ตอนที่ 4 : หัวหน้าทีมสำรวจสุสาน วิลเลี่ยม คลากซ์
“เมื่อวาน คุณเป็นอย่างไรบ้างครับ” เช้าวันถัดมาซินเทียกลับมาทำงานเป็นปกติ และแน่นอนว่าแซมมีน้ำใจเอ่ยถาม “ถ้ายังไม่ดีขึ้น คุณน่าจะลางานอีกสักวัน”
“ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ”
“ฉันไม่เห็นเธอเป็นอะไรง่าย ๆ เลยนะ ซิน” เธออยากจะตบปากเพื่อนสาวช่างสงสัยของเธอเหลือเกิน “ไปทำอะไรมาล่ะ”
“ต่อให้แข็งแรงแค่ไหนก็ต้องมีวันป่วยบ้าง” เธอไหวไหล่ “ที่โรงพยาบาลเมื่อวานคนไข้เยอะแยะเพราะป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ” อย่างน้อยข้อมูลเรื่องคนไข้ที่เธอเพิ่งจะพูดไปก็เป็นเรื่องจริง หญิงสาวหันมาหาชายหนุ่มอีกคนที่ร่วมวงสนทนา “แซมคะ...เมื่อวานที่คุณโทรหาฉันตอนเย็น มีอะไรหรือเปล่า”
“อ้อ...ลืมไปเลย” เขายิ้มหน้าบาน “ที่คุณสมัครเข้าร่วมทีมของมหาวิทยาลัยลอนดอนน่ะครับ” หลายเดือนก่อน ซินเทียเสนอตัวเองขอเข้าร่วมโครงการขุดค้นสุสานของมหาวิทยาลัยที่ให้การสนับสนุนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ “ยินดีด้วยนะครับ พวกเขาตอบตกลง”
เจนกรีดร้องส่งเสียงยินดีพร้อมกับกอดซินเทียที่ยังคงยืนงงทำอะไรไม่ถูก “ซิน...เธอทำได้แล้ว”
“ยินดีด้วยนะครับ” แซมสัมผัสมือเธอ “ผลเพิ่งออกมาเมื่อวาน แต่ยังไม่เป็นทางการ พอผมรู้ก็เลยโทรบอกคุณก่อน”
“ฉัน...โอ...ฉัน” เธอดีใจมากจนไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้ ในที่สุดเธอก็จะได้ไปทำในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตลอด “ขอบคุณมากค่ะแซม”
“พรุ่งนี้ หัวหน้าทีมขุดค้นสุสานจะกลับมาจากลอนดอน เขาชื่อ...” แซมลูบปลายจมูกตนเองเบา ๆ “แหมน่าขายหน้าจริง ผมดันจำชื่อนักโบราณคดีคนนั้นไปได้”
“ศาสตราจารย์คลากซ์ ค่ะ วิลเลี่ยม คลากซ์” เขาคือนักโบราณคดีสาขาอียิปต์วิทยาชื่อดัง คนที่เธอเคารพนับถือและยกย่องตั้งแต่ตอนเรียนกับเขาที่มหาวิทยาลัยลอนดอนหลายปีก่อน “ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเลือกฉัน”
“เธอเป็นคนเก่งนะซิน ถ้าเขาไม่เลือกเธอสิน่าแปลก” เจนตบบ่าเพื่อน “เย็นนี้เราไปฉลองกันดีกว่า...แซม คุณว่างหรือเปล่าคะ หรือว่ามีเดท”
“ไม่ครับ เจน...ผมว่างพอดี” เขาตอบรับ “อีกอย่างนะ ผมเองก็ไม่ได้มีสาว ๆ เอาไว้นัดเดททุกวันหรอกนะครับ”
แซมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าวลาไปทำงานของตนเอง ไม่นานนักเจนก็บอกลาเช่นกันเมื่อคณะนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่มาถึง ซินเทียเดินไปยังห้องจัดแสดงอารยะธรรมอียิปต์โบราณ ข่าวความวุ่นวายเมื่อหลายวันก่อนซาลงไปแล้ว ห้องนี้จึงกลับมาคึกคักอีกครั้ง หญิงสาวทำงานด้วยจิตใจที่เบิกบานและเป็นสุขยิ่งกว่าวันไหน ๆ เพราะภายในระยะเวลาอันใกล้นี้เธอจะได้ไปทำงานยังสถานที่จริง ได้จับต้องขุดค้นโบราณวัตถุทรงคุณค่ามากมายใต้ผืนทรายที่รอการค้นพบ ความใฝ่ฝันของเธอกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า
“เจอหรือเปล่า” หัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มนามฮัทจาฮีเอ่ยถามทหารหลายคนที่พากันออกค้นหาองค์ฟาโรห์ที่หายตัวไป เกือบหนึ่งวันแล้วที่ยังไร้วี่แวว “เราต้องค้นหาจนกว่าจะพบองค์ฟาโรห์” เขายืนยันแม้ว่าทหารหลายคนพากันเหนื่อยล้าแล้วก็ตาม
“ท่านหัวหน้าราชองครักษ์” เสียงหนึ่งตะโกนวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับถือของบางอย่างในมือ “เราพบที่ริมแม่น้ำขอรับ” ฮัทจาฮีรับรองพระบาททองคำข้างหนึ่งขึ้นมาพิจารณาจนมั่นใจว่าเป็นขององค์ฟาโรห์ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะสวมรองพระบาททำจากทองคำเช่นพระองค์อีกบนแผ่นดินนี้
“นำทางข้าไป” ชายหนุ่มเดินตามนายทหารไปยังริมแม่น้ำไนล์ แม่น้ำที่เป็นดั่งสายเลือดหล่อเลี้ยงคนทั้งดินแดน จุดที่พบนั้นเป็นจุดที่น้ำเชี่ยวไหลมาบรรจบกัน มองเผิน ๆ อาจดูเหมือนว่าเป็นแม่น้ำนิ่งที่ไหลเอื่อย ๆ ทว่าที่ลึกลงไปนั้นเป็นน้ำวนซึ่งลึกพอสมควร
ฮัทจาฮีไม่รอช้า เขาค่อย ๆ พาตัวเองดำน้ำตื้นก่อนกระโจนแหวกว่ายสู่กลางแม่น้ำที่ทั้งลึกและแสนจะอันตราย ทหารน้อยใหญ่ต่างพากันมองดูหัวหน้าราชองครักษ์ดำผุดดำว่ายสู่กลางแม่น้ำด้วยสีหน้าหวาดหวั่น หลายครั้งที่ตัวเขาเองถูกดูดกลืนสู่ก้นแม่น้ำ แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของเขาก็สามารถเอาตัวรอดออกจากอันตรายและสามารถว่ายกลับเข้าหาฝั่งได้อย่างไม่ยากลำบาก เขาพยุงร่างกายตัวเองขึ้นจากน้ำพร้อมกับความผิดหวัง เกือบสามห้าสิบนาทีที่เขาต่อสู้กับสายน้ำเพื่อตามหาองค์ฟาโรห์แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ไม่มีแม้แต่ร่างของพระองค์ให้เห็นที่ก้นแม่น้ำ
ห่างไกลออกไป หัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มมองเห็นผู้ที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับกำลังพลนับร้อย คนสนิดของแม่ทัพโฮเร็มเฮ็บนาม อาเตม การมาถึงของชายผู้นี้นั้นเท่ากับว่าฮีรูจเดินทางถึงธีบส์และสามารถส่งข่าวถึงแม่ทัพใหญ่สำเร็จ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อชายบนหลังมาเดินทางเข้ามาใกล้ ชายผู้สูงวัยกว่ากระโดดลงจากม้าท่าทางคล่องแคล่วก่อนยืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ท่านแม่ทัพใหญ่สั่งให้ข้านำกำลังพลมาช่วยเหลือในการค้นหาองค์ฟาโรห์” เขาส่งม้าให้กับนายทหารคนหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านหัวหน้าราชองครักษ์” นัยน์ตาคมกวาดมองร่างเปียกโชกพร้อมเลิกคิ้วถาม
“เมื่อวานช่วงพลบค่ำ...พระองค์ตรัสว่าทรงต้องการอยู่พระองค์เดียวระหว่างพักแรมระหว่างทาง” เขาบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง “ข้าสั่งให้ทหารเฝ้ายามอยู่ไม่ห่าง แต่ทว่าพระองค์ก็หายไป”
“ใครคือผู้ที่เห็นพระองค์เป็นคนสุดท้าย”
ฮัทจาฮีเรียกนายทหารผู้หนึ่งให้เข้ามาร่วมการสนทนา “เขาคือทหารยามคืนที่พระองค์หายไป”
อาเตมหันมาสบตากับพยานคนสำคัญ “เจ้าเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่...ทหาร เล่าเรื่องที่เจ้าเห็นอย่างละเอียด อย่างน้อยข้าอาจช่วยเจ้าลดความผิดจากหนักให้เป็นเบา หากเกิดเหตุร้ายกับองค์ฟาโรห์”
นายทหารกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ “ขะ...ข้า เห็นองค์ฟาโรห์ทรงพระดำเนินอยู่ริมแม่น้ำ ชั่วพริบตาเดียวพระองค์ก็ทรงหายไปจากตรงนั้น ขอรับท่าน” เขาชี้ไปยังจุดที่องค์ฟาโรห์หายตัวไป
“พริบตาเดียวหรือ” อาเตมทวนคำพร้อมกับสบตากับฮัทจาฮี
พยานคนสำคัญคุกเข่าลงลนลาน “ข้ามิได้โกหก ท่านอาเตม โปรดเชื่อข้าเถิด”
“เวลานั้นเจ้าเห็นสิ่งใดอื่นอีกหรือไม่”
“ข้าเห็นแสง...แสงสว่างจ้าดั่งเที่ยงวัน”
อีกครั้งที่สองนายทหารชั้นสูงสบตากัน “ขอบใจมาก ทหาร เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว” อาเตม กล่าวกับเจ้าของร่างสั่นเทาที่กำลังคุกเข่า ก่อนที่จะมีทหารสองนายเข้ามาพยุงจากไป เหลือเพียงสองผู้บังคับบัญชา
“ท่านคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลหรือ หรือว่าจะเป็นฝีมือพวกพ่อมด”
“ข้ายังไม่อยากจะคิดว่าเป็นฝีมือของพวกพ่อมดมนต์ดำหรอก ท่านหัวหน้าราชองครักษ์” เขาผ่อนลมหายใจหนัก ๆ “ท่านก็รู้ว่า ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่เคยเชื่อในเรื่องเหล่านี้ หากมีใครเอาข้อสันนิฐานนั้นไปบอกกับเขา คงมิวายถูกลงทัณฑ์”
“ก่อนอื่นเราควรส่งข่าวไปยังธีบส์ ว่าองค์ฟาโรห์ยังไม่ประสงค์จะเสด็จกลับ” ฮัทจาฮีออกความเห็น “อย่างน้อยเราก็น่าจะซื้อเวลาได้บ้าง”
“ข้าเห็นด้วย” คนสนิดแห่งแม่ทัพใหญ่โฮเร็มเฮ็บกระโดดขึ้นหลังม้าตัวเดิม “อย่ากังวลนักเลย ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็กำลังจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ ที่ธีบส์เช่นเดียวกัน ทำหน้าที่ของท่านให้ลุล่วงเถิด”
“หน้าที่ของข้าก็คือการพาองค์ฟาโรห์กลับไปให้เร็วที่สุดสินะ” มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นสูงเมื่อคิดถึงใบหน้าดุดันไม่เคยโอนอ่อนของผู้เป็นบิดา “หาไม่แล้ว คอข้าก็คงจะหลุดออกจากร่างด้วยมือของบิดาข้าเอง”
ซินเทียได้รับการติดต่อจาก ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม คลากซ์ ให้มาพบกับเขาที่เพิ่งจะบินมาจากอังกฤษในเช้าวันถัดมาหลังจากทราบข่าวเรื่องการตอบรับคำขอเข้าร่วมทีมของเธอ เขาให้เหตุผลว่าต้องการจะพบเธอก่อนเริ่มงานจริงจัง เป็นที่รู้กันในวงการว่า หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าผู้นี้เป็นคนที่ค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงและมีแนวทางในการทำงานของตัวเองที่ชัดเจน เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่มีคนรักพอ ๆ กับคนเกลียดเลยทีเดียว
หญิงสาวมาถึงก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง เธอได้รับคำเชิญให้เข้าไปนั่งรอในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ซึ่งเขาเข้าพักระหว่างที่เข้าเมืองเพื่อพักผ่อนก่อนจะตรงกลับไปยังแค้มป์กลางทะเลทรายอันเป็นสถานที่ทำงาน จากคำบอกเล่าของหลาย ๆ คนที่รู้จักกับเขาต่างลงความเห็นว่าเขาเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานจนน่ายกย่อง
ภาพใครบางคนที่เดินตรงเข้ามายังล๊อบบี้ทำเอาเธอหัวใจเกือบหยุดเต้น ศาสตราจารย์คลากซ์ หนุ่มใหญ่หัวหน้าทีมสำรวจสุสานผู้มีสายตาเฉียบคม ปรายตามองมาที่เธอราวกับกำลังค้นหาบางอย่างขณะเดินตรงมายังโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ ซินเทียเกร็งคอพร้อมกับยิ้มและกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่ะ ศาสตราจารย์”
“สวัสดีครับ คุณคงจะเป็นคุณคาร์เตอร์”
“ใช่ค่ะ” เธอคิดภูมิใจที่เขาจำชื่อเธอได้
“คุณมาก่อนเวลาเสียอีก” ซินเทียรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกตำหนิ “เปล่านะ...ผมไม่ได้ตำหนิคุณหรอก แค่คุณทำให้ผมรู้สึกว่ามาสายแค่นั้นเอง” เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอขณะที่คู่สนทนาคอแข็งกลืนน้ำลายไม่ลง
เขาหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มตรงข้ามกับหญิงสาวหน้าหวานและสั่งกาแฟสำหรับตัวเอง ไม่ช้าเมื่อกาแฟหอมกรุ่นมาถึง เขายกมันขึ้นจิบช้า ๆ ด้วยอิริยาบถแสนสบาย ทว่าหญิงสาวตรงหน้าเขากลับไม่รู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด
“มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” เขาวางแก้วลง “เพราะอะไรคุณถึงสนใจเข้าร่วมทีมกับผม”
“ดิฉันเรียนจบด้านโบราณคดีสาขาอียิปต์วิทยาค่ะ และตอนนี้ก็กำลังทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ไคโร” เธอเรียบเรียงคำพูดจากสมอง “แน่นอนค่ะว่าดิฉันต้องการที่จะไปทำงานยังสถานที่จริงมากกว่าการประจำอยู่ในสถานที่จำลองของส่วนจัดแสดง”
“แม้ว่าสถานที่จริงนั้นจะมีผม” เขาชี้ตัวเอง ขณะที่เธอมีสีหน้าไม่เข้าใจ “ไม่เอาน่า...ทุกคนในวงการเขาพูดกันไม่ใช่หรือว่าผมน่ะเป็นปีศาจแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์” แม้ว่าเขาจะหัวเราะแต่ซินเทียกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าขัน “คุณไม่กลัวที่จะทำงานกับผมเลยหรือ”
“คุณเป็นคนที่น่ายกย่องค่ะ ศาสตราจารย์” เธอตอบทันควัน “คุณคงจำไม่ได้ว่าดิฉันเคยเป็นนักเรียนในชั้นเรียนของคุณ รู้ไหมคะ...ฉันชื่นชมแววตาของคุณที่แสดงออกว่ารักในงานของคุณมากแค่ไหน และดิฉันก็เข้าใจในเจตนาอันดีที่คุณจำเป็นต้องเข้มงวดกับทุกคนในทีมของคุณค่ะ”
หนุ่มใหญ่ผ่อนลมหายใจแผ่วเบา “ผมเองก็ชื่นชมคุณเช่นกัน” เขายิ้มบาง “ไม่ใช่เพราะนามสกุลของคุณหรอกครับ” ซินเทียหรี่ตามอง “ผมรู้ดีว่าคุณเป็นใคร พ่อแม่ของคุณและคุณปู่ทวดของคุณเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าต่อวงการของเรา”
“ดิฉัน...”
“เดี๋ยวครับ...” เขายกมือขึ้นปรามเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ “ผมเข้าใจว่าคุณคงกำลังจะบอกให้ผมมุ่งความสนใจมาที่ตัวคุณมากกว่า ใช่ครับผมเห็นด้วย คุณอาจคิดว่าผมจำคุณไม่ได้ แต่ผมจำนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนของผมได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณ”
“ที่ผมเลือกคุณเพราะผมเห็นศักยภาพที่คุณมี” เขาประสานมือบนโต๊ะก่อนสบตากับเธอ “คุณอาจคิดว่าคุณไม่มีความสามารถโดดเด่น แต่เชื่อเถอะว่าผมเห็นในสิ่งที่คุณไม่เห็น”
หญิงสาวพยักหน้าเบา ๆ “ขอบคุณที่ให้โอกาสดิฉันค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับ...”
“ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มความสามารถค่ะ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน”
สองคู่สนทนาต่างวัยสบตากัน รอยยิ้มกว้างนั้นแสดงความพึงพอใจ “อีกสามวันผมจะกลับไปที่แค้มป์อีกครั้ง ขอให้คุณเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำงาน”
“ค่ะ”
“ทีมของเราจะกลับเข้าเมืองเดือนละครั้งเท่านั้น คุณควรเตรียมของใช้ที่จำเป็นเอาไว้ด้วยนะครับ” ซินเทียรู้สึกตื่นเต้นจนไม่อาจซ่อนความรู้สึก เห็นได้จากใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ผมคงต้องขอตัวก่อน” ศาสตราจารย์คลากซ์ลุกขึ้นยืนหลังจากดื่มกาแฟหมดแก้ว
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ศาสตราจารย์”
“ขอบคุณเช่นกันครับ” เขายื่นมือออกมา “ยินดีต้อนรับสู่ทีมของเรา” หญิงสาวไม่รีรอยื่นมือไปสัมผัสโดยทันที
หลังจากกล่าวลาเป็นที่เรียบร้อย ซินเทียนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งขณะมองดูแผ่นหลังกว้างซึ่งกำลังจากไปของคนที่เคยสนทนาเมื่อครู่ ใบหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี ในที่สุดเธอก็จะได้ไปทำงานภาคสนามได้ลงพื้นที่จับต้องขุดค้นโบราณวัตถุอย่างที่ฝันมานาน ถ้าหากว่าบิดาและมารดาของเธอยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองคงยินดีไม่ต่างกับเธอเป็นแน่
เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้นระหว่างการดื่มด่ำกับความสุขของเธอ “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงใส่อุปกรณ์สื่อสาร “อะไรนะคะ!!!” เธอส่งเสียงดังอีกครั้งนั่นทำให้ผู้คนรอบ ๆ มองมาที่เธออย่างให้ความสนใจ “ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

#เท่าที่อ่านเรื่องนี้ส่วนหนึ่งมาจากประวัติศาสตร์จริงรึป่าวคะ เช่น อัย เงี้ย....รึป่าว???//มั่วเท่าที่อ่านค่ะ
#เท่าที่อ่านเรื่องนี้ส่วนหนึ่งมาจากประวัติศาสตร์จริงรึป่าวคะ เช่น อัย เงี้ย....รึป่าว???//มั่วเท่าที่อ่านค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^