ตอนที่ 8 : ลำนำบท 8 บาดแผล
ลำนำบท 8 บาดแผล
แม่ทัพในชุดพักผ่อนสีขาวพลิ้วเดินไปเดินมาภายในกระโจมที่พักอย่างหงุดหงิด
“ดื่มไปเยอะเท่าใด?” เจิ้นฮว๋าเอ่ยถามขุนพลที่ยืนอยู่ข้างๆ
“หนึ่งจอกเท่านั้น”
“เหตุใดยังไม่รู้สึกตัวเล่า?” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกอย่างร้อนรน
“เจ้าใจเย็นก่อน การตอบสนองร่างกายของแต่ละคนต่างกัน คุณชายอาจจะไม่เคยแตะต้องสุรา แต่อีกเดี๋ยวก็น่าจะรู้สึกตัว” อู๋ซวงอธิบายอย่างใจเย็น
เจิ้นฮว๋าสั่งให้คนไปเอาน้ำสะอาดเข้ามาหนึ่งถังพร้อมผ้าสะอาด เขาบรรจงใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ซับไปที่ดวงหน้าสวยแต่ดูซีดเซียวนั้นเบาๆ เจ้าของเรือนหน้างามบัดนี้นอนไม่ได้สติอยู่ในกระโจมที่พักของแม่ทัพหวังผู้มีชื่อ
ขุนพลอู๋ซวงยกยิ้มเพียงนิดก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอก หลังจากที่จื่อเจินเมาฟุบไป ก็เป็นเขาที่อุ้มคนร่างบางนี้ออกมาจากโรงเตี๊ยม บ่าวที่รออยู่ด้านหน้ามองหน้าตื่น แต่เมื่อได้รับคำอธิบายก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจ
อู๋ซวงจึงรับหน้าที่นำคนเมากลับมาที่ค่ายกองทัพเป่ยหยาง แม่ทัพหวังที่เห็นว่าคนที่ฟุบไม่ได้สติอยู่บนม้าเป็นใครก็รีบปรี่เข้ามารับทันที พร้อมกับต่อว่าสหายคนสนิทไปสองสามประโยค
หวังเจิ้นฮว๋าเมื่อเช็ดตัวให้คนตรงหน้าเสร็จก็ผละออกมาที่หน้ากระโจม สั่งให้ทหารเตรียมอาหารอ่อนๆ สองสามอย่างเสร็จแล้วก็กลับเข้าไปด้านในอย่างเดิม
เขาเลือกที่จะนั่งบนตั่งที่ตั้งอยู่อีกฟาก เลื่อนโต๊ะเล็กสำหรับเขียนอักษรมาด้านหน้า หยิบหนังสือและตำรามาเปิดผ่านๆ แล้วปิดลง แล้วหยิบอีกเล่มมาเปิดผ่านๆ ทำแบบเดิมซ้ำไปมา จวบจนมีเสียงทหารดังอยู่ด้านนอก
“ท่านแม่ทัพขอรับ”
“ว่าอย่างไร?”
“อาหารเสร็จแล้วขอรับ”
“ยกเข้ามา” ทันทีที่สิ้นเสียง ก็ปรากฎทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารที่แม่ทัพสั่ง เจิ้นฮว๋าลุกขึ้นไปรับถาดอาหารนั้นด้วยตนเองแล้วพยักหน้าให้ทหารออกไป ส่วนตัวเขาก็จัดการชิมอาหารทุกอย่างด้วยตัวเองเพื่อความไม่ประมาท ทั้งๆ ที่ปกติจะเป็นหน้าที่ของทหารที่ทำหน้าที่ส่งอาหาร
เมื่อเห็นว่าอาหารเรียบร้อยดี ส่วนคนที่นอนอยู่ยังไม่ตื่น หวังเจิ้นฮว๋าก็เลือกที่จะเดินออกไปด้านนอกเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยดังเคย
ขุนพลอู๋เซวียนเมื่อเห็นแม่ทัพเดินออกมาก็รีบตรงเข้าไปหาพร้อมกล่าว
“คืนนี้บุตรขุนนางเมืองเก่าเขตหนานหยางจะขอเข้ารับใช้”
“อืม” ร่างสูงพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ย
“พวกเจ้าไปบอกพวกทหารว่าคืนนี้ให้เข้าพักผ่อนให้เร็ว อย่ามัวแต่ดื่มกินจนดึกดื่นนัก” อู๋เซวียนพยักหน้ารับแล้วเดินแยกไป
แม่ทัพเดินวนไปมาอีกครู่ก็ลัดเลาะไปที่ด้านหลังของค่ายทหารนั้น พบเจ้าม้าคู่ใจของตัวเองยืนกินยอดหญ้าอ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มันหันมามองผู้เป็นนายเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก่อนจะหันกลับไปเคี้ยวหญ้าต่ออย่างไม่สนใจ เจิ้นฮว๋าคิ้วกระตุกนิดก่อนจะหันหลังเดินฉับๆ กลับไปที่กระโจม
เวลานี้ช่างน่าเบื่อนัก
เมื่อมือแกร่งแหวกผ้าที่ทางเข้ากระโจมเข้าไปก็พบกับร่างบางคุ้นตากำลังนั่งซดน้ำข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนจื่อเจินเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นใครน้ำข้าวต้มที่เพิ่งซดเข้าปากไปก็ถูกพ่นพรวดออกมา ช้อนในมือหล่นกระแทกชามดังเคร้ง มือเรียวรีบคว้ากลับขึ้นมาถือไว้เป็นพัลวัน พร้อมกับใช้ชายแขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ
“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยเอ่ยเรียบๆ
จื่อเจินได้แต่อึกอัก ทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกสายตาคมจับจ้อง ส่วนแม่ทัพหวังเมื่อเห็นปฏิกิริยาคนตรงหน้าดูกระอักกระอ่วน จึงเลือกที่จะเอ่ย
“เชิญเจ้าตามสบายเถิด” แล้วเดินออกไปข้างนอกอีกครั้ง แม่ทัพหวังที่เดินออกมาแล้วหลุดขำพร้อมกับส่ายหน้าเมื่อคิดถึงใบหน้าตกใจนั้น
“ช่างน่าเอ็นดูนัก”
เวลาล่วงเลยไปจนค่ำ จื่อเจินชะเง้อมองจนคอแทบเคล็ด แต่ก็ยังไม่ปรากฎเงาของท่านแม่ทัพที่ตนรอคอยมาแรมปี
ร่างบางลุกพรวดก่อนจะออกไปด้านนอกกระโจม ภายนอกไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่เขาเคยมาค้างแรม เหล่าทหารที่เคยกินดื่มในยามดึก บัดนี้กลับเงียบสงบ ทหารส่วนใหญ่เข้าพักกันแล้ว มีเพียงบางส่วนที่ถูกจัดเวรยามเพื่อลาดตระเวนรอบๆ เท่านั้น
จื่อเจินสังเกตไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าห่างออกไปมีกระโจมใหญ่ที่จุดไฟสว่างไสวอยู่ เท้าเรียวมุ่งหน้าไปทางนั้นด้วยความอยากรู้ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็เริ่มเห็นเงาด้านในเป็นรูปร่างของคนสองคนกอดกระหวัดแนบแน่น ท่วงท่าเหล่านั้นปรากฎชัดในดวงตากลม เสียงคนที่อยู่ด้านในก็ชัดเจนยิ่งขึ้น ที่ได้ยินชัดที่สุดเห็นจะเป็นเสียงเรียก “ท่านแม่ทัพ” ที่ดังกระเส่าอยู่หลายครา พร้อมเนื้อกระทบเนื้อกระแทกดังเป็นระยะ ขาเรียวหยุดกึกยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าใดไม่รู้ จนกระทั่งเสียงกิจกรรมในกระโจมนั้นเงียบไปแล้ว
ขอบตาเรียวของจื่อเจินร้อนผะผ่าว ก่อนจะรู้สึกว่ามีของเหลวอุ่นไหลออกมา จึงยกมือบางขึ้นปาดมันออกลวกๆ
เสียงฝีเท้าหนักๆ ของคนที่อยู่ด้านในกำลังจะเดินออกมา
จื่อเจินตัดสินใจหันหลังในทันทีนั้น ก้าวฉับๆ กลับไปทางด้านเดิมที่เดินมา เมื่อห่างจากจุดนั้นแล้วเท้าเรียวก็เริ่มออกวิ่งแทน
ช่างน่าขันสิ้นดี
จื่อเจินคิดแล้วหัวเราะสมเพชให้กับตัวเอง น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่าเขาวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใดด้วยซ้ำภายในความมืด ร่างบางกระแทกเข้ากับร่างแข็งแรงของใครบางคนในความมืด แต่ก็ไม่สนใจ จื่อเจินพยายามปาดหยาดน้ำตาออกครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะมันทำให้เขามองอะไรไม่เห็น ทันใดนั้นก็สะดุดเข้ากับโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งจนหน้าคะมำ
ร่างบางปล่อยให้ตัวเองล้มอยู่แบบนั้น มือเล็กขยำต้นหญ้าที่พื้นอย่างเจ็บปวด พร้อมปล่อยเสียงสะอื้นที่ฝืนกลั้นเอาไว้ออกมา
“จื่อเจิน? นั่นเจ้าใช่หรือไม่?” เสียงทุ้มที่ดังเบื้องหลังทำให้จื่อเจินค่อยๆ ได้สติ เสียงสะอื้นฮักน่าสงสารนั้นค่อยๆ ผ่อนลง แต่เจ้าตัวยังนั่งคุ้ดคู้อยู่กับพื้นแบบนั้นโดยไม่กลัวว่าเสื้อผ้าจะเปื้อนจะเลอะแต่อย่างใด จนกระทั่งฝ่ามือหนาจับพลิกกายจื่อเจินให้ลุกขึ้น
เมื่อเห็นว่าเป็นใคร น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วก็เอ่อคลอขึ้นอีกครั้ง จื่อเจินออกแรงผลักเต็มที่อย่างโมโห
“เจ้ามันร้ายกาจนัก!”
ร่างโปร่งบางถลันกายลุกขึ้นประจันหน้าแม่ทัพหวังแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีทั้งทุบและผลักคนตรงหน้าให้ออกห่าง
เจิ้นฮว๋าใจกระตุกวูบ มองใบหน้าเปื้อนน้ำตาและดินโคลนนั้นอย่างเจ็บปวด มือแกร่งจับรวบข้อมือบางเอาไว้มั่นแล้วเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า
“จื่อเจิน”
“ไม่ต้องเรียกข้า เจ้าไม่ต้องมาเรียกชื่อข้า!” เสียงที่เคยสดใสตวาดพร้อมเสียงสะอื้น
“ใครทำอะไรเจ้า?”
“เจ้าไม่ต้องมาถามข้า!!” ร่างบางสะอื้นไห้จนตัวโยน มือเรียวพยายามปาดน้ำตาและคราบดินที่บดบังการมองเห็นออกก่อนจะทรุดตัวลงไปกองบนพื้น
หวังเจิ้นฮว๋าย่อตัวลงก่อนจะสวมกอดร่างบาง ดันหัวทุยนั้นจมมิดเข้ากับอก ถึงคนในอ้อมกอดจะฝืนและพยายามสะบัดตัว แต่ก็ไม่เป็นผล แขนแกร่งยิ่งกระชับกอดแน่นขึ้น
“ใครทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอีกครั้งอย่างใจเย็นเมื่อรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดเริ่มสงบลงบ้างแล้ว
“เจ้ามันร้ายกาจ เจ้ามันโป้ปด” เสียงนั้นอู้อี้อยู่ในอก เจิ้นฮว๋าขมวดคิ้ว
“จื่อเจิน?” วงแขนแกร่งคลายออกก่อนที่มือแกร่งจะจับกระชับที่ไหล่บางทั้งสองข้างของคนตรงหน้า ดวงตาคมภายใต้แสงจันทร์มองดวงหน้าเรียวสวยที่บัดนี้มีแต่คราบเปรอะเปื้อน
“เจ้าต่อว่าข้าใช่หรือไม่?” แม่ทัพหวังเอ่ยถามตรงไปตรงมา มืออบอุ่นนั้นก็เลื่อนไปเช็ดคราบโคลนให้ แต่ก็ถูกปัดมืออก
“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครที่ไหนอีกเล่า?!” เพียงเท่านั้น หวังเจิ้นฮว๋าก็เข้าใจได้ทันที แขนแกร่งกระชับกอดร่างโปร่งบางที่คิดถึงมาเนิ่นนานอีกครั้งก่อนเอ่ย
“ข้าอยู่ที่นี่...อยู่กับเจ้า”
“ข้าจะกลับบ้าน ข้าจะกลับบ้านข้า” มือเล็กพยายามทุบตีวงแขนแกร่งนั้น แต่คนที่ถูกตีก็ไม่ยอมปล่อยจนน่ารำคาญ
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” เจิ้นฮว๋าตอบก่อนจะประคองจื่อเจินให้ลุกขึ้น แต่ก็ถูกสะบัดออก
“ไม่ต้องมาแตะต้องข้า” ว่าเสียงแข็งพร้อมกับเดินกะเผลกๆ โดยมีอีกคนเดินตามอยู่เบื้องหลัง เจิ้นฮว๋ามองแผ่นหลังแบบบางนั้นอย่างทรมาน ดวงหน้าคมหมองลงเมื่อเห็นว่าชุดสีขาวสะอาดที่ร่างบางสวมใส่บัดนี้เต็มไปด้วยสีของโคลนและเลือดที่น่าจะเกิดการแผลตอนที่สะดุดล้ม
“จื่อเจิน”
“...”
“มู่หรงจื่อเจิน” หวังเจิ้นฮว๋าเอ่ยเสียงดังขึ้นอีก
“ข้าคิดถึงเจ้านัก”
“เจ้าได้ยินหรือไม่”
“ข้าคิดถึงเจ้า”
“จื่อเจิน!” สิ้นเสียงนั้น ร่างบางทั้งร่างก็ถูกกระชากจากด้านหลัง แผ่นหลังบางกระแทกกับอกแกร่ง แต่ยังไม่ทันได้โวยวาย ดวงตาเรียวก็เห็นว่าพื้นเบื้องหน้าของตนเองเป็นหลุมกับดักสำหรับสัตว์ใหญ่
“เจ้าจะมิฟังข้าก็ได้ แต่กลับที่พักก่อนจะได้หรือไม่”
“...” เสียงสะอื้นเบาๆ ยังคงดังมาจากร่างที่หวั่นไหวด้านหน้า
“เจ้าออกมาไกลเกินไปแล้ว” เจิ้นฮว๋าไม่พูดเปล่าช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบอกแล้วเดินกลับเข้าไปยังเขตค่ายทหาร จื่อเจินมองไปด้านอื่น ส่วนแม่ทัพมองตรงไปด้านหน้า ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีกจวบจนถึงค่าย
ทหารลาดตระเวนมองเห็นสภาพของคนทั้งสองก็ตกใจทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่ก็ได้รับการพยักหน้าเบาๆ จากแม่ทัพว่าไม่มีอะไรต้องกังวล เหล่าทหารจึงกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง
ด้านในกระโจมมีของไม่กี่อย่างดังเช่นเคย จะมีที่แปลกตาอยู่ก็คือโถแจกันข้างตั่งที่ปักดอกหญ้ากำใหญ่เอาไว้ ร่างบอบบางถูกวางลงบนตั่งนอน หากเป็นในยามปกติเจิ้นฮว๋าคงจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพเลอะไปด้วยดินโคลนและเศษหญ้าของคนตรงหน้า แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ ยามที่เห็นหยาดน้ำตาใสไหลออกมาจากดวงตาสวยที่เขาชอบมอง
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าไปที่ใดมา?”
“...” ดวงตาของจื่อเจินเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบตามองเขา ทั้งยังไม่ตอบอย่างเคย
หวังเจิ้นฮว๋ายังไม่ทันได้ถามต่อ ก็ยินเสียงดังมาจากด้านนอก
“ท่านแม่ทัพขอรับ”
“มีธุระอันใดอีกเล่า!” เสียงทุ้มตวาดกร้าวออกไปอย่างหงุดหงิด ในใจเขาตอนนี้พะวงกับคนตรงหน้าเสียยิ่งกว่าอะไร
“มะ แม่ทัพอู๋ซวง...” เสียงทหารนายหนึ่งด้านนอกพูดออกมาสั่นๆ แต่ยังไม่ทันได้แจงเนื้อความใดๆ ก็ถูกตัดบทจากผู้เป็นนาย
“ไม่ใช่เวลานี้ พวกเจ้าไปตามหมอให้ข้า แล้วไปพักผ่อนเสีย ไม่ต้องเฝ้า”
ดวงหน้าคมหันกลับมามองจื่อเจินแล้วก็รู้สึกอึดอัดใจ อยากจะถามความ แต่คนตรงหน้าก็ไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งยังดูโมโหโกรธาเสียจนถ้าได้จับดาบคงฟาดเขาไม่ยั้งเป็นแน่
ร่างแกร่งลดตัวลงชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้นที่ด้านหน้าจื่อเจิน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับขาข้างที่เจ็บขึ้นมาวางไว้บนหัวเข่าของตัวเอง จื่อเจินรั้งขากลับ แต่มือแกร่งจับยึดข้อเท้าไว้แน่น พร้อมกับที่ค่อยๆ เลื่อนชุดคลุมยาวนั้นขึ้นเพื่อดูบาดแผล
เป็นอย่างที่คิด ขาเรียวถูกคมหินบาดเป็นรอยยาว ลิ่มเลือดสีแดงสดยังคงไหลออกมาไม่หยุด
เจิ้นฮว๋าหันไปหยิบผ้าในถังน้ำผืนที่ใช้เช็ดตัวเช็ดหน้าคนเมาขึ้นมาบิดจนหมาด แล้วซับทำความสะอาดรอบๆ แผลนั้นอย่างใจเย็น ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นจนเมื่อหมอประจำค่ายทหารขอเข้ามาด้านใน
แผลถูกทำความสะอาดและใส่ยา ก่อนจะถูกพันผ้าเอาไว้ด้วยเวลาเพียงครู่เดียวโดยผู้ชำนาญ
“ข้าจะจัดยาไว้ให้ พยายามอย่าเดินเหินก็จะหายดีในเร็ววัน” คนเป็นหมอพูดอย่างใจดี จื่อเจินเพียงพยักหน้ารับ
“แล้วก็นี่เป็นยาทา สำหรับแผลฟกช้ำ” หมอยื่นยามาให้อีกหนึ่งตลับเล็ก เป็นแม่ทัพที่รับไปถือเอาไว้พร้อมกล่าวขอบคุณก่อนที่หมอจะขอตัวกลับไปพักผ่อน
“เจ้าต้องการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่?”
“...”
“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเสียเถิด” เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้ยินคำพูดใดๆ อย่างปากเรียวสวยนั้น เจิ้นฮว๋าก็ตัดบท มือหนาสะบัดเพียงนิด เปลวไฟที่เคยสว่างบนเชิงเทียนก็ดับวูบลงเหลือเพียงความมืดมิด ส่วนตัวเขาเองเลือกที่จะเดินออกไปข้างนอก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องเสียใจ น้อยใจ เพราะอะไร เพราะใคร ไม่รู้เลยเหรอ ท่านแม่ทัพ ☹️☹️☹️ ฮึ่ย โกรธ 😠😠😠 ขอบคุณค่ะไรท์ ♥️💕♥️💕