ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sphere of the earth

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ก่อนจะพบสิ่งที่น่าหวั่นใจ

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 55


    คืนนั้นฝนตกหนัก ผมกำลังนั่งรอรถเมล์สายที่ผมขึ้นเป็นประจำหลังจากเล่นเกมเสร็จ พร้อมกับนั่งคิดจินตนาการเพ้อฝันว่าถ้าผมสามารถควบคุมฝนได้มันจะเป็นยังไงนะ 
    ถ้าผมได้ไปปราบมังกรยักษ์มันจะเป็นยังไงนะ ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่เพลินๆ นั้น ก็มีเสียงหนึ่งเรียกผมมันเป็นเสียงที่คุ้นเคย "เเจ็ค แจ็ค  เห้ ว่าไงเพื่อน" 
    เสียงที่กำลังเรียกผมอยู่นี้ คือ เสียงของกรีน เพื่อนร่วมห้อง ผิวสี ผมหยิก เขาสวมเสื้อยืดสีน้ำเงิน ใส่กางเกงยีนขาดๆสีน้ำตาล  ผมเดินเข้าไปทักเขาตามปกติ 
    หลังจากคุยกันได้สักพัก เขาจึงพูดขึ้นว่า "ฉันมีอะไรจะให้นายดู ตามฉันมาสิ"
    ผมลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตามเขาไปอยู่ดี เพราะเพื่อจะมีอะไรน่าสนุกบ้างอย่างเช่น การตกรถเมล์ 
    ผมตามเขาไปจนถึง "สถานที่" ที่หนึ่งที่ผมจะไม่มีทางลืม  มันเป็นเปรียบเสมือนคลังสมบัติถ้าไม่รวมซากเหล็ก กับกองขยะที่อยู่ด้านข้าง 
    กรีนกำลังเล่าถึงการค้นพบสถานที่นี้ เเต่ผมไม่ได้ฟังผมกำลังสนใจเเต่สิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้
    สิ่งที่ผมเห็นคือ คลังของเล่น น่าจะรียกอย่างนั้น อาวุธสารพัดชนิด ค้อนป็อกเเป็ก หุ่นยนตร์ของเล่น เเน่นอนว่าผมก็ชอบสิ่งเหล่านี้ เเม้ว่าผมจะอายุ 15
    เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังคงความเป็นเด็กไว้ในตัว(ซึ่งเเน่นอนว่าทำให้ผมไม่เครียดตายเเต่ก็สร้างปัญหาให้ชีวิตเหมือนกัน)  กรีนยังคงพูดต่อไป
    ผมหยิบของเล่นขึ้นมาจากกองเหล่านั้น อันเเล้วอันเล่า จนหยิบไปเจอของสิ่งหนึ่งเข้า มันเป็นของรูปทรงสามเหลี่ยม ที่ตรงกลางด้านหลังมีสิ่งที่คล้ายฟันเฟือง 
    ที่ผมประหลาดใจมากที่สุดไม่ใช่รูปร่างของมันที่ไม่ค่อยคุ้นตานักสำหรับของเล่น เเต่สิ่งทีผมกำลังถืออยู่นั้นเรืองเเสง เเสงสีเเดงที่ทั้งดูสวยงามเเละน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน
    "สุดยอดเลยสินะ ไอ้นั้น" กรีนพูดขึ้น "เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกันไอ้ของเเบบนั้นหนะ" เขาพูดต่อ ผมไม่ได้ตอบอะไร ในตอนนั้นผมกำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น
    ผมนึกไปถึงหนังต่างๆ ที่ผมได้ดู การ์ตูน หรือเกม ที่ผมเคยสัมผัสมา  มันจะต้องสำคัญในอนาคต ผมคิด "ฉันขอได้ไหมไอ้นี้" ผมพูด 
    "นายอยากได้ก็เอาไปสิ ไม่ใช่ของฉันอยู่เเล้ว" เขาตอบ     ผมเก็บมันลงกระเป๋ากางเกง พร้อมก้มลงมองนาฬิกา ตี 2 ถึงเวลาที่ผมควรจะไปได้เเล้วไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม
    "ฉันกลับก่อนละนะ" ผมพูดขึ้น "เออ โชคดี" กรีนตอบ ผมเดินทางกลับบ้านด้วยความเร็วของการวิ่ง( ซึ่งช้ามาก)  ถึงป้ายรถเมล์ที่ๆผมอยู่ในตอนเเรก 
    ผมคิดว่าในเวลานี้รถเมล์สายที่ผมจะไปน่าจะหมดเเล้ว เเต่สิ่งที่เห็นกลับเห็นรถเมล์สายนั้นจอดอยู่ ว่างเปล่า 
    มีเพียงคนขับกับกระเป๋ารถเมล์ สภาพรถเมล์ดูใหม่กว่าคันที่ผมขึ้นอยู่ทุกวัน ผมขึ้นไปบนนั้น เนื่องจากตอนนั้น ผมเปียกทั้งตัว
    หนาวสั่น จึงไม่คิดอะไรมาก ผมเดินไปนั่งด้านซ้ายริมหน้าต่างหลังสุด กระเป๋ารถเมล์เดินเข้ามาเก็บเงินเหมือนรถเมล์ทั่วไป ผมล้วงกระเป๋าเพื่อที่จะหยิบเงิน
    เเต่เเล้วกระเป๋ารถเมล์คนนั้นก็หยุดมือผมไว้ ผมอ่านชื่อเขาในใจ ที่ป้ายชื่อเขียนว่า "มิสเตอร์ คาร์" คนบ้าอะไรชื่อ "มิสเตอร์ คาร์" ผมคิด "ไอ้หนู สายนี้เงินไม่ต้อง"
    ชายร่างโต หัวโล้น ชื่อเเปลกเดินหลังค่อมๆ คนนี้พูดด้วยเสียงที่เเหบเหมือนเป็ด  "นายมีตั๋วอยู่กับตัวเเล้ว ที่ฉันมาเพื่อบอกว่า คาดเข็มขัดให้ดีละ เเม้มันจะไม่มีก็เถอะ " ทันที 
    ที่เขาพูดจบรถเมล์เหมือนจะกระโดดโลดเต้น ทุกอย่างสลายกลายเป็นพายุวกวน รถเเคบลงเรื่อยๆผมรู้สึกอึดอัด จนอยากจะอาเจียน รถทั้งคันกระโดดโยกไปมา 
    "อย่าอ้วกซะละไอ้หนู พื้นมันเช็ดยาก" มิสเตอร์ คาร์ พูด ผมหลับตาเพื่อจะคิดว่าทุกอย่างเเค่ฝันไป เเต่พอลืมตาผมพบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจกว่า รถเมล์ที่ผมนั่งอยู่
    จนถึงเมื่อกี้นี้ กลายเป็นรถม้าขนาดใหญ่ เบาะสีฟ้า  มีเพียงเเสงจากตะเกียงที่ทำให้ผมยังมองเห็นสิ่งเหล่านี้  
    บรรยากาศรอบนอกมืดสนิท ตึกสูง บ้านเรือน หายไปราวกับโกหก  รวมทั้ง มิสเตอร์ คาร์  เขาหายไปเเล้ว คนขับรถรูปร่างเตี้ย ผิวขาวซีด ผมสีทองก็หายไปด้วยเช่นกัน
    ผมยังคงตกตะลึง มองหาสิ่งรอบตัว หาสิ่งที่จะทำให้ผมอุ่นใจได้ รถกระโดดขึ้นเล็กน้อย คงจะสะดุดหิน ผมคิด รถม้ายังคงเเล่นต่อไป เเละเเล้วผมก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน 
    "ตกหลุมอีกเเล้วนะเจ้าบ้า ทุกทีเลยสิน่า  ทางนี้หลุมก็มีเเค่หลุมเดียวเองเเกไม่รู้จักหลบมันบ้าง"นี้คือเสียงของมิสเตอร์ คาร์ อย่างไม่ต้องสงสัย
    "ไปตามเส้นทาง เจ้านายฉันบอกให้ไปตามเส้นทาง"เสียงทุ้มต่ำพูด ผมพยายามกลั้นใจข่มความกลัว ชะโงกหน้าออกไปมองทางหน้าต่าง เพื่อจะหาเจ้าของเสียงที่พูดอยู่นี้
    เเละเเล้วผมก็พบเขาคือ คนขับรถร่างเเคระนั้นเอง "อ้าวไอ้หนู ดีใจด้วยนะที่เเกยังไม่อ้วก เพราะถ้าอ้วกละก็ฉันฆ่าเเกเเน่"คนขับรถพูด 
    "โทษทีนะ เขาอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไร  หน้าฝนหนะ เอลิค มักจะกางเกงเปื้อนเสมอเเหละ" มิสเตอร์ คาร์ พูดกับผม พร้อมกับทำหน้าว่าอย่าใส่ใจเลย
    "เเกหุบปากไปเลย  .............."ชายร่างเเคระพูดด้วยความโกรธเเค้นพร้อมกับคำด่าตามมาอีกเป็นขบวนที่ผมจำไม่ค่อยได้
    ผมนั่งนิ่ง "ชื่ออะไรละ? ไอ้หนู" มิสเตอร์ คาร์ พูด ผมตอบอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก "จ...เเจ็ค มีโอเลน" 
    "ฉันมิสเตอร์ คาร์ ยินดีต้อนรับ 'เเจ็ค มีโอเลน' สู่รถม้า'เอสก้า'ทางสายตรงสู่ เมือง คีพเพอร์ เเห่งอาณาจักร เเมนลาส เมืองเเห่งเดียวที่คนมาใหม่ยังพอรอดชีวิตจากอาณาจักรได้"
    "เดียวก่อน คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่าที่นี้มันที่ไหน? ผมมาที่นี้ได้ยังไง? เเล้วที่คุณพูดหมายถึงอะไร? "ผมพูด 
    "โอเคๆ ใจเย็นก่อนไอ้หนูฉันจะตอบทีละคำถาม อันดับเเรกที่นี้ไม่ใช่โลกนาย ที่นี้คือโลกที่ถูกเรียกว่าสเฟียร์ มันกระจายอยู่ตามดาวเคราะห์ต่างๆตามจักรวาล"มิสเตอร์ คาร์พูด
    "ไม่ใช่โลกของผม?"ผมพูดออกไป ทั้งๆที่รู้อยู่เเก่ใจเเล้ว เเน่ละ 
    "อย่างที่ฉันบอก ว่านายมีตั๋วนายถึงได้มาที่นี้ เเต่มันไม่ใช่โชคดีอะไรหรอกนะ ออกจะโชคร้ายอีกต่างหาก"เขาพูดต่อ 
    "อาณาจักรนี้คือ เเมนลาสอาณาจักรเเห่งการฆ่าฟัน มีเพียงเมืองเดียวเท่านั้น ที่ห้ามไม่ให้มนุษย์ฆ่ากันเอง คีพเพอร์ เเต่ไม่ใช่ว่าไม่มีใครตายหรอกนะ"หลังจากเขาพูดจนจบ 
    คนขับรถร่างเเคระก็ได้พูดขึ้นว่า "อีกสิบนาที จะเข้าเขตป่าฟออ๊อกหลังจากนี้คงต้องขอให้ทำการกลั้นหายใจเป็นเวลา 30 นาที หรือจะรีบตายๆไปซะก็ดี"  
    30 นาที!? คนที่ไหนกันจะทำได้ ผมคิด    "ไอ้หนูใส่ไอ้นี้ไว้ " มิสเตอร์ คาร์พูด พร้อมกับส่งผ้าพันคอสีดำ ผมรับมาเเล้วส่วมใส่ไว้อย่างดี
    เพราะสิ่งที่ผมคิดคือการปฏิบัติตามพวกเขาน่าจะเป็นหนทางที่ทำให้ผมรอดชีวิตได้ดีที่สุด ผมหายใจได้อย่างเป็นปกติ  ผมลองมองหมู่ต้นไม้ ไม่มีต้นไหนสักต้นที่มีใบเหลืออยู่ ทุกสิ่งเหมือนตายเเล้ว 
    เงียบสงัด มีเพียงเสียงรถม้าที่ยังเคลื่อนอยู่ รถม้ายังคงเเล่นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดสนิทที่โรงเลี้ยงม้า ด้านหลังมีเพียงกำเเพงขนาดใหญ่ คนขับรถจึงพูดขึ้นมาว่า "ถึงเเล้วสถานีคีพเพอร์ ยุติการหยุดหายใจได้"
    "ทำไม? ถึงต้องหยุดหายใจด้วยละครับ" ผมถามด้วยความสงสัย 
    "อ่อ เห็นไอ้ต้นเมื่อกี้นี้ไหมละ ไอ้ที่ไม่ค่อยจะมีใบเท่าไรนะ มันคายเเก๊สพิษออกมา เเล้วดูดซับออกซิเจนจากสิ่งมีชีวิตหนะ ผ้าที่ฉันให้มันมีอากาศของมนุษย์อยู่ ก็เลยทำให้นายหายใจได้ " มิสเตอร์ คาร์พูด
    "เเล้วคุณ กับ พวกม้า ทำได้ยังไงกันครับ" 
    "ฉัน เอริค กับพวกม้านะหรอ พวกเรามันพวกฝึกมาดีนะ ม้าพวกนี้ก็จับได้ที่ป่านั้นเเหละ"เขาพูด 
    ผมก้าวลงจากรถม้า จึงพึ่งสังเกตเห็น รถม้าคันนี้ ไม่ใช่คันเดียว มันยังอีกสักประมาณ 6 คันได้ ทุกคันไร้ซึ่งคนขับ  รถทุกคันมีอักษรอยู่ด้านข้าง คันที่ผมนั่งมา คือตัว V
    ถัดจากผมไปทางซ้าย คือตัว IV ขวาคือตัว VI เวลาผ่านมาเล็กน้อย ยังคงไม่มีใครลงมาจากรถ เเละเเล้วผมก็เห็นคนๆหนึ่งที่ลงมาจากรถ 
    คนที่ผมคุ้นหน้า เขาคือเพื่อนผิวสีของผมเอง กรีน เขาเดินลงมาท่าทาง งงงวยเล็กน้อยปนง่วนนอนนิดหน่อย เขายังคงอยู่ในชุดเดิม เเขนข้างหนึ่งของเขาใส่กำไลสีเงิน
    คนอื่นๆ กำลังลงมาจากรถ มีทั้งคนที่ดูอายุน้อยกว่าผมเเละเเก่กว่าผม เด็กผู้หญิง 3คน ลงมาจากรถ I III VII ผุ้ชายอีกสองคน ลงมาจากรถที่เหลือ ทั้งหมดลงมายืนที่หน้ารถ 
    สภาพไม่ต่างกับกรีนนัก มิสเตอร์ คาร์ ร้องเรียกพวกเขาเหล่านั้นเขาสามารถทำให้เสียงเเหบๆของเขา ดังก้องไปทั่วได้ คนทั้งหมดมารวมกันที่เขา 
    "เฮ้ ทุกคนจงมารวมกันที่ประตู" เขาร้องเรียก ทุกคนปฏิบัติตาม ร่วมถึงผมด้วย ทุกคนยืนเป็นเเถวหน้ากระดาน ผมเงยหน้าขึ้น มองประตูเหล็กยักษ์ สีเเดง ที่ขอบเป็นเหล็กสีดำ 
    มีต้นไม้โตขึ้นตามริมขอบประตู  มีตัวอักษรใหญ่ขนาดที่คนยืนหน้าประตูเห็นชัด ถนัดตา เขียนไว้ว่า "ยินดีต้อนรับ 7 ผู้โชคร้ายเเห่งโลกทุกท่านสู่ 'คีพเพอร์'" 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×