ตอนที่ 5 : break loose
5
23:00
ผมหาวรอบที่3แล้วชาวโลก ผมควรพักผ่อนสิ จริงๆผมก็สามารถนอนได้แล้วแหละ แต่ผมรู้สึกว่าถ้าผมนอนตอนนี้มันจะเสียเวลาเปล่า ผมเลยเลือกที่จะนั่งฝืนหนังตาอยู่แบบนี้
เพื่ออะไรวะเนี่ย
เราแยกย้ายกันตอน3ทุ่มกว่าๆ หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็เกือบจะ4ทุ่มอยู่แล้วครับ ผมกลับมานั่งสไลด์โทรศัพท์ดูนู้นดูนี้ไปเรื่อยๆก็ปาไปจะ5ทุ่มแล้ว
ผมละสายตาจากหน้าจอทวิตเตอร์ที่นั่งเล่นมาสักพักเป็นหน้าต่างที่อยู่ข้างๆแทน น่าเสียดายที่เราไม่ได้เปิดหน้าต่างนอน (เหนียวตัวครับ เปิดแอร์ดีกว่า) แต่ถึงจะไม่ได้เปิดหน้าต่าง บรรยากาศจากมุมนี้ก็ดีซะเหลือเกิน
ผมชอบที่เราเห็นแสงดาวมากกว่าแสงไฟจริงๆ
ผมเหม่อมองท้องฟ้าอยู่แบบนั้นก่อนที่สายตาจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยอัตโนมัติ พี่เตชินท์นั่งมองท้องฟ้าเหมือนผม พี่เขาดูไม่ติดโทรศัพท์เท่าไหร่เลยแหะ (ผมก็ไม่ติดครับ ผมเล่นแค่ตอนเบื่อๆ) การที่พี่เขาไม่ได้นั่งมองโทรศัพท์ตลอดเวลา มันทำให้ผมอยากพูดอะไรออกไปสักอย่างสองอย่าง
“ดูหนังกันไหมครับ” นี้เป็นอย่างแรกที่ผมคิดออก พี่เตชินท์ละสายตาจากหน้าต่างมาที่ผม
“ตอนนี้เหรอ” ผมพยักหน้ารับ ซึ่งพี่เตชินท์ก็ขมวดคิ้วใส่ผม เพื่อยืนยันว่าผมพูดจริง ผมเลยลุกจากเตียงตัวเองและย้ายไปนั่งบนเตียงที่เตชินท์แทน
“the best of movie ของพี่คือเรื่องอะไรครับ” ขอบคุณที่พี่เตชินท์ยอมขยับให้ผมเบียดตัวเข้าไปนั่งพิงผนังกับพี่เขาได้
“ของผมเหรอ” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง
“whiplash” ผมพยักหน้ารับและพิมพ์ชื่อหนังลงไป
“ผมเคยได้ยินนะ แต่ยังไม่ได้ดูสักที” พี่เตชินท์ไม่ได้ตอบอะไร แค่วางหมอนไว้เป็นที่พิงโทรศัพท์ผม ก่อนที่เราสองคนจะดำดิ่งสู่ห้วงของหนัง
ผมเป็นคนดูหนังก็คือดูหนังจริงๆ หลายๆครั้งที่ไปดูหนังกับเพื่อนแล้วผมเงียบมากจนไอ้พีทไล่ให้ผมกลับไปดูที่บ้าน แต่เพราะผมอยากซึมซับรายละเอียดของหนัง ซึมซับไดอะล็อกเล็กๆน้อยๆที่เราอาจจะมองข้ามไปถ้าเรามัวแต่คุยกัน เพราะแบบนั้นผมเลยสนใจหนังมากกว่าทุกสิ่ง ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้เลือกชวนพี่เตชินท์ดูหนัง ทั้งๆที่ผมจะเงียบแบบโครตเงียบ แต่ผมแค่อยากรู้ว่าหนังในใจของพี่เขาคือเรื่องอะไร
และหนังเรื่องนั้นมันเป็นแบบไหน
เราใช้เวลา2ชั่วโมงกว่าไปโดยไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ไม่ได้แม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ มีเพียงแค่เสียงของหนังที่ดังก้องไปหมด (ลำพังแค่เป็นห้องใต้หลังคาก็เสียงดังอยู่แล้วครับ นี้ผมเปิดเสียงเกือบสุดเลย) และยังนั่งดูend creditกันจนจบอีกตั้งหาก
“คุณคิดอะไรอยู่” พี่เตชินท์หันมาถามผม เมื่อหน้าจอมันดับไปแล้ว
“คิดว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงเป็นthe best ofของพี่ครับ”
“แล้วคิดว่าไง”
“ผมยังคิดไม่ออกเลย” พี่เตชินท์ขำกับคำตอบผม
“ก็ไม่มีอะไรหรอก มันแค่... สร้างแรงบันดาลใจมั้ง”
หนังที่เราดูจบไป เป็นหนังเกี่ยวกับนักตีกลอง ที่ได้เล่นเป็นไม้สองมาตลอดชีวิต แต่อยู่ๆเขาก็ถูกทาบทามให้เข้าวงของโรงเรียนที่มีครูสุดโหดอยู่ พระเอกทำทุกวิธีทางให้ได้เล่นบนเวที ฝึกเล่นเพลงcaravanจนมือเจ็บบ้างล่ะ โดนรถชนก็ยังไปโชว์บ้างล่ะ เรียกได้ว่ารับแรงกดดันจากทุกทางเลย แต่สุดท้ายพระเอกก็เล่นเพลงcaravanที่ยากแสนยากจนได้ เหมือนทำลายเกราะของตัวเองออกไปได้นั้นแหละ
“พี่อินกับหนังดนตรีด้วยเหรอครับ”
“ส่วนมากก็อินหมดนะ แต่ดนตรีจะอินเป็นพิเศษเลยด้วย ผมตีกลองอ่ะ” ผมชะงัก
“พี่เตชินท์ตีกลองด้วยเหรอ”
“อืม ผมถึงอินwhiplashไง” ผมพยักหน้ารับ แต่จริงๆถือเป็นหนังที่ดีเลยนะครับ สำหรับผมที่อินกับอะไรง่ายมากๆนี้ถึงกับกดดันจนปวดท้องเลยเนี่ย
“แล้ว… the best of movieของคุณล่ะ” ผมใช้เวลานึกสักพัก
“forrest gumpมั้งครับ” พี่เตชินท์เลิกคิ้ว
“ทำไมอ่ะ”
“ผมดูแล้วง่วงนะ แต่แปลกมากเลยอ่ะ เป็นหนังง่วงที่ได้ข้อคิดเยอะชิบหาย” พี่เตชินท์ถึงกับขำอีกครั้งกับคำตอบของผม แต่มันจริงๆนะ ผมนั่งดูด้วยความรู้สึกว่า อะไรวะเนี่ย จนจบก็ยังรู้สึกแบบนั้น แต่ประโยคในหนังหลายๆประโยคก็ยังคงอยู่ในหัวผม อย่างเช่น
Life is like a box of chocolates you never know what you’re gonna get !
นี้เป็นประโยคดังของหนังเรื่องนี้เลยนะ
“พี่ง่วงรึยังครับ” พี่เตชิท์หันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตี1กว่าแล้ว
“นิดหน่อย คุณอ่ะ”
“ไปเดินเล่นกันไหมครับ”
พี่เตชินท์คงจะงงกับความไม่ตอบคำถามและเปลี่ยนเรื่องของผมเต็มที ผมก็เบื่อตัวเองครับ แต่เราอยู่ทะเลกันแค่2วัน ถ้าไม่ได้เดินริมหาดนี้มันก็เหมือนยังมาไม่ถึงทะเลเลยนะ และเพราะพี่เตชินท์ไม่ขัดอะไร ผมกับพี่เตชินท์จึงได้ลงมาเดินเล่นกันจริงๆอย่างที่ผมชวน เราเดินออกมาจากบริเวณบ้าน และทิ้งตัวลงนั่งที่หาดหน้าบ้านนั้นแหละ แสงจันทร์กับแสงดาวทำให้เราสามารถมองเห็นกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอีกครั้งที่เราปล่อยให้ความเงียบจัดการทุกอย่าง
ผมว่าผมกับพี่เตชินท์เราเหมือนกันเกินไป
เราไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบพูดมาก ไม่ชอบเสียงรบกวน เราเลือกที่จะนั่งเงียบๆอยู่กับโลกของตัวเองได้เป็นวันๆ การที่เราพูดคุยกันมันคือการรับโลกของอีกคนเข้ามา เรียกง่ายๆก็คือ
เราเป็นคนโลกส่วนตัวสูงทั้งคู่
ผมเป็นคนไม่ชอบพูดแต่ก็ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ ผมรู้ว่าต้องพูดเมื่ออยู่ในสังคม อยู่กับคนอื่น แต่ผมจะไม่พูดทุกอย่างที่ผมคิด ภายนอกผมดูเป็นคนเข้าถึงง่าย แต่จริงๆผมก็ไม่ได้openขนาดนั้น ผมมีรอยยิ้มหลายแบบโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว ผมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเก่งกว่าที่จะพูดความคิดเห็นของตัวเอง ผมชอบฟังโลกดำเนินไป มากกว่าฟังตัวเอง
นั้นแหละผม
ผมตัวจริงเลยล่ะ
เพราะผมจริงๆแล้วลึกล้ำกว่านั้น มันเลยยากที่จะพาใครสักคนเข้ามาในโลกของผม และคนที่อยู่ในโลกของผมจริงๆก็มีไม่เยอะนัก แต่กับพี่เตชินท์ อาจจะเพราะโลกของเรามันใกล้เคียงกัน ผมเลยรู้สึกเหมือนเราอยู่บนโลกใบเดียวกัน
ที่มันกว้างขึ้น
ผมไม่ต้องพยายามหาประเด็นอะไรมาพูดถ้าไม่อยากทำ ไม่จำเป็นต้องนั่งปั้นหน้ายิ้มใส่กัน
เราก็แค่เป็นตัวเองและอีกคนดันรับได้
เป็นโชคดีเหมือนกันนะ
“ทำไมพี่ถึงเรียนสถาปัตย์เหรอครับ” ทุกคำถาม ทุกประโยค ทุกข้อสงสัยที่ผมถามพี่เตชินท์ ล้วนเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ถามไปเฉยๆ
“เหตุผลมันไม่ได้สวยหรูหรอกนะ” ผมนั่งชันเข่าและกอดเข่าไว้ เกยคางบนเข่าอีกทีและหันไปมองพี่เตชินท์
“ผมอยากฟังครับ” ฝ่ายนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เมื่อผมตอบแบบนั้นพี่เตชินท์ก็ปลายตามามองผม และหันกลับไปมองทะเลอีกครั้ง
“แรกเริ่มเลยนะ เต็นท์มันเรียนวิศวะไง แล้วมันก็อยากหาสถาปนิกสักคน มันเลยมาบอกให้พี่เข้าสถาปัยต์อ่ะ” หน้าผมคงมีคำว่า เอาจริงดิ ปรากฏ พี่เตชินท์ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาพรืดหนึ่ง
“พอเต็นท์มันบอกให้เรียน ผมก็เลยลองหาข้อมูลดู ไม่น่าเชื่อนะ แต่มันดูเป็นคณะที่เหมาะกับผมชะมัด ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมีคณะอะไรที่เหมาะกับผมขนาดนี้เลย สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเข้าคณะนี้เพราะแบบนั้นแหละ” ผมพยักหน้ารับ ก็ดูเป็นเหตุผลที่น่ารักดีออก
“แต่มันก็คงแค่เหมาะ ไม่ได้เกิดมาเพื่อผมทุกอย่างหรอก ไม่งั้นผมคงได้เกียรตินิยมไปล่ะ”
“ไม่มีอะไรเกิดมาเพื่อเราทุกอย่างหรอกครับ” ผมพูดออกไป
“เนื้อคู่ไง” ผมขมวดคิ้ว
“พี่เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” ผมสาบานว่าได้ยินหลิวพูดเรื่องเนื้อคู่ที่ถูกสร้างมาคู่กันตั้งแต่ปีหนึ่ง จนมาตอนนี้เธอพูดมาสิบๆครั้งแล้วครับ
“ก็ไม่ได้เชื่อขนาดนั้น แต่ผมว่ามันต้องมีแหละ ใครสักคนที่เกิดมาเพื่อเรา”
“แล้วเขาคนนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าเขาเกิดมาเพื่อเรา” ไอ้คำถามนี้ในหัวผมนี้แหละที่ทำให้ผมไม่เคยเชื่อเรื่องเนื้อคู่ พรหมลิขิต อะไรสักเท่าไหร่
“ตอนแรกเขาก็คงไม่รู้หรอก จนได้เจอเราไง”
“ง่อววววววว” ผมหลุดง่อวออกมาเองเลย นี้มันหนังสือเกี่ยวกับนิยามรักอะไรแบบนี้เลยนะ พี่เตชินท์เลื่อนมือมาตบหัวผมหนึ่งที่
“ง่อวเง้ออะไรล่ะ ผมจำมาอีกที”
“เหรออออออครับ” พี่เตชินท์ทำท่าจะผลักผมลงทะเลถ้าผมยังไม่หยุดล้อ สุดท้ายผมก็ต้องยกมือยอมแพ้
“แล้วทำไมคุณถึงเข้าสถาปัตย์อ่ะ”
“เหตุผลผมกากกว่าพี่อีก” พี่เตชินท์เพียงแค่พยักหน้ารัวๆเป็นเชิงว่าอยากฟังเท่านั้น
“ตอนสอบแกทแพท ผมสอบมันทุกแพทเลย แล้วแพท4ก็ดันได้เยอะกว่าเพื่อนนะ” เหตุผลผมดูแย่กว่าเยอะเลยเนอะ
“ถึงเหตุผลมันจะงงๆแต่คุณก็ทำได้ดีเลยนะ คุณเป็นลูกเทพของปี3เลยไม่ใช่เหรอ” ผมส่ายหัวรัวๆกับคำเปรียบนี้ทันที เราจะเรียกคนที่เก่งสุดๆในปี รู้ใจอาจารย์ทุกอย่าง ส่งแปลน ส่งโมยังไงก็ผ่าน แถมได้คะแนนเยอะว่า ลูกเทพ น่ะครับ (ไม่ใช่ตุ๊กตานะ)
“คุณไม่ต้องมาถ่อมตัว คุณเป็นตัวพีคของปี3 ผมรู้หรอก” ผมชะงัก
“พี่รู้ได้ยังไง” พี่เตชินท์หันมามองผม
“ก่อนที่ผมจะไปทาบทามคุณเนี่ย ผมก็ต้องรู้ประวัติการศึกษาคร่าวๆของคุณก่อน จะได้เป็นแบบอย่างให้น้องได้ไง”
“แสดงว่าพี่สืบเกรดผมเหรอ” พี่เตชินท์ยักไหล่
“ผมก็แค่ไปถามอาจารย์เฉยๆ” ไม่ค่อยเลยแหะ
“ทำไมพี่รู้เกรดผม แล้วผมไม่รู้เกรดพี่บ้าง”
“เกรดผมมันสู้คุณไม่ได้หรอก”
“มันไม่เกี่ยวว่าสู้ได้หรือไม่ได้ แต่ผมอยากรู้”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม” พอเจอคำถามนี้พร้อมกับสายตาของพี่เตชินท์ ผมก็ตอบไม่ถูกเลยแหะ
จะให้ตอบว่า ก็แค่อยากรู้ มันก็ไม่ใช่อ่ะเนอะ
ผมใช้ลิ้นดันกระพุ่งแก้มและเนียนๆเบือนสายตาออกจากพี่เตชินท์ เป็นเชิงว่าผมไม่อยากตอบนั้นแหละ
“กลับไปก็เปิดเทอมแล้วนี้นะ” ผมพยักหน้ารับ เป็นเปิดเทอมที่เหมือนไม่ได้ปิดสักนิด
“คุณพร้อมรับน้องรึยัง”
“ยังเลยครับ” ผมตอบทันทีเลยด้วยซ้ำ
“ทำไม”
“ผมยังเก็บเกี่ยวจากพี่ไม่พอเลย”
“ผมไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยวมากกว่า” ผมหันกลับไปมองพี่เตชินท์อีกครั้ง
“ผิดแล้วครับ พี่มีเยอะมาก จนผมไม่รู้จะเริ่มเก็บจากตรงไหนเลยมากกว่า”
“คุณก็มีเยอะมากเหมือนกัน เยอะจนไม่จำเป็นต้องเก็บจากผมแล้ว” ผมนิ่งกับประโยคนั้น ประโยคที่โครตเชื่อมั่นในตัวผมกับสายตาของพี่เตชินท์มันยิ่งทำให้ผมสับสนไปหมด
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงได้เชื่อตัวผม ทั้งๆที่ผมไม่เชื่อตัวเองด้วยซ้ำ” ไม่ใช่แค่พี่เตชินท์ ไอ้พีท ปาย หรือแม้แต่หลิว เพื่อนทุกคนในชั้นปี ต่างก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเฮดว้ากของปีนี้คือผม แต่เป็นผมเอง ที่รับความหนักอึ้งมากขึ้นทุกวันๆ โดยที่ไม่เคยมีใครรู้เลย
“คุณน่าจะสงสัยว่า ทำไมคุณไม่เชื่อตัวเอง ทั้งๆที่ทุกๆคนเชื่อคุณมากกว่า” ผมบุ้ยปาก
"ผมรู้สึกเหมือนว่า ผมกำลังแบกใครนักก็ไม่รู้ไว้เต็มบ่าไปหมด และมันหนักเกินไป ผมไม่รู้ว่าผมจะแบกทุกๆคนไว้ได้อีกไกลแค่ไหน หรือผมจะทำได้สำเร็จรึเปล่า” นี้เป็นครั้งแรกที่ผมพูดเรื่องที่อยู่ในใจผมออกมา
ระบายมันให้ใครสักคนฟัง
"คุณฟังผมนะวา” พี่เตชินท์มองหน้าผม เขายังคงมีท่าทีสงบเหมือนทุกครั้ง แต่ท่าทางสบายๆของพี่เตชินท์ก็ทำให้ผมคลายความกังวลลงไปได้บ้างซะอย่างนั้น
“มันก็เหมือนกับการทำโมเดลนั้นแหละ ทุกอย่างมันมีระบบ มีขั้นมีตอนของมัน คุณในตอนนี้ก็เหมือนโมเดลที่เสร็จแล้ว จะต้องส่งอาจารย์ คุณไม่รู้หรอกว่าอาจารย์จะติ จะว่าอะไร จะให้ทำใหม่ หรือชื่นชม คุณไม่รู้อะไรเลย คุณก็แค่ต้องยอมรับมัน มันก็เหมือนกันแหละวา ไม่ว่าผลสุดท้ายมันจะออกมาเป็นยังไง ผมอยากให้คุณจำไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว" พี่เตชินท์พูดจนจบและวางมือลงบนหัวผม
"ถ้าผลสุดท้ายมันติดFล่ะครับ" ผมก็ยังกังวลอยู่ดีแหละ
"ก็ลงเรียนใหม่ ไม่เห็นยากเลย"
“มันง่ายขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมบ่น มันยากกว่านั้นมากๆ เส้นทางที่ผมก้าวผิดมันไม่มีเลยด้วยซ้ำ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะพลาด ไม่มีสิทธิ์จะทำให้ทุกคนต้องมาลำบากไปด้วย
“ผมนึกว่าคุณจะเป็นคนง่ายๆกว่านี้”
“ผมอาจจะเคยเป็นแบบนั้น จนผมต้องแบกทุกคนไว้นี้แหละ” พี่เตชินท์ยังคงเงียบและไม่เอามือออกจากหัวผมสักที
“พี่ควรจะเข้าใจผมมากที่สุดนะ”
“ผมเข้าใจสิ ผมกำลังเห็นตัวเองอยู่ตอนนี้” พี่เตชินท์ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม เขาแค่ลูบหัวผมเบาๆ
พี่เตชินท์ลูบหัวผมด้วย
ผมควรจะสะบัดหัวออกจากมือพี่เขา ทำท่าทางขัดใจ หรือใช้มุขเดิมๆที่ว่า ผมมันเสียทรง หรืออะไรก็ได้ แต่ผมก็ไม่ทำ ผมเพียงแค่สบตาพี่เตชินท์แบบนั้นและปล่อยให้เขาลูบหัวผมไปเรื่อยๆ
มันรู้สึกปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้
“คุณเข้าใจสุภาษิตที่ว่าฟ้าหลังฝนขนาดไหนเหรอ”
“เจอเรื่องไม่ดีมา แต่สุดท้ายจะเจอเรื่องดี” ทั้งๆที่เรียนสุภาษิตนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่พอคนถามเป็นพี่เตชินท์ ผมกลับไม่แน่ใจซะอย่างนั้น
“แล้วคุณยังกังวลอะไรอีก” พี่เตชินท์หยุดลูบหัวผมแล้ว
“ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกังวลอะไรอยู่... พี่เข้าใจไหมครับ” นี้แหละ #ความผม ของแท้เลย ผมเป็นคนอธิบายไม่เก่ง และเพราะไอ้อธิบายไม่เก่งนี้แหละ ผมเลยไม่อธิบายมันแม่งเลย
“ฮ่าๆ เข้าใจสิ แต่คุณคิดแทนอนาคตไม่ได้หรอกนะวา คุณก็แค่ต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป และถ้าบนบ่ามันหนักมากนัก ก็วางมันลง คุณไม่ได้สู้อยู่กับอะไรไม่รู้นะ แถมคุณยังมีกองทัพอีกตั้งเยอะ คุณไม่จำเป็นต้องแบกมันไว้คนเดียว” ให้ผมเดา ผมว่าสายตาผมมันคงสั่นระริกอย่างโครตสับสนแน่ๆ
“แค่ลองทำดู เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าคุณจะต้องทำยังไงต่อ”
“เป็นคำอธิบายที่แย่ที่สุดเลยเนี่ย” ผมบ่น มันแปลได้ว่าให้ไปลองทำดูแล้วจะเป็นยังไงก็ให้หาทางเอาตัวรอดเองไม่ใช่เหรอ
“ผมพูดดีได้แค่นี้แหละ ผมอธิบายไม่เก่ง” พี่เตชินท์บุ้ยปากกลับมาบ้าง
ความเหมือนอีกอย่างของเรา
เรานั่งจ้องหน้ากันแบบนั้น เหมือนเรากำลังอ่านใจอีกฝ่ายผ่านทางหน้าตาของเขา ผมเปลี่ยนมานั่งเท้าคางมองหน้าพี่เตชินท์แล้วตอนนี้ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะโวยวายออกมาแล้ว แต่พี่เตชินท์ไม่ได้ว่าอะไรผม
ซึ่งโครตดี
“อย่างน้อยๆเรื่องรับน้องก็พอจะมีข้อดีที่ผมคิดออกอยู่” พี่เตชินท์เลิกคิ้ว
“มันทำให้ผมสนิทกับพี่มากกว่า3ปีที่รู้จักกันซะอีก” ผมได้รู้ตอนนี้นี่แหละว่าเวลา3ปีที่ผมรู้จักพี่เขามามันผิวเผินขนาดไหน
“ผมก็คิดแบบนั้น” พี่เตชินท์พึมพำตอบผมพร้อมกับรอยยิ้ม
โหยยยย พี่เตชินท์ยิ้มให้ผมด้วย
ผมคงจะตั้งใจมองรอยยิ้มนั้นของพี่เตชินท์มากเกินไป จนพี่เตชินท์เม้มปากเลย
“ชื่อวา... มาจากวาเลนไทน์เหรอ” อยู่ๆพี่เตชินท์ก็ถามขึ้นมา
“ไม่ใช่ล่ะครับ พี่ไปเอามาจากไหนนน” ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็... แค่คิดผมก็อยากเปลี่ยนชื่อแล้ว
“ผมแค่เดาเฉยๆ มันไม่น่ามาจากวาที่2เมตรป่ะล่ะ” พี่เดาไม่มีเซ้นท์เลยแหะ
“มันไม่ใช่ทั้งคู่นั้นแหละครับ”
“งั้นมาจากอะไร” ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่เตชินท์ถึงได้อยากรู้ที่มาของชื่อผม แต่ผมกลับอยากอธิบายเป็นเรียงความให้พี่เขาอ่านเลยล่ะ นานแล้วที่ไม่มีใครถามว่าชื่อวามาจากอะไร
“มันมาจากคำว่าพะวานะครับ”
“พะวา?” พี่เตชินท์ขมวดคิ้ว ดูจะสงสัยหนักเข้าไปอีก
“ใช่ครับ มันเป็นชื่อต้นไม้นะ แม่บอกว่าตอนแม่แพ้ท้องผม แม่อยากกินผลพะวามาก จนพ่อต้องไปหามาให้ ทั้งๆที่ผลมันไม่ได้อร่อย ออกจะเปรี้ยวๆ ฝาดๆ แล้วถ้ากินเยอะก็ทำให้ท้องเสียได้ แต่ก็อยากกินมากกกกอยู่ดี แม่เลยตั้งชื่อผมว่าวา”
“แล้วคุณเคยกินไหม”
“โตมาก็เคยหามากินนะครับ มันโครตจะไม่อร่อยเลยอ่ะ ไม่เข้าใจเลยว่าผมตอนอยู่ในท้องอยากกินเข้าไปได้ไง” พี่เตชินท์ขำเมื่อผมพูดจบ
“มันไม่อร่อยจริงๆนะพี่เตชินท์ ไม่อร่อยจนผมอยากเปลี่ยนชื่อเลย”
“ไม่เปลี่ยนแหละดีแล้ว ชื่อดูมีสตอรี่ดีออก” ก็นั้นแหละคือเหตุผลที่ผมไม่เปลี่ยนชื่อ ผมนั่งวาดทรายเล่นไปเรื่อยๆก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้
“พี่เตชินท์ครับ”
“ว่าไง” ผมนิ่ง วันนี้มีหลายๆอย่างที่ผมไม่เข้าใจตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ส่วนใหญ่ชีวิตผมมันก็เป็นแบบนั้นและผมก็ปล่อยผ่านซะส่วนใหญ่ แต่คำถามที่ผมอยากจะถามต่อไปนี้ มันดูไม่มีเหตุผลอย่างที่สุดเลยล่ะ
“ผมเรียกพี่ว่าพี่ติณห์ได้ไหมครับ” เหมือนโลกหยุดหมุนเมื่อผมพูดออกไป
ผมเคยบอกไปแล้วว่าชื่อ ติณห์ เป็นชื่อที่เพื่อนในรุ่นเดียวกัน หรือรุ่นพี่ใช้เรียกพี่เตชินท์เท่านั้น สำหรับพวกผมที่เป็นรุ่นน้องจะถูกบัญญัติให้เรียกว่าพี่เตชินท์เท่านั้น และมันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากด้วย แต่ทำไมผมถึงอยากเรียกพี่เตชินท์ว่าพี่ติณห์... ก็ไม่รู้
อยากมาก จนต้องถามออกไป
“แล้วแต่คุณสิ” พี่เตชินท์ไม่ได้ถามหาเหตุผลจากผมด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่อนุญาตและเบือนสายตาจากผมเท่านั้น แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“ขอบคุณครับพี่ติณห์” นี้เป็นการเรียกพี่ติณห์ครั้งแรกในชีวิตผมเลยนะ ผมยิ้มกว้างกับความสำเร็จขั้นเล็กๆในชีวิตและหันไปมองทะเลอันกว้างใหญ่ตรงหน้า
“คุณอย่ายิ้มแบบนี้ตอนรับน้องนะวา” ผมหันกลับไปหาพี่ติณห์อีกครั้ง
“ยิ้มแบบไหนครับ”
“แบบที่คุณกำลังยิ้มอยู่เนี่ย”
“มันดูแย่เหรอครับ”
“เปล่า... แต่มันจะไม่มีน้องกลัวคุณนะสิ”
“น้องจะตกหลุมรักผมแทนเหรอครับ” นี้ผมอารมณ์ดีมากขนาดกล้าหยอกพี่ติณห์แล้วเหรอ
“อาจจะ”
“แล้วมันได้ผลกับพี่ไหมครับ” พี่ติณห์ขมวดคิ้วมุ่นใส่ผม ผมขำก่อนที่จะเสมองไปทางอื่น เหมือนกับไม่อยากฟังคำตอบจากคำถามนั้นแล้ว
“พี่ติณห์เข้าใจสุภาษิตที่ว่าน้ำตาลใกล้มดขนาดไหนเหรอครับ”
และผมก็ยังอารมณ์ดีมากขนาดที่กล้าถามคำถามนี้ออกไปด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไดอะล็อกล้วนๆเลยสำหรับตอนนี้ ก็อย่างว่า... ไดอะล็อกมันทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไปนี้เนอะ ทั้งๆที่มีแต่บทพูดๆๆแต่เราชอบมากๆ เราชอบความสัมผัสที่คุยกันถูกคอ 555555555555 ตอนนี้ปิดเทอมแบบจริงๆแล้วและก็ว่างมากๆจนกว่าจะแอดมิชชัน เราจะมาอัพกันรัวๆเลยล่ะกันนะ นี้แต่งจบปุ๊บอัพปั๊บเลยนะ รออ่านกันจนเบื่อได้เลยค่ะ 555 ส่วนตัวคืออยากแต่งตอนสัก20อัพด้วยไง มันดีมากพวกแก 5555
เจอกันค่าาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จีบใช่ไหม จีบสินะ
คนพี่โดนอ่อยแล้ววววว
ประโยคสุดท้ายนี่ จีบพี่เขาเหรอลูกกกก
คือแบบ..พอมาอ่านอีกรอบ
แล้วต้องไปหาความหมายของสุภาษิตที่วาพูด
พอดูแล้วแบบ วาาาาา ทำให้เขินเลยเนี้ยยย
จีนกันตรงชายหาดตอนกลางคืนค่าาา