ตอนที่ 6 : 1st impression
6
“ปายๆ ของที่เราบอกอยู่ไหนแล้วอ่ะ”
“อ้าว ไม่ได้อยู่ในกล่องเหรอ”
“กล่องไหนอ่ะ”
“แกกกกแล้วสรุปใครไปรับอ่ะ”
“ก็ปี2ไปไม่ใช่เหรอ”
“เห็นวาป่ะ”
“แล้วพีทอ่ะ”
ฯลฯ
ผมนั่งขมวดคิ้วใส่ความวุ่นวายตรงหน้า แน่ใจว่าได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองตลอดเวลา แต่เพราะว่าไม่แน่ใจว่ามาจากทางไหนนัก ผมเลยเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินแม่งซะเลย
วันแรกของการรับน้อง
ผมก็เข้าใจแหละว่ามันต้องวุ่นวาย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ความวุ่นวายระดับนี้ก็ชวนปวดหัวชะมัด
ไม่ใช่แค่พวกเราปี3ทั้งรุ่นที่วิ่งไปวิ่งมา แต่ยังมีพวกปี2อีกทั้งรุ่น ภายในห้องเชียร์แห่งนี้เลยว้าวุ่นไปหมด
นี้ขนาดเราแบ่งแต่ล่ะสาขาไปรับน้องกันเองยังขนาดนี้เลย
อย่างว่าสาขาสถาปัตยกรรมหลักของเรามันคนเยอะที่สุดนี้นะ
ตอนนี้พวกปี1กำลังฟังอาจารย์พูดอยู่ในหอประชุมกันทั้งหมด และนี้เป็นเวลาเฮือกสุดท้ายที่พวกผมจะได้เตรียมการ ผมมันเท้าคางมองสงครามย่อมๆไปเรื่อยๆ ผมเองก็ควรจะวิ่งวุ่นแบบคนอื่นเขาแหละ แต่เอาเข้าจริง งานของผมมันจะเริ่มก็ต่อเมื่อน้องมาถึงแล้วไง และแต่ล่ะคนก็มีหน้าที่ที่ต้องจัดการอยู่แล้ว ผมจะขยับตัวบ้างก็ตอนเพื่อนขอให้ช่วยนี้แหละ
“แดกป่ะมึง” ผมหันไปมองถุงลูกชิ้นปิ้งในมือไอ้พีท และไม่ปฏิเสธที่จะรับมากินด้วย
เห็นไหมว่าผมไม่ได้ชิลแค่คนเดียว
เรียกว่าพวกพี่ว้ากทั้งหมดเลยมากกว่า
“มึงคิดพล็อตแล้วใช่ไหมเนี่ย” ไอ้เปรมหันมาถามผม สุดท้ายไอ้เปรมก็ลงพี่ว้ากด้วยเหตุผลที่เป็นพี่ว้ากมันฮอตนะ อย่างที่มันเคยบอกผมไว้
“ยังอ่ะ” ผมงับลูกชิ้นเข้าปากและตอบมันไป เรียกให้พวกเราสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ชะงักไปเลย
“มุขไม่ใช่เนี่ย” ไอ้บิ๊กเพื่อนตัวโตหันมาถามผม
“ไม่มุขดิ มุขไรอ่ะ”
“เดี๋ยวๆ คือมึงยังไม่ได้คิดว่าจะพูดอะไรกับน้องอ่ะนะ” ไอ้เปรมขยี้ลงไปอีก
“เออ”
“มึงบ้าเหรอวา มึงต้องคิดบทดิ” ผมมองท่าทีกระวนกระวายใจของเปรมอย่างงงๆ
“คิดทำไมวะ ปกติเจอน้องพวกมึงคิดบทด้วยเหรอ” เงียบ... ผมบอกแล้วว่าไม่คิด
“มันไม่เหมือนกันรึเปล่า อันนั้นมันคุยกับน้องปกติ อันนี้เราว้ากน้องไง” หนึ่งในพวกเราพูดขึ้นมาอีก
“มันก็เหมือนกันแหละ นั้นก็น้องเราป่ะ” ผมตอบ มือยังไม่หยุดหยิบนู้นหยิบนี้เข้าปาก
“เอาน่าพวกมึง เดี๋ยวรอดู” ไอ้พีทเข้ามาห้ามทัพ ซึ่งทุกคนก็ยอมพยักหน้ารับกลายๆ แต่ผมพูดจริงๆนะที่ไม่ได้มีการคิดบทอะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากทำอะไรก็ทำมากกว่า นี้เป็นfirst impressionกับน้องรุ่น100ของพวกผมนะ ไม่ต้องมาหาวิธีข่มขู่อะไรกันมากหรอกมั้ง
“เฮ้ย! อีก5นาทีประจำที่เลย” หลิวเปิดประตูเข้ามาพร้อมตะโกนบอก หลังจากเธอพูดจบ พวกเราก็เก็บข้าวของที่ไม่จำเป็นออก และไปยืนตามระเบียบพักกดดันน้องกัน แน่นอนว่าต้องดึงหน้าขรึมด้วย
ถึงจะบอกว่าไม่อยากข่มขู่อะไรมาก แต่ก็ขอนิดหนึ่งล่ะกัน
ไม่นานเกินรอ กลุ่มน้องปี1ก็เริ่มเดินเข้ามา ทุกคนถูกเพ้นท์หน้าด้วยสีและแป้งต่างๆที่พวกปี2คงเป็นคนจัดการกัน บางคนก็โดนจับมัดผมทรงแปลกๆ และหนึ่งในนั้นก็คือไอ้แจน น้องรหัสผมเอง มันอาสาเป็นพี่เนียน โดนมัดจุกเป็นน้ำพุและเพ้นท์หน้าซะหมดหล่อ สมน้ำหน้ามัน
ผมละสายตาจากแจน เพื่อไม่ให้ดูจงใจจนเกินไป มากวาดสายตามองน้องๆที่มีท่าทีงงงวยกับการหาที่นั่ง การเดิน การต้องวางตัว ทุกคนดูประหม่ากันไปหมด ก็ไม่แปลกหรอกนะ เดินเข้ามาก็เจอห้องที่ค่อนข้างมืดแถมยังโดนยืนล้อมด้วยพี่หน้าขรึมอีกตั้งหาก
“พวกคุณจะให้ผมรอถึงเมื่อไหร่ครับ!” นั้นไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ เป็นเสียงไอ้พีทที่ยืนอยู่ข้างๆผมนี้เอง เราตกลงกันว่าจะยกตำแหน่งไซโคน้องให้พีททำนะ
และก็ได้ผล น้องๆรีบกุลีกุจอหาที่นั่งกันยกใหญ่
สุดท้ายปีหนึ่งทุกคนก็เข้ามาในห้องเชียร์และจับจองที่นั่งกันเรียบร้อย จะว่าไปผมก็ลืมถามปายว่าปีหนึ่งปีนี้มีกี่คน แต่จากการกวาดตานับคร่าวๆแล้ว
45ไม่รวมพี่เนียน
เยอะกว่าปีผมตั้ง5คนแหะ
“พวกคุณเป็นคนไทยรึเปล่าครับ” ผมถาม ผมไม่ได้พูดเสียงตะคอกแต่ก็ไม่ได้เบาจนไม่ได้ยิน พวกปีหนึ่งมองหน้ากันอย่างงุนงงกับคำถามของผม ไม่มีใครคิดที่จะทำอะไรนอกจากมองหน้ากันไปมา ยังไม่มีใครอาสาเป็นฮีโร่สินะ...
“ลุกนั่ง50 ปฏิบัติ” ปีหนึ่งช็อคไปเลยเมื่อผมออกคำสั่งนั้น
“ร้อยหนึ่ง ปฏิบัติ!” คราวนี้ทุกคนถึงได้ยอมลุกขึ้นมากอดคอกันและเริ่มลุกนั่งแต่โดยดี เมื่อเห็นท่าว่าถ้ายังนั่งอยู่ก็คงจะถูกบวกเพิ่มไปเรื่อยๆอย่างแน่นอน
“ไม่ได้ยิน!” โอเคผมยอมใจพีทเลย
“98! 99! 100!” พวกน้องหอบกันพอประมาณหลังจากลุกนั่งจนครบที่ผมสั่ง แม้ทุกคนจะทำไม่พร้อมกันเลยและยังมีหลายๆคนที่เอาเปรียบเพื่อนก็ตาม
“...” ผมยังคงยืนเงียบแม้ปีหนึ่งจะทำตามที่สั่งครบแล้ว ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะ และเพราะปีหนึ่งไม่ทำผมถึงได้ลงโทษ
“ลุกนั่งอีกร้อยครั้งครับ” เสียงบ่นเริ่มดังขึ้นมาเมื่อผมสั่งอีกครั้ง ผมเองก็เตรียมตัวรับมือกับการโดนน้องเกลียดมาเต็มที่ ดังนั้นแค่เสียงบ่นทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ
“ร้อยห้าสิบครั้ง” แถมเตรียมรับมือมาอย่างดีด้วยซ้ำ ปีหนึ่งหุบปากฉับเลิกที่จะส่งเสียงบ่นทันที ถ้าไม่อยากโดนบวกไปเรื่อยๆแค่ทำไปตามคำสั่งน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะ
“1! 2!” ถึงจะไม่พอใจ แต่ก็คงไม่อยากเสี่ยงจะโดนลงโทษเพิ่มไปอีกนั้นแหละ
“... 1ถ0!” น้องผู้หญิงหอบกันหนักมากหลังจากโดนลุกนั่งไปสองร้อยห้าสิบครั้ง ผมก็ไม่อยากลงโทษน้องหรอกนะ และผมคงโดนปายบ่นหูชาถ้าทำให้ใครเป็นลมหรือหอบหืดกำเริบขึ้นมา
“ลุกนั่...”
“สวัสดีครับ!” ผมกำลังจะสั่งลุกนั่งอีกรอบ แต่เสียงๆหนึ่งก็ขัดขึ้นมาก่อน หลังจากเสียงนั้นแทรกขึ้นมา ปีหนึ่งก็เหลอหลาหาเจ้าของเสียง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ และพร้อมใจพูดออกมาพร้อมกันอีกครั้ง
“สวัสดีครับ/ค่ะ!” ผมคงจะภูมิใจที่ปีหนึ่งรู้ตัวว่าทำอะไรผิด ถ้าคนที่เป็นต้นเสียงของการสวัสดีไม่ใช่ไอ้แจน ประชุมเชียร์คืนนี้ผมคงต้องด่ามันสักหน่อย เป็นพี่เนียนก็เป็นพี่เนียนสิว่ะ จะทำตัวเป็นฮีโร่ทำไม
“นั่งลงครับ” แต่เพราะปีหนึ่งยอมสวัสดีอย่างที่ผมต้องการแล้ว ผมเลยยอมให้ทุกคนนั่งได้
“เจ้าของเสียงยืนขึ้นครับ” ผมออกคำสั่งอีกครั้ง จงใจจ้องหน้าไอ้แจนเป็นเชิงบอกมันว่าผมหมายถึงมันนั้นแหละ จ้องหน้ากดดันมันอยู่สักพักมันก็ยอมลุกขึ้นยืน
“ลุกนั่งร้อยครั้ง ปฏิบัติ!”
“ครับ!” แจนรับคำและเริ่มลุกนั่งอีกครั้ง มึงนี้จริงๆเลยไอ้เวร ให้มาช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ไม่ใช่ยากขึ้นนะ
ผมละสายตาจากแจนเมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองผมอย่างอาฆาตแค้นอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นน้องผู้ชายสักคนที่นั่งอยู่แถวหลังสุด สายตาที่จ้องมาที่ผมและท่าทีของน้องเขา ก็ทำให้ผมรู้ได้ทันที ว่าน้องคนนี้ต้องแอนตี้โซตัสมากๆ รวมถึงเกลียดพี่ว้ากแบบพวกเรามากๆด้วย
ผมจ้องตากับน้องคนนั้นอยู่อย่างนั้นจนเสียงนับเลขของแจนจบไป น้องก็ยังไม่ละสายตาไปจากผมสักที
ถ้าจะงานช้างเลยแหะ
“สวัสดีปีหนึ่ง ผมขอแสดงความยินดีด้วยที่พวกคุณได้ผ่านมรสุมการอ่านหนังสือ ความกดดันจากรอบข้างและตัวเอง ต้องใช้การรอคอย และความอดทนอย่างถึงที่สุดกว่าจะมาถึงจุดนี้ และตอนนี้ก็ใช่... คุณเป็นนิสิตแล้ว ไม่ตบมือให้ตัวเองหน่อยเหรอครับ” ผมจำต้องละสายตาจากน้องคนนั้นมาที่ปีหนึ่งทุกคนและเริ่มพูดกับน้อง ปีหนึ่งตบมือให้ตัวเองตามที่ผมสั่ง บ้างก็ตบอย่างดีใจจริงๆที่ตัวเองมาถึงจุดนี้ บ้างก็ตบอย่างหวาดระแวงว่าผมจะหามุขอะไรมาแกล้งพวกเขาอีก
“ผมจะไม่ใช้มุขเดิมๆ ที่บอกว่า ที่นี้รับคุณเข้ามาแต่พวกผมอาจจะไม่รับคุณเป็นน้องก็ได้ หรอกนะครับ ผมไม่ใช่คนกำหนดว่าพวกคุณเหมาะหรือไม่เหมาะกับคณะนี้ แต่สิ่งที่พวกคุณจะเจอในบทเรียนต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนด” ผมกวาดสายตามองปีหนึ่งทีล่ะคน
“พวกคุณหลายๆคน คงคิดว่าการรับน้อง การทำให้พี่ยอมรับ... มันไร้สาระ และพวกคุณเองก็คงไม่ได้อยากจะได้พี่ที่ยอมรับพวกคุณสักเท่าไร”
“แต่คณะนี้พวกเราอยากได้สิ่งนั้น พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน และถ้าคุณไม่ต้องการ... คุณจะยอมแพ้ตอนนี้เลยก็ได้”
“...แม้คุณจะสู้มาแทบตายเพื่อสิ่งนี้ก็ตาม” ทุกเสียงเงียบกริบ บวกกับห้องที่แทบปิดตายนี้ มันก็มีเพียงเสียงของผมที่ดังก้องและสะท้อนไปมาเท่านั้น
“ถ้าคุณเลือกที่จะก้าวออกจากโลกของคุณและก้าวเข้ามาในโลกของที่นี้ คุณก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง โลกไม่ได้หมุนรอบตัวคุณนะปีหนึ่ง” ผมกลายเป็นจุดโฟกัสสายตาของน้องๆทุกคนไปแล้ว
“และโลกมันก็โหดร้ายมากด้วย”
“พี่วาาา โครตหล่ออ่ะ” ผมตักข้าวเข้าปากและเบือนสายตาไปยังต้นเสียง เป็นไอ้แจนนั้นเองที่พึ่งเดินเข้ามา พอมันเข้ามาในระยะที่มือผมเอื้อมถึง ผมก็ตบหัวมันไปหนึ่งที
“หูยยย ตบหัวทำไมมมม” มันบ่นทันที
“มึงควรทำให้เรื่องง่ายขึ้น ไม่ใช่ยากขึ้นนะแจน” แจนเบ้ปาก
“ผมก็ทำให้ง่ายขึ้นนะ”
“โดยการทำตัวเป็นฮีโร่อ่ะนะ ไม่ได้ดิว่ะ มึงต้องอยู่เฉยๆเว้ย”
“โหยพี่ วันแรกพี่ก็โหดเลยอ่ะ น้องมันจะไปรู้ได้ไงว่าต้องทำยังไง ผมก็ต้องช่วยมันดิ”
“ไม่ใช่ว่ามึงขี้เกียจลุกนั่งเหรอ” ตามันหลุกหลิกขึ้นมาเมื่อผมพูดแบบนั้น จริงล่ะสิมึง
“จะบ้าเหรอพี่ พี่เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย”
“มึงไม่อยากให้กูพูดหรอกแจน”
“เอาน่า แจนช่วยน้องก็ดีเหมือนกันนะวา ถ้าปล่อยให้น้องคิดเอง เราว่าได้ลุกนั่งถึงพันครั้งแน่” ปายเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยเมื่อเห็นท่าว่าผมจะไฝว้กับไอ้แจนอีกนาน
“ใช่ พี่ปายพูดถูก นางฟ้าสุดๆ” ไม่ค่อยเลยนะมึง ผมส่ายหัวและหันมาสนใจขนมตรงหน้าต่อ โชคดีอย่างเดียวของการประชุมเชียร์หลังปล่อยน้องก็คงจะเป็นขนมที่เพื่อนซื้อมาตุนไว้นี้แหละ
แต่แค่ขนมไม่สามารถสู้น้ำย่อยในกระเพาะผมได้จริงๆ
“งั้นเรามาประชุมกันเลยไหม จะได้ไม่เสียเวลา” ปายเสนอขึ้นมา ส่งผลให้เพื่อนๆที่แยกกันไปนั่งพักผ่อนขยับมานั่งล้อมรอบโต๊ะที่ผมนั่งอยู่อีกครั้ง ส่วนผมก็ยังคงหยิบขนมเข้าปากอยู่
“วันนี้ทุกคนทำได้ดีมากเลยนะ โดยเฉพาะ... วา” ปายเริ่มและหันมายิ้มให้ผม ผมพยักหน้ารับและกินขนมต่อไป
“เราว่าพวกเราเริ่มได้ดีเลยแหละ วันนี้ใครมีปัญหาอะไรไหม” ทุกคนนิ่งเงียบเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหาอะไร
“งั้นเรามาพูดเรื่องที่จะพูดกับน้องพรุ่งนี้เลยล่ะกันเนอะ พรุ่งนี้เราจะพูดเรื่องจัดแถว เพลงคณะ เพลงสาขา เพลงรุ่น และก็เรื่องล่ารายชื่อนะ รายละเอียดก็อยู่ในนี้เลย” ปายพูดจบก็แจกกระดาษให้กับเพื่อนๆทุกคน ในกระดาษเป็นแถวของปีหนึ่งที่พวกเราต้องทำให้น้องจัดให้ได้ในวันพรุ่งนี้ และก็เนื้อเพลงต่างๆที่พวกผมจำได้ขึ้นใจตั้งแต่ปีหนึ่ง
“พรุ่งนี้เราจะลงสนามกันนะ ทาครีมกันแดดกันมาดีๆล่ะ” ปายพูดขึ้นมา เมื่อทุกคนกวาดสายตาดูรายละเอียดในกระดาษจนจบ
“จะให้พวกเราทำอะไรบ้าง” ผมหันไปถามปายและหยิบขนมชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
“แล้วแต่เลย ขอแค่ให้น้องร้องเพลงให้ได้ จัดแถวให้ได้ แล้วสุดท้ายก็แจ้งเรื่องล่ารายชื่อก็พอ” ผมพยักหน้ารับ ในหัวเริ่มคิดว่าจะใช้วิธีไหนกับน้องดี
“ใครมีอะไรจะเสนอเพิ่มไหม” หนึ่งในพวกเราพูดเรื่องรายละเอียดเรื่องล่ารายชื่อ หลังจากจบเรื่องนั้น ปายก็หันมาถามทุกคน
ล่ารายชื่อก็ไม่มีไรมากครับ แค่ล่าลายเซ้นต์ของพี่ปี2 3 4 ให้ได้ครบกับที่กำหนดก็เท่านั้นเอง
“ถ้าไม่มีใครเสนอ...” ผมยกมือขัดก่อนที่ปายจะพูดสรุปประชุม
“วามีอะไรรึเปล่า”
“น้องผู้ชายที่นั่งแถวหลังสุด คือใครวะแจน” ผมชี้เป้าคนที่อยากถามทันที
“คนไหนวะพี่”
“คนที่หล่อๆ หน้าดุๆ ตาเฉียวๆ นั่งแถวหลังสุดเลยอ่ะ”
“อืมมมม ผมจำไม่ได้อ่ะ ทำไมเหรอ”
“มันดูไม่ค่อยโอเคกับรับน้องเลยว่ะ น่าจะแอนตี้น่าดูเลย”
“จริง! ไอ้เด็กนั้นมองหน้าวาเหมือนจะแดกเข้าไปอ่ะ กูมองมันตั้งนาน มันก็ไม่สะทบสะท้านเลย” สรหนึ่งในพี่ว้ากพูดขึ้นมา
“เดี๋ยวผมลองคุยกับมันดูล่ะกันพี่ วันนี้ได้คุยไม่กี่คนเอง” ไอ้แจนหันมาบอกผม
“โอเค เราอยากให้เน้นเรื่องทำอะไรมีเหตุมีผลนะ ปกติถ้ารู้เหตุผลเราจะอยากทำมากขึ้นอ่ะ จะได้ไม่ต้องมีน้องเกลียดเราด้วย ถ้าปรับเปลี่ยนอะไรให้เข้ากับน้องได้ เราว่าก็ควรทำ” ผมเสนอออกไป ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับ
“อันนี้เห็นด้วย เก๊กหน้านิ่งโครตจะไม่ใช่สไตล์เลยอ่ะ” หลิวพูดสนับสนุนอีกแรง
“เออ ดูอย่างตอนเราปี1ดิ ตอนพี่ดินรับ พวกเราก็ไม่โอเคอ่ะเนอะ” อย่างที่เคยบอกว่าพี่ดินโครตจะกวนตีนและไร้เหตุผล พวกผมแบนพี่เขามากตอนนั้น
“เทียบกับปีพี่เตชินท์ยิ่งเห็นชัดเจนเลย” เปรมพูดปิดท้าย อาจจะดูแปลกๆไปหน่อยที่คนพูดดันเป็นน้องรหัสของพี่เขา เหมือนอวยกันกลายๆ แต่ก็ไม่มีใครขัด เพราะตอนปีพี่เตชินท์พี่เขาใช้เหตุผลในการพูดกับน้อง แม้บทลงโทษจะโหดสุดๆ แต่น้องก็ยอมรับบทลงโทษกันมากกว่าปกติอยู่ดี
“ฝากพี่เนียนดูพวกน้องที่แอนตี้ด้วยล่ะกัน ดูว่าทำไมน้องเขาถึงแอนตี้ เพราะถ้าให้มาพูดใส่คนที่มีอคติ เราจะพูดดีขนาดไหนมันก็ไม่เป็นผล” ผมบอกกลุ่มพี่เนียนที่มีกัน3คน รวมทั้งแจนด้วย ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับ
“มีใครเสนอเรื่องอะไรอีกไหม” เราปล่อยให้ทุกคนปรึกษากันสักพัก ก่อนที่ปายจะพูดขึ้น
“ถ้าไม่มีก็เลิกประชุมจ๊ะ” ทุกคนหันกลับไปเก็บข้าวของของตัวเองเมื่อปายพูดปิดประชุม ผมเองก็หันไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่แถวนั้นมาสำรวจข้าวของด้วย
“วาไปไหนต่อเหรอ” เสียงปายเรียกให้ผมหันไปมองเธอ
“กลับหออ่ะ” เพลียจะแย่แล้ว
“ไปหาอะไรกินหน้ามอด้วยกันป่ะ” วันนี้วันพุธหน้ามอจะมีถนนคนเดินสินะ ผมหยุดคิดสักพัก เพราะหอผมมันอยู่หลังมอเลยอ่ะดิ แถมตอนนี้ผมก็โครตเพลีย
“ไม่อ่ะ ปายไปเหอะ” ความขี้เกียจชนะทุกสิ่งเหมือนเดิมครับ
“เค งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” ปายพยักหน้ารัวๆเมื่อผมปฏิเสธ เป็นเชิงว่าเธอไม่ได้ว่าอะไรก่อนที่จะหันกลับและเดินออกไปพร้อมหลิว
“บายเฮดว้าก” เกลียดตรงหลิวหันมาแซวผมนี้แหละ
“กลับเลยป่ะมึงอ่ะ” ทุกคนทยอยออกจากห้องประชุมไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมกับพีทเท่านั้น
“คงงั้น แต่ไอ้เชี่ยพาร์ทโทรไม่ติดเนี่ย” พีทกลับบ้านพร้อมพาร์ทแทบจะทุกวัน เพราะพีทมันมีรถนะครับ จะเรียกว่ารถพีทไม่ได้สิ รถพวกมันสองคนนั้นแหละ แม่คงเห็นว่าอยู่มหาลัยเดียวกัน ตึกก็ไม่ไกลกันมาก ออกรถคันเดียวให้ลูกชายแฝด2คนก็น่าจะพอ
“ให้มันกลับแท็กซี่ไปดิ” แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกมันจะเลิกพร้อมกันทุกวันสักหน่อย บางวันพีทก็ต้องกลับเองบ้างหรือพาร์ทกลับเองบ้าง ซึ่งส่วนมากจะเป็นอย่างหลังเพราะไอ้พีทเป็นพี่เวรนั้นเอง
“คงงั้น กูโทรหามันแล้วนะเว้ย กูไม่ผิด” พีทคว้ากระเป๋าและออกเดินตามผมมา ผมก้าวออกมาจากห้องโดยไม่ลืมหันไปสั่งให้พีทปิดไฟด้วย
“อ้าว ไอ้พีทกำลังจะทิ้งมึงอ่ะ” ผมชะงักขาเมื่อเห็นว่ามีคนนั่งรออยู่ข้างนอก
“ทิ้งกูอีกแล้วเหรอพีทททท” พาร์ทบ่นพี่ชายมันที่พึ่งเดินออกมา ผมนี้รู้สึกเหมือนเห็นไอ้พีทส่องกระจกเลยล่ะตอนนี้
“ก็กูโทรหามึงไม่ติด” ไอ้พีทสวนกลับไปทันที
“แบตมันหมดอ่ะ มึงเอาสายชาร์ตกูไปแล้วทำไมไม่ยอมคืนวะ” ปัญหาครอบครัวมาอีกแล้วครับ เรื่องปกติของไอ้สองคนนี้แหละ
“มึงก็ไปเอาดิ กูต้องถ่อเอาไปคืนมึงเหรอครับพาร์ท” ตามปกติแล้ว มึงหยิบไป มึงก็ควรที่จะเอาไปคืนเขานะพีท แต่สำหรับไอ้พีทที่ไม่เคยผิดต่อหน้าน้อง ผมก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งหรอกนะ
“เออ กูขอโทษล่ะกัน” สุดท้ายไอ้พาร์ทก็พูดขอโทษพีทอยู่ดี ผมส่ายหัวใส่ความบ้าบอของมันสองพี่น้อง และออกเดินก่อน
“กลับหอไงวะวา” พาร์ทเดินเข้ามาถามผม
“เดิน”
“ให้ไปส่งเปล่า” ถึงไอ้สองพี่น้องนี้มันจะมีรถ แต่ถ้าจะขับไปส่งผมเนี่ย มันต้องไปยูเทิร์นไกลมากนะครับ
“หยุดเลย ให้แม่งเดินกลับอ่ะดีล่ะ” ทุกครั้งที่เจอพาร์ท มันจะอาสาไปส่งผมตลอด และแน่นอนว่าไอ้พีทก็ขัดตลอดครับ
“วนรถแปบเดียวเอง เดี๋ยวกูขับก็ได้”
“ไม่เกี่ยวกับใครขับไม่ขับ กูเหนื่อยมากและกูอยากกลับบ้านเร็วๆ” ฟีลเหมือนผมไม่ใช่เพื่อนพีทอ่ะ
“พอๆ กูเดินกลับได้ ขอบใจนะพาร์ท” ผมยุติสงครามของมันสองคนและหันไปบอกพาร์ท
“แน่ใจ?”
“เออ กลับเองมาตั้งกี่ครั้งล่ะ” พาร์ทยอมพยักหน้ารับ เมื่อเห็นท่าทางแน่ใจของผม เป็นจังหวะที่เราเดินมาถึงรถของพวกมันพอดี
“กลับดีๆนะ ไว้เจอกัน” พาร์ทหันมาบอกผมอีกครั้ง ผมโบกมือลาพาร์ทปัดๆและออกเดินไปอีกทาง ในขณะที่ไอ้พาร์ทลาผมอย่างดี ไอ้พีทก็กระโดดขึ้นรถเรียบร้อยแล้วครับ
ใครเพื่อนผมกันแน่วะเนี่ย
ผมเดินกลับหอและเลือกที่จะแวะร้านกาแฟก่อนที่จะขึ้นห้อง รู้สึกว่าร่างกายต้องการน้ำตาลมากตอนนี้
“น้ำแดงครับ” ผมสั่งพี่พนักงานและยืนรออยู่ที่เคาน์เตอร์เลย สายตาเลื่อนไปมองทีวีที่เปิดย้อนละครหลังข่าวสักเรื่องอยู่ด้วยความที่ไม่ได้ดูละครเลยช่วงนี้ ผมเลยไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่มองเพลินๆตอนรอน้ำก็ไม่แย่นะครับ จนมีมือร้อนๆมาจับไหล่ผมไว้ ผมถึงได้หันกลับไปมอง
“พี่ติณห์” ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นเจ้าของมือนั้น พี่ติณห์ยิ้มให้ผมนิดหน่อยและหันไปสั่งน้ำ
“ชาเขียวครับ” พี่ติณห์นี้ทาสชาเขียวจริงๆแหะ
“วันแรกเป็นไงบ้างคุณ” พี่ติณห์หันมาคุยกับผมหลังจากสั่งน้ำเสร็จ
“โหยยยยยยพี่ มันแบบ... ผมจะบรรยายยังไงให้พี่เข้าใจดี” ผมใส่อรรถรสในการเล่าให้พี่ติณห์ฟังเต็มที่
“มันยังไงล่ะ” พี่ติณห์ถามติดหัวเราะกับท่าทางอธิบายไม่ได้ของผม
“ตอนแรกเลยนะที่น้องเดินเข้ามา ผมก็เริ่มคิดล่ะว่าจะเอายังไงดีจ...” ผมกลืนคำพูดทุกคำลงคอไปทันทีเมื่อหางตาหันไปเห็นคนที่กำลังจะเปิดประตูเข้ามาในร้าน ผมอาจจะจำไม่ได้ว่าน้องชื่ออะไร แต่ก็แน่ใจแน่ๆว่าเจอในห้องเชียร์วันนี้แบบชัวร์ๆ พี่ติณห์เลิกคิ้วใส่ผมเมื่อผมเงียบไป แต่พี่เขาก็มีไหวพริบมากพอที่จะหันไปมองน้องที่พึ่งเดินเข้ามาและทำท่าทีเฉยๆ
พี่เขาคงเดาได้แหละว่าปีหนึ่ง
ผมกับพี่ติณห์เปลี่ยนมาคุยเรื่องเรียนกันซะอย่างนั้น ทำเป็นถามว่าเรียนเป็นไง อืม วิชานี้ก็แบบนี้แหละ เนื้อหามีแค่นี้เองครับ คือเราแค่หาเรื่องมาคุยคั่นเวลาระหว่างรอน้ำล้วนๆ รอไม่นานน้ำที่เราสั่งก็พร้อมเสิร์ฟ ผมกับพี่ติณห์หันไปจ่ายตังและหันกลับทันที เมื่อหันกลับมาก็เจอน้องผู้หญิงคนนั้นยืนรอน้ำอยู่ เธอเงอะงะนิดหน่อยก่อนที่จะยกมือไหว้ผม ผมพยักหน้ารับไหว้จากน้องก่อนที่จะแยกออกมา
ไอ้พีทสั่งไอ้ว่าห้ามรับไหว้น้องด้วยครับ แต่ผมทำไม่ได้อ่ะ แค่รับไหว้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ผมกับพี่ติณห์เดินคีพลุคมาเรื่อยๆจนเข้าไปในลิฟต์
“เหนื่อยสุดก็ต้องคีพนิ่งต่อหน้าปีหนึ่งนี้แหละ” ผมถอนหายใจเฮือกออกมาทันทีที่เราอยู่ในลิฟต์กันสองคน
“ฮ่าๆ ก็แบบนี้แหละคุณ ทนหน่อย เดี๋ยวก็ชิน” ผมเบ้ปาก
“ต้องทนอีกตั้งกี่เดือนเนี่ย”
“มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เรียนเสร็จกลับหอเลย ไม่มีเวลาไปใช้ตังที่อื่นไง” เออก็จริงแหละ
“ถ้าสมมติผมหลุดต่อหน้าปีหนึ่งจะเป็นยังไงเหรอครับ”
“ก็คงคีพลุคยากแล้วแหละ ถ้าน้องคนหนึ่งเห็นเขาก็จะเอาไปบอกต่อๆจนทุกคนในรุ่นรู้ ก็จะไม่มีน้องกลัวคุณแล้วไง คุมไม่อยู่ล่ะทีนี้” ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่ง มันเหนื่อยจริงๆโว้ย
เงยหน้ามาอีกทีลิฟต์ก็เคลื่อนตัวจะถึงชั้น6แล้ว เดี๋ยวดิผมยังไม่ได้เล่าเรื่องรับน้องวันนี้ให้พี่ติณห์ฟังเลยนะ
“พี่ไปซื้อข้าวแล้วเหรอครับ” พี่ติณห์เลิกคิ้วนิดหน่อยกับคำถามนั้นของผม
“ยังเลย วันนี้ว่าจะต้มมาม่ากินเอาอ่ะ”
“จริงเหรอออออ” ผมตาลุกวาวขึ้นมาทันที มาม่านี้เหมือนอาหารคู่บุญของผมเลยนะ ทำงานดึกๆหิวก็กิน ขี้เกียจไปซื้อข้าวก็กิน แถมยังเป็นอาหารอย่างเดียวที่ผมทำกินอีก
“แล้วคุณกินข้าวรึยัง”
“ยังครับ ยังไม่ได้ซื้อข้าวด้วย” พี่ติณห์มองท่าทางกระตือรือร้นของผมนิ่งๆ ผมแสดงชัดเจนเลยนะ พี่ทักหน่อยเหอะ นะนะนะ
“ไปกินด้วยกันไหม” เยส!
“ไปครับ” พี่ติณห์ขำกับการดีใจเป็นเด็กๆของผม ก่อนที่ผมจะชิ่งกดลิฟต์ขึ้นเลย เดี๋ยวพี่ติณห์เปลี่ยนใจ
ไม่นานลิฟต์ก็มาถึงชั้น8 ผมกับพี่ติณห์เดินออกจากลิฟต์ ก่อนที่พี่ติณห์จะเดินนำไปยังห้องเบอร์04 ผมเคยขึ้นมาหาพี่ติณห์ที่ชั้น8บ้าง (มีของบางอย่างที่เราต้องยืมพี่ปี4ใช้นะครับ) แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในห้องของพี่ติณห์เลยสักที (ขนาดตอนโดนลงโทษครั้งนั้นผมยังไม่ได้เข้าห้องพี่ติณห์เลย) ดังนั้นนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เข้าห้องนี้
ภายในห้องไม่แตกต่างจากห้องผมมาก ค่อนข้างจะเหมือนเลยด้วย ก็แน่ล่ะ หอเดียวกันนี้ จะมีก็แต่พวกเฟอร์นิเจอร์แปลกๆที่พี่ติณห์ซื้อมาเติมเอง รวมถึงพวกfunko popที่วางประดับอยู่มากกว่า (funko popคือโมเดลนะครับ ส่วนมากจะมาจากหนัง, อนิเมชั่น, การ์ตูน สากลเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะเด่นคือหัวมันจะเหลี่ยมๆโตๆและก็ตากลมโต)
“ห้องผมมีแต่มาม่ารสสุกี้นะ กินได้ไหม” ผมพยักหน้ารับ กินได้หมดแหละครับ ผมละสายตาจากของตบแต่งภายในห้องและเดินเข้าไปในครัว พี่ติณห์กำลังหยิบจานสองใบออกมาวางพอดี
“กินในหม้อก็ได้นะครับ” พี่ติณห์ชะงักมือ
“ต้มในหม้อ แล้วก็กินในหม้อเลย จะได้ไม่ต้องล้างหลายใบ” ผมทำบ่อยมากครับ เรียกได้ว่าตลอดเลยแหละ
“อ้อ โอเค” พี่ติณห์ตกลงและหันไปเทน้ำใส่หม้อ ส่วนผมก็เดินมาเปิดตู้เย็น
“ไม่ค่อยมีอะไรหรอกนะ”
“แต่ก็มีของที่ใส่ในมาม่าได้นะครับ” แม้ตู้เย็นในห้องพี่ติณห์จะโล่งโครตๆเมื่อเทียบกับห้องผม เพราะมันมีแค่น้ำเปล่ากับปูอัด ไส้กรอก หมูสับ และก็ลูกชิ้นเท่านั้นเอง ถ้าเป็นห้องผมนะ นอกจากของพวกนี้ก็มีแต่ขนมเต็มไปหมดเลยครับ
น่าแปลกที่พี่ติณห์เป็นคนชอบกินขนมที่ไม่ค่อยมีขนมตุนไว้เท่าไรเลย
“ผมก็ซื้อมาใส่มาม่านี้แหละ” พี่ติณห์ตอบ
“ผมนึกว่าห้องพี่จะมีขนมเยอะๆซะอีก” ผมวางของที่หยิบมาไว้ข้างๆเตา และกระโดดขึ้นไปนั่งไม่ห่างจากตรงนั้นนัก
“มันเคยมีนะ แต่ผมกินหมดแล้ว” นี้สิคนชอบขนมของจริง ผมขำนิดหน่อยกับคำตอบนั้น
“สรุปวันนี้เป็นไงบ้าง” พี่ติณห์ใส่หมูสับลงไปเป็นอย่างแรกและหันมาถามผม
“โดยรวมก็ดีนะครับ” พี่ติณห์พยักหน้ารับ
“...พี่มีวิธีจัดการกับน้องที่แอนตี้โซตัสมากๆยังไงเหรอครับ” เรื่องนี้นี่แหละที่คาใจผม สาบานได้ว่าภาพน้องที่จ้องผมยังติดตาอยู่เลย ยิ่งไอ้เปรมบอกว่าน้องเขามองผมแทบตลอดเวลา ผมก็ยิ่งไม่รู้จะทำยังไงเข้าไปใหญ่
“อืม... ถ้าผมก็คงทำเป็นเมินๆไปมั้ง” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ผมรู้ว่าพี่ติณห์รู้ว่าผมรอฟังอยู่แม้พี่เขาจะง่วนกับการต้มมาม่าอยู่ก็ตาม
“ถ้าน้องเขาไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เรา เราก็แค่ทำตามหน้าที่ของเราไป” ผมเบ้ปาก
“ผมรู้สึกว่าน้องเขาน่าจะก่อกวนเร็วๆนี้นะสิครับ” ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะอยู่เฉยๆแหะ
“น้องบางคน ถ้าเขาไม่ชอบมากๆเขาก็แค่ไม่มาเข้าห้องเชียร์ ไม่มีใครอยากมีปัญหาหรอก” ผมยังคงเงียบ
“โดยเฉพาะมีปัญหากับเฮดว้าก” พี่ติณห์หันมามองผม
“คุณอย่าพึ่งกังวลไปก่อนเลย บางทีครั้งต่อไปน้องเขาอาจจะไม่มาเข้าเชียร์แล้วก็ได้” ผมพยักหน้ารับ หวังว่าพี่ติณห์พูดจะจริงแหละนะ
“แล้วถ้าน้องเขาก่อกวนจริงๆ ผมทำอะไรได้บ้าง”
“จริงๆคุณก็ทำได้ทุกอย่างแหละวา มันอยู่ที่คุณคิดว่ามันควรรึเปล่ามากกว่า” มาม่าของพี่ติณห์เสร็จแล้ว ผมกระโดดลงจากที่นั่งและอาสายกหม้อไปวางไว้บนโต๊ะเอง สุดท้ายผมกับพี่ติณห์ก็ทิ้งตัวลงนั่งคนล่ะฝั่งโต๊ะอาหารขนาดสองคนนั่งพร้อมกับตะเกียบเป็นอาวุธในมือคนล่ะคู่
“น้องเขาดูไม่โอเคมากเลยเหรอ” พี่ติณห์ถาม คาดว่าหน้าผมคงยังมีความกังวลอยู่แน่ๆ
“สุดๆเลยครับ”
“เยอะเลยเหรอ” ผมส่ายหัว
“ยังไม่แน่ใจเลยครับ แต่มีคนหนึ่งดูท่าจะแบนมากๆ เขามองผมเหมือนจะฆ่าผมเลย” พี่ติณห์ขำ
“คุณกลัวน้องเหรอ”
“ผมไม่เข้าใจมากกว่า พี่ก็รู้ว่าสอนคนที่อคติมันไม่ได้อะไร”
“คุณก็พูดถูก แต่นี้มันพึ่งวันแรกเองนะคุณ ลองดูๆไปก่อนก็ได้” ผมพยักหน้ารับ ปล่อยเรื่องรับน้องเอาไว้ก่อนและหันมาจัดการมาม่าตรงหน้า
ผมกับพี่ติณห์นั่งกินมาม่ากันไปเรื่อยๆโดยแทบไม่ยกเรื่องอะไรมาพูดอีก หลังจากเราตั้งใจกินกันสักพัก มาม่าสองซองก็หมดด้วยความรวดเร็ว
มาม่ารสสุกี้ก็อร่อยดีแหะ
“เดี๋ยวผมล้างเองครับ ตอบแทนที่พี่ยอมให้ผมมาฝากท้องห้องพี่” จะปล่อยให้พี่ติณห์ทำให้กินแล้วยังจะปล่อยให้พี่เขาล้างข้าวของเองด้วยมันก็จะยังไงอยู่
“แค่มาม่าเองคุณ คุณจะมากินทุกวันผมก็ไม่อดตายหรอก”
“พี่แน่ใจเหรอครับ” เมื่อผมถามซ้ำ พี่ติณห์ก็ชะงักไปเลย
“ถ้ากินทุกวันแล้วพี่ไม่อดตายจริงๆ ผมก็จะทำนะ” พี่ติณห์ส่ายหัวหน่ายใส่ผม
“คุณจะกินมาม่าทุกวันเลยรึไง”
“พี่กินเป็นเพื่อนผมสิครับ”
“คุณหาเพื่อนเป็นมะเร็งล่ะสิ” รู้ทันแหะ ผมขำและแย่งหม้อจากมือพี่ติณห์มาถือ ขนาดผมพูดแล้วพี่เขาก็ยังจะล้างเองอีก ผมเลยชิ่งล้างก่อนซะเลย
ผมเป็นแผนกล้าง ส่วนพี่ติณห์เป็นแผนกเช็ดไปแล้วตอนนี้
ผมส่งทัพพีซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องเช็ดให้พี่ติณห์ก่อนที่สายตาจะหันไปเห็นอะไรสักอย่าง
“ไปโดนอะไรมาเหรอครับ” ผมเลื่อนมือไปพลิกข้อมือพี่ติณห์ทันทีที่เห็นพลาสเตอร์ยาแปะอยู่ที่ข้อมือพี่เขา แต่เพราะถ้าหันปกติมันจะคนล่ะด้านกับผม ผมจึงพึ่งเห็น
“คัตเตอร์บาดอ่ะ” จริงๆคัตเตอร์บาดค่อนข้างจะเบสิกมากสำหรับพวกผมนะ
“นี้พี่แค่แปะพลาสเตอร์เฉยๆใช่ไหม แกะออกมาทายาก่อนน่าจะดีกว่านะครับ” ผมตั้งท่าจะแกะพลาสเตอร์ออกตามที่พูด แต่พี่ติณห์ยื้อแขนไว้
“ไม่เป็นไรหรอก แผลนิดเดียวเอง”
“นิดเดียวก็ดีสิครับ ใส่ยาแปบเดียวเอง” พี่ติณห์ยังคงยื้อแขนเอาไว้อยู่
“คุณเป็นอาจารย์ด้านการทำแผลรึไงวา” ถ้าคนโดนบาดเป็นผมละก็ผมคงแปะพลาสเตอร์และปล่อยมันเอาไว้แบบนั้นแหละ แต่นี้คนเจ็บคือพี่ติณห์ไง
“ถ้าเป็นพี่ติณห์ล่ะก็... ผมเป็นศาสตราจารย์ด้านการทำแผลยังได้เลยครับ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตกลงว่าเราอัพเป็นวันเว้นวันล่ะกันเนอะ (ถ้าอัพไหว) ติดตามด้วยนะคะ
เจอกันคร้าบบบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

669 ความคิดเห็น
-
#633 hanari00123 (จากตอนที่ 6)วันที่ 3 ธันวาคม 2561 / 16:33หยอดอีกเอาอีก!! ล้อเล่น!เเค่นี้เเหละอย่าหวานมากกว่านี้เลย#6330
-
#552 หมูจีน้อย (จากตอนที่ 6)วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 / 17:23หยอดกันเข้าไปค่ะ หยอดไปเล้ยยยย#5520
-
#130 Thedrm. (จากตอนที่ 6)วันที่ 24 เมษายน 2559 / 01:18โหยยยย วาเหมือนหยอดดด *-*#1300
-
#90 Helena Kadian (จากตอนที่ 6)วันที่ 16 เมษายน 2559 / 17:49หยอดอีกกกก#900
-
#11 noon_panchanok (จากตอนที่ 6)วันที่ 10 มีนาคม 2559 / 09:59สนุกมากกกกก มาอัพบ่อยๆนะ รอออออออออ#110