ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.2K
      13
      27 มี.ค. 64

    เมื่อผู้กำกับฯ ร้องคัทและสั่งพักกอง เคียงข้าวก็ยกมือไหว้ขอบคุณคุณดลย์ซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันไปพักผ่อน โดยดลย์แยกไปหาผู้จัดการส่วนตัวที่ยืนถือขวดน้ำรออยู่ ส่วนเคียงข้าวเดินมาหาคุณนวลระวี อ่อนช้อยเองเมื่อเห็นผู้กำกับสั่งพักกอง เธอก็ก้าวเท้าตรงมาหาคุณนวลระวีกับเคียงข้าวเช่นเดียวกัน

    “อ้าว อ่อนมาแล้วเหรอ แล้วพี่นำล่ะ?”

    เคียงข้าวหันมาเห็นก่อน จึงเอ่ยทักเพื่อนสนิท

    “พี่นำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจ้ะ”

    อ่อนช้อยตอบสั้นๆ ก่อนยกมือไหว้คุณนวลระวี ขณะที่เคียงข้าวเลิกคิ้วที่แต่งหน้าจัดจ้านสมกับรับบทเป็นน้องคิ้มนางอิจฉาหลักในเรื่อง

    “พี่นำ? เมื่อกี้อ่อนเรียกพี่นำว่าพี่นำใช่ไหม? ไม่ได้เรียกว่าคุณนำแล้ว?”

    น้ำเสียงจับผิดมาพร้อมดวงตาพราวระยับของเคียงข้าว ทำเอาอ่อนช้อยหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แม้แต่คุณนวลระวีเองก็พินิจดูเลขาฯ ของตัวเองด้วยแววตาสงสัยแกมอยากรู้

    “นั่นสิ เมื่อกี้แม่ก็ได้ยินลูกอ่อนเรียกพี่นำว่าพี่ มีอะไรที่แม่ยังไม่รู้หรือเปล่าจ๊ะ?”

    “ต้องมีแน่ๆ ค่ะคุณแม่ ดูแก้มของอ่อนตอนนี้สิคะ เป็นสีชมพูระเรื่อแบบนี้ ข้าวว่าอ่อนคงกำลังเขินอยู่แน่ๆ”

    เคียงข้าวแซวเพื่อนสนิทเสียงใส ก่อนโดนอ่อนช้อยหยิกหมับที่ต้นแขนบอบบาง ซึ่งนางอิจฉาก็สวมบทบาทเป็นน้องคิ้ม ร้องโอดโอยเจ็บปวดออกอาการเกินจริงขึ้นมาทันที จนอ่อนช้อยอดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนสนิทของเธอชักจะติดนิสัยของคุณเหนือดวงผู้เป็นสามีเข้าไปทุกวัน

    “คือแบบนี้ค่ะ” อ่อนช้อยสบตาคุณนวลระวีกับเคียงข้าว แล้วเล่าเรื่องราวให้ทั้งสองฟัง “เมื่อเช้าอ่อนตั้งใจจะไปหาพิมพิสา เพราะเธอนัดนักข่าวแถลงข่าวที่บ้าน…คุณนำ…เอ่อ พี่นำมารับอ่อนที่คอนโด แต่สุดท้ายระหว่างทาง เราก็เปลี่ยนใจไปวัดแทน”

    อ่อนช้อยมองเห็นคุณนวลระวีกับเคียงข้าวต่างตั้งใจรับฟังจนแทบไม่กะพริบตา ผิวแก้มของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ จึงรีบสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับนำดวงอย่างรวดเร็ว

    “พี่นำขออ่อนแต่งงานที่วัด แล้วอ่อนก็ตอบตกลง” หญิงสาวประสานดวงตากับคุณนวลระวี ก่อนถาม “คุณนวลจะว่าอะไรอ่อนไหมคะ?”

    คุณนวลระวีมองอ่อนช้อยด้วยสายตารักใคร่ หญิงสูงวัยที่ยังคงสะสวยประสานสายตากับว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่ด้วยรอยยิ้มเต็มปาก ไม่ปิดบังความปลาบปลื้มใจที่มี

    เธอจะว่าอะไรได้เล่า ในเมื่อสิ่งที่เธอรอมานานหลายปีแล้ว ก็หวังจะได้หญิงสาวคนนี้มาเป็นสะใภ้ใหญ่ เรื่องนิสัยใจคอ กิริยามารยาทของอ่อนช้อย ล้วนแต่ผ่านมาตรฐานของเธอจนสูงลิ่ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์สิ่งใดอีกทั้งนั้น เมื่ออ่อนช้อยตกลงปลงใจกับนำดวง เธอก็หมดห่วงเรื่องคู่ครองของลูกชายคนโต หนำซ้ำสะใภ้ทั้งสองยังเป็นเพื่อนสนิท ไม่ต้องกังวลว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งน้อยเนื้อต่ำใจ หรือเข้ากันไม่ได้ 

    ตอนนี้จึงมีเพียงลูกคนกลางเท่านั้นที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีคู่ครอง เดี๋ยวคงต้องให้พี่อาจ หรือบรรดาซินแส โหราจารย์ประจำบริษัท ช่วยตรวจดูพื้นดวงชะตาของหนุนดวงอีกสักรอบเสียแล้วว่าจะพบเจอเนื้อคู่เมื่อไหร่ 

    อ้อ…ที่สำคัญคือต้องเร่งหาฤกษ์จดทะเบียนสมรส รวมทั้งฤกษ์แต่งงานของนำดวงกับอ่อนช้อยด้วย และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องเงินทองของหมั้น ที่เธอจะมอบให้กับหญิงสาว ไม่ให้น้อยหน้าสะใภ้เล็ก เพียงแค่คิด คุณนวลระวีก็รู้สึกว่าตัวเองเด็กลง เกิดความกระฉับกระเฉง นึกอยากจะกลับบ้านไปวางแผนเรื่องต่างๆ เสียตอนนี้เลย 

    อืม เดี๋ยวเย็นนี้เธอต้องโทรศัพท์ไปหาเรืองรุ่งด้วย จะได้ปรึกษาหารือกันในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นมารดาบุญธรรมของว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของเธอ

     

    “แม่จะว่าอะไรลูกอ่อนได้ล่ะจ๊ะ นอกจากดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว” คุณนวลระวีกุมมือของอ่อนช้อย “ในเมื่อลูกอ่อนเรียกพี่นำว่าพี่แล้ว ตั้งแต่วันนี้ก็เรียกแม่ว่าแม่ได้แล้วนะจ๊ะ”

    อ่อนช้อยยกมือไหว้คุณนวลระวีด้วยรอยยิ้มขอบคุณ 

    “ค่ะคุณแม่ หากมีอะไรที่อ่อนทำไม่ถูก ไม่เหมาะไม่ควร รบกวนคุณแม่ช่วยอบรมสั่งสอนด้วยนะคะ”

    ได้ยินอย่างนั้นคุณนวลระวีก็ยิ้มจนตาปิด ขณะที่เคียงข้าวก็ดีใจไม่แพ้กัน หญิงสาวจับมือของอ่อนช้อยไว้แน่น ส่งยิ้มให้เพื่อนอย่างมีความสุข

    “ดีใจด้วยนะอ่อน ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแบบนี้”

    เคียงข้าวพูดขึ้นมา ขณะที่อ่อนช้อยพยักหน้ารับ

    นั่นสินะ ใครจะคิดว่าพวกเธอสองคน ที่เกิดและโตมาด้วยกันในหมู่บ้านเขาตะคร้อ อยู่ห่างไกลจากครอบครัวของคุณนวลระวีหลายร้อยกิโลเมตร สุดท้ายกลับได้มาเป็นลูกสะใภ้ของคุณนวลระวีด้วยกันทั้งคู่

    นี่เองที่เรียกว่าโชคชะตา…

    คุณนวลระวียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนถามอ่อนช้อย

    “แล้วเกิดอะไรกันขึ้นหรือจ๊ะ ทำไมลูกนำถึงต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า?”

    อ่อนช้อยเล่าเรื่องที่เธอกับนำดวงได้พบหลวงพ่อเปี่ยมอย่างบังเอิญให้คุณนวลระวีกับเคียงข้าวฟัง จากนั้นท่านรดน้ำให้ จบด้วยการยกขันน้ำมนต์ราดศีรษะของนำดวง 

    คุณนวลระวีถึงกับยกมือขึ้นพนม ปลายนิ้วจดหว่างคิ้ว

    “สาธุ นี่แปลว่าลูกทั้งสองผูกพันกับหลวงพ่อเปี่ยมจริงๆ แม่ฟังแล้วขนลุกเลย”

    เคียงข้าวกับอ่อนช้อยเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน พวกเธอสามคนคุยสัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่ง เคียงข้าวก็หันมองรอบตัวแล้วถามขึ้น 

    “แล้วนี่พี่เหนือกับพี่หนุนหายไปไหนคะ เมื่อกี้ข้าวยังเห็นนั่งอยู่กับคุณแม่เลย”

    “แม่เห็นลูกเหนือดูโทรศัพท์ จากนั้นก็สะกิดลูกหนุน แล้วไปไหนกันก็ไม่รู้”

    ไม่ต้องคาดเดา ทุกคนก็แน่ใจว่าเหนือดวงต้องได้รับข้อความจากนำดวงอย่างแน่นอน จากนั้นน้องคนเล็กก็สะกิดพี่คนกลาง แล้วแอบไปสุมหัวกันเพื่อเตรียมทำอะไรสักอย่างเป็นแน่ ถึงได้ย่องออกไปโดยไม่บอกแม้แต่คนเป็นแม่แบบนี้

    คุณนวลระวีผุดรอยยิ้มมุมปาก นึกคาดเดาได้ลางๆ ซึ่งเธอก็ไม่คิดปิดบังลูกสะใภ้ทั้งสอง

    “ถ้าแม่เดาไม่ผิด ลูกนำอาจวางแผนเซอร์ไพรส์ลูกอ่อน การที่เรียกลูกเหนือออกไปนั้น อาจเป็นเพราะลูกเหนือเขียนบท ไม่แน่ว่าระหว่างการถ่ายทำ อาจมีการเปลี่ยนบทระหว่างลูกนำกับลูกอ่อน โดยไม่บอกให้ลูกอ่อนรู้ตัวล่วงหน้า” คุณนวลระวีพูดพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเธอก็หันมองสะใภ้เล็ก “และแม่คิดว่า ลูกข้าวเองก็อาจจะโดนเซอร์ไพรส์ด้วยเหมือนกัน เพราะลูกเหนือคงไม่ยอมให้พี่ชายได้เซอร์ไพรส์คนเดียวแน่ๆ”

    การคาดเดาของคุณนวลระวีแม่นยำจนน่าทึ่ง ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืน ดึงมือลูกสะใภ้ทั้งสองคนให้ลุกขึ้นตาม

    “ในเมื่อพวกเขาวางแผนจะเซอร์ไพรส์พวกเรา เราก็ควรจะเซอร์ไพรส์พวกเขาก่อน”

    เจ้าของค่ายละครพูดจบก็หันไปยังผู้กำกับฯ ที่อยู่ไม่ไกล ก่อนบอกเขาว่า

    “วันนี้ไม่มีคิวของพี่กับลูกข้าวแล้ว ขอฝากกองกับคุณเต้ด้วยนะคะ” คุณนวลระวีส่งยิ้มให้ผู้กำกับฯ “แล้วถ้าลูกชายของพี่ถามหา ช่วยบอกพวกเขาด้วยว่า พี่กับลูกสะใภ้กลับบ้านกันไปนานแล้ว”

    พูดแค่นั้นคุณนวลระวีก็พาเคียงข้าวกับอ่อนช้อยเดินออกจากกอง สั่งทีมงานหญิงคนหนึ่งให้ไปหยิบกระเป๋าและเสื้อผ้าของเธอกับเคียงข้าวที่ห้องส่วนตัว เมื่อได้ทุกอย่างมาเรียบร้อย คุณนวลระวีก็กวักมือเรียกเด็กแมน ให้เด็กหนุ่มขับรถกอล์ฟไฟฟ้าไปส่งพวกเธอสามคนที่ลานจอดรถ

     

    พิมพิสากระชากปิ่นหยกปิ่นเงิน ปิ่นไม้ออกจากศีรษะ จนทรงผมสารพัดมวยบนหัวหลุดลุ่ยไร้รูปทรง ก่อนที่เธอจะขว้างปิ่นในมือทั้งหมดใส่ฝาผนังเต็มแรง

    ใบหน้าสวยของนางเอกสาวขึ้นสีแดงก่ำด้วยความโมโห ดวงตาคู่งามลุกโชนด้วยความกราดเกรี้ยว เธอก่นด่าบรรพบุรุษของนังอ่อนช้อยไปเจ็ดสิบสองรุ่น รวมทั้งด่าบรรพบุรุษของอีอวบอ้วนไปสามสิบหกรุ่น สิริรวมกันได้หนึ่งร้อยแปดรุ่นพอดีไม่ขาดไม่เกิน แต่ถึงอย่างนั้นความเคืองแค้นของเธอก็ยังไม่จางหาย นางเอกสาวกำมือแน่น หอบหายใจจนหน้าอกคู่งามใต้ชุดขาวแนวจีนโบราณกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโมโห

    อีอวบอ้วนได้เงินค่าจ้างจากเธอไปเหยียบแสน เพียงแค่ขับรถมาร่วมงานแถลงข่าว มากินฟรีดื่มฟรี แลกกับการเขียนถึงเธอลงเพจเพียงสามสี่โพสต์ ในเรื่องที่เธอเข้าโรงพยาบาลว่าเธอเป็นลมจริงๆ แต่เหตุที่อยู่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาค่อนข้างนานนั้น เธอยอมรับว่าได้ทำการศัลยกรรมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเสริมดวงชะตา ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับอย่างขอไปที แต่เมื่อได้รับข้อความจากนังอ่อนช้อย อีอวบอ้วนก็ตาลีตาเหลือกลนลานรีบขอตัวกลับ ไม่ต้องเดาพิมพิสาก็รู้ว่านังนักข่าวสารเลวนั่น ต้องรีบไปเขียนข่าวเรื่องที่เธออาจถูกคุณนวลระวีถอดออกจากละครเรื่องข้าวเคียงเหนืออย่างแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม คนที่สมควรโดนด่ามากกว่าอีอวบอ้วน ก็คือนังอ่อนช้อยต่างหาก ก็มีเลขาฯ เจ้าของค่ายละครที่ไหนบ้าง จะส่งข่าวถึงนางเอกของเรื่องผ่านนักข่าวอย่างที่มันทำ 

    แบบนี้มันจงใจฉีกหน้าเธอชัดๆ!

    สารเลว!

    “อีอ่อน!” พิมพิสาขบฟันกรอด ก่อนที่ปากอวบอิ่มจะพ่นคำด่าออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “อีเลวระยำ อีพ่อแม่ไม่สั่งสอน!”

    นางโฉมเฉลากับเฉิดฉายที่นั่งอยู่บนโซฟาพากันสะดุ้งกับคำด่าของนางเอกสาว โดยเฉพาะเฉิดฉายถึงกับมุมปากกระตุก ดวงตาฉายประกายวาวโรจน์ เพราะพ่อของอ่อนช้อยก็คือพ่อของเธอ หญิงสาวเกือบตวาดด่าอีนังคุณหนูไม่เต็มบาทออกไปแล้ว โชคดีที่ห้ามปากตัวเองได้ทัน

    อีโง่นี่เหมาะที่จะหลอกใช้ ไม่ต่างอะไรกับบ่อเงินบ่อทอง หรือบันไดให้เธอปีนป่ายในอนาคต เพราะฉะนั้นเธอต้องอดกลั้นให้ได้ นั่นคือสิ่งที่เฉิดฉายย้ำกับตัวเอง

    เมื่อเฉิดฉายนึกถึงนายสว่างผู้เป็นพ่อ ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นในใจตัวเองทุกครั้ง มีทั้งความรักและความชิงชังผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก เธอเกลียดที่พ่อยากจน ดูแลเธอได้ไม่ดีพอ ไม่สามารถส่งเธอเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพฯ ทำให้เธอจำต้องละทิ้งความฝันที่จะเข้าวงการบันเทิงไปอย่างน่าเสียดาย ต่างจากพิมพิสา ที่นางพวงครามเป็นเมียน้อยของพ่อเลี้ยงนุกูล จึงมีเงินทองจากพ่อเลี้ยงส่งให้ลูกตัวเองเรียน ถึงแม้พิมพิสาไม่ได้ขยันเล่าเรียน แต่การได้มาใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่จบชั้นมัธยมปลาย ก็ทำให้อีกฝ่ายหาลู่ทางจนเข้าวงการบันเทิงได้ในที่สุด

    ขณะที่เธอน่ะหรือ…โน่น ยืนขาแข็ง ทำงานในบ่อนสายตัวแทบขาด แลกกับเงินไม่กี่พันบาทต่อเดือน!   

    อย่างไรก็ตาม เฉิดฉายก็รักพ่อตัวเอง ข้อดีของพ่อก็มีอยู่ ถึงพ่อจะดื่มเหล้าเล่นการพนัน ทำตัวไม่น่านับถืออยู่บ้าง แต่ตลอดมาพ่อก็เชื่อฟังและรักเธอมากที่สุด ไม่เช่นนั้นคงไม่เฉดหัวนังอ่อนช้อยที่เคยทำร้ายเธอกลางถนน ให้ไปอยู่กับเรืองรุ่งซึ่งเป็นน้า โดยไม่ดูดำดูดีมันหรอก

    เฉิดฉายจำได้ดีตอนที่เรืองรุ่งมาโวยวายกับพ่อ หาว่าทุกคนใช้งานนังอ่อนช้อยเยี่ยงทาส ส่วนนายสว่างก็เอาแต่พะเน้าพะนอเมียใหม่ลูกใหม่ จากนั้นเรืองรุ่งก็ดึงดันจะเอาอ่อนช้อยไปอยู่ด้วย โดยให้พ่อเลี้ยงนุกูลกับคุณผจีช่วยออกหน้า ทีแรกพ่อของเธอไม่ยอมด้วยซ้ำ เพราะยังเหลือความรักให้นังอ่อนช้อยอยู่บ้างในฐานะลูกกำพร้าแม่ ไม่มีใครรู้ว่าเธอนี่แหละที่แอบไปบีบน้ำตา ร้องห่มร้องไห้โกหกพ่อและแม่ว่าเธอถูกอ่อนช้อยรังแกลับหลังมาตลอด

    เฉิดฉายในวัยสิบเอ็ดสิบสองตอนนั้น ลงทุนจิกข่วนแขนขาตัวเองจนเลือดซิบ หยิกแขนขาของตัวเองจนขึ้นจ้ำเขียว ตบหน้าตัวเองจนบวมเป่ง เพื่อทำให้พ่อขับไล่ไสส่งนังอ่อนช้อยออกไปจากบ้านให้ได้

    และเธอก็ทำสำเร็จ!

    เมื่อนายสว่างกับนางโฉมเฉลา เห็นหน้าตาผิวพรรณของเธอเป็นแบบนั้น ก็จัดการเฆี่ยนตีนังอ่อนช้อยจนลายพร้อยไปทั้งตัว สุดท้ายนังอ่อนช้อยก็กระเด็นออกจากบ้าน เฉิดฉายได้กลายเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อและแม่ ไม่ต้องเห็นนังกาฝากให้เกะกะสายตาอีกต่อไป

    เฉิดฉายยังจำได้ดีว่า ตอนที่แม่ย้ายเธอไปเรียนในตัวเมือง เธอยังเคยไปเยาะหยันนังอ่อนช้อย ที่ยืนขายลูกชิ้นไส้กรอกว่า ชีวิตของมันก็คงจะเกิดและตายอยู่ในหมู่บ้านเขาตะคร้อนี่แหละ ขณะที่เธอจะกางปีกโบยบินไปเป็นนางเอกในวงการบันเทิง 

    แต่โชคชะตาช่างเล่นตลก ใครจะคิดล่ะว่านังอ่อนช้อยที่แม่ตาย พ่อไม่เอา จะทะเยอทะยานมาไกลถึงขนาดได้เป็นเลขาฯ ของคุณนวลระวี 

    เฉิดฉายขบฟันแน่นอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ เธอควรเริ่มจากตรงไหน ถึงจะสามารถจัดการนังอ่อนช้อย อย่างที่เคยทำกับมันตอนสมัยยังเป็นเด็ก และคราวนี้เธอสาบานว่าจะเหยียบหัวมันให้จมดิน จนไม่สามารถเผยอหน้าขึ้นมาได้อีก

    ในเมื่อตอนเด็กเธอเคยจัดการมันมาแล้ว เฉิดฉายไม่เชื่อหรอกว่า เธอจะหาทางจัดการนังอ่อนช้อยอีกไม่ได้!

     

    ขณะที่พิมพิสายืนขบฟันเชิดหน้า กำมือแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในผิวเนื้ออยู่นั้น เฉิดฉายก็ลุกจากโซฟาเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย นางพวงครามที่กำลังนั่งชันเขาอยู่บนพื้นเพื่อทาเล็บเท้าให้ตัวเอง เงยหน้าขึ้นมองนิดหน่อย จากนั้นก็หันกลับไปสนใจเล็บเท้าต่อ ราวกับนางคุ้นเคยดีกับนิสัยของพิมพิสา มีเพียงนางโฉมเฉลาเท่านั้นที่มองตามหลังเฉิดฉายอย่างไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่นี้นางสัมผัสได้ว่าลูกสาวของนางเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อพิมพิสาจิกด่าอ่อนช้อยลามมาถึงนายสว่าง ทว่าจู่ๆ เฉิดฉายกลับลุกขึ้นเดินไปหาพิมพิสาด้วยกิริยานุ่มนวล คนเป็นแม่ที่รู้จักลูกสาวของตัวเองดี จึงอดแปลกใจไม่ได้จริงๆ

    แต่ถึงจะแปลกใจขนาดไหน นางโฉมเฉลาก็ฉลาดพอที่จะนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา เพราะนางรู้ดีว่าเฉิดฉายลูกสาวของนางทั้งสวยทั้งฉลาด ที่นางพวงครามชอบอวดว่าพิมพิสาทั้งสวยและฉลาดในตัวเดียวกันนั้น โฉมเฉลาเชื่อว่าเฉิดฉายสวยกว่า และฉลาดกว่าพิมพิสาหลายสิบเท่า

    ก็นี่ไงที่โบราณบอกว่าดูนางให้ดูแม่ ถึงแม้หลายครั้งนางพวงครามจะกระแนะกระแหนว่านางอ้วน แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะนางพวงครามต่างหากที่ผอมซูบเอง เหมือนเปรตมีเครื่องเซ่น แต่ปากเท่ารูเข็มเลยกินไม่ได้ ถ้าให้แยกอวัยวะดูก็จะรู้ว่านางสวยกว่า เพราะฉะนั้นเฉิดฉายก็สวยได้แม่อย่างนางนี่แหละ 

    นางโฉมเฉลาคิดพลางเชิดหน้ายิ้มกริ่มพลาง มองเห็นหมูกรอบหั่นชิ้นพอดีคำที่เหลือจากงานแถลงข่าววางอยู่บนโต๊ะ นางก็ไปหยิบเอามาทั้งจาน จากนั้นหยิบหมูกรอบส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ อย่างเอร็ดอร่อย ขณะจับตาดูเฉิดฉายที่เดินไปยืนอยู่ข้างพิมพิสา

    “คุณหนูพิม” 

    เฉิดฉายพูดขึ้น พลางเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของพิมพิสาด้วยความนุ่มนวล

    “คุณหนูรองพิมคะ”

    เสียงเรียกของเฉิดฉายทำให้พิมพิสาได้สติแล้วหันมามองช้าๆ ก่อนพบว่าผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ของเธอยืนอยู่ข้างๆ และมองสบตาเธอด้วยความเป็นห่วง

    นางเอกสาวย่นหัวคิ้วเบาๆ โดยไม่ให้เฉิดฉายสังเกตเห็น

    ทำไมจู่ๆ อีเฉิดถึงมาเรียกเธอว่าคุณหนูรองพิมชนิดเต็มปากเต็มคำแบบนี้…มันมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า? ในเมื่อก่อนหน้านี้…ก็เมื่อเช้านี้เองตอนที่บรรดานักข่าวมาถึง อีเฉิดที่เธออุตส่าห์เรียกว่า “พี่เฉิด” ยังทำท่ากระอักกระอ่วนยามเรียกเธอว่าคุณหนูพิมอยู่เลย

    หรือว่าอีนี่ความรู้สึกช้า ถึงเพิ่งมาเห็นออร่าอันงามสง่าของคุณหนูรองอย่างเธอ?

    พิมพิสาประมวลความน่าจะเป็นอย่างรวดเร็ว และก็ประมวลออกมาได้แบบนั้นนั่นแหละ เธอเชื่อว่าเฉิดฉายสมองช้า และคุณหนูรองผู้มีเมตตา ก็ไม่ควรถือสาคนรับใช้ที่ไร้สมอง

    ก็ถ้ามีสมอง มันจะต้องมาเป็นคนรับใช้ทำไม ถูกไหมล่ะ 

    “มีอะไร?” พิมพิสาถาม ก่อนนึกได้ว่าคำพูดของเธอฟังแล้วไม่เหมือนในนิยายจีน จึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “มีอะไรรึ…เจ้ามีอะไรถึงได้เรียกคุณหนูอย่างข้า?” 

    เฉิดฉายมุมปากกระตุก ขณะพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า

    “คือฉัน…เอ่อ…คือพี่เฉิดคิดว่า คุณหนูรองพิมอย่ามัวเครียดอยู่เลยค่ะ เรามาหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า” เฉิดฉายพูด ก่อนสุมไฟให้อีกฝ่าย “การที่อีอ่อนส่งข้อความหาพี่อวบอ้วนแบบนั้น พี่เฉิดคิดว่าอีข้าวคงร่วมวางแผนด้วยกันแน่ๆ พวกมันคงคิดว่าวิธีนี้จะสามารถจัดการคุณหนูรองพิมได้ เพราะฉะนั้นเราอย่ายอมให้มันทำสำเร็จ”

    แน่นอนว่าถ้าอ่อนช้อยทำสำเร็จ สามารถบีบพิมพิสาให้พ้นจากการเป็นนางเอกละครได้จริงๆ คนที่จะเดือดร้อนไปกับพิมพิสาก็คือตัวเธอนี่เอง เพราะถ้าพิมพิสาตกงาน ก็อาจไม่มีเงินเดือนให้เธออีกต่อไป และจะไล่เธอออกตอนไหนก็ได้ ในเมื่อเธอลงทุนลาออกจากงานมาแล้ว ได้มาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แล้ว ที่สำคัญคือเพิ่งมาได้ไม่กี่วัน จะให้แบกกระเป๋านั่งรถทัวร์กลับหมู่บ้านเขาตะคร้ออย่างนั้นหรือ

    ไม่มีทาง!

    ยิ่งวันนี้ได้เจอนักข่าวบันเทิงมากมายหลายคน ก็ทำให้ความฝันในใจที่คิดว่าตายไปแล้ว พลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งนี่แหละคือจุดเริ่มต้นเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเธอ

    “เจ้ามีวิธีอย่างนั้นรึ?”

    นังคุณหนูรองไม่เต็มบาทถามขึ้น ขณะที่เฉิดฉายพยายามกดความกระหายในใจตัวเอง แล้วเอ่ยตอบช้าๆ

    “ขอพี่เฉิดดูบทละครเรื่องข้าวเคียงเหนือได้ไหมคะ จะได้ช่วยคุณหนูรองคิดว่า เราควรจะตอบโต้อีอ่อนกับอีข้าวยังไงดี”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×