คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ชีวิตที่เปลี่ยนไป
บทที่ 1 ชีวิตที่เปลี่ยนไป
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง... ปึ๊ก!!!
เสียงนาฬิกาปลุกเจ้ากรรมของผมดังขึ้นอีกแล้ว เฮ้อออออ รู้ไหมเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสองกว่าแล้วนะ แล้วนี้ยังจะมาปลุกเตือนกันตั้งแต่ไก่โห่หกโมงเช้าเลยหรอ!!! คนมันก็อยากนอนนะ แต่ถึงจะบ่นยังไง อย่างเดียวที่ผมทำได้ก็คือกดปิดมัน ก่อนที่จะลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟัน โดยไม่ต้องมีใครมาเตือน
เช้านี้ก็เป็นเช้าธรรมดาๆอีกวันหนึ่ง ของคนธรรมดาๆอย่างผมอีกคนหนึ่ง ที่จะต้องตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว ไปโรงเรียนเหมือนคนอื่นๆเค้าทำกัน ไม่ค่อยอยากจะไปเท่าไรเลยแฮะ
"ลูกฟรอน ตื่นหรือยังงง" เสียงของคุณแม่ผู้ให้กำเนิดผมดังขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน สงสัยว่าวันนี้แม่ผมตื่นไวเป็นพิเศษ ปกติผมต้องตื่นก่อนทุกที หรือไม่ผมก็เป็นคนตื่นสายซะเอง
"นี้ ลูกตื่นหรือยัง ตอบแม่หน่อยย" เสียงของคุณแม่ดังขึ้นอีกครั้งเรียกความสนใจจากผม ที่กำลังคิดถึงเหตุผลที่แม่ตื่นได้ไวให้รีบตอบกลับไปได้แล้ว "ตื่นแล้วฮะแม่ เดี๋ยวขอเวลาแต่งตัวแปบนึงครับ"
ผมตอบแม่กลับไป ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียง แล้วตรงไปที่ห้องน้ำ อาบน้ำเช็ดตัว แปรงฟังตามประสาคนปกติ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สักพักก็จัดการธุระตัวเองเสร็จ หลังจากที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ผมก็เดินลงบันไดมาหาคุณแม่ที่ด้านล่าง ถ้าให้เดานะ ผมว่าคุณแม่ต้องอยู่ที่ครัวแน่ๆ
ผมคิดไปพลาง เดินไปทางครัวไปพลาง สักพักผมก็ได้กลิ่นไข่ดาวหอมชุ๋ยยย~ อาหารที่คุณแม่มักทำเป็นประจำเวลาตื่นก่อนผม ซึ่งก็นานๆครั้งเท่านั้นแหล่ะ ปกติผมจะตื่นก่อนคุณแม่ และเป็นคนเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคน ขืนให้คุณแม่ทำอาหารเช้าให้กินทุกวัน คงได้กินแต่ไข่ดาวจนเบื่อตายนั้นแหล่ะ ก็คุณแม่ผมเค้าทำอาหารอย่างอื่นเป็นที่ไหนกันล่ะ พอบอกว่าจะสอนให้ทำอย่างอื่นบ้าง ก็ขี้เกียจตลอด สงสัยวันนี้ ก็คงได้กินไข่ดาวอีกจนได้ รู้แบบน่าจะรีบๆตื่นมาทำเองดีกว่า
"อรุณสวัสดิ์ฮะคุณแม่ แล้วนี้น้องกับพ่อตื่นกันหรือยังล่ะ" ผมถามคุณแม่ไป ขณะที่ตัวเองก็เดินไปหยิบนมจากตู้เย็นมาดื่ม รู้ไหมการดื่มนมตอนเช้าๆเนี้ย ทำให้สดชื่อขึ้นมากเลยนะ น่าแปลก...วันนี้ผมยังไม่เห็นน้องสาวตัวดีเลย สงสัยก็ตื่นสายเหมือนผมมั้ง
"พ่อนะยังไม่ตื่นหรอกลูก ส่วนน้องนะ ออกไปโรงเรียนแล้ว เห็นบอกว่าวันนี้รีบไปทำงานกลุ่มแต่เช้า เลยรีบออกไปตั้งแต่หกโมงนิดๆแหล่ะล่ะ"คุณแม่ตอบผม ไขความข้องใจไปได้อีกเรื่องว่าน้องตัวเองหายไปไหน
"แล้วนี้เดี๋ยวลูกกินเสร็จแล้วจะออกไปเลย หรือรอคุณพ่อไปส่งก่อนล่ะ" คุณแม่ถามขณะที่เดินถือจานใส่ไข่ดาวมาให้ผม ผมจึงตอบออกไป"คงไปเลยแหล่ะฮะแม่"
"ข่าวต่อไป เมื่อคืนนี้ เกิดเหตุประหลาดพร้อมกันหลายๆบริเวณทั่วโลก เช่นเกิดเสียงประหลาดดังขึ้นยาวนานเป็นชั่วโมงที่ตอนเหนือในรัฐอิสระนอร์ส โดยเสียงนี้ดังถึงสามสิบไมลากจุดที่เกิด เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นเสียงของสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นสัตว์อะไรที่สามารถร้องได้ดังและนานขนาดนี้ หรือเกิดการพบเยติ มนุษย์หิมะบริเวณเทือกเขาในโซบราเนีย และครั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่พบก็สามารถถ่ายรูปมาได้"
เสียงข่าวดังออกมาจากโทรทัศน์ที่คุณแม่เปิดทิ้งไว้ ผมเองก็ฟังไปผ่านๆ ไม่ได้คิดมากอะไรมาก ต่างจากคุณแม่ ที่ข่าวออกอะไรก็ตื่นตูมไปหมด อย่างครั้งนี้ก็เช่นกัน "นี้ๆ ลูกได้ยินข่าวที่ออกมาไหม พักนี้เกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นเยอะจังเลยน้า ลูกเองก็ต้องระวังๆไว้บ้างนะลูก"
"นี่แม่ฮะ มันก็แค่เรื่องโกหกเอง อย่างเรื่องเยติในข่าว แม่ก็ไม่รู้ซะหน่อยว่ามันมีจริงๆ นักท่องเที่ยวคนนั้น ก็อาจจะตาฟาดเห็นลิงเป็นเยติไปก็ได้" ผมบอกให้แม่คิด แล้วกินไข่ดาวต่อไป อาหารเช้าเนี้ยมันดีต่อร่างกายจริงๆนะ ต้องกินทุกวัน ห้ามขาดเด็ดขาดเลย
"แต่มันก็น่ากลัวนะลูก ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ"
"ฮะแม่" ผมพยักหน้าตอบคุณแม่ ก่อนที่จะกลืนไข่คำสุดท้ายลงคอ
"เดี๋ยวผมไปโรงเรียนก่อนนะครับแม่ สวัสดีครับ" ผมขอตัวลาแม่ไปโรงเรียน แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้ที่ชั้นวาง แต่คุณแม่ก็ไม่วายจะพูดเสียงดุเตือนผมอีกครั้ง "ระวังไว้นะ ลูกเชื่อไหมใช่ไหมเนี้ย"
"ฮะแม่ ผมเชื่อแม่ตลอดแหล่ะ ไปแล้วฮะ สวัสดีครับแม่" ผมกอดคุณแม่แล้วตอบกลับไป ก่อนที่จะยกมือไหว้คุณแม่แล้วขอตัวออกมา
บ้านผมอยู่ในซอยลึก ใจกลางกรุงซีหริต เมืองหลวงของประเทศอนาเธอร์ ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งของโลก ส่วนประวัติความเป็นมาก็อย่าเพิ่งไปสนใจมัน เพราะถ้าให้ผมเล่า สามวันเจ็ดวันก็เล่าไม่หมด ที่บอกได้คงเป็นแค่ ในโลกนี้มีทวีปอยู่ทั้งหมดห้าทวีป โดยสี่ทวีปนั้นอยู่ติดกันเป็นแผ่นดินใหญ่ เรียงตามทิศทั้งสี่ ได้แก่ทวีป "นอร์ส" ที่มีรัฐอิสระนอร์สเป็นผู้ดูแล ทวีปนี้มีขนาดเล็กที่สุดในทั้งห้าทวีป และมีประเทศเพียงเจ็ดประเทศเท่านั้น เป็นศูนย์กลางแห่งระบอบคอมมิวนิสต์ เพราะเป็นทวีปสุดท้ายที่ยังคงระบอบแบบนี้เอาไว้ ทำให้มีระบบทหารที่โดดเด่น
ต่อมาก็ทวีปทางตะวันออก ศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรม"โคเอชิต" ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปนี้จะปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ และแต่ละประเทศก็มีวัฒนธรรมที่เด่นชัด แตกต่างกันไป
ทวีปที่สาม ทวีปทางตอนใต้ ดินแดงแห่งการต่อสู้ "ไฟริค" ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปนี้นิยมการต่อสู้ มีศิลปะการต่อสู้เป็นของตัวเองเกือบทุกประเทศ มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน และหลายๆรูปแบบ ก็โด่งดังไปทั่วโลก มีผู้ศึกษามากมาย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ผมศึกษานั้นเรียกว่าหมัดมวย คุณแม่บอกให้ฝึกเอาไว้ป้องกันตัว แต่ก็สนุกดี ผมเลยฝึกมาเรื่อยๆ
และทวีปสุดท้ายในสี่ทวีป ทวีปทางตะวันตก ผู้นำแห่งทัศนียภาพ "เรเนอซอง" ทวีปนี้เป็นทวีปที่เรียกได้ว่าให้อิสระมากที่สุด เป็นผู้นำในศาสตร์ต่างๆหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ การแสดง ดนตรี และยังเป็นทวีปที่มีถานี่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติสวยงามที่สุด(จากการจัดอันดับ 100 ที่ท่องเที่ยวแสนสวยงามของโลกจากนิตยสาร the world อย่าเพิ่งไปสนใจมัน)
ส่วนทวีปที่ห้าที่แยกตัวออกมา อยู่ทางตะวันออกของสี่ทวีปหลัก ยุคบุกเบิกวิทยาศาสตร์"ไซน์" โดยมีประเทศมหาอำนาจที่เป็นผู้นำคือประเทศที่ผมอาศัยอยู่ อนาเธอร์ นั้นเอง ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์มากที่สุดนั้น เพราะร้อยปีที่ผ่านมานี้ ประเทศในทวีปนี้ต่างก็แข่งกันสร้างอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆออกมามากมาย หลังจากการสร้างคอมพิวเตอร์ได้เมื่อร้อยปีก่อน ห้าสิบปีต่อมา มีการพัฒนาไมโคชิพสำเร็จ เมื่อสิบปีก่อนก็มีการพัฒนารถที่บินบนฟ้าได้ออกมา หรืออย่างเมื่อหนึ่งปีก่อน ก็มีโทรศัพท์ที่ฉายภาพโฮโลแกรม หรือภาพเสมือนได้แล้วออกมา เรียกได้ว่า ทุกวันนี้ ทุกอย่างต้องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นเอง
กลับมาที่ผมกันต่อ บ้านของผม อยู่ในซอย"ลาลับ" ซอยที่เชื่อกันว่ายาวที่สุดในเมือง เพราะซอยนี้ยาวพาดผ่านเมืองหลวงทั้งเมืองเลยก็ว่าได้ ระหว่างซอยก็จะมีซอยแยกย่อยออกไปตามถนนสายต่างๆของเมืองหลวง การที่ผมเดินออกมารอรถประจำทางที่ถนนหลักก็ใช้เวลากว่าสิบห้านาทีแล้ว
ในระหว่างที่ผมกำลังยืนรอรถประจำทางอยู่นั้น ก็คอยเช็คเวลาที่นาฬิกาที่ข้อมือซ้ายอยู่เสมอเพื่อระวังไม่ให้ไปโรงเรียนสาย ตอนนี้ก็เจ็ดโมงแล้ว ถ้าภายในสิบห้านาทีรถประจำทางยังไม่มา ผมคงได้ไปโรงเรียนสายจริงๆ
ขณะที่รอ ผมก็มองสำรวจซ้ายขวาอยู่ตลอด ป้ายรถประจำทางสมันนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อนเหลือเกินแฮะ สมัยก่อนก็เป็นแค่ป้ายสีฟ้าๆปักเอาไว้ให้รู้ว่าตรงนี้รถประจำทางแวะจอด บางที่อาจมีที่นั่งรอ แต่ในปัจจุบันที่รถต่างๆก็บินไปมาแบบนี้ ป้ายรถประจำทางจึงเป็นเหมือนโป๊ะท่าเรือ โดยมีบันไดเชื่อมไว้กับทางเท้าให้คนขึ้น ขึ้นไปยังโป๊ะ ที่ยืนเข้าไปในถนนเกือบครึ่งหนึ่ง บริเวณโป๊ะนั้น จะมีเส้นสีเหลืองขีดไว้ที่ด้านที่รถประจำทางจอดเพื่อให้คนระวัง ไม่ให้ข้ามไปจนกว่าจะมีรถประจำทางมา ทางฝั่งซ้ายและขวาของโป๊ะเป็นที่นั่งรอของผู้โดยสารเหมือนสมัยก่อน มีหลังคาที่ทำจากเหล็ก และที่นั่งที่ทำด้วยวัสดุเดียวกัน สามารถนั่งได้ประมาณยี่สิบคน ฝั่งละสิบคน แต่ในตอนนี้เป็นเวลา เจ็ดโมงกว่าๆ เวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องเดินทางไปโรงเรียน หรือไปทำงานของตนเอง เช่นเดียวกับผมและเพราะเป็นเวลานี้ คนเลยเยอะกว่าปกติ ดังนั้น ฝันไปได้เลยที่จะได้นั่งรอสบายๆ
ผมยืนรอสักพัก รถประจำทางสายที่ผ่านโรงเรียนของผมก็เข้ามาจอดเทียบท่า รับ-ส่งผู้โดยสาร ผมก็ขึ้นไปด้านใน คนเช้าๆนี้มันเยอะแยะเสียจริงๆ วันหลังรีบตื่นให้ไวดีกว่า จะได้ขึ้นรถสบายๆ
ซูมมม...
เสียงรถประจำทางเคลื่อนออกจากท่าอีกครั้ง จากที่นี้ จนถึงโรงเรียนของผม ประมาณเกือบสามสิบนาที ถ้าไปไม่ทัน คงโดนลงโทษอย่างแน่นอน จะว่าไป รถประจำทางสมัยนี้ก็ต่างจากเมื่อก่อนอยู่ล่ะนะ สมัยก่อน รถประจำทางจะคล้ายๆแท่งสี่เหลี่ยมติดล้อคันใหญ่ๆ บางคันสีแดง บางคันสีน้ำเงิน บางคันใหญ่ บางคันเล็ก บางคันติดพัดลม แต่บางคันติดแอร์ แต่ในปัจจุบัน ก็ทรงคล้ายๆเดิม ต่างตรงที่เป็นกล่องสี่เปลี่ยนยาวๆสีเงินตลอดคัน ติดแอร์ ไม่มีล้อแล้วเพราะปรับเป็นระบบบินบนโอกาสกันหมด และไม่มีคนขับแล้ว เพราะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ออโต้ฟลายเอาไว้ ทำให้บินไปตามทางของแต่ละขบวนอัติโนมัติ ไม่มีการออกนอกเส้นทาง หรือบินชนรถคันอื่นแน่นอน เรียกได้ว่าปลอดภัยมาก ส่วนคนเก็บตั๋วสมัยก่อน ปัจจุบัน เป็นเครื่องเก็บเงินไปแล้ว ถ้าจะขึ้น ก็ต้องหยอดเงินใส่เครื่อง แล้วเครื่องจะให้เข้าพร้อมกับเงินทอน ทำให้ไม่มีการโกงแน่นอน ช่างสบายจริงๆ
"สถานีต่อไป สถานศึกษา ซีริตอคาเดมี่ สถานศึกษา ซีริตอคาเดมี่ "
และแล้ว ในที่สุดก็มาถึงจนได้ ผมก้าวลงจากรถประจำทางพลางมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เจ็ดโมงสี่สิบแล้วหรือเนี้ย เกือบสายแล้วสิ รีบๆเข้าโรงเรียนดีกว่า
ซีริตอคาเดมี่ เป็นโรงเรียนสหศึกษาอับดับที่หนึ่งเลยก็ว่าได้ เด็กส่วนใหญ่ในโรงเรียนแห่งนี้ต่างก็เป็นระดับแนวหน้าของประเทศ ปีที่ผ่านมา เด็กโรงเรียนนี้ก็เป็นสามารถสอบเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาทุกคน นอกจากนี้ยังมีเหรียญรางวัลต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนหรือการกีฬา เรียกได้ว่าเลิศทุกด้านจริงๆ นอกจากนี้ เด็กที่เรียนที่นี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช้เด็กเกเรอะไรมาก เนื่องจากค่าเทอมที่แสนแพง ที่ถ้าผมสอบไม่ได้ทุน ก็คงไม่ได้เรียนไปแล้ว แต่เด็กที่นี้ ส่วนใหญ่ก็นิสัยดีทุกคน ไม่ได้ใช้เงินมั่วๆแบบที่ลูกคุณหนูมักเป็นกันพูดไปแล้ว ผมนี้ก็ช่างภูมิใจในโรงเรียนตัวเองจริงๆเลยนะเนี้ย
"ไง ฟรอน วันนี้นายมาสายนี้หว่า การบ้านเสร็จหมดแล้วใช่ไหม เอามาลอกหน่อยดิ" เสียงของนายเพื่อนสนิทที่ชื่อ"โมซาร์ด"ดังขั้นมาทันทีที่ผมเปิดประตูห้องเรียนเข้าไป
"จริงๆเลยนะนายเนี้ย การบ้านไม่เคยทำเอง เอาแต่ลอกชั้นตลอดเลย แต่คะแนนดันออกมาเป็นอันดับต้นๆของห้องซะงั้น น่าแปลกใจจริงๆ" ผมบ่นให้มันฟัง ส่วนมือก็คุ้ยกระเป๋าหาการบ้านวันนี้ อยู่ไหนน้าๆ เจอละๆ ผมหยิบการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ให้มันก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะ โดยที่ไม่ลืมกำชับเจ้าเพื่อนสนิทว่าอย่าลืมส่งการบ้านให้ผมด้วย ดีนะเนี้ยที่ไม่ได้ลืมเอามา ไม่งั้นละก็...ไม่อยากจะนึกเลยจริงๆ
"เออ วันนี้คาบแรกเรียนแนะแนวใช่ป่าววะ โม"ผมหันไปถามเจ้าเพื่อนตัวดีหลังจากเก็บกระเป๋าเข้าที่แล้วก่อนที่มันจะแหวใส่ผม"เฮ้ย ไอ้ฟรอนอย่าเรียกชื่อชั้นย่อๆว่าโมดิ ชื่ออย่างกับผู้หญิง มันไม่เข้ากะชั้นนะเว้ย"
โมบ่นใส่ผมโดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถาม แต่ไม่ทันไร กลับมีอีกเสียงแทรกเข้ามาระหว่างการสนทนาของผมกับไอ้โมซะนี้ "ใช่แล้วละครับ ฟรอน คาบแรกวันนี้เรียนแนะแนว แต่อาจารย์ไม่เข้าสอนนะครับ เห็นว่ามีปัญหาเล็กน้อย"
เสียงสุภาพๆแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเสียงนาย"เซนต์" เจ้าลูกคุณหนูพูดสุภาพตลอด เพื่อนอีกคนหนึ่งของผม เวลาใครเจอมัน ทุกคนคงนึกแบบเดียวกัน คนอะไร พูดสุภาพซะขนาดนี้ เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ ที่มาคู่กับรอยยิ้มพิมใจของมันเชียวล่ะ คุณผู้หญิงก็อย่าไปเผลอมองเข้าล่ะ เดี๋ยวจะหลงใหลไม่รู้ตัว แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน
"จริงหรอวะเซนต์ ดีเลยๆ งั้นไปโรงอาหารกันไหม ว่างๆอยู่พอดีนินายนะ หรือว่าต้องนั่งลอกการบ้านแบบไอ้โมมัน??" ผมชวนเซนต์ไปโรงอาหารด้วยกัน ว่าไปวันนี้ เมื่อเช้าก็กินแค่ไข่ดาวกับนมไปกล่องหนึ่งเองแฮะ ยังไม่ค่อยอิ่มเท่าไรเลย ชวนมันไปด้วยดีกว่า
"ก็ได้ครับ ผมเองเมื่อเช้าก็ไม่ค่อยได้กินอะไรมาเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวไปกันเลยไหมครับ" เซนต์ยิ้มตอมผม แล้วเอ่ยชวนไปโรงอาหารกันเลย ก็ดีเหมือนกันนะ คนยิ่งหิวๆอยู่ ผมเกือบจะตอบตกลงเซนต์ไปแล้ว ถ้าไม่มีเสียงไอ้โมขัดขึ้นมา "เฮ้ย!!! พวกนายรอกันด้วยดิ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วเนี้ย รอด้วยนะเว้ยย"
"เออๆ ไวๆละกัน เดี๋ยวช้านักไม่รอนะเว้ย เออนี้เซนต์ วันนี้ไฟร์ไม่มาหรอ ไม่ยักเห็นมันเลย" ผมบอกไอ้โมก่อนที่จะหันไปถามเซนต์อีกครั้ง ถึงเรื่องของ"ไฟร์" เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของผม แม้ว่าปกติมันจะมักมาสายยู่แล้ว แต่วันนี้กลับยังไม่เห็นมันเลย ผมละตงิดใจแปลกๆ แต่เซนต์ยังไม่ทันจะตอบคำถามผม ประตูห้องก็เปิดพรวดเข้ามา ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมอง ชายหนุ่มที่มาสายที่สุดของห้องในวันนี้
ปึง...
"ไงทุกคน วันนี้อาจารย์มายัง"เสียงของนายไฟร์ที่พวกผมถามถึงดังเข้ามา พร้อมกับร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ที่ดูก็รู้แล้ว ว่าคงรีบวิ่งมาขนาดไหน นี้แหล่ะ จอมมาสายประจำห้อง
"สวัสดี ไฟร์ วันนี้มาสายจังนะ อาจารย์คาบแรกวันนี้ท่านไม่เข้าสอนจ้า เห็นว่าติดธุระด่วนนะ โชคดีจังนะ" คุณหัวหน้าห้อง เธอชื่อ"มูน" เป็นหัวหน้าห้องในอุดมคติ ตามแบบฉบับหนังสือการ์ตูนที่มาจากประเทศในทวีปโอเอชิตเลย นิสัยดี เรียบร้อย ใจดี ใส่แว่น ผมยาว เอาการเอางาน มีความรับผิดชอบสูง เรียกได้ว่า ห้องผมสบายเพราะมีเธอเป็นหัวหน้าเนี้ยแหล่ะ
"ไง ไฟร์ ปกติก็มาสายโด่งอยู่ละนะ ทำไมวันนี้ล่อซะเข้าเรียนเลย" ผมเดินไปถามเจ้าเพื่อนสนิทคนสุดท้ายถึงเหตุผลที่มาสาย และไม่ต้องดูหน้ามันผมก็รู้ว่าทำไม คงตื่นสายอีกตามเคยนะแหล่ะ ไม่ไหวเลยเพื่อนผมแต่ละคน ผมคิดในใจ แต่กลับได้รับคำตอบที่แปลกไปจากมันแทน "โทษทีๆ นายต้องไม่เชื่อแน่ ว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น ไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟังที่โรงอาหาร จะไปกันไหม??"
"รอไอ้โมอยู่ ถ้ามันเสร็จก็ไปกันเลยแหล่ะ"ผมบอกไฟร์ ก่อนที่จะหันไปมองโมซาร์ดว่ามันลอกการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง
"อีกแล้วหรอ วันไหนชั้นมาไวๆ ก็เห็นมันลอกของนายทุกทีเลยนี้"
"ก็ใช่นะสิ วันไหนที่ไม่ลอก วันนั้นคงไม่มีการบ้าน พอไปบอกให้ลอกของเซนต์ มันก็ไม่ยอมใหญ่เลย"
"ทำไมล่ะ ก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน"ไฟร์หันมาตอบผม ก่อนที่จะเดินเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะ
"ชั้นไม่มีวันยืมของไอ้เซนต์อีกแล้ว เวลาชั้นยืมของมันทีไร มันชอบบ่นเรื่องความรับผิดชอบทุกที ชั้นทนไม่ไหวเว้ยย ขอนายสบายกว่าเยอะ ฟรอน" โมซาร์ดที่ดูเหมือนว่าจะลอกการบ้านเสร็จแล้วตะโกนบอกผม โดยที่ไม่สนใจเลยว่าเซนต์จะได้ยินหรือป่าว ทั้งๆที่เซนต์ก็ยืนอยู่ข้างหลังมันแท้ๆ เฮ้อออออ!!!
"พูดว่าอะไรนะครับ คุณโมซาร์ด" เสียงเหี้ยมเกรียมของนายเซนต์ดังขึ้นข้างหลังโมซาร์ด ดูท่ามันจะไปกระตุ้นต่อมโกรธของเซนต์เข้าให้แล้วไง เซนต์เนี้ยแหล่ะ ที่ผมไม่กล้าทะเลาะกับมันเลยให้ตาย เวลาโกรธใครละน่ากลัวเป็นบ้าเลย เพียงแค่โมซาร์ดได้ยินเสียงของเซนต์ มันก็วิ่งมาหาผม พลางตะโกนบอก"ช่วยด้วย ฟรอน ชั้นไม่ได้ตั้งใจว่ามันนะ ช่วยด้วย"
"เรื่องของนาย จัดการเอาเองละกัน ไฟร์เก็บของเสร็จยัง เราจะไปแล้วนะ" ผมบอกปัดที่จะช่วยเหลือโมซาร์ด เรื่องของใครก็น่าจะช่วยตัวเองสิ ผมส่ายหน้าปฏิเสธมัน ก่อนที่จะหันไปเร่งไฟร์ให้รีบๆหน่อย ผ่านไปครึ่งคาบละนะ เดี๋ยวก็หมดเวลาซะก่อนหรอก
"เสร็จแล้วๆ เซนต์ โม เลิกเล่นแล้วไปกันได้แล้ว"ไฟร์ทำเสียงดุๆ พลางเดินลากไอ้สองตัวที่ทะเลาะกันไม่เลิก ส่วนผมก็หันไปกำชับหัวหน้าห้องว่าอย่าลืมโทรมาบอกด้วย ถ้าเกิดอาจารย์เข้าสอนแล้ว ก่อนที่จะเดินออกจากห้องตามเจ้าสามคนนั้นไป
ซีริตอคาเดมีนั้น เป็นโรงเรียนที่เรียกได้ว่ามีขนาดใหญ่มาก ด้วยอาคารถึงสิบสี่อาคาร และสนามฟุตบอล อีกสองสนาม กับสวนและสระอีกสามสวน เรียกได้ว่า ใหญ่ที่สุดในเมืองเลยก็ว่าได้ โรงอาหารในโรงเรียนนั้นมีทั้งหมดห้าโรง โดยโรงที่ผมกำลังจะไปนั้น เป็นโรงอาหารหลักที่อยู่ใจกลางของโรงเรียน เป็นโรงอาหารเดียวที่เปิดตลอดเวลาและมีอาหารอร่อยที่สุดในทั้งห้าโรง นอกจากนี้ ตึกเรียนที่พวกผมเรียนกันนั้นก็อยู่ใกล้ๆกับโรงอาหารนี้มากที่สุด ตึกเรียนของเด็กม.ปลายปีหนึ่ง ทำให้โรงอาหารนี้ เป็นโรงอาหารที่ผมมาทานบ่อยที่สุด
ระหว่างทางเดิน ต่างก็มีคนมองมากมายตลอด ถ้าจะให้พูด พวกผมเป็นกลุ่มที่โดดเด่นอันดับในระดับชั้นเลยก็ว่าได้ เพราะพวกผมแต่ละคนก็ใช่ว่าหน้าตาจะไม่ดี อย่างผม ก็มีผมสีดำสลวยชนิดที่ผู้หญิงก็ยังอาย ยาวเล็กน้อย เมื่อรวมกับดวงตาสีน้ำเงินน่าดึงดูดที่ได้มาจากพ่อแล้ว ผสมเข้ากับผิวแสนขาวนี้ของผม และใบหน้าได้รูปเข้ากับสัดส่วน ส่วนสูง 180 ซม.เป๊ะๆ แม้จะไม่มีกล้ามแบบโมซาร์ด แต่ก็ไม่ได้ผอมจนเกินไป ก็ทำให้ผมหล่อแบบ ดูดีได้เลยละนะ ยิ่งมีนาฬิกาข้อมือเรือนโปรดที่แขนซ้ายอีก รวมกับการเรียน ยังจัดว่าระดับแนวหน้าของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ไม่งั้นคงสอบชิงทุนเรียนฟรีไม่ได้หรอก ทำให้ผมเป็นที่สนใจในหมู่ผู้หญิงอยู่ไม่น้อยเลย
ส่วนโมซาร์ด ผู้ชายมาดเข้มผมสีเหลืองชีฟ้า เข้ากับดวงตาสีเดียวกัน ใบหน้าคมเข้ม และตัดกับผิวสีแทนเพราะกรำแดดจากการเล่นกีฬา เมื่อรวมเข้ากับหุ่นนักกีฬา มีกล้ามอย่างมันและส่วนสูงที่เกิน 180 ซม.ในกลุ่มคงเป็นรองแค่ไฟร์คนเดียว ยิ่งมีสร้อยคอรูปไม้กางเขนดูน่าค้นหา คงไม่แปลกนักที่จะมีผู้หญิงมากมายสนใจมองตลอด แม้ว่าจะทำตัวเอ๋อๆตลอดเช่นกันก็ตาม
เซนต์ ลูกคุณหนูคนเดียวในกลุ่ม เรียกได้ว่ามาดเนียบตลอดเวลา ทั้งผมสีบลอนด์อ่อน ยาวประคอกับดวงตาคมคายสีทอง ที่น่าดึงดูดของมัน อีกทั้งใบหน้ารูปไข่ได้รูป กับริมฝีปากสีชมพูสดใส หุ่นมันก็ผอมเพรียวชนิดที่ผู้หญิงยังอาย แต่ก็ไม่ได้ผอมจนเหลือแต่ก้างน่าเกลียด และส่วนสูงที่เรียกได้ว่า แม้จะดูเตี้ยที่สุดในกลุ่ม แต่ก็เกิน 175 ซม.อยู่ดี นอกจากนี้ยังมีแว่นที่เป็นเอกลักษณ์นั้นอีก ยิ่งมีนิสัยที่สุภาพตลอดเวลาแล้ว ความนิยมในตัวมันเรียกได้ว่าสูงอันดับต้นๆของโรงเรียนเลยละ
คนสุดท้าย ไฟร์ ผู้ชายผมแดงร้อนแรง ทรงผมทรงเดียวกับไฟตามชื่อของมัน และดวงตาแสนคมสีแดงไฟที่เร่าร้อนนั้น ตัดกับผิวขาวเนียนที่ผู้หญิงยอมแพ้ ใบหน้าคมเข้มตามและคางที่แสนคม ผสมปากสีแดงสดน่าดึงดูด กับตุ้มหูสีดำห้อยรูปหัวใจที่หูซ้าย รูปร่างหุ่นที่ดูก็รู้ว่าแข็งแรง สูงใหญ่ที่สุดในกลุ่ม กับนิสัยที่ห้าวๆ ใจกล้า มักทำอะไรที่โดดเด่น คนอื่นไม่กล้าทำเสมอ ทำให้มันกลายเป็นชายหนุ่ม ที่มีผู้หญิงสนใจมกที่สุดในโรงเรียนเลยละ(จากหนังสือพิมพ์โรงเรียน โพลชายที่น่าคบเป็นแฟนที่สุดเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง)
มองๆไป กลุ่มผมก็เรียกได้ว่ารวมผู้ชายหน้าตาดีอันดับต้นๆของโรงเรียนเลยนะ แม้ว่านอกจากผมแล้ว แต่ละคนจะไม่สังเกตเห็นเลยก็เถอะ
พวกผมเดินไปสักพัก ในที่สุดก็มาถึง โรงอาหารหลัก โรงอาหารนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อตั้งโรงเรียน อายุของมันก็ยาวนานพอๆกับโรงเรียนนั้นแหล่ะ และด้วยเป็นโรงอาหารเพียงที่เดียวที่เปิดตลอดเวลา ทำให้มีนักเรียนสิงสนิทอยู่ในนี้เสมอ เรื่องอาหารนั้น มีอาหารให้เลือกกินเกือบๆหนึ่งร้อยกว่าร้าน คนที่กินครบทุกร้านนี้ แทบจะนับคนได้ นอกจากนี้แล้วโรงอาหารแห่งนี้ยังมีร้านขาวเครื่องเขียน ร้านถ่ายเอกสาร ร้านขายขนม ขายเครื่องดื่ม ขายหนังสืออยู่อีกด้วย จึงไม่แปลกนัก ที่คนจะมาเยอะตลอดเวลา
ผมก้าวเข้าไปในโรงอาหาร พลางหันซ้ายหันขวาสำรวจสภาพปัจจุบัน แม้ว่านี้จะเป็นชั่วโมงแรกที่เริ่มเรียนของวัน แต่โรงอาหารตอนนี้ก็มีคนเกินร้อยมานั่งทำกิจกรรมต่างๆกันอยู่ สักพักผมจึงหันไปถามเพื่อนสนิททั้งสมที่มาด้วยกัน
"พวกนายหาไปหาโต๊ะนั่งคุยรอละกัน เดี๋ยวชั้นเดินไปซื้อข้าวแปบนึง" ผมหันไปบอกพวกมันก่อนเดินแยกกลุ่มออกมา โดยไม่สนใจว่าพวกมันจะเห็นด้วยหรือไม่ ผมเดินตรงไปยังร้านที่เล็งเอาไว้ทันที เช้านี้กินข้าวมันไก่ดีกว่า ไม่ได้กินมานานและ
"พี่คะๆ พี่ใช่พี่ฟรอน ม.ปลายปีหนึ่งหรือป่าวคะ"ขณะที่ผมกำลังยืนซื้อข้าวมันไก่แสนน่ากินอยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทัก เมื่อดูจากชุดแล้ว น่าจะเป็นเด็กม.ต้นแฮะ
พูดถึงชุดยูนิฟอร์มประจำโรงเรียนแล้ว แต่ละระดับชั้นจะแตกต่างกันไป ชั้นม.ต้นนั้น ผู้ชายจะใส่เสื่อแขนสั้น กางเกงขายาว ลายสก๊อต ที่หน้าอกด้านซ้ายจะมีกระเป๋าเสื้ออยู่ ส่วนด้านขวา ติดเข็มกลัดประจำโรงเรียน ตัวย่อว่า ซ.อ. ส่วนนักเรียนหญิง จะแต่งคล้ายๆกัน ต่างตรงที่ใส่กระโปรงบาน กลีบลูกไม้ที่ปลายกระโปรง ลายสก๊อตเช่นเดียวกัน ส่วนม.ปลายนั้น จะมีผูกเนคไทสีเขียวเข้ม ปักตราโรงเรียนเพิ่มเข้ามา
"ใช่แล้วครับ น้องมีธุระอะไรกับพี่หรือป่าวครับ" ผมหันไปตอบน้องเค้า พลางมองสำรวจไปด้วย น้องเค้าเป็นเด็กผู้หญิง ผมดำยาวถึงกลางหลัง กับดวงตากลมโตสีดำมืดสนิทที่น่าดึงดูด ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆเข้ากับใบหน้ารูปไข่ และผิวขาวใส ส่วนสูงที่น่าจะเกิน 160 ซม.มาเล็กน้อย ละรูปร่างที่ผอมเพรียวดูคล่องแคล่ว เรียกว่าเป็นคนน่ารักไม่ใช่น้อยเลยแหล่ะ
"คือว่า..."น้องเค้าตอบเสียงอ่อย ไม่จบประโยค พร้อมกับท่าทางเขินอายนิดๆ ผมจึงถามกลับซ้ำไปอีกครั้ง"มีธุระอะไรหรือครับ??"
"คือว่า...หนูเล่นเกมแพ้เพื่อนแล้วเพื่อนเค้าสั่งให้หนูมาขอเบอร์พี่คะ"น้องเค้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดออกมาทีเดียวหมด ก่อนที่จะทำหน้าเหมือนสบายใจขึ้น แล้วส่งยิ้มมาให้ผม "ได้ไหมคะพี่ฟรอน"
"แหม พี่ยังไม่รู้ชื่อน้องเลย คงให้น้องไม่ได้หรอกครับ"ผมพูดจริงๆนะ เบอร์ผมให้คนยากนะ
"หนูชื่อ ชายด์ ส่วนเพื่อนหนูชื่อมายอง ทีนี้พี่ก็ให้เบอร์หนูได้แล้วใช่ไหมค่ะ"น้องผู้หญิงที่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าชื่อชายด์พูดเสียงดังฟังชัด ท่าทีต่างจากที่ขัดเขินเมื่อกี้ชัดเจนเลย ถ้าจะจริงแฮะที่ถูกบังคับให้มาขอเนี้ย
"แค่รู้จักชื่อ ไม่เห็นจะจำเป็นที่พี่ต้องให้เบอร์กับน้องเลยนะ ยกเว้นว่าน้องจะให้เบอร์กับพี่ก่อน แล้วพี่จะพิจารณาอีกที" ผมตอบน้องเค้าไปแล้วยักคิ้วแถมไปอีกทีหนึ่ง พร้อมกับมาดทะเล้นนิดๆ น้องชายด์ก็เลยทำหน้าเหมือนไม่พอใจ แล้วตะโกนขึ้นมา"ถ้าพี่อยากได้เบอร์หนู ก็รอชาติหน้าเถอะค่ะ"
น้องชายด์พูดอย่างอารมณ์เสียที่ผมกะลิ้มกะเหลี่ยใส่ แล้วก็เดินจากไปซะงั้น สงสัยคงไม่เอาเบอร์ผมแล้วล่ะมั้ง ผมคิดในใจ ก่อนที่จะหันไปจ่ายเงินให้แม่ค้าโดยที่ไม่ลืมที่จะหยิบจานข้าวมันไก่กลับไปกินด้วยโดยที่ไม่รู้เลยว่าน้องเค้าได้หันมามองผมอีกครั้งแล้วพูดกับตัวเองเบาๆ
"น่าสนใจแฮะ ไว้สงครามเริ่มเมื่อไร คงได้รู้จักกันอีกที"
"เอาละ ฟรอน ชั้นจะเล่าถึงเหตุผลที่ชั้นมาสายวันนี้เลยละกัน เชื่อว่านายต้องไม่เชื่อชั้นแน่ๆ"ไฟร์เปิดประเด็นหลังจากที่ผมเดินถือจานข้าวมันไก่กลับมากินที่โต๊ะที่เจ้าสามคนนี้มันจองไว้ให้ ส่วนคนอื่นๆก็จัดการอาหารของแต่ละคนไปพลาง ฟังที่ไฟร์เล่าไปพลางๆ
"นายรู้ใช่ไหม เรื่องที่รถประจำทาง จำกัดน้ำหนักจุคนไว้ที่ 2,500 กิโลหน่ะ"ไฟร์หันมาถามผม พลางเลียไอศกรีมในมือตัวเอง
"รู้สิ ถ้าเกินกว่านั้นแม้แต่กิโลเดียว รถมันจะลงจอดบนพื้นทันทีใช้ป่าว??" ผมหันไปถามมัน
"นั้นแหล่ะ นายรู้ไหม เมื่อเช้าชั้นมาสายเพราะรถมันจอดบนพื้นเนี้ยแหล่ะ"
"งั้นมันน่าแปลกตรงไหนล่ะ คนรวมๆกันอาจจะน้ำหนักเกินนี้ แค่ให้คนออกไปจนน้ำหนักเบากว่าเกณฑ์ก็ทำงานตามปกติแล้วไม่ใช้หรอ"ผมถามด้วยความสงสัย จำได้ว่าถ้าเบากว่าเกณฑ์เมื่อไร มันก็จะลอยละบินเองตามปกตินี้
"นั้นแหล่ะที่น่าแปลก นายก็รู้นี้ว่าระบบการขนส่งด้วยรถประจำทางไม่เคยเสียเลย และถ้ามันเสีย ก็เสียทั้งระบบ เพราะระบบคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมมันคอยสั่งการณ์ทุกคันเอาไว้ใช่ไหม"
"แต่บางครั้งก็เป็นปัญหาจากตัวรถเองก็ได้นี้ครับเช่นระบบลอยตัวเสีย"เสียงของเซนต์ดังแทรกขึ้นมาทำให้ผมต้องหันไปมอง เซนต์กินข้าวที่ตัวเองซื้อมาหมดแล้วแฮะ ผมยังกินไม่หมดเลยนะ
"มันก็ใช่ แต่ถ้าเสียที่ระบบลอยตัว มันต้องเรียกช่างซ่อมมาใช่ไหม แต่เหตุการณ์เมื่อเช้ามันไม่มีไง อีกอย่าง ถ้าน้ำหนักเกินเกณฑ์ รถจะประกาศเตือนหาผู้โดยสารที่เสียสละไปรอบคันหน้าด้วยไง"
"นายรีบๆเค้าเนื้อเรื่องเหอะ จะหมดเวลาพักอยู่แล้วนะ"ผมเร่งให้ไฟร์รีบๆเล่า พลางจัดการจานข้าวของตัวเอง ส่วนโมซาร์ดหรอ ฟุบหลับไม่ฟังใครไปแล้ว
"จะเล่าอยู่เนี้ย คือตอนชั้นขึ้นรถก็ประมาณเกือบๆแปดโมงแล้ว พอผ่านไปสักพักก็มีคุณลุงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในรถ เท่านั้นแหล่ะ"
"ทำไม??"ผมถามมอย่างสงสัย พลางมองนาฬิกาเรือนโปรดที่แขนซ้าย จะเก้าโมงครึ่งอยู่แล้วแฮะ สงสัยต้องเตรียมตัวรอเข้าเรียนล่ะ
"รถมันลงจอดพื้นเฉยเลย แล้วประกาศด้วยนะว่าน้ำหนักเกินเกณฑ์ ทั้งๆที่บนรถตอนนั้น มีคนแค่สิบห้ากว่าๆเอง ยังไงน้ำหนักก็ไม่ถึง 2,500 หรอก"ไฟร์บอกพวกผมทำท่าทางเหมือนพบเรื่องเหนือธรรมชาติเข้า ส่วนผมก็หยิบจานไปเก็บที่ที่เก็บล้างแล้ว เรื่องแค่นี้มันน่าตื่นเต้นตรงไหน
"บ้าน่า เป็นไปไม่ได้สิครับ กรณีแบบนี้อาจจะเกิดที่ระบบวัดน้ำหนักของตัวเครื่องหรือป่าวครับ"ตรงข้ามกับเซนต์ที่ท่าทางดูสนใจเต็มที่ ผมละไม่เข้าใจพวกมันเลยจริงๆ
"ถ้าใช่ก็ดีสิ ตอนแรกก็มีแปลกใจอยู่บ้าง และยอมเสียสละลงรถไปหลายคนเลย แต่รถก็ยังประกาศน้ำหนักเกินเกณฑ์อยู่ จนในที่สุด คุณลุงที่เพิ่งจะขึ้นมาคงอารมณ์เสีย เท่านั้นแหล่ะ..."
"เกิดอะไรขึ้นครับ??"เซนต์ถามเสียงดัง ทำตาโต ท่าทางจะตื่นเต้นมากจริงๆ พอๆกันเลยสองคนนี้นี่
"รถมันก็กลับมาทำงานตามปกตินะสิ"ไฟร์ตอบ ทำเอาเซนต์อึงไปพักหนึ่ง พลางทำหน้าครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เป็นไปได้ที่จะอธิบายสถานการณ์ตอนนั้น
"หรือว่า...คุณลุงคนนั้นมีน้ำหนักมากกว่า 1,000 กิโลกันครับ เป็นไปไม่ได้หรอกครับนั้น"
"ชั้นว่าเผลอๆ จะเกิน 2,000 กิโลด้วยซ้ำ ส่วนเหตุผล ชั้นก็ไม่รู้ว่าทำไม ขอให้เรื่องที่ชั้นคิดมันไม่จริงด้วยเถอะนะ"ไฟร์ตอบเซนต์พลางทำหน้าเศร้าใจนิดๆ ผมละไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเครียดเรื่องอะไรกัน
อ๊อดดดดด...
"เฮ้!!! พวกนายเลิกนั่งคิดแล้วขึ้นห้องเรียนได้แล้ว ได้เวลาเรียนแล้วนะ เฮ้ยๆ ไอ้โม ตื่นได้แล้วๆ"ผมบอกไฟร์กับเซนต์ก่อนที่จะหันไปปลุกโมซาร์ดพลางเขย่าตัวมันไปด้วย
"เออจริงแฮะ คาบหน้าคณิตศาสตร์นี้ แย่แล้วไง ถ้าขึ้นสายละก็ โดนตัดคะแนนแน่"ไฟร์เหมือนจะเพิ่งคิดได้แล้วเตือนทุกคนออกมา พอทุกคนได้ยินดังนั้นก็รีบกุลีกุจอเก็บของ แล้วิ่งขึ้นห้องทันที
"มันเป็นเพราะอะไรกันนะ ยังไงๆก็ไม่มีเหตุผลมาอธิบายเลย"เซนต์พูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งขึ้นห้องเรียน สักพักก็สะบัดหัวแรงๆ แล้วเลิกคิดหันมาตั้งใจวิ่งขึ้นห้องเรียนให้ทันเพื่อน
อึก...อึก...อึก...
อะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี้ย อยู่ดีๆทำไม...ถึงปวดแสบปวดร้อนแบบนี้นะ...
ไม่ไหวแล้ว...ใครก็ได้...ช่วย...ด้วย...
เกิดอะขึ้นกับเรา...ทำไมอยู่ดีๆ...ผมถึงนอนอยู่บนพื้นได้...
ทำไม...มันร้อนที่...หัวใจ...แบบนี้นะ...
"เฮ้ยยยยย!!! ฟรอน"
นั้นคงเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่จะหมดสติไป...
"ที่นี้ที่ไหนเนี้ย"ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่ไหนได้ พลางหันไปสำรวจดูรอบๆ ข้างซ้ายของผมเป็นเตียงอีกสองเตียง ติดกับกำแพงห้อง เตียงข้างๆผมมีเซนต์กับไฟร์กำลังนั่งคุยกันอยู่ ส่วนอีกเตียงมีโมซาร์ดนอนหลับอยู่ไปเรียบร้อนแล้ว ส่วนทางขวา ติดกับหน้าต่าง ที่มองออกไปเป็นโรงอาหารหลักที่ผมไปทานเข้าเช้ามา ส่วนด้านหน้าของผม มีโต๊ะอาจารย์อยู่ตัวหนึ่ง ที่โต๊ะมีอาจารย์พยาบาลนั่งทำงานอยู่ข้างๆกันนั้น เป็นตู้ยาที่มียาอยู่สารพัดอยู่ข้างใน ผมอยู่ห้องพยาบาลสินะตอนนี้ ผมมองสำรวจห้องสักพัก ก็มีเสียงของเซนต์ดังขึ้นมา
"ฟรอน!!! ตื่นแล้วหรอครับ ทำเอาพวกผมเป็นห่วงมากเลยรู้ไหมครับ"เซนต์รีบลุกมากอดผม พลางทำหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ แค่บอกว่าเป็นห่วง ชั้นก็ดีใจแล้วล่ะน่ารู้ไหมเนี้ย ไม่ต้องมากอดกันหรอกผมมองไปทางด้านหลังของเซนต์ก็เห็นไฟร์กำลังมองยิ้มๆดูพวกผมอยู่ด้วยสายตา...เหมือนดูคู่รักยังไงยังงั้น
เอ๊ะ!!! ...คู่รัก...
"เฮ้ย!!! ไฟร์ ไม่ใช้อย่างที่นายคิดนะเว้ย ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับเซนต์นะ เราเป็นเพื่อนกัน"ผมรีบบอกมันทันทีที่รู้ตัวว่ามันคิดอะไรอยู่ เรื่องบ้าๆแบบนี้นายคิดได้ยังไงวะไอ้บ้านี้ ไฟร์ยักไหล่แล้วหันมาบอกกับผมด้วยท่าทางกวนๆ"ชั้นก็ยังไม่ได้พูดอะไรนี้นา อย่าร้อนตัวสิฟรอน"
"ฟรอนเห็นผม...ปะ...เป็นคนไม่...สะ...สำคัญ...หระ...หรอครับ"เซนต์พูดขณะที่เลิกกอดแล้วเปลี่ยนมาเป็นจ้องหน้าผมแทน เฮ้ยๆ ทำแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย เซนต์ อย่ามาส่งสายตาที่มีน้ำตานองหน้าเหมือนอ้อนแฟนตัวเองแบบนี้กับผมนะเว้ย"นายเป็นเพื่อนสนิทชั้นนะ อย่าคิดอะไรแปลกๆสิเซนต์"
"ส่วนนาย ไฟร์ เลิกคิดอะไรบ้าๆได้แล้ว ชั้นรู้นะว่านายคิดอะไรอยู่"ผมหันไปบอกไฟร์อย่างเอาเรื่อง พร้อมกับสงสายตาอาฆาตไปให้ มันเหมือนจะพูดกวนผมต่อ แต่โชคดีที่เสียงของอาจารย์พยาบาลดังขึ้น
"นี้ เด็กๆจ๊ะ ถ้าหายแล้วก็กลับบ้านได้แล้วนะ นี้จะห้าโมงเย็นอยู่แล้วนะรู้ไหม"อาจารย์พยาบาลหันมาบอกพวกผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ห๊ะ!!! ... ห้าโมงเย็น!!!
"นี้ชั้นนอนหลับไปทั้งวันเลยหรอเนี้ย"ผมหันไปถามไฟร์ด้วยความตกใจ แปดชั่วโมง!!! โอ้ตายๆๆ ไม่ได้เรียนอะไรเลยสิเนี้ย เวรแล้วๆๆ ผมบ่นกับตัวเองอยู่ในใจพลางตีหัวตัวเองไปมา ไฟร์ก็พูดแทรกขึ้นมาในความคิดผม"นายหลับไปทั้งวันเลยแหล่ะ พวกชั้นก็เลยโดดเรียนมาเฝ้านี้ไง"
"ชั้นซึ้งใจพวกนายจริงๆเลย แต่กลับบ้านกันได้ยัง"ผมพูดจากใจเลยนะ เพื่อนที่โดดเรียนมาเฝ้าไข้ให้ หาไม่ได้ง่ายๆเลยนะ หรือพวกมันอยากโดดเรียนกันแน่ เอ๊ะยังไงๆอยู่
"อืม กลับเหอะ นี้ก็เย็นแล้ว ไว้ถามอะไรๆพรุ่งนี้แล้วกัน"ไฟร์บอกกับผมแล้วลุกขึ้นยืนโยนกระเป๋าผมมาให้ สงสัยพวกมันจะเอามาให้ผมแน่ๆเลย แล้วมันก็สะพายกระเป๋าตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไป แต่ก่อนที่มันจะไป ก็ไม่วายหันมาบอกกับผมก่อน"ส่วนการบ้านวันนี้ หัวหน้าห้องจัดการให้แล้ว พวกเราไม่ต้องทำอะไรเลย นายก็รีบกลับบ้านไปรักษาตัวเองดีๆล่ะ เจอกันพรุ่งนี้"
"เจอกับพรุ่งนี้"ผมบอกลาไฟร์เป็นคนแรก ดูท่ามันจะรู้งานแฮะว่าผมจะทำอะไรต่อแล้วมองส่งตามหลังมันที่เดินออกจาห้องพยาบาลไป พอส่งมันเสร็จแล้ว ผมจึงมาเคลียร์กับคนต่อไป "เซนต์นายเองก็กลับบ้านได้แล้ว คุณลุงคนขับรถมารอนายที่หน้าโรงเรียนแล้วนะ"
"จริงด้วยสินะครับ ฮึก...งั้นผมกลับบ้านก่อนนะครับฟรอน ฮึก... รีบๆรักษาตัวไวๆนะครับฮึก...ฮึก..."เซนต์บอกผมขณะที่เช็ดน้ำตาที่นองหน้าตัวเองไปด้วย ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องไปอีกคน "โชคดีนะครับฟรอน ฮึก...รีบๆหายนะครับ ฮึก..."
"จ้าๆ โชคดีๆ"และเซนต์ก็จากไป ทีนี้ผมจะได้ถามข้อสงสัยกับอาจารย์พยาบาลซะที
"อาจารย์ครับ ผมเป็นอะไรหรอครับ"
"เพื่อนเธอบอกว่า ตอนที่เธอวิ่งขึ้นห้องเรียน อยู่ดีๆเธอก็เอามือกุมหน้าอกซ้ายแล้วล้มลง เธอเคยเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจมาก่อนหรือป่าวล่ะ"อาจารย์ไขข้อข้องใจให้ผมฟัง
"ไม่เคยมาก่อนครับ ปกติก็ออกกำลังกายมาตลอด เรียกว่าร่างกายแข็งแรงเลยครับอาจารย์"
"งั้นก็หน้าแปลกนะ จากที่อาจารย์ตรวจร่างกายเธอแล้ว เธอก็ไม่ได้ผิดปกติหรือมีปัญหาอะไรนี้ ว่างๆก็ร้องไปตรวจที่โรงพยาบาลละกันนะ"อาจารย์บอกกับผมอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปจัดการงานของตัวเองต่อ ส่วนผมก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วบอกลาอาจารย์ก่อนที่จะลุกสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องไป
"ทำไมนายต้องให้พวกนั้นกลับไปก่อนด้วยล่ะ"อยู่ดีๆเสียงของโมซาร์ดก็ดังขึ้นมาข้างหลังผม ทำเอาผมสะดุ้ง ลืมไปเลยว่ามันนอนอยู่ในห้องพยาบาล สงสัยจะตื่นแล้วแต่ไม่บอกมั้ง"ก็ไม่อยากให้พวกนายเป็นห่วงไง อีกอย่างนี้ก็รบกวนมานานแล้วนะ"
"มีอะไรก็บอกพวกชั้นได้นะ ยังไงพวกเราก็เพื่อนสนิทกันนะ จำเอาไว้ล่ะ"โมซาร์ดตบไล่ผมแล้วเดินนำหน้าไป ผมได้แต่มองตามหลังของมันโดยที่ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย นี้สินะ...เพื่อนสนิทที่หามานาน
ผมยิ้มอยู่ในใจ แล้วจึงเดินกลับบ้าน พรุ่งนี้รีบๆตื่นมาทำอาหารเช้าดีกว่าแฮะ ผมคิดในใจไปพลางๆ
"แม่ฮะ พ่อฮะผมนอนแล้วนะครับ ราตรีสวัสดิ์" ผมตะโกนบอกคุณแม่คุณพ่อที่ดูละครอยู่ชั้นล่างของบ้าน แล้วก็ปิดประตูเตรียมล้มลงนอน ในห้องนอนที่คุ้นเคยขงตัวเอง
อึก...อึก...อึก...
ความรู้สึกนี้อีกแล้ว...นี้มัน...อะไรกัน...
ร้อน...ร้อนไปหมด...เหมือนร่างกาย...จะเผาไหม้...
ต้องตะโกน...ให้คนมา...ช่วย...
เสียง...ไม่มี...เสียงเลย...
ช่วยด้วย...ผมจะตาย...แล้วหรอ...
ทรมาน...เหลือเกิน...
และแล้วผมก็สลบไป โดยที่ไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป ชีวิตของผม จะเปลี่ยนไป...ตลอดกาล...
กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง...ปี๊ก!!!
เช้าแล้วหรอ... เมื่อคืนอยู่ดีๆทำไมเราถึงหลับไปนะ จำได้ว่าก่อนที่จะหลับ เราร้อนที่หน้าอกอีกแล้วนี้นะ สงสัยคงต้องไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาลซะแล้วสิ เฮ้อออ วุ่นวายอีกแล้วๆ
ผมคิดในใจแล้วลุกขึ้นจากเตียงเตรียมตัวไปอาบน้ำตอนเช้าเหมือนทุกที พลางลุกขึ้นจากเตียงแล้วเตรียมตัวไปที่ห้องน้ำ เอ๊ะ!!!...ทำไมเตียงผมถึงเย็นๆแล้วก็ลื่นๆแบบนี้...
ด้วยความสงสัยผมจึงหันไปมองที่เตียงของตัวเอง สิ่งที่ผมเห็น แทบจะไม่อยากเชื่อสายตา...
เตียงของผม...กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว น้ำแข็งในรูป เตียงแช่แข็งเนี้ยนะ
นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้น กับชีวิตของผมกันเนี้ย!!!
จบตอนที่หนึ่งแล้วนะครับ ยังไงก็ขอความกรุณา ติชมผลงานได้ตามใจชอบนะครับ ผมจะนำไปพัฒนาต่อไป
ความคิดเห็น