอไม่ค่อยจะมีเงิน...นั่นเป็นเรื่องที่ฉันรู้ดี เมื่ออาทิตย์ก่อนคุณพ่อของเบลล่ามาหาที่บ้านและพยายามเจรจาเรื่องของการขอกู้ยืมเงิน ซึ่งพ่อฉันปฏิเสธไป เพราะเงินที่กู้คราวก่อนยังไม่ใช้ แต่ฉันก็ขอร้องพ่อไว้ จนพ่อของเบลล่าได้รับเงินก้อนหนึ่งจากพ่อฉันไป...
“แต่ว่าพ่อเธอ...”
“พ่อฉันเอาเงินไปลงทุนเล่นการพนันจนหมดตัว...ท่านหนีไปแล้วพร้อมเงินเก็บฉัน ฮึก...คามิล”
จู่ๆ เบลล่าก็ทิ้งไม้กวาดแล้วทรุดลงไปกับพื้น ก้มหน้าร้องไห้
“บะ...เบลล่า” ฉันเรียกหล่อน อะไรกัน เธอจะมาไม้ไหนเนี่ย
“ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว...” เบลล่าพูดจาตัดพ้อ
“ไม่เอาน่าเบลล่า ทุกอย่างต้องมีทางแก้ เธอจะต้องแก้ปัญหานี้ได้ เชื่อฉันสิ”
“เธอไม่เข้าใจหรอกคามิล ฮึก! ฉันจะทำยังไงดี...”
“...” ให้ตายสิ...ฉันไม่อยากอยู่ในโมเม้นต์นี้หรอกนะ!!! เกลียดที่สุด...เกลียดน้ำตา...น้ำตาเสแสร้ง...
“คามิล...ฉันจะทำยังไงดี...”
“...เบลล่า...ฟังฉัน”
“ฮึก...”
“ถ้าฉันให้เงินเธอไป เธอสัญญากับฉันอย่างหนึ่งได้ไหม” ฉันบอกเบลล่าเสียงเรียบ
“เธอ...จะให้เงินฉันจริงๆ นะเหรอ” เบลล่ามองฉันตาโต ฉันหันมองซ้ายขวา ไม่มีคนจึงเริ่มพูดขึ้นต่อ
“เธอลาออกจากโรงเรียนนี้ซะ...แล้วไปอยู่ที่ไหนก็ได้ นั่นคือข้อเสนอของฉัน”
“ทะ...ทำไมล่ะ เธอไม่ชอบฉันเหรอคามิล? ระ...หรือฉันทำอะไรให้เธอ คะ...คามิล”
เบลล่าพูดกับฉันเสียงสั่น... ฉันแค่ไม่ต้องการเห็นหน้าเธอ มันยากมากนักรึไงนะ
“เปล่าหรอก...ไม่มีอะไร ลองกลับเอาไปคิดดูอีกทีก็ได้ ฉันเอาขยะไปทิ้งดีกว่า” ฉันพูดแค่นั้นก่อนจะเดินหนีออกมา ปล่อยให้เธองุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉันหนีเบลล่าออกมาจากห้อง ทิ้งให้เธอคิดในสิ่งที่ฉันพึ่งยื่นข้อเสนอไปให้ ฉันมีเหตุผลของฉันที่ต้องทำแบบนี้
ข้างล่างอาคารเรียนกำลังมีนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งยืนเชียร์นักบาสของโรงเรียนที่กำลังฝึกซ้อมกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในขณะนั้น ฉันมอง “เจย์เดน ลีนัว” กำลังเลี้ยงลูกบาสแล้วก็...ชูท~ เข้าเป้า :) ชุดนักเรียนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ชายเสื้อออกกางเกง นัยน์ตาสีดำที่แลดูมุ่งมั่นกับการจ้องลูกบาส จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าขาวใสราวกับเด็ก ทรงผมสั้นสีดำซอยระต้นคออย่างเป็นระเบียบ ทุกๆ สิ่งที่เป็นเขาทำให้ฉันแทบละสายตาไปไม่ได้เลย ฉันเผลอจ้องเขาอยู่นานจนฉันคิดว่าเขาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว แต่เอ๊ะ...
“เก็บบอลให้ทีครับ” น้ำเสียงหวานดังขึ้นเบาๆ เรียกสติฉันคืนกลับมา
“อ๊ะ เอ่อ...ขอโทษค่ะ” ฉันก้มลงมองลูกบาสที่อยู่ปลายเท้าฉันด้วยความงุนงง ก่อนจะก้มลงเก็บแล้วยื่นให้เจย์เดน ฉันไม่กล้าแม้กระทั่งคุยกับเขา แม้เขาจะอยู่ห้องเดียวกับฉัน...อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นคนขี้คลาด? แม้ว่าฉันจะเป็นถึงผู้หญิงที่มีอิทธิพลเหนือเซนต์เบอร์ตันก็เถอะ แต่เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าเขาฉันแทบไม่เป็นตัวเอง ฉัน...
...ชอบเขา ฉันชอบเจย์เดนเข้าให้แล้ว
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มรับลูกบาสแล้วกล่าวขอบคุณพร้อมทั้งยิ้มกว้าง ฉันเขินจนหน้าแดงแทบแทรกแผ่นดินหนี ฉันรีบหันหลังแล้วเดินหนี ให้ตายๆ คามิล...สงบสติอารมณ์หน่อย
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือเรียกสติฉันกลับมา ฉันล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋านักเรียนก่อนจะกดรับสาย ใครกัน?
“ฮัลโหล...”
[สวัสดีจ๊ะคามิล] น้ำเสียงหวานมาจากปลายสาย เป็นผู้หญิง
“นั่นใครคะ”
[โคลอีเองจ๊ะ ฉันจะโทรมาบอกคามิลนะว่าพรุ่งนี้เรานัดกันทำโครงงานของซิสเตอร์ไปรส์กันนะจ้ะ] ฉันนิ่งเงียบ...โคลอีคือเพื่อนในห้องของฉันเอง แล้วทำโครงงานอะไรกัน ฉันบอกกับซิสเตอร์ไปรส์แล้วนี่นาว่าจะทำเดี่ยว :( [เอ่อ...คามิลจ้ะ ฮัลโหล~]
“อ่า มันหมายความว่ายังไงกัน ฉันอยู่เดี่ยว...ไม่ใช่?”
[อ้อ ซิสเตอร์บอกว่าโครงงานนี้ทำเดี่ยวไม่ได้นะจ้ะ เลยเสนอชื่อเธอเข้ากลุ่มฉัน]
เฮ้อ...ช่างเถอะ ยังไงซะฉันก็แค่อยู่เฉยๆ อยู่แล้ว
“งั้นเหรอ...โอเค แต่ว่า มาทำที่บ้านฉันได้ไหม พอดีฉันต้องจัดการอะไรที่บ้านนิดหน่อยนะ ไม่อยากขับรถไปบ้านคนอื่น...เสียเวลา” ประโยคหลังฉันพูดเสียงแผ่ว
[อ่า...ตกลงตามนั้นก็ได้จ้ะ เดี๋ยวฉันจะบอกคนอื่นๆ เอง... เที่ยงตรงพวกเราจะเข้าไปหานะจ๊ะ]
“โอเค...บาย”
ฉันบอกลาก่อนจะกดวางสาย... ซิสเตอร์ไปรส์ นี่มันอะไรกัน ฉันไม่ชอบทำงานกลุ่มที่สุด วุ่นวาย...น่ารำคาญ แล้วยังจะ... L
ในเมื่อบ่นไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ฉันจึงจำใจต้องยอมรับสถานการณ์นี้ ฉันกดโทรหาคนขับรถที่บ้านให้มารับ แต่ทว่า...
[หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถ...]
นี่มันอะไรกันเนี่ย!? ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เรื่อง...นี่ฉันต้องนั่งแท็กซี่ไปใช่ไหม ให้ตายเถอะ...
สุดท้ายฉันก็จำใจหอบสังขารของตัวเองไปโบกแท็กซี่ ไม่นานนักรถแท็กซี่ก็มา ฉันก้าวขึ้นรถก่อนจะบอกจุดหมายปลายทาง ในระหว่างทางฉันก็กดเล่นโทรศัพท์ของตัวเองไปเรื่อยๆ ฉันสังเกตว่าตาเฒ่าคนขับมองมาทางฉันบ่อยๆ ให้ตายเถอะ...ฉันไม่อยากขึ้นแท็กซี่เพราะมีคนประเภทนี้นี่แหละ!
“ลุงคะ ช่วยจอดตรงข้างทางนี้หน่อยคะ” ฉันบอกเรียบๆ พร้อมกับจ้องหน้าลุงแกตอบ
“แต่ยังไม่ถึงบ้านหนู...”
“หนูนามสกุลเกรย์ ไวลด์ กรุณาให้เกียติหนูด้วยนะค่ะ” ฉันเหยียดยิ้ม สีหน้าคุณลุงดูถอดสีไปในทันทีเมื่อได้ยินนามสกุลของฉัน เพียงไม่นานลุงคนขับแท็กซี่ก็จอดข้างทาง ฉันโยนเงินให้ก่อนจะปิดประตูใส่ เขาสามารถพาฉันไปถึงที่หมายโดยไม่ทำอะไรฉันได้ แต่ไอ้การหายใจร่วมกับคนประเภทนี้ในระยะไม่เกินสิบเมตรเป็นอะไรที่ฉันรังเกียจมาก เดินไปไม่เท่าไหร่ก็ถึงหน้าหมู่บ้านฉันแล้ว ถือว่าเป็นการเผาผลาญแคลลอรี่ไปในตัว
ฉันเดินทอดน่องไปตามถนนรันเวย์ รถมากมายขับสวนกันไปมาในถนนใหญ่ เสียงรถและผู้คนจอแจกันให้แซด ฉันเสียบหูฟังต่อเข้ากับไอพอดของตัวเองแล้วเปิดเพลงฟัง การเดินไปเรื่อยๆ แล้วฟังเพลงไปด้วย ได้คิดอะไรคนเดียว ถ้าหากว่ามันเงียบคงจะดีไม่น้อย
กึก!
ฉันมองหน้าผู้ชายตรงหน้าที่เดินขวางทางฉันอยู่ ฉันเอียงไปทางซ้ายเขาก็เอียงตาม ฉันจ้องตาเขานิ่ง แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีฮูทที่ใส่อยู่ปิดไว้แต่ฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีใช้ได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั่น... ในมือของเขามีร่ม เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับฉันแต่เนื่องจากเพลงที่เปิดอยู่ทำให้ฉันไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย
ฉันถอดหูฟังออกพร้อมกับเอ่ยถามเขา “ค่ะ?”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขายื่นร่มมาให้ก่อนจะจ้องหน้าฉันอีกครั้ง...?
“เอ่อ...คืออะไรคะ?”
“อย่ารับของจากคนแปลกหน้า...จำไว้”
ชายหนุ่มพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินปะปนไปกับผู้คนมากมายจนลับหายไป ฉันมองร่มสีเหลืองอ๋อยในมือของตัวเอง บ้ารึเปล่า เขาเอาร่มให้ฉันในวันที่อากาศแจ่มใสขนาดนี้เนี่ยนะ? แล้วอะไรคือที่บอกว่าอย่ารับของจากคนแปลกหน้า เขาก็แปลกหน้า งั้นถ้าฉันจะทิ้งคงไม่ว่ากันสินะ เอ๊ะ หรือว่าวันนี้เป็นวันที่ฟีโรโมนเพศแม่ของฉันพุ่งพล่านดีใช้ได้เลยนะ L ฉันกำลังเอาร่มจากคนแปลกหน้าทิ้งขยะ ทันใดนั้นเอง...
แป๊ะ...แป๊ะ...ซ่า...
สายฝนมากมายตกลงมาด้วยความรวดเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ทัน รีบคว้าร่มที่กำลังจะทิ้งกางขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ นี่มันเกิดอะไรขึ้น แม้กระทั่งอากาศก็ไม่ปกติเหรอ ให้ตายสิ เมื่อตะกี้ยังดีๆ อยู่เลย ปุบปับอยากตกก็ตกเลยใช่ไหม L
ว่าแต่...ชายคนนั้นรู้ได้ยังไงนะว่าฝนจะตก (?) ช่างมันเถอะ...ถึงบ้านแล้วค่อยทิ้งก็ได้
@Gray Wilde Home, 9.27 A.M.
ฉันงัวเงียลุกออกมาจากเตียงนอนสีขาวสะอาดตาขนาดคิงส์ไซส์ พร้อมกับคว้าโทรศัพท์กดดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ห๊ะ! ให้ตายเถอะ นี่ฉันหลับยาวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เกือบเก้าโมงครึ่งแล้ว ฉันต้องส่งพัสดุไปให้เพื่อนที่อยู่แอลเอ กับจัดการสภาพที่ยุ่งเหยิงของตัวเองตอนนี้ เที่ยงตรงพวกโคลอีจะมาทำโครงงานที่บ้านฉัน ต้องสั่งให้แม่บ้านเคลียร์พื้นที่ลานกว้างตรงสวนหลังบ้านให้สะอาด
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นออกจากเตียงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเรียกหาแม่บ้านทันที
“ป้าคะ ป้า” เรียกได้ไม่ทันไร แม่บ้านก็รีบวิ่งมาหาฉันทันที
“มีอะไรคะคุณหนู”
“พอดีว่า...เอ่อ เพื่อนหนูจะมาทำโครงงานที่บ้าน รบกวนป้าช่วยทำความสะอาดตรงสวนหลังบ้านให้ทีนะคะ” ฉันบอกเธอก่อนจะเดินไปห้องครัว หาอะไรรองท้องกินก่อน
“คุณหนูคะ พัสดุมาส่งอีกแล้วค่ะ จะให้ป้าขนขึ้นไปไว้บนห้องเลยไหมคะ”
“อ่า...ตามนั้นก็ได้คะ”
ฉันกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย มันเป็นปกติจนชินไปซะแล้วสำหรับพัสดุมากมายที่ส่งมาให้ฉัน มันเป็นของพวกผู้ชายที่ตามตื้อแจ ส่งการ์ดบ้าง ดอกไม้ช่อโต ของเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงเครื่องประดับที่มีมูลค่า บางทีมันก็เป็นเรื่องสนุกของทุกๆ วันนะว่าวันนี้ฉันจะได้อะไร ใครจะเอาอะไรมาให้ ฉันไม่เคยทิ้งของเหล่านั้น และก็ไม่เคยทอดสะพานหรือให้โอกาสใคร พวกเขาให้มาเพราะสมัครใจล้วนๆ ฉันหาได้ทำอะไรไม่
ฉันหยิบขนมปังปิ้งกับนมที่พึ่งอุ่นเสร็จเดินขึ้นไปบนห้อง กองของขวัญมากมายกองอยู่บนเตียงจนเต็มไปหมด เศษซากกระดาษพวกนี้ก็ต้องตกเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน ได้เหนื่อยทุกๆ วัน...
ฉันเปิดกล่องของขวัญอันแล้วอันเล่าก่อนจะได้สะดุดตาเข้ากับกล่องเล็กๆ สีดำ ผูกด้วยริบบิ้นสีดำเช่นกัน ฉันเกาะมันออก ข้างในเป็นสร้อยคอธรรมดาเหมือนจะไม่มีมูลค่าอะไรมากนัก จี้เป็นรูปวงกลม คล้ายๆ ลูกแก้วทำนาย เก๋ดีแหะ... ฉันลองสวมมันเข้ากับตัวเองก่อนจะมองดูตัวเองในกระจก สวยแปลกๆ ดี
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมส่งเสียงร้องอีกครั้ง ฉันคว้ามันมาก่อนจะสะดุดกับชื่อผู้โทรเข้ามา... เบลล่า?
“สวัสดีเบล...” ฉันกดรับก่อนจะทักทายหล่อนไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
[คามิล...ฉัน...ฉัน...]
“ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งฟังเธอตลอดทั้งวันหรอกนะเบลล่า มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเถอะ” ฉันบอกปัดอย่างเบื่อหน่าย
[ฉันลองเอาเรื่องที่เธอพูดไปคิดแล้วนะจ้ะ ฉัน...ตกลงจ้ะ]
เยี่ยม! ให้มันได้อย่างนี้สิ...หึ
“อืม ตกลงตามนั้น ฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีของเธอในอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง และตั๋วบินไปอังกฤษจะถูกส่งให้เธอภายในวันพรุ่งนี้ ออกเดินทางในอีกสามวัน เก็บกระเป๋ารอได้เลยนะจ้ะเบล~”
[อะ...อะไรนะคามิล ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ตั๋ว? ไปอังกฤษ เธอให้ฉันทำไม]
“ฉันบอกแล้วไงว่าให้ไปอยู่ที่ไหนก็ได้...ภายใต้ข้อกำหนดของฉันเท่านั้น”
[แต่เธอไม่เห็นบอกฉัน...]
“ฉันจะโอนเงินให้เธออีกสองเท่า” ฉันพูดเฉียบคาด
[คะ...คามิล ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วย]
“...เพราะเธอ...เธอเป็นที่รักของทุกคน”
[แต่ว่า...]
“ในเมื่อเธอตกลงแล้วก็ตามนั้นแหละ อ้อ! ฉันจะทำเรื่องโอนเกรดไปเรียนที่โน้นต่อให้นะ ไม่ต้องห่วง ค่าเทอมที่โน้นฉันจะส่งให้ทุกเดือน ขอบคุณที่ทำสัญญาร่วมกับฉัน J”
ฉันยิ้มกว้างในโทรศัพท์ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของฉันก็ไม่เป็นไร
“ขอบคุณนะ...เบลล่า”
ติ๊ด...
ฉันถอนหายใจเฮือกให้ หมดซะที...เสี้ยนหนามชิ้นโต
11.58 P.M.
ฉันอยู่ในชุดลำลอง กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาวสกรีน I ♥ NEWYORK ที่ใส่ตั้งแต่ตอนเช้า พร้อมกับสวมหมวกสานกับแว่นตากันแดด จิบพั้นซ์เบอร์รี่รอพวกที่จะมาทำโครงงาน นี่ก็ใกล้จะเที่ยงละ ยังไม่มากันเลย...ช่างเถอะ ฉันหลับตาพริม สวมหูฟังเปิดเพลงฟังคลอในไอพอด ทันใดนั้น
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น ยังดีนะที่ฉันไม่เปิดเพลงดังเท่าไหร่ ฉันถอดหูฟังก่อนจะกดรับโทรศัพท์ เป็นสายจากโคลอี
“ว่าไง ถึงไหนแล้ว”
[กำลังรออแมนด้าอยู่เลย อีกสิบนาทีจะเข้าไปหานะจ้ะ โทษทีที่ต้องทำให้รอ]
“ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าธุระของฉันเสร็จแล้วละ”
[โอเคจ้ะ]
ติ๊ด!
ฉันจิบน้ำพั้นซ์อีกครั้งก่อนจะเสียบหูฟังฟังเพลงที่เปิดค้างไว้แล้วล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้โยกตัวเก่ง แต่ทว่า...
“โอ๊ย~”
หลังของฉันไม่รู้มีอะไรทิ่ม ฉันเด้งตัวลุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะสำรวจตัวเอง อ่า...เป็นเพราะสร้อยที่สวมทิ้งไว้เมื่อเช้าเองเหรอเนี่ย...ฉันจ้องเข้าไปในจี้มันอีกครั้ง ราวกับโลกกำลังหมุน สมองฉันเบลอไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็เกิดขึ้นที่หัวในทันที
“โอ๊ย!”
พรึบ!
ในขณะที่ฉันกำลังมึนงง ดวงตากำลังใกล้จะปิด ฉันเห็นบางอย่างที่ผิดปกติผ่านแว่นตากันแดด เหมือนราวกับคนกำลังนั่งบนรั้วบ้านของฉัน แต่ทำไม...คนๆ นั้นถึงมีปีกที่สยายงดงามเช่นนั้นกันเล่า... แล้วทุกๆ สิ่งก็ดับวูบลงไปรวมทั้งความเงียบและแรงกดดันบางอย่างเข้ามาถาโถมใส่ทันที...
(End of Chapter1)
ความคิดเห็น