:: พวกเราล้วนไล่ตามเมฆาล่องลอย ::
ตำหนักหลานซีเก๋อแห่งปรโลกนั้น บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เหล่าเทพเซียนน้อยใหญ่ต่างเรียกขานกันอย่างลับๆ ว่า
‘ตำหนักในของแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝาน’
ว่ากันด้วยศักดิ์ตำแหน่งแล้ว เรื่องนินทาเหลวไหลเช่นนี้ ถือว่าดูหมิ่นเกียรติของซ่างเสินทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยอายุอานามหลายหมื่นปีเข้าไปแล้วของทั้งคู่ กลับไม่ตบแต่งสนมชายาใดเข้าตำหนักตนสักที
พฤติกรรมซ่างเสินสองท่านนั้น
เล่า
ท่านแม่ทัพหนุ่มวนเวียนไปหาท่านพญายมทุกคราวหลังกรำศึกเสร็จสิ้น ประหนึ่งสามีหนุ่มกลับบ้านไปหาภรรยาสาวหลังเลิกงานก็มิปาน
และท่านผู้นั้นเองก็มิได้ห้ามปรามจริงจัง ต้อนรับสหายหนุ่มเป็นอย่างดี ถึงขั้นมีห้องหับเฉพาะไว้รับรองเสียด้วยซ้ำ
ประกอบกับความสง่างามชวนฝัน ยามสงบปากสงบคำของท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานและรูปโฉมงดงามเลิศล้ำเป็นหนึ่งไม่มีสองของท่านพญายม
เรื่องที่เล่าลือกันมากที่สุดก็เห็นจะเป็นท่านทั้งสองเป็นต้วนซิ่ว* มีใจผูกสมัครรักใคร่กัน แต่ด้วยศักดิ์ฐานะและหน้าที่แล้ว
ท่านแม่ทัพมิอาจยกเกี้ยวเจ้าสาว ตบแต่งท่านพญายมเข้าตำหนักหลานอวี่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้อย่างถูกต้องตามธรรมเนียม
ใส่สีตีไข่กันสนุกสนาน เอิกเกริกเป็นที่รู้กันทั่ว เทียนจวินเองก็คร้านจะห้ามปรามลงทัณฑ์ เพราะหนึ่งในนั้นมีมหาเทพบรรพกาล ท่านเทพมังกรอัคคี ‘เยี่ยซิวซ่างเสิน’ ท่านนั้นร่วมวงด้วย อายุกี่แสนปีเข้าไปแล้ว มิมีใครทราบ แต่กลับเข้าร่วมเพิ่มเชื้อไฟให้สองสหายสนิทด้วยความยินดียิ่ง
ท้าวความสืบไปถึงสงครามเทพมารสมัยบรรพกาล ยุคที่ซ่างเสินสองท่านนั้นเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้ร่วมกัน ก่อเกิดเป็นตำนานรักเหนือภพขึ้นมาบทหนึ่ง
หากจินตนาจะเพริศแพร้วปานใด ก็มิมีผู้ใดขวัญกล้าเทียมฟ้า เล่าลือไปจนถึงหูตาของท่านทั้งสอง
เรื่องเล่าลือจึงเป็นเพียงเสียงนินทา หาได้มีผู้ใดนำมาใส่ใจ
กระทั้งเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น เล่นเอาสะท้านสะเทือน เลือนลั่นไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเลยทีเดียว
เด็กน้อยผู้หนึ่ง ผมสีฟ้าครามเข้ม ตาสีเดียวกับเส้นผม วิ่งเล่นอยู่ในสวนของตำหนักหลานซีเก๋อ
แรกเริ่ม ข้ารับใช้ในตำหนักคิดว่าเป็นวิญญาณเด็กหรือเทพเซียนน้อยตนไหนนึกสนุก จึงวิ่งไล่จับกันเป็นพัลวัน มิได้รายงานแก่ท่านพญายม ผู้เป็นเจ้าของตำหนัก แต่จนแล้วจนเล่าก็ตามจับกันไม่ได้สักที จึงจำต้องรายงานขึ้นไป
คิ้วเรียวสวยของท่านพญายม ขมวดหม่น ใบหน้าดำคล้ำคล้ายเวลาท่านสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ยังไม่ทันให้ท่านวางพู่กัน รามือจากการสะสางงานที่เหมือนไม่จบไม่สิ้นของปรโลก เสียงทักทายดังฟ้าผ่าก็พลันเรียกความสนใจทุกผู้นามในห้องก่อน
แขกประจำของตำหนักหลานซีเก๋อ ‘ท่านแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝาน’ นั้นเอง
ไม่เพียงนั่งลงฟังอย่างใส่ใจ ยังโบกมือให้ท่านพญายมทำงานของตัวเองต่อไป แล้วรับเอาปัญหาของพวกเขามาดูแลเอง
เหล่ายมบาลและข้ารับใช้ที่วิ่งวุ่นกันมาหลายวันซาบซึ้งน้ำตาริน ไม่คิดไม่ฝันว่าท่านแม่ทัพจะจิตใจดีเพียงนี้
หารู้ไม่ว่าเจ้าตัวแค่ชื่นชอบเรื่องสนุกเท่านั้นเอง
“เพ้ยเพ้ยเพ้ย เจ้าหนูนั่นเป็นเมฆลอย(หลิวหยุน) หรือไง แว่บตรงโน้น โผล่ตรงนี้!! อย่าให้เกอจับได้น่ะ พ่อจะเอามาลองคมปิงอวี่ให้สาแก่ใจ อย่าหาว่าเกอรังแกเด็กก็แล้วกัน!!
เจ้าเมฆลอย! เจ้าเมฆลอยตัวดี!!”
ส่วนเหตุการณ์ต่อจากนั้น
การไล่จับอันยาวนานระหว่างท่านแม่ทัพกับเซียนเมฆมงคลน้อย จบลงด้วยการทาถึงของท่านพญายมคนงาม
ร่างปราดเปรียวที่วิ่งไปทางโน้น แว่บไปมาทางนั้น พลันเปลี่ยนทิศทางไปหาร่างสูงโปร่งเจ้าของตำหนักหลานซีเก๋อ
อวี้เหวินโจวนั่น มีพลังฝีมือและปราณเทพระดับซ่างเสิน แต่ในเรื่องที่อ่อนด้อยที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาคือความเร็ว
เมื่อถูกพุ่งเข้าเช่นนี้ ไม่อาจต่อต้านขัดขืนได้เลย
นั่นคือสำหรับอวี้เหวินโจว ไม่ใช่กับหวงเส้าเทียน
แม่ทัพสวรรค์แห่งเก้าชั้นฟ้า ดีดตัวพุ่งตามติดและเร็วกว่าเสินจวินน้อยไปหนึ่งก้าว คว้าร่างสูงโปร่งของท่านพญายมจากรัศมีการพุ่งตัวของเมฆมงคลน้อยไป แต่ตัวเองกลับไม่รอดพ้นมือคู่นั้น
“ท่านพ่อ!!”
คำเรียกนี้ เอ่ยออกไปแล้ว ทรงพลังยิ่งกว่าอสนีบาตซึ่งพุ่งผลาญขุนเขาหม่นไหม้เป็นเถ้าธุลีเสียอีก
ท่านพญายมแห่งปรโลกทราบในตอนนั้นเองว่า ’สังหรณ์ไม่ดี’ ครั้งได้ยินเรื่องราววุ่นวายในตำหนักหลานซีเก๋อคือเสินจวินน้อยตนนี้นำพามานี่เอง
สหายสนิทปล่อยมือจากการเกาะกุมท่อนแขนตน แล้วหันไปถกเถียงกับเสินจวินตัวน้อยแทนแล้ว
ดูท่าจากหูตามากมายในตำหนักหลานซีเก๋อแห่งนี้ ข่าวคราวของเซียนน้อยตนนี้คงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ความเป็นจริงเป็นเช่นไร คงยากจะสืบสาวอธิบายหรือต่อให้ป่าวประกาศก็ยากนักที่จะบังคับให้เชื่อถือกันได้
สรวงสรรค์เก้าชั้นฟ้าและปรโลก ขาดแคลนเรื่องทำนองสายลมจันทรามาเนิ่นนานเกินไปแล้วจริงๆ จึงได้ขยันปั้นแต่งชีวิตอันเรียบง่ายของพวกตนถึงเพียงนี้
หลิวหยุนเป็นเสินจวิน(เทพเซียนน้อย)ที่กำเนิดมาในตำหนักหลานซีเก๋อ ครอบครองไอหยินขั้นสุดของท่านพญายมและไอหยางขั้นสูงของท่านแม่ทัพ
เมื่อเป็นเทพเซียนแต่กำเนิดจึงไม่รู้จักความหิวโหยหรือเหน็ดเหนื่อยเท่าใด ลำพังไอหยินที่อบอวลในตำหนักแห่งนี้ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว
หากจะถามว่าที่มาของเขาเป็นเช่นไร คำเรียกขานที่แม่ทัพสวรรค์กำลังตะโกนกร้าวอยู่ตอนนี้ก็นับว่าใกล้เคียง
เนื่องจากตัวตนของเขานั้นเกิดจากท่านพญายม ‘อวี้เหวินโจว’ แบ่งปราณเทพให้เมฆมงคลก้อนหนึ่ง ให้เป็นพาหนะของแม่ทัพเยี่ยอวี่เซิงฝานใช้ยามเดินทางมาปรโลก
เมื่อมีไอหยินของผู้อาบเอิบไอหยินมากที่สุดในสามภพ ณ ดินแดนปรโลกย่อมเดินทางได้รวดเร็วมากกว่าเมฆมงคลอื่น ท่านแม่ทัพสวรรค์จึงชอบใช้งานเมฆก้อนนี้เป็นพิเศษ เลยได้ดูดซับปราณแม่ทัพสวรรค์ไปด้วยอีกคนโดยปริยาย
จะกล่าวว่าเป็นบุตรของสองคนนี้ก็ไม่ผิดนัก
แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกันกับความเข้าใจเหล่าเทพเซียนมุงบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ซึ่งได้จินตนาการไปถึงขั้นว่าท่านพญายมกับท่านแม่ทัพมีการผสานซวงซิว**เนิ่นนานหลายพันปี พระโพธิสัตว์เห็นใจในรักมั่นมิสั่นคลอนของซ่างเสินทั้งสองท่าน จึงมอบบุตรให้
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ ที่มีประจักษ์เป็นเสินจวินตัวน้อย ที่ไม่เพียงมีไอหยินและหยางของท่านแม่ทัพกับท่านพญายม ยังมีเค้าหน้ารูปกายผสมผสานกับทั้งสองท่านไปอีก
คราวนี้ต่อให้เรื่องราวแท้จริงเป็นเช่นไร เหล่าเทพเซียนและเหล่ายมบาล แดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจรดขอบเขตแดนปรโลก ล้วนแล้วแต่ปักใจเชื่อไปแล้วว่าซ่างเสินทั้งสองนั้นมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างแน่นอน!!
*************************************
*ต้วนซิ่ว ชายรักชาย
** ซวงซิว ร่วมฝึกวิชาเป็นคู่ ความหมายโดยนัย ร่วมรักกัน
ขอยกยอดหลิวหยุนเจอหลานเฉียวไว้ตอนหน้า
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย