ตอนที่ 9 : fineday
9
พี่ติณห์พูดจริงแบบไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่ให้นอนก็คือไม่ให้นอนจริงๆ
แต่จะพูดแบบนั้นก็จะเป็นการดูถูก4ชั่วโมงที่นอนไปสักหน่อย
เรื่องของเรื่องคือ ผมก็ไปช่วยพี่ติณห์ทำโมที่ห้องจริงๆอย่างที่พี่เขารีเควสไว้ และเราก็นั่งทำโมกันเงียบๆ อันนี้ก็แปลกเหมือนกันครับ ปกติแล้วคนเราจะมีสถานการณ์ที่ไว้สำหรับทำโมต่างกัน บางคนก็ต้องเปิดเพลงไปด้วย เปิดซีรี่ย์ไปด้วย หรือบางคนก็ต้องพูดคุยกันไปด้วย แต่ในกรณีผมกับพี่ติณห์เรามีสถานการณ์นั้นเหมือนกัน ก็คือนั่งเงียบๆและทำงานไป สุดท้ายผมกับพี่ติณห์ก็นั่งทำโมเงียบๆแบบแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยทั้งคืน จนตี5พี่ติณห์ถึงไล่ผมไปนอน (ในหัวผมตอนนั้นคือผมไม่นอนแล้วก็ได้นะ แต่หนังตาไม่เห็นด้วยครับ)
ผมตื่นมาตอน8โมงเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมา (แน่ล่ะ ผมพึ่งเคยได้ยินครั้งแรกด้วยซ้ำ) หลังจากนั่งขยี้ตางงๆอยู่สักพัก ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมอยู่ห้องพี่ติณห์และมีคลาสเลกเชอร์ตอน9โมง ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่เข้าแหละครับ แต่หลังจากนั่งวิเคราะห์อยู่สักพักผมก็ตัดสินใจว่าไปนอนต่อที่ห้องเลกเชอร์ดีกว่า เพราะอาจารย์เช็คชื่อทุกคาบครับ เรื่องเช็คชื่อนี้ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ขาดเลยจริงๆ
จนแล้วจนรอดผมก็แบกตัวเองมานั่งจุมปุ๊กอยู่ในห้องเลกเชอร์ได้สำเร็จ
“วันนี้มึงจดนะ เมื่อคืนกูตี3” ผมหันไปยังไอ้พีทที่พึ่งมาถึงและกำลังจัดแจงโต๊ะให้เป็นเตียงจำเป็นอยู่
“กูตี4” ผมตอบมันกลับไปและเท้าแขนเตรียมนอนบ้าง
“มึงอย่ามา เมื่อเช้ากูเจอพี่เมฆ เขาบอกว่าเมื่อคืนมึงไม่ได้ไปช่วย”
“ก็ไม่ได้ไปช่วยพี่เมฆ” ผมตอบจบก็ฟุบตัวลงกับโต๊ะเลยแต่ไอ้พีทดันจับไหล่ผมไว้ซะก่อน
“แล้วไปช่วยใครมา”
“พี่ติณห์” พีทเลิกคิ้ว
“ช่วงนี้มึงสนิทกับพี่เขาเนอะ”
“เออ” ผมไม่ค่อยชอบไอ้คำว่าช่วงนี้เท่าไหร่เลย มันเหมือนกับว่าช่วงอื่นๆจะไม่สนิทกันงั้นแหละ
“กูก็พึ่งสังเกตนะว่า... มึงเรียกพี่เตชินท์ว่าพี่ติณห์ด้วยว่ะ” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะไม่รู้จะตอบอะไรจริงๆ
“โหยๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มึงสนิทกับพี่ติณห์ขนาดนี้เนี่ย”
“มึงเรียกพี่เตชินท์ดิว่ะ” ไอ้พีทเลิกคิ้วยิ่งขึ้นไปอีก
“ขนาดมึงยังเรียกพี่ติณห์เลย ทำไมกูจะเรียกบ้างไม่ได้”
“มึงเรียกไม่ได้เพราะกูขออนุญาตพี่ติณห์แล้ว”
“งั้นเดี๋ยวกูไปขอบ้าง พี่ติณห์เขาคงไม่หวงอะไรหรอก”
“ห้าม” ไอ้พีทเปลี่ยนมาหลิ่วตาใส่ผมแล้ว
“เหี้ยไร มึงหวงแค่คำว่าติณห์เนี่ยนะ”
“เอออ” ผมจบประโยคและฟุบตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ไอ้พีทก็ยังไม่วายฟุบตัวเหมือนผมโดยหันหน้ามาทางผม
“สนิทกันได้ไงวะ”
“ไม่รู้ดิ ช่วงรับน้องเขามาช่วยเทรนมั้งเลยสนิทกันเร็ว”
“อ้อออออที่เมื่อวานพี่เตชินท์มาดูรับน้องนี้ก็เพราะมึง...” ผมเพียงแค่ยักคิ้วเป็นเชิงตอบมาใช่นั้นแหละ
“สุดยอดไปเลยครับเพื่อน ไปช่วยพี่เตชินท์ทำงานแต่พี่รหัสตัวเองไม่ช่วย”
“พี่เมฆไม่ได้มาบอกนี้ว้าและพี่ติณห์ก็ขอก่อนด้วย ไอ้แจน ไอ้เก่งอะไรคงไปช่วยแล้วแหละ” เพราะถ้าไม่มีคนช่วยจริงๆไม่มีทางที่พี่เมฆจะปล่อยผมไปง่ายๆแน่
“คงงั้น แต่เรื่องมึงกับพี่เตชินท์นี้ข่าวใหม่สำหรับกูเลยนะ ก็ว่าทำไมวันนั้นเลี้ยงน้ำกู” ไอ้พีทพูดเชิงพึมพำก่อนที่ผมจะหลับตาลงเป็นเชิงว่าผมอยากนอนมากกว่าคุยกับมันแล้ว
ประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่สติจะปิดลงคือเสียงพีทที่พูดว่า หลิวววว หมดคาบยืมสมุดด้วยนะ
“แกๆ” ผมตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงหลิวพร้อมกับการเขย่าแขนผมอย่างแรงจนผมต้องผงกหัวขึ้นมาแต่โดยดี
“เลิกคลาสแล้วเหรอวะ” ผมถาม เพราะหลิวส่งสมุดเลกเชอร์ให้ผมก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ข้างหน้าผมที่ว่างอยู่พร้อมกับปาย
“ครูติดประชุมเลยสอนแค่สองชั่วโมง” อ้อ แล้วนี้ผมนอนไปสองชั่วโมงแล้วเรอะ
“น่ารักไหม” ผมเลิกคิ้วใส่รูปผู้หญิงคนหนึ่งที่หลิวส่งให้
“ก็ดี 0032?”
“โอ้โหหหห สรุปแกจำรหัสน้องได้ทุกคนจริงดิ”
“เกือบ” ถ้าพูดไปว่าจำได้ทุกคนมันคงฟังดูเว่อร์ไปหน่อย แม้จะเป็นความจริงก็เหอะ
“สุดยอด ถูกต้องนี้0032หรือน้องงง...” หลิวเว้นช่วงและหันไปหาปายแทน
“น้องเน” ซึ่งปายก็เป็นลูกคู่รับอย่างดี จังหวะนี้ไอ้พีทก็ผงกหัวขึ้นมาฟังด้วยแล้วครับ
“น้องคนนี้แหละเป็นตัวแทนดาวของปีนี้” ผมพยักหน้ารับ หน้าที่หาดาวเดือนผมยกให้พวกสาวๆทำนะครับ
“ประเด็นคือ พวกฉันไม่ได้เป็นคนเลือก”
“แล้วใครเลือก” ไอ้พีทถามประโยคที่อยู่ในใจผม
“พี่เตชินท์” ผมเลิกคิ้ว
“เมื่อวานที่พี่เตชินท์มาดูรับน้อง เรากับหลิวเลยขอให้พี่เขาช่วยเลือกให้หน่อย ก็ได้น้องเนมานี้แหละ” ปายอธิบายต่อเมื่อเห็นหน้าไม่เข้าใจโครตๆของผม
“พี่เตชินท์ชอบสไตล์แบบนี้จริงๆแหละนะ” ไอ้พีทเลื่อนมือมาหยิบรูปน้องเนบนโต๊ะผมไปดูก่อนที่จะพูดขึ้น
“เห็นไหมปาย เราบอกแล้วว่าเนี่ยสเปคพี่เตชินท์ชัดๆ เผลอๆคณะเราจะมีอีกคู่นะ” ผมหันไปมองรูปในมือไอ้พีทโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
“แต่พี่เตชินท์นี้ก็มั่นคงสุดๆเลยเนอะ น้องเนนี้อย่างกับพี่โมร่างโคลนนิ่ง”
“พี่เตชินท์ก็เลิกกับพี่โมมาสักพักใหญ่ๆแล้วนี้นา คงได้เวลาเริ่มใหม่แล้วแหละ” ปายกับหลิวยังคงพูดต่อไปแต่ประโยคต่อจากนั้นไม่ได้เข้าหัวผมเลย เพราะสมองผมเริ่มย้อนกลับไปยังตัวละครใหม่ที่พึ่งเอ่ยถึง
พี่โม เป็นแฟนเก่าคนล่าสุดของพี่ติณห์ เรียนอยู่คณะมนุษย์ศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ แก่กว่าพี่ติณห์หนึ่งปี พึ่งเรียนจบไปปีที่แล้ว พี่โมคบกับพี่ติณห์ตั้งแต่พี่ติณห์อยู่ปีสอง คบกันอยู่เกือบปีเลย สุดท้ายก็เลิกกัน ประเด็นคือผมดันรู้จักกับพี่โม เพราะตอนมัธยมปลายอยู่โรงเรียนเดียวกันนะครับเลยสนิทกันมากๆ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่รู้ว่าพี่โมเลิกกับพี่ติณห์เรื่องอะไรนะ
รู้แค่ว่าพี่ติณห์ชอบพี่โมมากๆและก็ตามจีบอยู่นานเลยจนสาวเจ้าใจอ่อนและก็คบกัน หลังจากเลิกกันพี่โมก็เฮิร์ตจนไม่มาเรียน3-4วันเลย ผมยังไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนเธออยู่เลยด้วยซ้ำ ส่วนพี่ติณห์ก็ดูหงอไปจนถนัดตา ตอนนั้นรู้กันทั้งคณะเลยครับ ก็พี่ติณห์ดูหงอลงไปมากจริงๆ แถมพี่ติณห์ยังไม่คบกับใครอีกเลยหลังจากนั้น บ้างก็เอาไปคิดเองว่าพี่ติณห์ยังรักพี่โมอยู่บ้างล่ะ ยังรอพี่โมกลับมาบ้างล่ะ ถึงแม้ตอนนี้พี่โมจะคบกับคนอื่นไปแล้วก็ตาม
“นี้วา แล้วแกอ่ะ เมื่อไหร่จะเดินต่อสักที พี่เตชินท์เขาเริ่มเดินแล้วนะเว้ย” ผมกลับมาที่โลกปัจจุบันอีกครั้ง เพราะหลิวฟาดมือใส่แขนผมครับ เล่นเอาสะดุ้งเลย
“ไม่ได้หยุดเดินนะ” ผมลูบแขนปอยๆและตอบกลับไป
“ไม่ได้หยุดเดินอะไรของแก ฉันเห็นตั้งแต่แกเลิกกับน้องหวานก็ไม่หลีสาว ไม่คบกับใครเลยนะ” มาอีกล่ะตัวละครใหม่
ใช่ครับ หวานเป็นแฟนเก่าผมเอง
“ตอนแกเลิกกับน้องเขาก็พอๆกับที่พี่ติณห์เลิกกับพี่โมเลยป่ะ ก็เป็นปีแล้วดิ” ผมพยักหน้ารับ แม้จะไม่ชัวร์เวลาเท่าไหร่ แต่ก็ประมาณนั้นมั้ง
“รออะไรอยู่ย่ะ” ผมไม่ได้ตอบ เอาจริงก็ไม่มีคำตอบให้คำถามนี้มากกว่า
“ไปวุ่นอะไรกับมันล่ะ เธออ่ะหาผัวได้แล้ว” จนไอ้พีทเข้ามาช่วยชีวิตผมไว้ทัน หลิวแว้ดขึ้นมาและหันไปไฝว้กับพีทต่อ
จะว่าไปเรื่องของผมกับหวานนี้เกือบปีแล้วเหรอ
ผมคบกับหวานตอนเฟรชชี่ ตอนนั้นเธอเองก็เป็นเฟรชชี่ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เธอเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ยิ้มแล้วตาจะหายไปเลย ผมรู้จักกับเธอเพราะเราบังเอิญต้องทำงานของมหาลัยด้วยกัน และเราก็คบกัน ระยะเวลาที่ผมคบกับหวานอาจจะไม่นานมาก แต่ด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวในมหาลัยที่ผมมีท่าทีสนใจจนคบกัน ทุกๆครั้งหลิวเลยมักจะหยิบหวานมาเป็นกรณีเปิดประเด็นเรื่องผม
ส่วนเหตุผลที่เราเลิกกันก็เพราะผมไม่ค่อยมีเวลาให้เธอ ซึ่งผมก็ยอมรับนะ ช่วงเฟรชชี่ผมยังไม่ค่อยชินกับระบบมหาลัย ยิ่งเรียนสถาปัตย์ที่งานโครตเยอะแล้วด้วยเลยไม่มีเวลาให้หวานเข้าไปใหญ่ สุดท้ายเราก็เลิกกันทั้งๆที่พึ่งครบรอบครึ่งปีไปไม่นาน แต่เราเลิกกันด้วยดี ตอนนี้เจอกันก็ยังทักทายกันได้ปกติ และหวานก็คบกับหนุ่มวิศวะไปแล้วด้วย ล่าสุดที่เจอกันเธอยังทักให้ผมหาแฟนมาช่วยตัดโมสักทีเลย (เธอขอโทษด้วยที่ตัดโมไม่เป็น)
“โอเค! จบประเด็นเรื่องผัวฉันและจบประเด็นเรื่องเมียพวกแกด้วย ฉันไปจิ้นเตชินท์เนดีกว่า” หลิวพูดจบก็โบกมือลานิดหน่อยและแยกออกไปกับปายทันที
“ในฐานะคนสนิทมึงว่าเตชินท์เนนี้กี่เปอร์เซ็นต์” ผมกลอกตาใส่ไมค์อากาศที่ไอ้พีทยื่นให้ผมหลังจากหลิวกับปายลับตาไป
“กูไม่รู้ ไปแดกข้าวได้แล้ว” พีทขำกับการตัดบทสนทนาอย่างไร้เยื่อใยของผม แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆนี้ว้า
ผมคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องนี้ถ้าหลิวไม่มาบอก
เพราะพี่ติณห์ก็ไม่เห็นจะพูดเรื่องนี้กับผมสักคำ
ผมกับพีทมานั่งปักหลักอยู่ที่โต๊ะเดียวกับหลิวและปาย เพราะโต๊ะทุกตัวมันเต็มหมดแล้วครับ ถ้าจะแทรกนั่งก็ขอแทรกนั่งกับสาวๆตัวเล็กๆคงจะดีกว่าไปเบียดกับพวกผู้ชายตัวใหญ่ๆอยู่แล้ว หลังจากหาที่นั่งได้ ผมกับพีทก็ตัดสินใจจะนั่งรอให้คนที่ต่อคิวซื้อข้าวกันจนเนืองแน่นในโรงอาหารลดลงก่อนถึงจะแทรกตัวเข้าไปซื้อของบ้าง แม้จะหิวขนาดไหนแต่คนขนาดนี้ก็ไม่สู้นะครับ
ผมนั่งแย่งหลิวกินไปพลางๆจนมีเสียงๆหนึ่งขัดขึ้น
“พี่ค่ะ ขอลายเซ้นต์หน่อยได้ไหมคะ” ผมเงยหน้าไปหาเจ้าของเสียง เป็น0043กับเพื่อนหน้าตาโครตคุ้นที่ผมพึ่งเห็นในรูปเมื่อกี้นั้นเอง
“ได้จ้า” หลิวรับคำและรับสมุดมาเซ้นต์ให้โดยง่าย เซ้นต์เสร็จก็ส่งต่อให้ปายเซ้นต์บ้าง
“พี่สองคนด้วยนะคะ” 0043หันมายังผมกับพีทเมื่อเห็นว่าผมกับพีทไม่ได้รับสมุดมาเซ้นต์ต่อ
“อยู่ๆจะมาขอลายเซ้นต์ผมง่ายๆเหรอครับคุณ” พีทสวมบทพี่ว้ากทันที
“พี่จะสั่งให้ทำอะไรว่ามาเลยค่ะ หนูพร้อมล่ะ” 0043พูดพร้อมด้วยสายตามุ่งมั่น
“พวกหนูเนี่ย ทำได้ทุกอย่างเลยนะคะ ตั้งแต่ตัดโม เขียนสเกล ล้างรถ ซักผ้า ถือของ ยกของ หรือแม้แต่ให้เต้นโชว์ยังได้เลยนะคะ” 0032หรือน้องเน ว่าที่ดาวคณะปีนี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ0043รีบพูดเสนอขึ้นมาบ้าง
“ถูกต้องค่ะ ขอแค่พี่รีเควสมาเท่านั้น” ปิดท้ายด้วย0043 ก่อนที่ทั้งคู่จะฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้
ผมหันไปมองหน้าพีทที่อยู่ข้างๆ ซึ่งไอ้พีทก็พยักหน้ากลายๆกลับมาเป็นเชิงบอกให้ผมสั่งเลย
“พอดีตอนนี้ผมหิวมากเลย คงไม่มีแรงเซ้นต์แน่ๆ” ผมหันไปบอกน้องทั้งสองคน
“คะ?” 0043หลุดหน้างงออกมาก่อน จริงๆ0043นี้มีรีแอคชั่นหน้าที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ
“แต่มันคงรบกวนพวกคุณเกินไปเนอะ”
“ไม่เลยค่ะ!” 0043กับ0032รีบแย้งขึ้นมาทันที
“พวกพี่อยากกินอะไรสั่งเลยค่ะ เดี๋ยวหนูกับเนไปซื้อให้” 0043รีบพูดต่อเหมือนเธอกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจนั้นแหละ
“ผมอยากกินข้าวมันไก่ย่าง เอาไก่ย่างนะ ถ้าไก่ย่างหมดเอาไก่ทอดแทน ไม่เอาไก่ตอนนะ ถ้าสมมติหมดทั้งไก่ย่างและไก่ทอดเอาข้าวขาหมูร้านข้างๆมาแทนก็ได้” ผมเป็นคนสั่งเป็นคนแรก
“ผมเอาหมี่เหลืองต้มยำ ร้าน5 บอกป้าเอาน้ำน้อยๆนะขอแบบขลุกขลิกๆพอ แล้วก็ขอเปรี้ยวๆด้วย ขอหัวไชเท้าป้าเขามาด้วยล่ะ อ้อ! แล้วขอน้ำซุปเพิ่มมาด้วย ใส่ถ้วยมานะ ถ้ามองๆในหม้อมีซี่โครงเหลือก็ขอมาด้วยก็ได้ ตอนขอซี่โครงทำหน้าน่าสงสารเข้าไว้นะ เดี๋ยวป้าเขาไม่ให้” ตามด้วยไอ้พีท
“ได้ค่ะ! รอสักครู่นะคะ” 0043ประมวลผลอยู่สักพักก่อนที่จะสรุปออกมา ส่วน0032กำลังอ้าปากพึมพำอย่างทวนเมนูเมื่อกี้อยู่
“0043 0032” ผมเรียกออกไปก่อนที่น้องจะเดินออกไปไกล
“คะ”
“ผมเอาน้ำแดงนะ”
“ผมขอเก๊กฮวยล่ะกัน”
พอเห็นท่าทางตั้งใจมากๆของทั้งคู่แล้วก็อดจะแกล้งไม่ได้แหะ
“ได้ค่ะ!!”
ผมรอจนน้องสองคนลับตาไป ผมกับพีทถึงได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“แกล้งน้องแล้วก็ขำใหญ่เลยนะพวกแก” หลิวทักออกมาทั้งๆที่เธอเองก็ยังขำอยู่เลย
“ก็มันตลกอ่ะ” มันดูกระตือรือร้นเกินเบอร์จริงๆนะ
“แต่เอาเถอะ แกสนใจ0043ป่ะเนี่ย” หลังจากหยุดขำหลิวก็หันมาถามผมทันที
“สนใจเชิงไหนอ่ะ”
“จะเชิงไหนล่ะ ชู้สาวไง” นั้นนน ประเด็นนี้อีกล่ะ
“แกเป็นอะไรเนี่ยหลิววววว”
“อ๊าววว ก็0043มองหน้าแกเยิ้มเลย เนอะปายเนอะ” ไม่พูดเปล่าเธอยังหันไปหาปายที่นั่งข้างๆอีกด้วย แถมปายยังพยักหน้ารับอีกตั้งหาก
“มั่วตลอด”
“ไอ้วาา ไม่มั่วเว้ย ผู้หญิงเขามีเซ้นส์” ผมส่ายหัวรัวๆใส่หลิวและหันไปหยิบสมุดเซ้นต์ของน้องทั้งสองคนมาเซ้นต์แทน
ผมเซ้นต์เสร็จน้องก็ยังไม่กลับมา ผมเลยเอาสมุดนั้นมาเปิดเล่นไปพลางๆ
0043กับ0032คงขยันหาลายเซ้นต์น่าดู เพราะจากที่ดูๆนี้ก็เยอะล่ะนะ เผลอๆผมว่าเกินร้อยชื่อแล้วด้วยซ้ำ
พิ้งค์ 0043
ผมหยุดสายตาที่ชื่อด้านหน้าสมุด
“สนใจไหมแก” สุดท้ายก็ต้องปิดสมุดลงเพราะเสียงหลิวเนี่ย
“เลิกบิ้วสักที”
“ทำไมอ่ะ! น้องพิ้งค์ก็น่ารักดีนะ ตอนแรกฉันก็สับสนว่าจะเลือกน้องเนหรือน้องพิ้งค์ดี จนพี่เตชินท์เลือกน้องเนนั้นแหละ”
“เลือกน้องเนก็ดีแล้วแหละ”
0043มันดูบ๊องๆนะอย่าไปเลือกเลยดีกว่า
หลังพักเที่ยงที่ไม่ต้องไปซื้อข้าวเองของพวกผม (พอน้องเอาข้าวมาให้ผมก็จ่ายตังนะครับ) พวกเราก็กลับไปเรียนกันอีกคลาสหนึ่งซึ่งยิงยาวอีก3ชั่วโมงตามเคย ก่อนที่จะไปเข้าห้องเชียร์ตามปกติ ซึ่งที่ไม่ปกติก็คือ
แทนไทไม่กวนผมสักนิดเลยวันนี้
ผมเลยจบเข้าเชียร์อย่างมีความสุข ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงไม่ขัดทุกอย่างอย่างที่ปกติเป็น อาจจะไม่ถึงกับทำตามอย่างมีความสุข (อันนั้นจะหลอนเกินไป) แค่ก็ไม่ขัดหรือพูดแย้งอะไรออกมาก็มากพอแล้ว พอแทนไทไม่มีปัญหาก็เป็นการเข้าเชียร์ที่ง่ายดายและแสนจะสุขสงบ ประชุมเชียร์วันนี้จึงมีแต่ประเด็นเบาๆ เพราะทุกคนแฮปปี้กันสุดๆ (ปกติตอนผมไฝว้กับแทนนี้ทุกคนจะเกร็งไปด้วยครับ)
“พี่วา!” ผมหันขวับมาตามเสียงเรียกพร้อมรอยยิ้ม
“ว่าไงน้องรัก” บอกแล้วว่าอารมณ์ดี บวกเพิ่มแสดงความแฮปปี้ด้วยการยื่นมือไปลูบหัวไอ้แจนด้วย
“พี่ใจเย็นก่อน เสพกัญชาเหรอ” ไอ้แจนถึงกับผงะไปเลย
“เปล่าาา” ผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเหมือนเดิม
“โอเค ผมรู้ว่าพี่กำลังแฮปปี้ ซึ่งพี่สุดยอดมาก” ผมเลิกคิ้ว
“เรื่องไร”
“การที่ไอ้แทนมันไม่กวนตีนพี่เนี่ย มันมีเหตุนะ” ไอ้พีทที่เดินไปหยิบขนมเมื่อกี้รีบทิ้งตัวลงนั่งเลยครับ
“ว่ามา” แถมยังมาเร่งไอ้แจนอีก
“หลังจากเมื่อวานที่ไอ้แทนได้แต้มไปอ่ะ คืนนั้นพิ้งค์... 0043อ่ะพี่ ก็โพล่งเข้าไปในไลน์กลุ่มว่าแทนทำเกินไปรึเปล่า” ผมพยักหน้ารับ
“แน่นอนว่าแทนมันก็บอกว่าเปล่า คราวนี้ยัยพิ้งค์ก็ใส่เลยว่าสิ่งที่แทนทำมันแย่มากเลยนะ พี่วาเขาก็พูดด้วยดีๆ แล้วก็ยาวววววเลยพี่ ตามคนก็ต่างมั่นใจว่าตัวเองถูกอ่ะ” ผมยังคงพยักหน้าตาม
“ไปๆมาๆปีหนึ่งทั้ง45คนก็แบ่งออกเป็น2ฝ่าย ฝ่ายแรกอยู่ทีมพิ้งค์หรือทีมพี่ อีกฝ่ายก็ทีมแทน”
“ยัยพิ้งค์ถึงกับยื่นคำขาดว่า ถ้าแทนยังคงไร้เหตุผลแบบนี้ก็ไม่ต้องมาคุยกัน แล้วใครจะเชื่อพี่ ยัยพิ้งค์ทำจริง ตั้งแต่เจอกันวันนี้ พิ้งค์ยังไม่คุยกับแทนสักคำรวมถึงไม่คุยกับทีมแทนทุกคนด้วย” ไอ้พีทถึงกับพูดออกมาว่าหูยยยยเลย
“แทนมันไม่รู้จะทำไง ก็เลยยังไม่กวนตีนพี่ดีกว่า เดี๋ยวจะโดนโกรธไปกันใหญ่” ผมพนักหน้ารัวๆส่งท้ายก็ว่าทำไมวันนี้มันเชื่องแปลกๆ
“0043นี้ก็เจ๋งเหมือนกันนะ” เมื่อแจนพูดจบพีทก็พูดออกมา
“เจ๋งดิพี่ พิ้งค์นี้แหละน่าจะได้เป็นประธานปีนี้ด้วย” สุดยอดไปอีก
“และที่สำคัญ มันทีมพี่ด้วยไง” ไอ้แจนหันมาบอกผม
“เออ เห็นวันนี้มาขอลายเซ้นต์อยู่” ไอ้พีทพูดต่อ
“ถ้า0043ทีมเราก็ดีดิ” ผมพูดออกไปบ้าง
“วางใจได้เปราะหนึ่ง” ไม่น่าเชื่อน่าผู้หญิงบ๊องๆตัวเล็กๆคนนั้นจะช่วยเราได้ขนาดนี้
คนเรามักจะมีสิ่งที่เราอยากจะทำโดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ทำเพื่อเหตุผลอะไร และเรื่องพวกนั้นก็มักจะถูกทำเพียงเพื่อสนองว่าอยากทำเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น
ครั้งนี้
ติ๊งต่อง
อาจจะเพราะวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้เจอพี่ติณห์ (เริ่มตั้งแต่ผมนอนตอนตี4) และถ้าจะให้กลับห้องเลยมันก็ดูจะเป็นการตัดการเจอกันวันนี้ของเราไปเลย ยิ่งถ้าผมไม่ได้เล่าเรื่องวันนี้ให้พี่ติณห์ฟังมันก็คงจะค้างคาจนนอนไม่หลับแน่ๆ
เพราะคิดแบบนั้นผมเลยกดลิฟต์มาชั้น8 และเดินมากดกริ่งห้อง04เรียบร้อย
นั้นเป็นคำตอบอันสวยหรูไว้บอกจิตใต้สำนึกตัวเอง จริงๆมันก็ไม่ได้มีเหตุและผลอะไรขนาดนั้น
แค่อยากเจอจึงมาหา
ก็เท่านั้น
“เข้ามาก่อนดิ” เจ้าของห้องเดินมาเปิดประตูทั้งๆที่ยังเช็ดผมอยู่เลยด้วยซ้ำ
“อาบน้ำเหรอครับ” ผมทักขึ้นหลังจากเดินเข้ามาในห้องแล้ว
“อื้อ มันร้อนโครตๆ” ก็จริง อากาศประเทศเรานี้จะรุนแรงขึ้นทุกวัน จะเปิดแอร์ทั้งวันก็เกรงใจค่าไฟ เก็บไว้จ่ายเดือนเมษาล่ะกัน (นี้ขนาดยังไม่เมษา)
“ห้องเชียร์เหมือนจะระเบิดเลยครับ” ร้อนมากกกก ร้อนจนเกรงใจที่จะลงโทษน้อง (แต่ก็ทำอยู่ดี)
“ไหนเล่า วันนี้เป็นไง” พี่ติณห์หันมาถามผมทันทีที่คีย์เวิร์ดคำว่าห้องเชียร์หลุดออกมาจากปากผม
“พี่ดูหน้าผมแล้วลองทายดู” ผมพูดจบก็ฉีกยิ้มกว้าง
“ประชดป่ะวะ”
“ไม่ดิ จากใจล้วนๆ” ผมหยุดยิ้มและมองพี่ติณห์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงไปพลางเช็ดผมไปพลาง
“ผมเช็ดให้ไหมครับ” พี่ติณห์ชะงักไปเลยเมื่อผมถามแบบนั้น แต่ผมก็ยังคงไม่พูดอะไรออกไปเพิ่ม
“เช็ดผมเหรอ” แถมยังถามซ้ำออกมาอีก ผมพยักหน้ารับ
“...เอาดิ”
ผมลุกขึ้นจากโซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่ไปทิ้งตัวลงนั่งลงบนเตียงพี่ติณห์ ยกขาขึ้นมาขัดสมาธิและเอื้อมมือไปรับผ้าเช็ดผมมาจากมือพี่ติณห์
“สรุปเข้าเชียร์เป็นไง”
“พี่ต้องไม่เชื่อแน่ ผมไม่เคยเห็นแทนไทเชื่องขนาดนี้มาก่อน” ตอนนี้เลยกลายเป็นผมนั่งซ้อนหลังพี่ติณห์และเช็ดผมให้พี่เขาไปด้วยขณะเราคุยกัน
“ทำไมวะ” เพราะเริ่มสนิทกันแล้วนะครับ ช่วงนี้พี่ติณห์เลยไม่โหดเรื่องคำหยาบกับผมมากเท่าไหร่ มีหลุดคำว่าวะ ว่ะออกมาบ้าง แต่ก็ยังคงใช้ผมกับคุณอยู่นะ
“ไอ้แจนบอกว่า ตอนนี้ปีหนึ่งกำลังแบ่งเป็นสองทีม คือทีมผมกับทีมแทนไท แทนไทมันไม่อยากมีปัญหามากมันเลยเพลาๆเรื่องกวนตีนผมไปก่อน”
“เข้าทางเลยดิ” ผมพยักหน้ารับ กลิ่นแชมพูอ่อนๆที่มักจะได้กลิ่นนี้จากพี่ติณห์เสมอโปรยตัวไปทั่ว บวกกับไอเย็นจากแอร์ที่พึ่งเปิด เป็นบรรยากาศที่ดีอีกอย่างหนึ่งเลยนะ
ผมชอบบรรยากาศนี้มากด้วย
“ครับ” ผมเอ่ยตอบเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพี่ติณห์คงจะไม่เห็น
พี่ติณห์ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก ส่วนผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดผมมากซะจนลืมคิดไปเลยว่าบทสนทนามันจบลงแล้ว
“พี่ส่งโมทันป่ะครับ” เป็นผมที่เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
“ทันดิ แล้วคุณไปเรียนทันเปล่า”
“ทันครับ ก็พี่เล่นตั้งนาฬิกาปลุกไว้” นึกย้อนไปเมื่อเช้าที่ผมตื่นมานั่งงงว่าเสียงอะไรอยู่ตั้งนานสองนานแล้วก็ตลกตัวเอง
“ก็ผมไม่รู้จะทำไง เห็นคุณบอกว่ามีเรียนตอน9โมง ถ้าไม่ตั้งไว้ก็ไม่น่าจะตื่น”
“ถ้าไม่ตั้งไว้ ก็คงไม่ตื่นจริงๆแหละครับ”
“เห็นป่ะล่ะ” และก็เงียบอีกครั้ง สำหรับผม ผมคงเคยบอกไปแล้วว่าผมชอบด้วยซ้ำตอนที่เรานั่งเงียบๆใส่กัน แต่กับพี่ติณห์นี้ผมไม่รู้ว่าพี่เขาคิดยังไง บางทีมันอาจจะเป็นสถานการณ์น่าอึดอัดสำหรับพี่ติณห์ก็ได้หรือเผลอๆเขาอาจจะไม่ชอบที่ผมแวะมาหาเขาบ่อยๆ
“พี่ติณห์ครับ”
“หืม”
“ผมมีคำถามจะถามพี่ แต่พี่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้นะครับ” และผมมันก็ไม่ใช่พวกจะเก็บไว้ในใจด้วย อยากรู้มันก็ต้องพูดออกไปดิ
“...” พี่ติณห์เอี้ยวตัวมามองหน้าผมเมื่อผมพูดจบ
“เอาดิ” ก่อนที่จะหันกลับไปและตอบออกมา
“แต่คุณถามได้แค่3คำถามนะ” ไม่รู้ทำไม แต่ประโยคนี้ของพี่ติณห์ทำให้ผมยิ้มออกมา
“โอเคครับ”
“ว่ามา”
“ข้อแรก พี่รู้สึกยังไงเวลาที่อยู่ๆมันก็เงียบไป”
“ถามจริง?” พี่ติณห์ถามกลับมาทันทีที่ผมพูดจบ
“จริงครับ” อาจจะเพราะน้ำเสียงจริงจังที่เป็นการบอกว่าไม่ได้พูดเล่นของผม ทำให้พี่ติณห์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด
“เฉยๆ กึ่งไปทางดี ผมว่าไม่มีอะไรพูดก็เงียบไปเลย คงดีกว่ายืดบทสนทนาไปเรื่อยๆรึเปล่า”
“ไม่อึดอัดเหรอครับ”
“ผมนับเป็นคำถามข้อที่สองนะ”
“โหยยย งั้นผมไม่ถามล่ะ” ไม่มีการผ่อนเบาอะไรทั้งนั้นเลยแหะ
ถึงจะไม่ได้คำตอบจากคำถามข้อนั้นแต่คำตอบของพี่ติณห์ก็ทำให้ผมพอใจอยู่ไม่น้อย
นั้นมันไม่ได้หมายความว่าพี่เขาไม่ได้อึดอัดอะไรกลายๆหรอกเหรอ อาจจะไม่ถึงกับสบายใจเหมือนอย่างที่ผมเป็น แต่แค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะ
ผมสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับพี่ติณห์ ไม่ต้องปรุงแต่งคำพูดหรือสรรหาเรื่องอะไรมาพูดกัน แค่นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆกันมันก็มากพอ
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ความสบายใจ ไม่ใช่บรรยากาศหรืออะไรทั้งนั้น
แต่มันคือพี่ติณห์
ผมชอบตัวเองตอนอยู่กับพี่ติณห์
“ข้อสอง พี่รำคาญที่ผมมาหาบ่อยๆรึเปล่า” ช่วงนี้ผมว่าทุกวันเลยนะ
“มันเป็นคำตอบเดียวกับคำถามที่ว่า คุณรำคาญที่ผมขอให้ช่วยงานรึเปล่า”
ไม่
ไม่เลยสักครั้ง
“นั้นถือว่าเป็นคำตอบด้วยเหรอครับ”
“นั้นก็ไม่คล้ายคำถามเหมือนกัน” ผมบุ้ยปาก ยอมใจเขาเลยแหะ
“ข้อสุดท้ายได้ล่ะ” ยังมาเร่งผมอีก!
“ข้อสุดท้าย พี่กับน้องเน... คุยๆกันอยู่เหรอครับ” พี่ติณห์ไม่ได้ตอบกลับมาทันทีอย่างคำถามสองข้อแรก แถมยังหันกลับมามองหน้าผมด้วย พี่ติณห์จ้องตาผมอยู่แบบนั้นสักพักก่อนที่จะแย่งผ้าเช็ดผมจากมือผมไป พี่ติณห์เช็ดผมลวกๆอีกสองสามครั้งก่อนที่จะหยุดเช็ดและเงยหน้ามาสบตากับผมอีกครั้ง
“ผมขอไม่ตอบล่ะกัน”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช้าไปนิดนึงงง ไม่โกรธเนอะ 5555 ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆเลยนะคะ คอมเม้นต์ทุกคอมเม้นต์ไม่ว่าจะทวงนิยาย แก้คำผิด ชม หรือด่า ทุกคอมเม้นต์มันสำคัญกับเราและเป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากจริงๆ ถ้าจะยังไงก็ขอเม้นต์ไปทุกตอนเลยเนอะ 5555 พูดถึงตอนนี้หน่อยล่ะกัน ความจริงคือพล็อตsource headมันชั่งลึกล้ำซับซ้อน เรื่องหลายๆอย่างมักจะเกิดในเวลาเดียวกันแล้วก็นั้นแหละค่า คนแต่งก็งง 555555 ถ้าพูดอะไรตรงไหนไม่เคลียร์ติได้เลยนะคะ นี้คือการติเพื่อก่อไง 555
เจอกันคร้าบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คุณพี่!!!!!ทำไมพูดแบบนั้นนนน
// สู้ๆนะคะตัวเอง