ตอนที่ 3 : ลำนำบท 3 กลับเป่ยหยาง
ลำนำบท 3 กลับเป่ยหยาง
“หวังเจิ้นฮว๋า คือชื่อของข้า” ทันทีที่ฟังจบก็หลุดขำพรืดออกมา
“ถ้าเจ้าคือแม่ทัพหวัง ข้าก็คงเป็นขุนพลอู๋ซวงแล้วกระมัง” ใครบ้างเล่าจะไม่รู้จักแม่ทัพร้อยสมรภูมิ ฝีมือรบและไหวพริบเป็นเลิศ มิเคยได้ยินว่าได้รับบาดเจ็บจากการออกรบเลยสักครั้ง
“...” คนตัวสูงไม่พูดอะไรอีก ดวงตาคมมองไปยังผืนป่าด้านหน้า เป็นจื่อเจินที่เอ่ยขึ้น
“นี่ ข้าจะบอกอะไรให้ อันที่จริง....” คิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อกระตุกนิด ก่อนจะหันไปทำท่าจุ๊ปากให้ร่างบางข้างๆ พร้อมกับดึงให้ลุกขึ้นไปหลบที่ต้นหลิวใหญ่ใบระย้าลงมาเป็นพุ่มจนแทบจะกองกับพื้นดิน
“เจ้าจะทำอะไร?” จื่อเจินเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
“เงียบ”
“...”
เจิ้นฮว๋าลากเจ้าม้าคู่ใจเข้าไปให้จื่อเจินดูแล ก่อนเจ้าตัวจะชัดเอาดาบที่เหน็บไว้ข้างกายม้าคู่ใจออกมา
ครู่ใหญ่ๆ ก็มีเสียงสวบสาบดังมาจากป่าอีกด้านของลำธาร พลันก็ปรากฎชายสองคนในชุดศึกสีเงิน มือของทั้งสองกำอาวุธธนูแน่น แต่ก่อนที่ชายทั้งสองนั้นจะได้ทันย่างก้าวผ่านธารน้ำเพื่อข้ามมาฝั่งนี้ หวังเจิ้นฮว๋าก็ปาดาบคู่กายออกไปทางเป้าหมายทันที
ดาบสีเงินปักเข้ากับลำของต้นไม้ต้นหนึ่ง ของเหลวสีแดงไหลออกมาจากแผลบนลำต้นไม้นั้น ชายทั้งสองตื่นตัวฉับพลัน สายตาสองคู่ตวัดขวับมองที่มาของเสียง คนหนึ่งรีบวิ่งไปดูที่ต้นไม้ ก่อนที่อีกคนจะสอดส่ายสายตาด้วยความระแวดระวัง คันธนูถูกยกขึ้นเตรียมพร้อม
“ท่านแม่ทัพอยู่ที่นี่” ชายที่เข้าไปสำรวจดาบเล่มนั้นทักขึ้นก่อนจะผิวปากเป็นเสียงนกป่าที่ร้องเจื้อยแจ้ว พลันนั้นเองหวังเจิ้นฮว๋าก็ผิวปากในเสียงที่คล้ายกันเป็นการตอบรับกลับไป
มู่หรงจื่อเจินมองเหตุการณ์นั้นอย่างตื่นเต้นระคนตกใจ ดวงตาเรียวสวยมองอย่างไม่กล้าละสายตา ขณะที่ชายทั้งสองก็ค่อยๆ เดินข้ามธารน้ำมาที่อีกฝั่งก่อนจะชักฝักดาบที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมาปักลงที่พื้นพร้อมกับคุกเข่าลงหนึ่งข้าง
หวังเจิ้นฮว๋าแหวกกิ่งหลิวลู่ลมเหล่านั้นเดินออกไปด้านหน้าของชายทั้งสองก่อนจะเอ่ย
“ลุกขึ้น”
ชายทั้งสองผงกหัวเล็กน้อยก่อนจะยืดกายยืนขึ้นเต็มความสูง ความสูงของพวกเขาพอๆ กัน ชายคนหนึ่งโค้งตัวแล้วยื่นดาบของหวังเจิ้นฮว๋าคืนให้พร้อมเอ่ย
“มิผิดดังที่ข้าคิดไว้”
“เจ้ามาช้านัก”
“การตามหาตัวเจ้าช่างยากเย็นนัก บวกกับต้องหาทางข้ามผ่านเข้ามาในเขตแดนนี้ก็กินเวลาพอสมควร...” เอ่ยจบก็ลอบมองไปด้านหลังของหวังเจิ้นฮว๋าที่ปรากฎกายของบุคคลแปลกหน้าที่สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม่ทัพเหลือบมองไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยแนะนำ
“มู่หรงจื่อเจิน เป็นผู้ช่วยชีวิตข้าและเป็นสหายข้า”
จื่อเจินพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมทั้งมองชายผู้มาใหม่ทั้งสองตาไม่กระพริบ
“ส่วนด้านหน้าข้าผู้นี้คือขุนพลอู๋ซวงและอู๋เซวียน สหายรบร่วมกับข้า”
“ถะ ถ้ายังงั้นเจ้าก็...เจ้าก็....” จื่อเจินกระพริบตาปริบๆ อยากจะเอ่ยสิ่งที่คิดในใจออกมาแต่ก็พูดไม่ออก
“ชายตรงหน้าท่านตอนนี้ก็คือแม่ทัพหวังเจิ้นฮว๋าแห่งเป่ยหยางอย่างไรเล่า” อู๋เซวียนเป็นฝ่ายตอบ จื่อเจินเบิกตากว้างพร้อมกับถอยหลังกรูดไปชนเข้ากับเจ้าม้าสีดำขี้หงุดหงิด มันกระเด้งตัวผลักให้เขาเซถลาจนชนเข้ากับเจิ้นฮว๋าอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ก็พอดีกับที่แขนแกร่งนั้นคว้าหมับเข้าที่เอวบางเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
ร่างโปร่งเบิกตากว้างกว่าเดิมเมื่อพบว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร ดวงหน้าได้รูปนั้นเลิกลั่กอย่างน่าขันในสายตาของสามทหาร ก่อนที่จะทันได้ทำอะไรต่อ จื่อเจินตัดสินใจสะกดจุดตนเองเป็นลมมันซะตรงนั้นเลย
ม้าศึกร่างกำยำที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างๆ ร้องฮี้อย่างขัดใจพร้อมส่งเสียงฟู่ออกจากจมูกโตของมัน
จื่อเจินตื่นขึ้นมาบนตั่งในห้องนอนของตัวเองหลังจากเวลาผ่านไปชั่วโมงเต็มๆ เปลือกตาบางกระพริบถี่ๆ มองไปรอบๆ ก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ใครแต่เป็นบิดาของตนเอง
“ท่านพ่อ”
คนเป็นบิดาถอนหายใจหนักๆ อย่างปลงๆ กับลูกของตัวเองที่เที่ยวใช้วิชาสุ่มสี่สุ่มห้า ก่อนจะยื่นของสิ่งหนึ่งไปข้างหน้าร่างบางนั้น
“??” ดวงตาเรียวมองพร้อมเลิกคิ้ว กำลังจะอ้าปากถาม แต่ผู้อาวุโสกว่าก็เอ่ยพูดขึ้นมาก่อนอย่างตรงไปตรงมา
“ตราบัญชาทัพ”
“หา?” จื่อเจินงงเป็นไก่ตาแตก มันคืออะไร แล้วพ่อของเขาเอามาให้ดูทำไม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าช่วยใครไว้?”
“ข้า...” เจ้าตัวตอบเพียงแค่นั้น ก็หวนนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เขาจะใช้วิชาสะกัดจุดตนเองไป ได้เจอเข้ากับขุนพลผู้มีชื่อ อีกอย่างคนที่เขาช่วยเอาไว้ก็เป็นถึงแม่ทัพ ถึงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็เถอะ เพราะหลักฐานอะไรสักอย่างก็ไม่มี
“ตอนนี้ ‘เขา’ อยู่ที่ใดท่านพ่อ?” ร่างโปร่งถามถึงคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ และคิดว่าน่าจะเป็นคนที่พาเขากลับมาที่นี่
“กลับเป่ยหยางแล้ว”
จื่อเจินลุกพรวดขึ้นมา ต้องการจะไต่ถามอะไรให้รู้เรื่อง แต่ก็ถูกมือของผู้มีอายุรั้งเอาไว้
“มิต้องตามไปหรอก” ไม่พูดเปล่าแต่ยังยัดตราบัญชาทัพมาใส่ในมือเรียว
จื่อเจินแบมือมองสิ่งของที่ปรากฎแก่สายตา เป็นรูปทรงของเสือ บนตัวเสือสลักอักษรเอาไว้หลายแถว แต่ที่เก่นที่สุดเห็นจะเป็นแถวที่สลักไว้ว่าเป็นตราบัญชาทัพของแม่ทัพแคว้นเป่ยหยาง
“แล้วทำไมตรานี้จึงมาอยู่ที่ท่านพ่อได้เล่า?”
ผู้เป็นบิดาอธิบายว่าระหว่างที่ตัวจื่อเจินหมดสติไป แม่ทัพหวังได้นำตัวกลับมาที่โอสถสถานพร้อมด้วยขุนพลคู่ใจทั้งสอง พร้อมทั้งเปิดเผยสถานะให้ทราบด้วยความสัตย์จริง แน่นอนว่าด้วยจรรยาบรรณของการเป็นแพทย์ คนเจ็บจะเป็นฝ่ายเดียวกันหรือฝ่ายศัตรูก็ต้องให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว ถึงแม้ในการช่วยเหลือครั้งนี้อาจมีภัยกับโอสถสถานเองเนื่องจากท่านแม่ทัพผู้นี้ก่อนจะบาดเจ็บและหลบหนีมาที่นี่ ได้ทำการสังหารขุนพลโอวหยาง แห่งแคว้นหนานหยาง
แม่ทัพหวังชี้แจงว่าจำเป็นต้องกลับเป่ยหยางทันที เนื่องจากเกรงว่าหากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้จะมีคนของหนานหยางระแคะระคายและอาจเป็นภัยกับที่นี่
นอกจากจะกลับไปที่เป่ยหยางแล้ว ยังจะวางแผนเข้าโจมตีหนานหยางอีกครั้ง และครั้งนี้อาจเกิดการนองเลือดกว่าที่ผ่านมา
“อีกอย่าง...” บิดาเอ่ยเพียงเท่านั้น
“อีกอย่างอะไรหรือท่านพ่อ?”
“หากหนานหยางย่อยยับด้วยน้ำมือแห่งแคว้นเป่ยหยาง โอสถสถานแห่งนี้ก็อาจต้องสิ้นไปด้วย”
มู่หรงจื่อเจินมองหน้าบิดาอย่างตกใจ ใช่ เขายังไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จะตามมาหรืออนาคตวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้ เขาเข้าใจถ่องแท้แล้ว
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเรื่องราวมันเกิดขึ้นแล้ว อีกอย่างโอสถสถานแห่งนี้ก็อยู่ระหว่างเขตรอยต่อของทั้งสองแคว้น เพียงแต่เอนมาทางด้านแคว้นหนานหยางเสียมากกว่า นอกจากนี้ในการสงคราม เหล่าขุนศึกก็มิน่าจะฆ่าผู้เป็นหมอได้ลงคอ...
คิดแล้วก็ผิดหวัง มือเรียวกำตราบัญชาทัพเสือแน่นจนนิ้วขึ้นเป็นเส้นสีขาว ผู้เป็นบิดาลูบไปที่มือนั้นเบาๆ ก่อนจะผละตัวลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากห้องเพื่อให้เขาได้พักผ่อน
“แม่ทัพหวังได้ฝากคำมาถึงเจ้า” เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าเรียวก็หันขวับมองแผ่นหลังของบิดาอย่างรอคอย
“ตรานี้ฝากไว้ที่เจ้า แล้วเขาจะกลับมา”
---------
งู้ยยยยย ตราบัญชาอยู่ที่ใคร ใจอยู่ที่คนนั้น
เปรี้ยวมากพ่อ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พ่อไม่เคยแผ่วววววว
อุกรี๊ด!!!! ของแทนใจเหรอ กรี๊ดๆๆ ♥️💕♥️💕ขอบคุณค่ะไรท์ 😊😊😊