ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #34 : นางอิจฉากับนางเอก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.95K
      17
      31 มี.ค. 64

    งานเลี้ยงฉลองจบลงก่อนห้าทุ่มเล็กน้อย หลังจากหนุ่มสาวเดินไปส่งแม่และลุงอาจกันแล้ว นำดวงก็บอกลาอ่อนช้อยที่ไปนอนกับเคียงข้าวอย่างอ้อยอิ่ง ส่วนเหนือดวงกับหนุนดวงตกลงนอนค้างกับพี่ชายคนโต เพราะนำดวงต้องการความเห็นของน้องๆ ในเรื่องรีโนเวทตึกทั้งหลัง

    ชั้นหนึ่งกับชั้นสองซึ่งเป็นห้องตัดต่อเขาต้องวางแผนดีๆ ว่าควรเคลื่อนย้ายยังไง เพื่อให้ชั้นสามกับชั้นสี่ที่ตั้งใจใช้เป็นเรือนหอมีความเป็นส่วนตัว ไม่ใช่เดินลงบันไดมาก็พบหน้าพนักงาน เห็นแม่บ้านปัดกวาดเช็ดถูพื้น เห็น รปภ.ยืนโด๊บยาชูกำลัง รวมทั้งเห็นลูกค้าหน้าใหม่หน้าเก่าเดินสวนกันให้ควั่ก เข้าห้องนั้นออกห้องนี้ ไม่มีความรู้สึกของคำว่าบ้านให้เห็น

    คำพูดของน้องชายคนเล็กที่ว่า ถ้าเขามีลูก แล้วจะให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เหรอ ดังสะท้อนอยู่ในหัวของนำดวงซ้ำไปซ้ำมา จนชายหนุ่มรู้ว่าถ้ายังไม่รีโนเวททุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาคงไม่สามารถนอนหลับอย่างเต็มตาได้อย่างแน่นอน

    ขณะที่นำดวงกับน้องชายทั้งสองยังนั่งดื่มอยู่บนดาดฟ้าตึกตัดต่อ ปรึกษาหารือออกไอเดียเรื่องการรีโนเวท ในห้องนอนสำรองของเหนือดวง อ่อนช้อยที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังเอนตัวอยู่บนเตียง ในมือถือบทโทรทัศน์เรื่องข้าวเคียงเหนือเปิดอ่านผ่านๆ ส่วนเพื่อนสนิทอย่างเคียงข้าวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้ผ้าขนหนูซับเรือนผมที่ยังเปียกชื้น 

    “ฉันดีใจกับแกด้วยนะอ่อน ที่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที”

    เคียงข้าวพูดขึ้น เป็นคำพูดเดิมที่เธอพูดกับเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กมาหลายรอบในวันนี้ ขณะที่อ่อนช้อยก็เอ่ยขอบคุณเพื่อนรักเบาๆ จำได้ว่าไม่กี่เดือนก่อนนี้ เธอเองก็เพิ่งพูดประโยคนี้กับเคียงข้าวเช่นเดียวกัน

    “ไม่น่าเชื่อเนอะว่าเราสองคนจะได้มาเป็นสะใภ้ของคุณแม่ กลายเป็นครอบครัวเดียวกันแบบนี้ได้”

    เคียงข้าวพูดขึ้นอีก ดวงตาสุกใสเป็นประกายระยับ ขณะที่อ่อนช้อยพยักหน้าตอบรับเสียงเบา

    “นั่นสิ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

    “เมื่อก่อนฉันไม่เคยเชื่อเรื่องดวง ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่ตอนนี้บอกเลยว่าเชื่อเต็มร้อย”

    “ฉันก็เหมือนกัน”

    เคียงข้าวซับผมเสร็จ ก็เดินมานั่งตรงขอบเตียงเคียงข้างอ่อนช้อย หญิงสาวพินิจมองใบหน้าใสสะอาดของเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ทำให้อ่อนช้อยต้องเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ

    “มีอะไรหรือ ทำไมแกมองหน้าฉันแบบนี้?”

    “ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมอ่อน แล้วแกต้องตอบฉันตามความจริงนะ” 

    เคียงข้าวพูดขึ้น ดวงตาวับวาวบวกกับรอยยิ้มลี้ลับตรงมุมปากนั้น ทำเอาอ่อนช้อยต้องหรี่ตามองด้วยความระมัดระวัง

    “ถามอะไร?”

    “แกเคยมีอะไรกับพี่นำหรือยัง?”

    อ่อนช้อยตกตะลึงกับคำถาม เมื่อตั้งสติได้ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าว ดวงตาดำขลับถลึงตามองเพื่อนตัวเองทันที

    “แกถามอะไรเนี่ย ชักจะทะลึ่งไปใหญ่แล้วนะนังข้าว”

    เคียงข้าวหัวเราะร่วน ไม่คิดถือสากับอาการของเพื่อนสนิท ยิ่งมองเห็นพวงแก้มของอ่อนช้อยซับสีชมพูระเรื่อ เธอก็ยิ่งอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก

    “ทะลึ่งไปใหญ่?” เคียงข้าวทวนคำพร้อมทำตาโตใบหน้าไร้เดียงสา ขณะประสานสายตากับเพื่อนสนิท “อะไรใหญ่? แกหมายถึงพี่นำใหญ่เหรอ? ตายแล้ว…แบบนี้ก็แปลว่า…”

    เคียงข้าวยังไม่ทันพูดจบประโยค อ่อนช้อยก็ทนฟังไม่ได้อีก หญิงสาวดึงตัวเพื่อนสนิทลงมาที่เตียง จากนั้นจัดการลงโทษโดยการจี้บั้นเอวของเพื่อนตัวแสบไม่หยุด

    เสียงหัวเราะของสองสาวดังประสานกันในห้อง อบอวลไปด้วยความสุขของค่ำคืน 

     

    เช้าวันรุ่งขึ้น อ่อนช้อยตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ อันเป็นนิสัยติดตัวของเธอ สมัยยังเป็นเด็กอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยง เธอต้องตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพื่อก่อไฟหุงข้าว จากนั้นนำรถเข็นที่มัดโอ่งใบใหญ่ไปขนน้ำจากสระกลางหมู่บ้านประมาณสองรอบ ใช้ถังตักน้ำจากโอ่งในรถเข็น ลำเลียงไปเทใส่ในโอ่งริมรั้ว และในห้องน้ำ จนโอ่งทุกใบเต็มล้นเรียบร้อย ก็เอารถเข็นไปขนแกลบจากโรงสีของพ่อเลี้ยงนุกูล เอามาไว้ให้พ่อเผาถ่าน ซึ่งสุดท้ายแล้วหน้าที่การเผาถ่านก็เป็นเธอเองนี่แหละที่ต้องรับผิดชอบแทบทั้งหมด เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอจึงมีโอกาสได้พักกินข้าวที่มีกับข้าวเหลือติดเศษจานซึ่งเฉิดฉายกินเหลือ จากนั้นจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปโรงเรียน

    พอน้าเรืองรุ่งรับเธอเป็นลูกบุญธรรม ถึงแม้อ่อนช้อยจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยในการตื่นเช้าเพื่อรับผิดชอบงานบ้านจิปาถะอีกแล้ว แต่ความเคยชินจากการนอนดึกตื่นเช้าของเธอก็แก้ไม่หาย ด้วยเหตุนี้เอง อ่อนช้อยจึงชอบที่ได้ไปตลาดตั้งแต่เช้ามืด ซื้อลูกชิ้นไส้กรอกมาตั้งโต๊ะปิ้งย่างขายอยู่หน้าร้านของผู้เป็นน้าโดยไม่เหน็ดไม่เหนื่อย

    อ่อนช้อยเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ก่อนออกมาแต่งตัวหน้ากระจก เคียงข้าวจัดเตรียมเสื้อผ้ารวมทั้งชุดชั้นในให้เธอตั้งแต่ก่อนนอน เป็นชุดใหม่ที่อีกฝ่ายยังใส่ไม่หมดตั้งแต่คุณนวลระวีและเธอช่วยสั่งซื้อให้ก่อนวันจดทะเบียนสมรส ส่วนเสื้อผ้าสีธาตุดินธาตุทองที่มาส่งตั้งแต่เมื่อวานนั้น ดูเหมือนจะอยู่ที่ตึกตัดต่อของนำดวง

    อ่อนช้อยเลือกเสื้อผ้าโทนสีเรียบร้อยตามสไตล์ของตัวเอง เป็นเสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนแขนยาวกับกะโปรงสีกรมท่าผ่าข้างมีความยาวเลยหัวเข่าเล็กน้อย ด้วยความที่เธอกับเคียงข้าวใส่ไซส์เดียวกัน เสื้อผ้าจึงออกมาพอดีตัว แม้สีสันจะค่อนข้างเคร่งขรึมเล็กน้อย ทว่าด้วยเป็นแบรนด์ดังระดับโลก จึงช่วยขับเน้นทรวดทรงให้ดูระเหิดระหงมากยิ่งขึ้น 

    วันนี้กองละครเรื่องข้าวเคียงเหนือมีการถ่ายทำที่สตูดิโอในบริษัท คนที่เข้าฉากหลักๆ คือคุณนวลระวีกับเคียงข้าว ซึ่งฝ่ายออกแบบศิลป์ได้เซ็ตฉากบ้านของนางครวญครางกับน้องคิ้มในสตูดิโอ ความจริงวันนี้สามหนุ่มพี่น้องรวมทั้งเธอ ก็มีเข้าฉากด้วยเช่นกัน เป็นฉากเล็กๆ เพียงแค่พูดคุยกันแซวกันนิดๆ หน่อยๆ แต่นำดวงนัดช่างมารีโนเวทตึก เขาจึงขอตัว ทำให้ “นักแสดงรับเชิญ” ที่ต้องเข้าฉากเป็นกลุ่มพลอยได้พักไปด้วย อีกอย่างเนื่องจากวันนี้พิมพิสาจะมาเข้ากองเป็นวันแรก ทางผู้กำกับฯ จึงเผื่อฉากของพิมพิสาเอาไว้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    อ่อนช้อยชะงักมือที่กำลังหวีผมไปครู่หนึ่ง มองดวงตาที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของตัวเองในกระจกเงา

    วันนี้เธอคงได้พบแม่เลี้ยงกับน้องสาวร่วมพ่อ หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสิบปี อยากรู้เหมือนกันว่า เหลี่ยมเล่ห์มารยาของเฉิดฉาย จะพัฒนารุดหน้าไปไกลขนาดไหนแล้ว

    “อ้าว แกจะไปแล้วเหรออ่อน กี่โมงแล้ว”

    เสียงงัวเงียของเคียงข้าวดึงอ่อนช้อยกลับสู่เหตุการณ์ตรงหน้า หญิงสาวหันไปมองเพื่อนสนิทที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียง แล้วส่งยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย

    “เพิ่งเจ็ดโมงเอง แกนอนต่อเถอะ”

    “อ้าว แล้วแกจะรีบไปไหนล่ะในเมื่อเพิ่งเจ็ดโมง” เคียงข้าวถาม ก่อนหรี่ตามองเพื่อนทั้งที่ตัวเองยังง่วงงุนอยู่ “อ้อ รู้แล้ว แกคงจะรีบไปหาพี่นำแน่ๆ”

    เคียงข้าวพูดจบก็หัวเราะคิกๆ ทำเอาอ่อนช้อยหน้าร้อนวูบวาบ หญิงสาวเดินไปหยิบหมอนแล้วตีเพื่อนสนิทแบบไม่จริงจังนัก

    “ฉันจะแวะไปตรวจงานที่ออฟฟิศย่ะ” อ่อนช้อยจิกตาใส่เพื่อนทีหนึ่ง ก่อนพูดต่อ “แกนอนสักงีบเถอะจะได้รีบตื่น อย่าลืมนะว่าวันนี้นังพิมกับนังเฉิดจะมาที่นี่”

     

    พิมพิสาตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งหน้ากระจก ให้บ่าวรับใช้อย่างเฉิดฉายช่วยเกล้าผมแบบง่ายๆ ให้เธอ

    วันนี้เธอจำเป็นต้องไปกองถ่าย ไม่ใช่เพราะกลัวตัวเองจะถูกตัดออกจากละครเท่านั้น แต่การถูกถอดออกหรือถอนตัวออกมาเอง ยังต้องเสียเงินชดใช้ให้คุณนวลระวีเป็นจำนวนหลักล้าน นั่นทำให้นางเอกสาวไม่สามารถทำใจได้

    สถานะนางเอกของเธอยังไม่มั่นคง เพิ่งย้ายจากช่องเดิมมาเซ็นสัญญากับคุณนวลระวี ก็โดนนังเคียงข้าวกับนังอ่อนช้อยรุมเล่นงานแล้ว แต่จะให้ไปที่อื่นเธอก็ไม่มีที่ไป เพราะฉะนั้นก็จำต้องยอมรับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แล้วสู้สักตั้ง

    พิมพิสาเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ

    ในเมื่อยังเอาชนะพวกมันในชีวิตจริงไม่ได้ เธอก็เอาชนะในละครสิ คนฉลาดต้องรู้จักรุก รู้จักถอย ที่สำคัญต้องรู้จักพลิกแพลง หาข้อดีที่เหนือกว่าของตัวเองให้เจอ อย่างเธอเองก็มีประสบการณ์ในด้านการแสดงมากกว่าพวกมันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ถึงแม้จะไม่บังอาจวัดฝีมือกับคุณนวลระวีได้ แต่กับนังเคียงข้าวซึ่งเป็นนางอิจฉาตัวหลัก ไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านการแสดงมาก่อน มีหรือที่เธอจะแพ้ ยังไม่นับนังอ่อนช้อยที่เป็นแค่นักแสดงรับเชิญ หรือพูดให้ถูกก็คือตัวประกอบ จะมีโอกาสออกมาสักกี่ซีนกี่ฉากกัน 

    เพราะฉะนั้น นางอิจฉาอย่างพวกมันน่ะหรือจะมาสู้นางเอกอย่างเธอ

    หนำซ้ำนางเอกอย่างเธอคนนี้ ยังเป็นคุณหนูรองผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ รู้เท่าทันแผนการทุกอย่างของนางอิจฉาด้วย คราวนี้เธอจะไม่แพ้อีกแน่นอน

    พิมพิสายิ่งคิดก็ยิ่งสาสมใจ ยิ่งสาสมใจก็ยิ่งเชิดหน้าขึ้นสูง เชิดจนกระทั่งเริ่มเมื่อยคอแล้วนั่นแหละ เธอถึงได้ก้มหน้าลงมา ก่อนมองกระจกแล้วพบว่าทรงผมของตัวเองที่เฉิดฉายกำลังทำให้นั้นมันดูไม่ได้เลย

    นางเอกสาวหรี่ตามองอีกฝ่ายผ่านกระจก จนเฉิดฉายชะงักมือ

    “มีอะไรเหรอ?” ผู้จัดการสาวถาม ก่อนนึกได้ว่าท่าทางของพิมพิสาเวลานี้ น่าจะกำลังสวมบทคุณหนูรองไม่เต็มบาทอยู่ เธอจึงฝืนใจเติมท้ายประโยคให้สุภาพขึ้น “…คะคุณหนูรองพิม?”

    “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าวันนี้ให้มุ่นมวยผมอย่างง่ายๆ แล้วทำไมต้องเกล้าผมโป่งพอง ตีกระบังเหมือนกำลังจะขึ้นเวทีประกวดธิดาศาลตายายให้ข้าแบบนี้ด้วยยะ”

    นางเอกสาวขึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างคาดโทษ คำพูดสับสนปนเประหว่างภาษานิยายจีนโบราณกับภาษาปัจจุบันจนลืมสังเกตตัวเอง

    เฉิดฉายไม่ทันได้แก้ตัว พิมพิสาก็ดึงปิ่นทองห้อยระย้าออกมาจากหัว แล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะเสียงดังปัง

    “แล้วข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าวันนี้ข้าจะแต่งตัวธรรมดาๆ ให้ใช้หวีเสียบลายผีเสื้อโบยบิน แทนปิ่นประดับผม ถ้าใช้ปิ่นห้อยระย้าแบบนี้ มันจะกลายเป็นจุดสนใจมากเกินไป ข้าไม่ชมชอบการโอ้อวดเครื่องประดับหรอกนะ”

    “โอเค เอ๊ย! ขออภัยเจ้าค่ะ”

    เฉิดฉายกัดฟันตอบเอาใจอีกฝ่าย ก่อนเปลี่ยนทรงผมตีกระบังของนังคุณหนูรองไม่เต็มบาทให้กลายเป็นผมมวยอย่างง่ายๆ ขณะที่เธอกำลังจะหยิบหวีเสียบมาประดับผมให้ นังคุณหนูไม่เต็มเต็งก็ยื่นมือหยิบไปก่อน แล้วใช้หวีเสียบเสียบประดับศีรษะข้างมวยผมด้วยตัวเอง

    “ชักช้ายิ่งนัก เจ้ารีบไปผลัดอาภรณ์ได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปดื่มชารอเจ้าที่โถงหน้า”

    พิมพิสาจิกตาใส่คนรับใช้ไร้สมองอีกรอบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นจากตั่ง พาเรือนร่างบอบบางในชุดเสื้อคลุมสีขาวปักลวดลายดอกโบตั๋น มีสายรัดเอวแบบและสีเดียวกัน เดินนวยนาดกรีดกรายออกไปจากห้อง ทิ้งให้เฉิดฉายได้แต่ยืนขบฟันถลึงตามองตามหลังอย่างแค้นเคือง

    “ไม่ชอบโอ้อวดเครื่องประดับเลยเอาปิ่นออก…ปิ่นใหญ่เท่าหัวแม่มือ แต่หวีเสียบใหญ่เท่าฝ่าตีน นี่เรียกว่าไม่ชอบอวดอีกเหรอ อีปัญญาอ่อน!”

    เฉิดฉายก่นด่าบรรพบรุษของพิมพิสาและนางพวงครามสามสิบหกรอบ ก่อนข่มกลั้นความโมโหเดินกลับห้องตัวเองเพื่อไปแต่งตัว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×