ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #5 : แขกไม่ได้รับเชิญ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.78K
      23
      17 มี.ค. 64

    นำดวงเล่าให้เรืองรุ่งฟัง เหมือนที่เขาได้บอกอ่อนช้อยก่อนหน้านี้ คือมารดาของเขามีความเชื่อในเรื่องดวงชะตา เรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต ที่บ้านจึงมีหมอดู ซินแส โหราจารย์อยู่หลายคน และในวัยที่เขากำลังจะย่างเข้าเบญจเพสอย่างตอนนี้ เมื่อดาวเสาร์กับราหูย้ายไปอยู่เรือนมรณะ ปุตตะ หรืออะไรสักอย่าง ที่นำดวงรับฟังแต่จำไม่ได้ และดวงของเขาก็ตกไปอยู่ในตำแหน่งคนคอขาด คนขี่ขื่อคา หรืออะไรสักอย่างตามตำราพรหมชาติ ที่นำดวงก็จำไม่ได้และไม่ได้ตั้งใจจะจำอีกเช่นกัน สรุปใจความได้ง่ายๆ ก็คือ เขากำลังชะตาขาด มีสิทธิ์เลือดตกยางออก หรือร้ายกว่านั้นก็คืออาจตายโหงตายห่าได้ภายในปีนี้

    นำดวงจีบปากจีบคอยกมือยกไม้ เล่าเรื่องของตัวเองให้เรืองรุ่งกับอ่อนช้อยฟังอย่างออกรส ขณะที่คนฟังทั้งสองก็พากันนั่งฟังด้วยความตื่นตาตื่นใจและเพลิดเพลิน 

    เอ่อ…นี่มันเรื่องชะตาขาดไม่ใช่เหรอ แล้วจะเพลิดเพลินได้อย่างไร? 

    แต่นั่นแหละ ในเมื่อเจ้าของเรื่องมีพรสวรรค์ในการเล่าขนาดนี้ คนที่ฟังก็แทบจะลืมทุกอย่างรอบตัวเช่นเดียวกัน เรืองรุ่งกับอ่อนช้อยต่างมองหน้านำดวง และฟังเขาพูดจากเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ราวกับโดนมนต์สะกด

    จากความเชื่อของแม่ และก่อนรุ่นแม่ก็คือปู่ย่าตายาย ต้นตระกูลทางปู่โล้สำเภาจากเมืองจีนมาตั้งรกรากที่เมืองไทยตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้จำเนื่องจากพ่อแม่หย่าขาดกันตั้งแต่เขายังเด็ก ส่วนสายสาแหรกทางปู่ย่าตายายนั้นเป็นตระกูลเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ยังไม่ถูกพม่าตีแตก ทำให้นำดวงและน้องชายอีกสองคนคือ “หนุนดวง” กับ “เหนือดวง” ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ล้วนถูกปลูกฝังให้มีความเชื่อในศาสตร์เหล่านี้ด้วยตั้งแต่วัยเด็ก

    ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่นำดวงกับน้องๆ ต้องใส่เสื้อผ้าสีมงคลประจำวัน ข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์การเรียนพวกสมุดปากกาดินสอก็ต้องสีมงคลเช่นเดียวกัน ชุดนักเรียนแหกคอกไม่ได้ แม่ก็ให้พวกเขาใส่กางเกงในสีมงคลก่อนใส่ชุดนักเรียน ในกระเป๋าสตางค์จะต้องมีผ้ายันต์ กระดาษยันต์ของหลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงน้า หลวงอา ยันต์ของทวยเทพเทวดาต่างๆ หลายสิบองค์ ทั้งองค์ไทย องค์จีน องค์อินเดียฮินดู ไม่รวมยันต์จากบรรดาครูบาอาจารย์ที่แม่และตายายนับถืออีก 

    ครั้งหนึ่งพวกเขาสามพี่น้องเคยไปเที่ยวบาร์ ตอนเช็คบิลต่างคนต่างควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่าย สรุปไม่มีใครมีเงินสักบาท แต่ต่างนึกว่าตัวเองมี เพราะกระเป๋าสตางค์นูนเป่งกันทุกคน หารู้ไม่ว่าตอนควักเงินออกมานั้น ต่างควักยันต์ออกมาคนละปึกวางไว้บนถาดให้บริกร ที่ยืนมองพวกเขาสามคนเหมือนกำลังมองคนบ้า

    ขณะที่นำดวงกำลังจีบปากสีชมพูสดเพื่อจะเล่าเรื่องใหม่แบบต่อเนื่อง นางเรืองรุ่งก็ยกมือขึ้นก่อนเพื่อขอเวลานอก

    “เดี๋ยวก่อนค่ะคุณนำ น้าขอตัวไปชงชาชงกาแฟก่อนได้ไหมคะ…น้ากำลังฟังเพลิน กลัวเหลือเกินว่าคุณนำจะคอแห้ง แล้วพูดต่อไม่จบ”

    เมื่อเรืองรุ่งพูดขึ้นมาแบบนั้น นำดวงก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะคอแห้งขึ้นมาจริงๆ ชายหนุ่มไอค่อกไอแค่กพลางพูดขึ้น 

    “ให้ผมไปช่วยคุณน้าไหมครับ?”

    ชายหนุ่มพูดพลางลุกจากแคร่ เมื่อเขาลุกขึ้นยืน บรรดาสายโซ่ที่ผูกโยงจากตรงไหนบ้างไม่รู้ ก็ดังกระทบกันเกรียวกราวราวกับเสียงโมบายถูกลมพัดแรง อ่อนช้อยเผลอย่นหัวคิ้วโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องแต่งตัวแบบนี้ด้วย ตอนนี้เป็นปลายฤดูฝน คนชนบทอย่างเธอถือว่าพวกเหล็ก โลหะ จะนำฟ้าผ่าลงมาได้ เธอควรเตือนเขาหรือไม่ว่าที่บรรดาหมอดูทำนายว่าเขาจะมีเคราะห์ในช่วงเบญจเพส อาจเกี่ยวกับฟ้าผ่ามากกว่าอุบัติเหตุอย่างอื่นก็ได้

    แต่สุดท้ายอ่อนช้อยก็ไม่พูดอะไร เธอกับเขาไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น ดูแค่หน้าตาผิวพรรณ การแต่งตัว รถที่ขับ ฟังจากฐานะครอบครัวที่เขากับน้องชายอีกสองคนเรียนเมืองนอก มีหมอดู ซินแส โหราจารย์ประจำบ้าน คอยตรวจดวงชะตาให้กับทุกคน ก็ถือว่าสังคมของเขากับเธออยู่คนละโลกแล้ว ความคิดของเด็กบ้านนอกฐานะยากจนคนหนึ่งอย่างเธอ คงไม่สำคัญกับเขาถึงเพียงนั้น

    สุดท้ายอ่อนช้อยจึงเลือกพูดในเรื่องตรงหน้าแทน

    “อ่อนไปเองดีกว่า คุณนำเอากาแฟหรือชาคะ”

    อ่อนช้อยถามผู้เป็นแขก เพราะรู้ดีว่าน้าสาวของเธอดื่มกาแฟ

    “พี่นำอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่น้องอ่อนสะดวกก็แล้วกัน”

    ชายหนุ่มตอบขณะที่อ่อนช้อยพยักหน้ารับ จากนั้นจึงผละออกมาจากวง ได้ยินเสียงของนำดวงพูดถึงเหตุการณ์ที่เขามาพบเธอให้น้าเรืองฟังดังแว่วๆ มาตามหลัง

     

    ไม่กี่นาทีอ่อนช้อยก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมกาแฟสองแก้ววางบนถาดพลาสติก ส่วนของเธอเป็นน้ำเต้าหู้ที่แช่ตู้เย็นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เรืองรุ่งยกกาแฟส่งให้นำดวงก่อนหยิบแก้วของตัวเอง ชายหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณขณะก้มหน้าเป่าลมร้อนในแก้วเบาๆ มองเห็นไอร้อนลอยเอื่อยตัดกับผิวขาวจัด คิ้วโก่งเข้ม แพขนตาหนา จมูกโด่งและปากบางสีชมพูสด ดูเหมือนเด็กซนๆ กำลังก้มหน้าเป่าของร้อนก่อนยกละเลียดดื่ม

    อ่อนช้อยถือแก้วน้ำเต้าหู้ ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง ขณะที่เรืองรุ่งหันมาหาเธอแล้วพูดขึ้นว่า

    “วันนี้อ่อนไม่ต้องเปิดร้านนะ พาคุณนำเที่ยวหมู่บ้านเขาตะคร้อเถอะ เมื่อกี้คุณนำบอกน้าแล้วว่าอยากมีไกด์พาเที่ยว เพราะกว่าที่คุณแม่กับเพื่อนๆ จะมาถวายเพลหลวงพ่อ ก็คงอีกหลายชั่วโมง”

    “ได้ค่ะน้า” 

    อ่อนช้อยตอบรับโดยไม่เกี่ยงงอน เพราะเธอตัดสินใจมาก่อนหน้านี้แล้วว่า เธอเลือกที่จะเป็นไกด์พาเขาเที่ยวตามที่นำดวงเสนอ แลกกับเงินที่เขาให้ มีเพียงเรื่องเดียวที่เธอไม่ค่อยสบายใจนักก็คือจำนวนเงินที่มากเกินไป

    ขณะที่อ่อนช้อยกำลังจะเล่าเรื่องเงินให้น้าสาวรับรู้ นำดวงก็พูดขึ้นมาก่อน

    “เมื่อกี้ผมให้เงินน้องอ่อนไปสามร้อยดอลลาร์ แต่น้องอ่อนไม่อยากรับ เพราะคิดว่ามากเกินไป ยังไงน้าเรืองช่วยบังคับให้น้องอ่อนรับไว้หน่อยนะครับ ถือเป็นค่ากาแฟบวกด้วยค่าทิปก็ได้ หรือถ้ายังคิดว่ามากอยู่อีก ก็ถือว่าเป็นค่านำเที่ยวในรอบต่อๆ ไปก็ได้ครับ ผมเชื่อว่าผมจะได้กลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน…เมื่อคืนผมแอบได้ยินแม่คุยกับป้าว่า อาจจะให้ผมนอนวัดกับหลวงพ่อเพื่อสะเดาะเคราะห์เป็นเวลาสิบวันครึ่งเดือน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอาจจะต้องแอบปีนกำแพงวัดมาขอข้าวคุณน้ากับน้องอ่อนกินก็ได้”

    เรืองรุ่งตกใจกับเงินสามร้อยดอลล่าร์เช่นกัน แม้นางจะเรียนมาน้อย แต่การใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านท่องเที่ยว มีเพื่อนฝูงเปิดรีสอร์ต เกสต์เฮาส์ รับแลกเปลี่ยนเงินตรา ทำให้เรืองรุ่งพอจะรู้ว่าเงินหนึ่งดอลล่าร์ตกเป็นเงินไทยกี่บาท แต่ในเมื่อนำดวงยกเหตุผลมาพูดขนาดนั้น หากนางยังดึงดันไม่รับ ก็ดูจะเป็นคนเรื่องเยอะ สุดท้ายเรืองรุ่งก็ได้แต่ขอบอกขอบใจชายหนุ่มแทนหลานสาวอย่างเกรงใจ

    หลังจากนั่งพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง นำดวงก็พูดขึ้นว่า

    “เมื่อกี้น้องอ่อนบอกจะไปตลาดเช้า ผมไม่รู้ว่าถ้าเดินไปตลาดจะได้หรือเปล่า…ถ้าเดินไปได้ ผมจะได้ฝากรถไว้ที่บ้านน้าเรือง”

    นำดวงไม่รู้เลยว่า คำถามของเขาทำให้เรืองรุ่งกับอ่อนช้อยแอบถอนหายใจโล่งอกออกมาพร้อมกัน

    ในฐานะน้าสาว ถึงแม้เรืองรุ่งจะถูกชะตาและชื่นชอบนิสัยของนำดวง แต่อย่างไรก็ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า เพิ่งเจอกันได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี หากชายหนุ่มคนนี้เป็นอาชญากรในคราบนักท่องเที่ยว แล้วพาหลานสาวของนางนั่งรถยนต์ไปไหนต่อไหน เกิดอะไรขึ้นมาคงไม่ดีเป็นแน่ การที่นำดวงบอกว่าอยากเดินไปตลาด ทำให้ในใจของเรืองรุ่งเพิ่มความชื่นชอบชายหนุ่มไปอีกหลายระดับ

    ส่วนอ่อนช้อย ด้วยวัยที่ยังเด็ก ทำให้เธอไม่ได้คิดซับซ้อนเท่ากับน้าสาว เธอคิดเพียงแค่ว่า หมู่บ้านเขาตะคร้อไม่ได้ใหญ่โตจนถึงกับต้องขับรถเที่ยว อีกอย่างรถของชายหนุ่มก็เป็นรถหรูสีแดงสด ไม่ว่าจะขับไปทางไหนย่อมเรียกสายตาของทุกคนให้หันมามอง อ่อนช้อยไม่อยากเป็นจุดเด่น ไม่อยากให้ใครต่อใครเก็บเอาไปพูดลับหลังว่าเธอนั่งชูคออยู่ในรถหรูกับผู้ชายแปลกหน้า อีกอย่างที่ตลาดเช้าก็ไม่มีที่จอดรถ พ่อค้าแม่ค้าจะมาปูเสื่อขายของกันริมถนน คงไม่ดีเป็นแน่ถ้าชายหนุ่มจะขับรถไป 

    “เดินไปได้ค่ะ จากร้านน้าเดินไปแค่สามซอย ไม่ถึงสองกิโลก็ถึงแล้ว” นางเรืองรุ่งตอบชายหนุ่ม “หรือถ้าคุณนำไม่อยากเดิน ก็เอามอเตอร์ไซค์ของน้าขับไปก็ได้นะคะ ถ้าคุณนำขับไม่เป็น ให้ยายอ่อนเป็นคนขับแล้วคุณนำซ้อนก็ได้”

    “ผมขับเป็นครับ เดี๋ยวผมขับเอง ให้น้องอ่อนเป็นคนซ้อน”

    นำดวงรีบยกมือพูด ใบหน้าของเขาไม่ปกปิดความตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าเรืองรุ่งมีรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมาหาอ่อนช้อย แล้วถาม

    “งั้นเราไปกันเลยดีมั้ยครับน้องอ่อน จะได้เดินเที่ยวแล้วก็ซื้อลูกชิ้นมาด้วยเลย”

    อ่อนช้อยยังไม่ทันตอบ นำดวงก็หันไปหาเรืองรุ่ง แล้วถาม

    “น้าเรืองอยากได้อะไรที่ตลาดมั้ยครับ เดี๋ยวผมกับน้องอ่อนจะซื้อมาฝาก…อ้อ เดี๋ยวผมซื้ออาหารเช้ามาเลยดีกว่า น้าเรืองอย่าเพิ่งกินข้าวเช้านะครับ”

    เรืองรุ่งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เธอจึงได้แต่ยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนหันมาบอกหลานสาว 

    “กุญแจรถอยู่บนตู้เย็น อ่อนเข้าไปเอามาให้คุณนำเถอะ เดี๋ยวน้าจะหุงข้าวรอ”

    “ค่ะน้า”

    อ่อนช้อยตอบรับ ก่อนเก็บแก้วกาแฟลงบนถาด ยังไม่ทันที่เธอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงแหลมๆ ของหญิงคนหนึ่งก็ดังลั่นมาจากทางประตูรั้ว

    “อีอ่อน! อีตัวดี! อีสารเลว! มึงอยู่มั้ย…ออกมาให้กูตบเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

    มือเล็กของอ่อนช้อยที่ถือถาดอยู่สั่นเทาขึ้นมา จนแก้วกาแฟเกือบหล่นลงพื้น ขณะที่เรืองรุ่งหน้าตึงเมื่อได้ยินเสียง หญิงวัยห้าสิบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ขณะที่อ่อนช้อยวางถาดลงบนแคร่แล้วลุกตามคนเป็นน้า พลอยทำให้นำดวงต้องลุกขึ้นยืนตามทุกคนไปด้วย

    เจ้าของเสียงคือหญิงวัยกลางคนสองคน ที่แต่งหน้าทำผมและสวมเสื้อผ้าสีสันจัดจ้าน มีผู้หญิงอายุน้อยกว่าอ่อนช้อยเดินตามพวกนางมาด้วยอีกสองคน

    นำดวงไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงทั้งสี่คือใคร แต่อ่อนช้อยกับเรืองรุ่งรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเมื่อวานนี้ก็เพิ่งจะมีเรื่องตบตีกันมาสดๆ ร้อนๆ

    หญิงวัยกลางคนที่ตะโกนเรียกอ่อนช้อยนั้น คือนางโฉมเฉลา เมียใหม่ของนายสว่าง ซึ่งจะพูดว่าเป็นแม่เลี้ยงของอ่อนช้อยก็ไม่ผิด ส่วนเด็กหญิงวัยสิบสองที่เดินทำหน้าบูดบึ้งตามหลังมาชื่อว่า เฉิดฉาย เป็นลูกสาวของนางโฉมเฉลากับพ่อของเธอ

    ส่วนหญิงแก่อีกคนที่เดินกรีดกรายอยู่ข้างๆ นางโฉมเฉลา เป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย มีบ้านอยู่กลางตลาดในตัวเมือง นางมีชื่อว่า “พวงคราม” และเด็กหญิงที่เดินตามหลังเคียงข้างกับเฉิดฉาย เป็นลูกสาวของนางพวงคราม มีชื่อว่า “พิมพิสา”

    นางโฉมเฉลาเป็นหญิงวัยสี่สิบกว่า รูปร่างเจ้าเนื้อ หน้ากลม ตัวเตี้ย แขนขาเป็นปล้อง นางมีผิวคล้ำเนื่องจากพื้นเพเป็นลูกชาวไร่ชาวนา สมัยก่อนนางก็ใส่ผ้าถุงนุ่งซิ่นตามประสาคนบ้านนอกทั่วไป ทว่านับตั้งแต่รู้จักกับนางพวงครามตอนเอาผ้าไหมไปขายในตัวเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน นางโฉมเฉลาก็หันมาบำรุงผิวพรรณ เปลี่ยนการแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ ราวกับไม่ใช่คนอยู่ในไร่ในนา

    เมื่อก่อนนั้น เวลาตัดดัดซอยผม นางโฉมเฉลามักมาใช้บริการที่ร้านเสริมสวยของเรืองรุ่งอยู่เสมอ ด้วยเห็นว่าเรืองรุ่งเป็นอดีตน้องเมียของนายสว่าง เป็นน้าสาวของอ่อนช้อย สามารถติดเงินหรือขอส่วนลดได้ ทว่าหลังจากเรืองรุ่งตัดสินใจเอาอ่อนช้อยมาเลี้ยงเอง เกิดเป็นปัญหาระหว่างสองบ้าน อีกฝ่ายก็วางท่าปั้นปึ่ง เจอหน้าก็เชิดคอใส่ ทำเหมือนไม่รู้จักกัน ตอนหลังเรืองรุ่งได้ข่าวมาว่านางโฉมเฉลามักจะเข้าเมืองบ่อย เช้ามืดก็จะเรียกรถตุ๊กตุ๊กให้ไปส่งในตัวเมือง กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม วันเสาร์อาทิตย์ก็กระเตงเฉิดฉายลูกสาวไปด้วยเสมอ โดยอ้างว่าพาเฉิดฉายไปเรียนพิเศษในตัวเมือง

    ด้วยความที่หมู่บ้านเขาตะคร้อเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทุกคนในหมู่บ้านจึงรู้จักกันหมด ในที่สุดเรื่องของนางโฉมเฉลาก็รู้ไปถึงหูของนายสว่าง ทว่านายสว่างบอกกับเพื่อนบ้านว่า นางโฉมเฉลาคิดทำธุรกิจโดยไปซื้อเสื้อผ้ามือสองจากด่านชายแดน เอามาขายให้นักท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องเข้าเมืองบ่อย หากที่เรืองรุ่ง “ได้ยิน” มาจากบรรดาลูกค้าที่มาเสริมสวยที่ร้านของนางก็คือ เรื่องซื้อเสื้อผ้ามาทำธุรกิจของนางโฉมเฉลาเป็นแค่ข้ออ้าง แต่ความจริงคือนางโฉมเฉลาข้ามด่านไป “พักผ่อนหย่อนใจ” ที่บ่อนชายแดนต่างหาก

    แต่นั่นแหละ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนาง เรืองรุ่งคร้านที่จะบอกให้นายสว่างรู้ความจริง ดีเสียอีกหากอีกฝ่ายจะฉิบหายหมดเนื้อหมดตัวเพราะการพนัน จะได้สำนึกเสียบ้างว่าเคยทำอะไรกับหลานสาวของนาง แต่ไม่แน่ว่าบางทีนายสว่างอาจรู้เรื่องทุกอย่างแล้วก็ได้ เพียงแต่น้ำท่วมปาก หากยอมรับก็ต้องเสียหน้า เลยได้แต่ทนกล้ำกลืน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยามถูกชาวบ้านซุบซิบตามหลัง

    นั่นเป็นสิ่งที่เรืองรุ่งคิด ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจะเห็นนายสว่างนั่งรถตุ๊กตุ๊กออกจากหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ไปพร้อมกับนางโฉมเฉลา นั่นหมายความว่านายสว่างถูกเมียใหม่พาไปพักผ่อนหย่อนใจในบ่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ช่างเป็นผัวเมียที่ศีลเสมอกันจริงๆ!

    ส่วนนางพวงคราม ซึ่งเพื่อนสนิทของนางโฉมเฉลานั้น มีอาชีพเป็นนายหน้ารับซื้อผ้าไหม โดยนางจะตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ รวมทั้งหมู่บ้านเขาตะคร้อ เสาะหาบรรดาแม่บ้านที่ทอผ้า จากนั้นอาสาเป็นนายหน้านำผ้าไหมไปขายให้แก่นายทุนในตัวเมือง หักบวกกำไรไปกี่สิบกี่ร้อยก็ตามแต่จะตกลงกัน 

    นางพวงครามเป็นหญิงม่าย รูปร่างผอมซูบ ทว่าแต่งตัวดีเหมือนคนในเมือง นางขอบใส่เสื้อผ้ากรุยกรายสีสันฉูดฉาด ประดับเนื้อตัวด้วยทองหยอง วางท่าวางทางไม่ต่างจากคุณหญิงคุณนาย บวกกับเป็นคนช่างพูด เจื้อยแจ้วเจรจา ทำให้ชาวบ้านไม่น้อยหลงเชื่อคารม จากที่จ่ายเงินก่อนแล้วค่อยเอาของไป ตอนหลังก็มีคนให้ผ้าไหมนางไปก่อน สุดท้ายทวงเงินได้ยากเย็น หลายคนไม่ได้เงิน และขอผ้าไหมกลับคืนมาก็ไม่ได้ นางพวงครามจึงโดนชาวบ้านรุมสกรัมไปหลายรอบ ขึ้นโรงพักอยู่หลายหน จนต้องหลบลี้หนีหน้าไปจากหมู่บ้านเขาตะคร้อพักใหญ่ ก่อนกลับมาอีกครั้งพร้อมสร้อยทองเต็มแขนเต็มคอ มีเงินมาเคลียร์หนี้สิน ทำให้นางสามารถเข้าออกหมู่บ้านเขาตะคร้อได้อีกครั้งหนึ่ง

    ส่วนพิมพิสา ลูกสาวของนางพวงครามนั้น ปีนี้มีอายุสิบสอง วัยเท่ากันกับเฉิดฉายลูกสาวของนางโฉมเฉลา ทั้งคู่อายุน้อยกว่าอ่อนช้อยสามปี เด็กหญิงพิมพิสามีหน้าตาน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวผ่อง มีลักยิ้มสองข้างแก้ม นางพวงครามบอกใครต่อใครว่า เมื่อพิมพิสาโตขึ้นจะให้เข้าวงการบันเทิงไปเป็นนางเอก ปัจจุบันเวลามีเทศกาลงานประกวดสำหรับเด็ก เช่นคุณหนูนางนพมาศ โมเดลคิดส์ นักร้องนักเต้น หรืออะไรเทือกๆ นี้ นางพวงครามก็จะพาพิมพิสาเดินสายประกวด ไม่ว่าจะในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด เวลาว่างๆ ก็จะส่งลูกสาวไปเรียนการแสดง รำไทย แจ๊สแดนซ์ เดินแบบ ไม่เคยขาด 

    ในความรู้สึกของเรืองรุ่งนั้น พิมพิสาถือว่าเป็นเด็กที่มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ทว่าถูกมารดาปลูกฝังให้รักสวยรักงาม เดินสายประกวดก็ไม่พ้นแต่งหน้าทาปาก ลอกเลียนอากัปกิริยาของผู้ใหญ่ ทำให้พิมพิสากลายเป็นเด็ก “กระแดะ” เหมือนผลไม้ที่ถูกบ่มให้สุกโดยใช้แก๊ส จึงหา “รสชาติ” ความเป็นธรรมชาติไม่เจอ 

    ดูแต่วันนี้ เมื่อตามแม่มา พิมพิสาก็นุ่งกางเกงยีนส์ขาสั้นปิดแค่สะโพก โชว์ขาเรียวผอมที่ยังไม่โตเต็มสาว ใส่เสื้อเอวลอย บนหัวติดกิ๊บมากมายหลายหลากสี ซ้ำยังทาแก้มทาปาก ไม่เหลือความสดใสของวัยเยาว์ที่สมควรจะมี  

    อย่างไรก็ตาม ความฝันของนางพวงครามที่อยากให้พิมพิสาเข้าวงการบันเทิง ก็ทำให้นางโฉมเฉลาพลอยตาโตและวาดฝันตามไปด้วย ถึงขนาดยุให้นายสว่างย้ายเฉิดฉายที่เรียนชั้นประถมในหมู่บ้านเขาตะคร้อ ไปเรียนโรงเรียนเดียวกับพิมพิสาในตัวเมือง ตอนหลังๆ ดูเหมือนนางโฉมเฉลาจะส่งเฉิดฉายไปเรียนการแสดง เรียนเดินแบบต่างๆ ด้วยเช่นเดียวกัน

    ส่วนเหตุผลที่ว่า ทำไมนางโฉมเฉลาพานางพวงครามบุกมาร้านเสริมสวยของนางตั้งแต่เช้าตรู่ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวานที่หน้าบ้านของนายสว่างนั่นแหละ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×