ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภรรยานำดวง (Re-up มี E-book)

    ลำดับตอนที่ #15 : เราทุกคนล้วนเดินเป็นวงกลม

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.56K
      22
      19 มี.ค. 64

    คุณนวลระวีมาถึงแผนกมูเตลู พร้อมกับหนุนดวงและเหนือดวง แต่เธอกับลูกชายทั้งสองต่างยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่วงนอก 

    หลังจากหนุนดวงโทรศัพท์ไปบอกว่า นำดวงให้โทรมาบอกว่าคนชื่อ “น้องอ่อน” กลับมาแล้ว และพี่ชายคนโตก็วิ่งออกไปเหมือนโดนผีเข้า รีบร้อนแม้กระทั่งลืมใส่เสื้อผ้าออกไป หญิงสูงวัยก็ตกใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนบอกให้ลูกคนรองนำเสื้อผ้าติดมือไปให้พี่ชาย จากนั้นหนุนดวงก็โทรไปเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้น้องชายคนเล็กฟัง ซึ่งเหนือดวงก็ไม่ยอมพลาด บอกให้ทุกคนรอเขาด้วย จากนั้นก็รีบตาลีตาเหลือกวิ่งตามมาสมทบ เพื่อหวังจะดูพี่ชายแก้ผ้าออกมาจากบ้าน พร้อมกันนั้นคุณนวลระวีก็เล่าเรื่องราวของอ่อนช้อยให้หนุนดวงกับเหนือดวงได้ฟังไปด้วย

    ความจริงเธอควรเล่าเรื่องราวเมื่อหกปีก่อน ให้ลูกชายทั้งสองคนได้รับรู้รายละเอียดทั้งหมด รวมทั้งพี่อาจหาญซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ของเธอ แต่สุดท้ายคุณนวลระวีกับนำดวงก็ตัดสินใจไม่เล่าถึงรายละเอียด เว้นแต่เรื่องที่ว่าหลวงพ่อทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้นำดวง มีการจัดพิธีแต่งงาน จากนั้นให้เขาเป็นพ่อม่ายเมียตาย ถือว่าพื้นดวงชะตาถูกเปลี่ยนใหม่ เหมือนคนตายได้กลับชาติมาเกิด 

    แม้แต่กับบรรดานักข่าว เมื่อถามถึงลูกชายของเธอทั้งสามคนว่ามีใครจะเข้าวงการมาเป็นดารานักแสดงบ้าง คุณนวลระวีก็มักจะพูดทีเล่นทีจริงถึงลูกชายคนโตว่า 

    “ลูกคนอื่นพี่ไม่แน่ใจ แต่สำหรับลูกนำคงไม่สนใจแน่นอนค่ะ เพราะตั้งแต่เป็นพ่อม่าย ก็เอาแต่คิดถึงอดีตภรรยาจนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”

    คำตอบทีเล่นทีจริงของคุณนวลระวี ทำเอานักข่าวทั้งหลายหูผึ่งอ้าปากค้าง แต่แน่นอนว่าเธอพูดแค่นั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ต่อมาแม้จะมีข่าวซุบซิบของนำดวง หลายคนอยากรู้ว่าลูกชายคนโตของเธอแต่งงานกับใคร แต่งเมื่อไหร่ เป็นพ่อม่ายตอนไหน แต่คุณนวลระวีกับนำดวงก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ ไม่บอกเล่ารายละเอียดอื่นใด แม้แต่กับลูกชายอีกสองคนก็ตาม

    เหตุที่คุณนวลระวี ไม่ได้เล่าให้หนุนดวงกับเหนือดวงฟังนั้น เป็นเพราะไม่แน่ใจว่า หลังจากอ่อนช้อยเรียนจบแล้ว หญิงสาวจะมาสมัครงานตามที่เคยรับปากหรือเปล่า ยิ่งเมื่อเห็นลูกชายคนโตเศร้าซึมอยู่นาน จากนั้นก็โหมงานหนัก แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนติดต่อกันนานนับเดือน กว่าจะกลับมาเป็นคนร่าเริงเหมือนเดิมได้ ก็ใช้เวลาอยู่นานนับปี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีแววตาหม่นเศร้าให้เธอสังเกตเห็นอยู่บ่อยๆ คุณนวลระวีจึงเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ ด้วยไม่อยากตอกย้ำความหม่นหมองของนำดวง

    การจมอยู่กับความคาดหวังที่มากเกินไป ย่อมเป็นการทำร้ายตัวเองหากไม่สมดั่งหวัง นั่นคือสิ่งที่ต้องระวัง เพื่อเป็นการปกป้องหัวใจตัวเอง

    หากลูกชายของเธอไม่มีแรงแม้แต่จะระมัดระวังตัว เธอในฐานะแม่ ก็ต้องคอยระวังทุกอย่างแทนลูก 

    จึงไม่แปลกที่วันนี้นำดวงจะดีใจจนเหมือนไร้สติ เมื่อได้ยินว่าอ่อนช้อยมาสมัครงานแล้ว ซึ่งเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน 

    หัวอกคนเป็นแม่ จะมีเรื่องไหนสำคัญเท่ากับความสุขของลูกอีกเล่า

    ใบหน้าสวยสมวัยของคุณนวลระวี มีรอยยิ้มอ่อนโยนแตะแต้ม ขณะวางสายตาอยู่ที่ลูกชายคนโตกับอ่อนช้อย

    หลังจากพนักงานทุกคนแตกฮือเพราะเสียงตวาดของนายอาจหาญ คุณนวลระวีจึงพาลูกชายทั้งสองเดินไปหานำดวง เป็นจังหวะที่ลูกชายคนโตเงยหน้าเห็นพอดี นำดวงจึงปล่อยอ่อนช้อยเป็นอิสระ

    “แม่…น้องหนุน น้องเหนือ”

    นำดวงพูดเสียงสั่นเครือ ขณะใช้หลังมือปาดน้ำมูกน้ำตาของตัวเอง จากนั้นจึงรับเสื้อผ้าที่หนุนดวงส่งมาให้ ก่อนถามกลับไปอย่างงงๆ

    “น้องหนุนเอาเสื้อผ้ามาให้พี่ทำไม?”

    หนุนดวงกับเหนือดวงรีบลากแขนพี่ชายออกมาที่มุมห้อง ก่อนชี้ให้คนเป็นพี่ก้มหน้าดูเป้ากางเกงบ็อกเซอร์เนื้อบาง ที่ตอนนี้มีบางสิ่งบางอย่างขยายตัวตุงโด่ ดันเป้าออกมาจนเกือบทะลุ

    ตอนนั้นเองที่นำดวงเพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มรีบก้มหน้าก้มตา สวมใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว จนลืมร้องไห้ไปชั่วขณะ

    อ่อนช้อยหันมายกมือไหว้คุณนวลระวี ขณะที่อีกฝ่ายดึงตัวของเธอเข้ามากอดหลวมๆ แล้วพูดว่า

    “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะจ๊ะ ลูกอ่อน”

     

    อ่อนช้อยระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา หากชีวิตของเธอเป็นนิยายสักเรื่อง คงหนีไม่พ้นต้องอยู่ในหมวดดราม่า เริ่มต้นเรื่องจากความยากลำบาก อดทนข่มกลั้น ต่อสู้ฝ่าฟันกับความยากไร้และความกดดันของครอบครัว จนกระทั่งได้พบกับนำดวงโดยบังเอิญ และเหตุการณ์ในหนึ่งวันนั้น ก็พลิกผันชีวิตของเธอทั้งหมด

    นี่เองที่เรียกว่าดวงชะตา

    นี่เองที่เรียกว่าโชคชะตา

    เราสามารถปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปตามดวงตามโชค ขณะเดียวกันเราก็สามารถแข็งขืน เพื่อลิขิตชะตาของตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนไร้ทางเลือกมาตั้งแต่แรกอย่างเธอ อ่อนช้อยตัดสินใจที่จะประคับประคองตัวเองไปพร้อมกับโชคชะตา ตั้งแต่เธอมีอายุสิบห้าปี

    จากโชคร้าย กลายเป็นโชคดี และอนาคตข้างหน้าที่จะมาถึงนี้ เธอหวังว่าตัวเองจะมีสติรู้ ไม่หลงระเริงไปกับโชค จนลืมกำหนดทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง

    หลังจากเหตุการณ์วันนั้น คุณนวลระวีได้จัดงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อต้อนรับเธอ คนที่มาร่วมงานนอกจากสามพี่น้องแล้ว ยังมีคุณตาอาจหาญ ซึ่งตั้งแต่วันนั้นชายชราก็ขอให้เธอเรียกเขาว่า “ลุง” มี “คุณป้าหวาน” แม่นมของนำดวง คุณนวลระวีอยากเชิญน้าเรืองรุ่งให้เข้ากรุงเทพฯ สักสองสามวัน แต่บังเอิญตอนนั้นน้าเรืองรับงานแต่งหน้าทำผมให้บ่าวสาวคู่หนึ่งเอาไว้แล้ว จึงจำต้องปฏิเสธคุณนวลระวีด้วยความเกรงใจ

    แต่ถึงอย่างนั้น น้าสาวของเธอก็อวยชัยให้พรแก่เธอยืดยาว ให้ชีวิตการทำงานราบรื่น ไม่ลืมที่จะย้ำให้เธอรักและเคารพคุณนวลระวี นำดวง และญาติพี่น้องของเขาทุกคน

    คนที่คุยกับน้าเรืองรุ่งมากกว่าใคร ไม่ใช่เธอซึ่งเป็นหลานสาว ทว่าคือนำดวง ที่ร่าเริงแจ่มใสยิ้มจนหุบปากไม่ได้มาทั้งวัน ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญาต่อน้าว่าเขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดี ไม่ให้น้าต้องเป็นห่วง ทั้งที่น้ายังไม่ได้ฝากฝังเธอให้เขาดูแลเลยแม้แต่คำเดียว

    วันนั้นอ่อนช้อยได้คืนบัตรเอทีเอ็มให้กับนำดวง ซึ่งตั้งแต่รับมันมา เธอไม่ได้กดเงินของเขาออกมาเลยสักบาท แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมไม่รับ แต่เมื่อเห็นเธอไม่สบายใจที่จะเก็บไว้ เขาก็ยื่นเงื่อนไขจะยอมรับบัตร แลกกับการให้เธอรับคอนโดหนึ่งหลังของเขาแทน เพราะคอนโดหลังนั้นเขาแค่ซื้อทิ้งเอาไว้ ไม่มีใครอยู่ เพื่อให้เธอได้พักอาศัยในฐานะที่เป็นพนักงานคนใหม่ของบริษัท

    แน่นอนว่าอ่อนช้อยไม่ยอมรับ จนกระทั่งนำดวงวิ่งไปฟ้องแม่ ขอให้คุณนวลระวีเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย ก่อนที่คุณนวลระวีจะขอร้อง ให้เธอทำสัญญาเป็นผู้เช่าซื้อ นั่นแหละอ่อนช้อยจึงยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดอย่างเกรงใจ ส่วนนำดวงก็ยอมรับบัตรเอทีเอ็มเอาไว้ แต่เมื่อเธอเผลอ เขาก็แอบยัดมันลงในกระเป๋าสะพายของเธอเหมือนเดิม 

    จบเรื่องบัตรเอทีเอ็มและคอนโด ก็มาถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่อง นั่นคือตำแหน่งงานของเธอในบริษัท นำดวงอีกเช่นเคยที่เสนอให้อ่อนช้อยไปเป็นผู้ช่วยของเขาในแผนกตัดต่อละคร แม้จะรู้ดีว่าตำแหน่งที่ตัวเองเสนอมานั้น ไม่เหมาะกับเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะฝ่ายตัดต่อละครส่วนมากจะเป็นผู้ชาย สามารถทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่เป็นเวลา ทว่าชายหนุ่มก็ยังหาตำแหน่งให้อ่อนช้อยไม่ได้ จำต้องดึงตัวเธอเอาไว้ก่อน

    แน่นอนคนที่ไม่ยอม ไม่ใช่อ่อนช้อย หรือคุณนวลระวี แต่เป็นลุงอาจ

    นายอาจหาญที่ถูก “ไอ้หลานชั่ว” จับตัวนอนขึงพืดกับพื้น แล้วจี้บั้นเอวไปมาท่ามกลางสายตาพนักงานรุ่นลูกรุ่นหลานทั่วทั้งแผนก โวยวายขึ้นมาทันที ก่นด่าหลานชายว่าไม่มีสมอง จะให้ผู้หญิงบอบบางอย่างเธอไปอยู่ท่ามกลางผู้ชายห่ามๆ ทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร ซึ่งจุดนี้ถึงแม้นำดวงไม่อยากเห็นด้วย แต่ก็จำต้องเห็นด้วยกับชายชรา เพราะที่ลุงอาจพูดมานั้นเป็นความจริงทุกอย่าง

    และสุดท้าย นายอาจหาญก็สรุปต่อหน้าทุกคนว่า ในฐานะผู้อาวุโสซึ่งพบอ่อนช้อยก่อนคนอื่น หญิงสาวจะต้องทำงานที่แผนกมูเตลูก่อน ในฐานะศิษย์พิเศษ โดยนายอาจหาญจะสอนวิชาโหราศาสตร์แขนงๆ ต่างๆ ให้แก่อ่อนช้อย หรือต่อให้อ่อนช้อยไม่อยากเรียน ก็นั่งกินอนกินอยู่เฉยๆ ก็ได้ พอพ้นสองปีไปแล้ว ค่อยมาสรุปกันใหม่ว่าจะให้อ่อนช้อยไปทำงานกับใครในตำแหน่งไหนดี

    สองปีต่อมา คุณนวลระวีก็ดึงตัวอ่อนช้อยมาเป็นเลขาประจำตัว ซึ่งนำดวงไม่คัดค้าน เพราะการที่อ่อนช้อยมาทำงานกับแม่ ทำให้เขาสามารถเข้าใกล้หญิงสาวได้ง่ายกว่า ต่างจากตอนเวลาที่เธอทำงานกับลุง แวะไปหาหญิงสาวทีไร จะต้องฝ่าด่าน “ตาแก่น่าตาย” ทุกครั้ง ต้องประชันกระบวนท่า ทดสอบวิทยายุทธ์ ทั้งฝีปากและฝีมือกับคนเป็นลุงทุกครั้งไป กว่าจะได้พบหน้าเธอแต่ละครั้งช่างแสนยากเย็น

     

    อ่อนช้อยเก็บบทละครเรื่องข้าวเคียงเหนือ เอาไว้บนโต๊ะตามเดิม คืนนี้มัวแต่นึกถึงเรื่องราวในอดีต จึงไม่ได้อ่านทวนบท “ออเซาะ” ของตัวเอง ที่ถูกบังคับให้เป็นนักแสดงรับเชิญด้วยความจำใจ โชคดีที่ที่บทของเธอไม่ยาก มีบทพูดไม่มาก และถ่ายทำไปแล้วหลายฉากหลายซีน จึงสามารถเก็บที่เหลือไว้อ่านวันหลังได้

    อ่อนช้อยลุกขึ้นจากโซฟา เห็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว จึงเตรียมตัวเข้านอน ทว่านาทีนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้น

    คนที่โทรมาหา คือนำดวง

    “น้องอ่อนนอนหรือยังครับ?”

    นำดวงส่งเสียงออดอ้อนมาตามสาย ขณะที่หญิงสาวตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ

    “กำลังจะนอนค่ะ คุณนำมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

    “คุณนำอีกแล้ว เอะอะน้องอ่อนก็เรียกพี่นำว่าคุณนำ คุณนำ…เมื่อไหร่น้องอ่อนจะเรียกพี่นำว่าพี่นำสักทีละครับ” 

    นำดวงทำเสียงฮึดฮัด เหมือนอยากให้เธองอนง้อเอาใจ แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงเธอตอบ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาเองด้วยเสียงร่าเริง

    “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ น้องอ่อนว่างใช่ไหม เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีมั้ยครับ?”

    “พรุ่งนี้อ่อนมีธุระค่ะ”

    หญิงสาวตอบ ขณะที่นำดวงถามขึ้นมาทันที

    “ธุระอะไรเหรอ?” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความสนใจ “หรือน้องอ่อนจะมาดูน้องข้าวเข้าฉากกับแม่ พี่นำได้ยินน้องเหนือบอกว่าพรุ่งนี้จะถ่ายฉากที่ตลกมาก เป็นตอนที่แม่เสียพนันที่บ่อน แล้วแอบไปขโมยเสื้อผ้าของน้องข้าวเอาไปขาย ส่วนน้องข้าวก็อยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่ เลยแอบไปขโมยทองของแม่ไปขายเพื่อซื้อเสื้อผ้า”

    นำดวงพูดจบก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน  

    ละครเรื่อง “ข้าวเคียงเหนือ” สร้างมาจากชีวิตจริงของเคียงข้าวเพื่อนสนิทของเธอ โดยคุณนวลระวีรับบทเป็น “นางครวญคราง” แม่ของ “น้องคิ้ม” ซึ่งแสดงโดยเคียงข้าว หลังจากที่วีวี่นางเอกอันดับหนึ่งของวงการ ประสบอุบัติเหตุจนต้องถอนตัวในนาทีสุดท้าย

    เรื่องของเคียงข้าวถือเป็นโชคชะตาอีกเรื่องหนึ่ง ที่เกี่ยวโยงผูกพันกับครอบครัวของคุณนวลระวี

    ใครจะคิดล่ะว่า เพื่อนสนิทคนเดียวตั้งแต่วัยเด็กของเธอ ซึ่งมีครอบครัวที่อบอุ่น มีฐานะร่ำรวยมั่นคง เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้านเขาตะคร้อ อยู่ๆ พ่อเลี้ยงนุกูลบิดาของเคียงข้าว ก็ริตามเพื่อนไปเยือนบ่อนพนันที่ด่านชายแดน จนได้พบกับนางพวงคราม ซึ่งชื่นชอบการพนันแบบเข้ากระแสเลือดที่นั่น 

    นอกจากผีพนันจะเข้าสิงทั้งสองคน จนเสียเงินเสียทองไปมากมายแล้ว พ่อเลี้ยงนุกูลยังหลงเสน่ห์ของนางพวงครามจนถอนตัวไม่ขึ้น จนยกอีกฝ่ายขึ้นเทียมเมียเอกอย่างคุณผจี จนกระทั่งมีเรื่องมีราวฟ้องหย่า บ้านแตกสาแหรกขาด เคียงข้าวเพื่อนของเธอต้องเดินขึ้นลงบันไดโรงพักและศาล กว่าจะจัดการเรื่องราวทั้งหมดแทนแม่ได้เสร็จสิ้น

    หลายคนเคยพูดว่า “โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิต” นอกจากชีวิตของเธอแล้ว ชีวิตของเคียงข้าวก็ไม่ต่างกัน หลังจากเรียนจบ เธอตัดสินใจมาสมัครงานที่บริษัทคุณนวลระวี ตามที่เคยสัญญาเอาไว้ ส่วนเคียงข้าวพาแม่ไปตั้งหลักที่ประเทศอินเดีย แล้วเรียนต่อปริญญาโทที่นั่น 

    ส่วนพิมพิสาลูกสาวของนางพวงคราม หรือลูกเลี้ยงคนใหม่ของพ่อเลี้ยงนุกูล ดวงชะตานำพาให้เข้าวงการบันเทิงในฐานะนางเอกละคร ถึงแม้จะไม่ได้โด่งดังมากมาย แต่ก็ถือเป็นที่รู้จักของประชาชาชน สมดั่งที่พิมพิสาได้วาดฝันมาตั้งแต่ยังเด็ก

    พวกเธอสามคนต่างรู้จักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ มองเห็นกันและกันตั้งแต่ยังอยู่ที่หมู่บ้านเขาตะคร้อ จากนั้นก็แยกจาก แล้วสุดท้ายโชคชะตาก็นำพาให้กลับมาพบกันอีก

    เราทุกคนล้วนเดินเป็นวงกลม

    เหมือนตอนเช้าออกจากบ้าน ไปทำธุระการงานต่างๆ ก่อนกลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อนนอนหลับ พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกจากบ้านอีก  

    เหมือนรถเมล์ออกจากอู่ จากต้นสายไปยังปลายสาย แล้วสุดท้ายก็กลับมาจอดที่อู่อีกครั้ง วนไปมาอยู่แบบนี้

    ใครจะคิดล่ะว่า เมื่อคุณนวลระวีมองหาผู้ช่วยเลขาอีกคน เมื่อเธอนำวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของเคียงข้าวไปให้ลุงอาจหาญ กลับพบว่าดวงชะตาของเคียงข้าวสูงส่ง จนกระทั่งได้จดทะเบียนสมรสกับคุณเหนือดวง กลายเป็นสะใภ้เล็กของคุณนวลระวี แม้กระทั่งเจ้าตัวเองก็คาดไม่ถึงว่าชีวิตจะพลิกเปลี่ยนได้ขนาดนี้ 

    หนำซ้ำชีวิตของเคียงข้าว ยังถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์เรื่องข้าวเคียงเหนือ เขียนบทโดย “เหนือเมฆ” หรือคุณเหนือดวงผู้เป็นสามี โดยมีคุณนวลระวีรับบทเป็น “นางครวญคราง” ที่ดัดแปลงมาจากนางพวงครามแม่ของพิมพิสา ส่วนเคียงข้าวรับบท “น้องคิ้ม” ซึ่งก็คือตัวจริงของพิมพิสา ขณะที่พิมพิสาได้บท “ขวัญข้าว” นางเอกของเรื่อง ซึ่งบทขวัญข้าวก็มาจากตัวจริงของเคียงข้าวนั่นเอง

    จะมีอะไรตลกร้ายไปมากกว่านี้อีก

    ที่ตลกมากกว่านั้นก็คือ พิมพิสาดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้มารับบทขวัญข้าว ทั้งที่ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นางเอกสาวเกลียดชังเคียงข้าวจับจิตจับใจ เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกสาวของพ่อเลี้ยงนุกูล พิมพิสาให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยความปลาบปลื้ม ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ซักซ้อมบทขวัญข้าวอย่างขยันขันแข็ง เพิ่งได้รู้ความจริงทุกอย่าง ก็ในวันแถลงข่าวละครเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

    ซึ่งในคืนนั้น พิมพิสากับนางพวงคราม ถูกเธอกับเคียงข้าวจัดการทั้งต้นทั้งดอก จนต้องเข้าโรงพยาบาลนานครึ่งค่อนเดือน

     

    “น้องอ่อน…น้องอ่อนฟังพี่นำอยู่ไหมครับ?”

    เสียงของนำดวงช่วยดึงอ่อนช้อยออกจากภวังค์ หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบชายหนุ่มไปตามสาย

    “พรุ่งนี้คุณนวลให้อ่อนไปเยี่ยมพิมพิสา ถ้าคุณนำว่าง จะไปด้วยกันก็ได้ค่ะ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×