ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #18 : อยู่นิ่งๆ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.27K
      17
      24 มี.ค. 64

    ตอนนั้นนำดวงเพิ่งเรียนจบปริญญาโทมาหมาดๆ และด้วยดวงชะตาถึงฆาต จึงถูกเรียกตัวกลับมาสะเดาะเคราะห์ที่เมืองไทย ชายหนุ่มใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาก๊วย เดินอาดๆ อวดรอยสักตัดกับผิวขาวผ่อง สวมรองเท้าแตะเหมือนอาแปะขายขวด มาเยี่ยมผู้เป็นลุง ขณะกำลังก้าวขาขึ้นบันไดตึก ก็บังเอิญเงยหน้าขึ้น มองเห็นป้ายไม้แขวนอยู่เหนือประตูพอดี 

    “คุมดวง…คุม…ควบคุม…คอนโทรล…อืม…” 

    นำดวงยืนมองป้ายไม้ พร้อมพึมพำขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดกับตัวเอง เมื่อคิดตกก็หันซ้ายหันขวา สองตามองเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ไม่ไกลนัก ก็กวักมือเรียก

    “ไปหาบันไดและเครื่องไม้เครื่องมือมาหน่อย แล้วพาเพื่อนสักสองสามคน ปีนไปแงะป้ายนี้ออก” ชายหนุ่มสั่ง ก่อนลดเสียงให้เบาลง “รีบไปเร็วๆ เข้า…อย่ามัวชักช้า เดี๋ยวตาแก่จะออกมาเห็น”

    ไม่กี่นาทีต่อมา พนักงานรักษาความปลอดภัยก็พาเพื่อนอีกสองคนพากันแบกบันได หอบเครื่องไม้เครื่องมือมาถึง นำดวงยืนเท้าเอวกำกับสั่งการ ให้งัดป้ายไม้ขนาดยาวราวหนึ่งเมตรลงมาอย่างระมัดระวัง บังเอิญตอนนั้นมีพนักงานหญิงคนหนึ่งกำลังจะออกไปข้างนอก ได้ยินได้เห็นนำดวงสั่งการพนักงานแว่วๆ และนางไม่รู้จักนำดวงมาก่อน จึงวิ่งตาเหลือกไปแจ้งนายอาจหาญด้วยความตกใจ

    “แย่แล้วค่ะคุณอาจ มีใครก็ไม่รู้ ขาวๆ สูงๆ อ้วนๆ ผอมๆ กำลังสั่ง รปภ. ให้ทำลายป้ายหน้าตึกทิ้ง…ดิฉันได้ยินกับตา ได้เห็นกับหูตัวเองเลยค่ะ”

    นายอาจหาญหรี่ตามองพนักงานสาว ที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยซินแสแต่ไม่มีสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนรีบออกไปหน้าตึกอย่างรวดเร็ว โดยมีพนักงานตามกันออกไปเป็นพรวน และภาพที่มองเห็นก็ทำให้นายอาจหาญโมโหจนควันออกหู

    นำดวงกำลังยืนกำชับพนักงานรักษาความปลอดภัยด้วยท่าทางเคร่งเครียด ขณะเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินหนึ่งพันส่งให้พนักงานที่เขาเจอเป็นคนแรก

    “เอาป้ายไปเก็บในห้องตัดต่อนะ ระวังอย่าให้แตกหัก แล้วนี่เอาเงินไปแบ่งกันกินขนม”

    พนักงานหนุ่มยกมือไหว้ก่อนรับเงินด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง จากนั้นช่วยกันขนป้ายขนบันไดกลับไปตามคำสั่ง นายอาจหาญวิ่งออกมา ก็เห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยพากันแบกป้ายไปไกลแล้ว เขาจึงได้แต่ตะโกนด่าหลานชายตัวเองด้วยความโกรธเกรี้ยว

    “ไอ้สารเลว! ไอ้หลานชั่ว! นั่นเอ็งทำอะไร ไม่รู้หรือไงว่าป้ายนั่นท่านเจ้าอาวาสวัดใหญ่เป็นคนเขียนให้เองกับมือ”

    นำดวงไม่สนใจหรอกว่าวัดใหญ่วัดเล็กที่ไหน เมื่อเห็นคนเป็นลุงออกมา เขาก็รีบยิ้มประจบ แล้วลากแขนอีกฝ่ายออกห่างจากบรรดาพนักงานที่ตามลุงออกมา

    ก่อนบอกเหตุผลที่ทำเอานายอาจหาญอึ้งไป

    เหตุผลนั้นคือนำดวงชอบชื่อ “คุมดวง” มาก และเขาไม่อยากให้ใครได้เห็นชื่อนี้อีก เพราะอยากจะเก็บชื่อนี้เอาไว้ให้ลูก 

    “นำว่าชื่อดีๆ แบบนี้ ถ้าน้องหนุนน้องเหนือมาเห็น ก็ต้องชอบเหมือนนำ และอาจจะเอาไปตั้งเป็นชื่อของลูกตัวเอง เพราะฉะนั้นนำต้องซ่อนไว้ก่อน เพราะนำเห็นก่อน นำไม่ยอมยกชื่อนี้ให้ใครทั้งนั้น” 

    นายอาจหาญได้ยินหลานชายชมว่าชื่อดี ก็เกิดความปลื้มใจ หายโกรธไปครึ่งหนึ่ง เพราะชื่อนี้เป็นชื่อที่เขาคิดขึ้นมาเอง หลังจากก่นด่าคาดโทษแบบไม่จริงจังไปสองสามคำ ก็ถามขึ้น

    “แล้วต่อไปจะเรียกแผนกนี้ว่าอะไรล่ะ ในเมื่อป้ายก็ถูกเอ็งถอดออกไปแล้ว”

    นำดวงนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบ

    “เรียกตึกมูก็แล้วกัน…มูเตลู ง่ายและทันสมัยดี”

    นิสัยของนำดวง มีความคล้ายคลึงกับนายอาจหาญ ตรงความดื้อรั้น หัวขบถ เจ้าหนุนเวลาโกรธจะเงียบ เจ้าเหนือเวลาโกรธจะงอน ขณะที่ไอ้หลานเลวคนนี้เวลาโกรธ หรือต่อให้ไม่โกรธ ก็จะชอบเอะอะโวยวายเสียงดัง ซึ่งก็คล้ายนิสัยของนายอาจหาญสมัยหนุ่มๆ อีกนั่นแหละ

    อย่างเรื่องสัก ในตระกูลของพวกเขาไม่มีใครเคยสักมาก่อน และนำดวงก็สักเป็นคนแรก โดยที่ไม่มีการขออนุญาตใครทั้งนั้น 

    นำดวงสักครั้งแรกตอนเรียนจบมัธยม กำลังเตรียมตัวจะไปต่างประเทศเพื่อเรียนต่อ ในวันนั้นเด็กหนุ่มเดินเข้าบ้านพร้อมแขนขาลายพร้อย สร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคน โดยเฉพาะตายาย และแม่หนูนวลซึ่งเป็นมารดา ที่ด่าไปเป็นลมไป เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่หลานชายลูกชายทำ

    ขณะที่ผู้เป็นตากำลังจะคว้าไม้เรียวมาจัดการลงโทษ นำดวงก็ตีหน้าเศร้า น้ำตาหยดเผาะ แล้วถอดเสื้อออก โชว์ให้ทุกคนมองเห็นรอยสักกลางหลัง

    รอยสักนั้น อ่านได้ว่า

    รักตา

    รักยาย

    รักแม่

    รักน้อง

    รักลุง

    เรียงกันยาวเป็นพืด จนเกือบถึงร่องก้น

    นำดวงโชว์ให้ทุกคนเห็น พร้อมสะอื้นไห้แต่ไร้น้ำตา บอกทุกคนว่าเพราะเขากำลังจะไปเมืองนอก ไปเรียนคนเดียวต่างบ้านต่างเมือง ผิดหรือไรหากจะสักเอาไว้เพื่อบอกรักคนในครอบครัว

    เท่านั้นแหละ ทั้งตาทั้งยายและแม่ที่กำลังโกรธเกรี้ยว ก็ใจอ่อนยวบ หลอมละลายไม่ต่างจากขี้ผึ้งถูกไฟลน ต่างพากันปลาบปลื้มตื้นตัน น้ำตาเอ่อคลอ เลิกคิดลงโทษโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครนึกสงสัยว่าเจ้าเด็กแสบคนนี้มันจะเอี้ยวคอพูดบอกรักคนในครอบครัวได้ยังไง ในเมื่อสักเอาไว้ตรงกลางหลัง

    ขณะที่ไอ้หลานเลวแอบยิ้มกริ่ม ไม่กี่วันต่อมา รอยสักก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับดอกเห็ด

     

    นายอาจหาญมองดูหลานชายที่นั่งเป็นหมาหงอยอยู่บนโซฟาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจลุกจากเก้าอี้เดินไปเปิดตู้ แล้วนำแฟ้มฉบับสีดำออกมา

    ผู้เป็นลุงไม่รู้เลยว่า ทันทีที่เขาหันหลัง เจ้าหลานชั่วก็แอบยิ้มชั่วร้ายเหมือนคาดการณ์เอาไว้แล้ว จากนั้นก็รีบทำหน้าเศร้าเพราะกลัวเขาจะหันมาเห็น แสร้งเป็นหมาเหงาที่หมดอาลัยตายอยากเหมือนเดิม

    นายอาจหาญถือแฟ้มเดินกลับมาที่โซฟา ขณะที่นำดวงแสร้งทำเหมือนเพิ่งหันไปเห็น จึงเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

    “นั่นลุงเอาอะไรมาหรือครับ?”

    “เอ็งไม่ต้องมาตอแหล” นายอาจหาญตวัดสายตาตอบหลานชาย ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ เปิดดูแฟ้มในมือ “ก็อยากรู้ดวงชะตาของนังพงนังพิมอะไรนั่นไม่ใช่หรือไง”

    “นำรักลุงอาจที่สุดเลย”

    นำดวงผุดลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า ไม่มีความละอายติดอยู่ในใบหน้าเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มรีบเปิดเบียร์กระป๋องใหม่วางไว้ด้านหน้าลุง เอื้อมแขนยาวไปจับหัวเข่าของชายชราบีบๆ นวดๆ ให้อย่างเอาใจ

    “ลุงจะบอกแค่คร่าวๆ นะ” 

    นายอาจหาญพูดดักคอ ขณะที่นำดวงรีบพยักหน้าตกลง

    “แค่ลุงบอกว่ามันจะไม่ได้ดี นำก็โอเคแล้วล่ะครับ”

    ได้ฟังคำตอบของหลานชาย นายอาจหาญก็คว้าไม้ตียุงมาวางเอาไว้บนตัก ขณะจิกตาใส่หลานชั่วหนึ่งที จากนั้นจึงก้มหน้าดูแฟ้มในมือ

    “พิมพิสา เกิดวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2541 เวลา 10:06 น. ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๓ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ปีขาล จุลศักราช ๑๓๖๐ คริสตศักราช 1998, มหาศักราช 1920, รัตนโกสินทรศก 217”

    “เอ่อ…ลุงเอาตรงๆ เข้าใจง่ายๆ เลยได้มั้ยครับ เข้าประเด็นไปเลย ไม่ต้องเกริ่นนำเรื่อง”

    ป๊าบ! เปรี้ยะๆๆๆ

    เสียงไม้ตียุงช็อตขนแขนแขนชายหนุ่ม ตั้งแต่เขาพูดยังไม่จบประโยค นำดวงลูบแขนของตัวเองป้อยๆ ยอมปิดปากเงียบสนิท

    “พิมพิสาถูกพระราหูเสวยอายุ 12 ปี ตั้งแต่อายุสิบเก้าจนถึงสามสิบเอ็ด”

    “หือ?” นำดวงตาโต หูผึ่ง “ราหูนี่ไม่ดีใช่มั้ยครับ แบบนี้แปลว่ากว่าที่นังพิมพิสารเลวจะตั้งตัวเป็นผู้เป็นคนได้ ก็ต้องอายุเลยสามสิบเอ็ดไปแล้วใช่มั้ยลุง?”

    ใบหน้าหล่อเหลาของนำดวงแจ่มกระจ่าง ไม่ปกปิดความยินดี ขณะคิดว่าตัวเขากับน้องอ่อนได้ผจญเคราะห์ครั้งใหญ่ และทำพิธีสะเดาะเคราะห์มาแล้วเรียบร้อย ถึงขนาดไม่เจอหน้ากันนานกว่าหกปี เพราะฉะนั้นงานนี้ นังพิมพิสาตายแน่

    นายอาจหาญมองหน้าหลานชาย ก็เดาความคิดได้ เขาเลยดับฝันทันที

    “ไม่ใช่” ชายชราตอบ “พระราหูมีทั้งโทษและคุณ อยู่ที่ดาวดวงไหนที่จะเข้ามาแทรก อย่างก่อนหน้านี้เมื่อราวสองปีจนถึงอายุยี่สิบ พิมพิสาถูกพระราหูแทรกพระราหู ตอนนั้นดวงถึงได้ตกหนัก ชีวิตลำบาก งานการไม่รุ่ง เป็นนางเอกละครก็ไม่ดัง ผู้ใหญ่ไม่สนับสนุน ถูกบดบังความดีความ…”

    “เดี๋ยว” นำดวงยกมือขัดจังหวะ “ลุงอย่าพูดว่านังพิมถูกบดบังความดีความชอบ เพราะอีนี่มันไม่มีความดี” 

    “เออๆ แล้วแต่เอ็งจะคิด เอาเป็นว่าในปัจจุบันดวงของนังพิมตอนนี้ มีพระศุกร์แทรกพระพระราหู จะอยู่ยาวไปจนถึงกลางมิถุนายนปีหน้า ถือว่าดวงเปลี่ยน ถึงได้มาเซ็นสัญญากับแม่หนูนวลอย่างไรล่ะ”

    นำดวงครุ่นคิดอีก หัวคิ้วขมวดมุ่นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคลายออก 

    “แปลว่าที่ถูกน้องอ่อนกับน้องสะใภ้จัดการสั่งสอนคืนนั้น ก็เป็นการส่งท้ายดวงแย่ๆ ของมัน”

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ชายชราพยักหน้า ก่อนสรุป “เอาเป็นว่าในตอนนี้จนถึงปีหน้า ถ้าแม่พิมพิสาอยู่นิ่งๆ ไม่วิ่งไปหาเรื่องหาราวอะไรกับใคร ดวงก็จะเริ่มเข้ารูปเข้ารอย สิ่งดีๆ ก็จะมีปรากฏให้เห็น เพราะถัดจากนั้น ตั้งแต่กลางปีหน้าหลังจากพระศุกร์ พระอาทิตย์จะเข้าแทรกพระราหูต่อ อาจมีเรื่องมีราวให้ลำบากหนักอีกรอบหนึ่ง”

    นำดวงฟังจบก็ผุดลุกขึ้น ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ดูเวลา ก่อนบอกกับชายชราผู้เป็นลุง

    “เที่ยงคืนกว่าแล้ว ลุงไปนอนเถอะ เดี๋ยวนำก็จะรีบนอนเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้นำจะไปเยี่ยมพวกมันกับน้องอ่อน”

    พูดจบชายหนุ่มก็เก็บกระป๋องเบียร์ที่ดื่มแล้วใส่ถุงพลาสติก เอาไปทิ้งถังขยะ เหลืออีกสองกระป๋อง ก็ไว้ให้ลุงหนึ่งกระป๋อง อีกหนึ่งนั้นเขาเปิดดื่มขณะเดินออกจากบ้าน

     

    “อะไรของมันวะ ยังพูดไม่จบเลยไปซะแล้ว” 

    นายอาจหาญยกมือเกาศีรษะซึ่งมีผมขาวเต็มหัวของตัวเองอย่างงงๆ ขณะมองตามหลังหลานชายที่เดินยกขาข้ามรั้วออกไป

    “ตอนอยากรู้ก็เร่งแล้วเร่งอีก พอบอกให้ฟังยังไม่ทันพูดจบก็ไปง่ายๆ แบบนี้” ชายชราบ่นกับตัวเอง ก่อนชะงัก “หรือว่ามันคิดอะไรเลวๆ ได้ เลยไม่จำเป็นต้องฟังอีก”

    ด้วยความที่รู้จักนิสัยใจคอเจ้าหลานชั่วเป็นอย่างดี ทำให้นายอาจหาญไม่วางใจ แต่ยืนนึกอยู่ครู่หนึ่ง ทบทวนทุกคำของตัวเองที่พูดออกไป ก็ไม่พบว่ามีตรงไหนผิดพลาด สุดท้ายชายชราก็กลับเข้าบ้าน ปิดล็อคประตู

    นายอาจหาญจึงไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหลานชายสุดที่รักในตอนนี้

    ถ้าแม่พิมพิสาอยู่นิ่งๆ ไม่วิ่งไปหาเรื่องหาราวอะไรกับใคร ดวงก็จะเริ่มเข้ารูปเข้ารอย สิ่งดีๆ ก็จะมีปรากฏให้เห็น

    คำพูดของลุงประโยคนี้ประโยคเดียว ก็เพียงพอแล้วสำหรับนำดวง

    อยู่นิ่งๆ เหรอ…

    ฝันไปเถอะ…

    เขานี่แหละจะทำให้นังพิมพิสารเลวกับแม่ของมันอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าจะมีสิ่งดีๆ ใดๆ มาปรากฏ!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×