ตอนที่ 49 : specify; 1-5 work+you
1-5
การทำงานที่รับผิดชอบเสร็จหมดแล้ว บวกกับการโทรไปยืนยันนัดในวันพรุ่งนี้กับคุณเลขาเรียบร้อย ผมก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ค่อนข้างแน่ใจว่าคุณมินจะไม่สั่งแก้อะไรอีก ซึ่งก็หมายความว่าหมดหน้าที่ของผมแล้วววว ผมก็จะเหลือวันว่างๆแบบเต็มวันหนึ่งวัน ถึงแม้มันจะแค่วันเดียวแต่ก็ขอบคุณมากแล้วจริงๆ
“มันคืออะไรอ่ะ” ผมงับอะไรนักก็ไม่รู้ที่พี่ติณห์ยื่นมาให้ใส่ปากโดยไม่รู้ด้วยซ้ำครับว่าคืออะไร
เพราะเมื่อคืนพี่ติณห์อุตสาห์ลงทุนลงแรงในการช่วยผมแก้บ้านคุณมิน เช้านี้ผมเลยออกมาส่งแม่เป็นเพื่อนพี่ติณห์ ระหว่างทางกลับเราจึงแวะตลาดแถวๆนั้นและก็กวาดซื้อของกินไปตุนไว้
“แป้งหยอด” ผมยังคงขมวดคิ้ว
“แป้งเดียวกับแป้งโตเกียวอ่ะ เอามาทาเนย แล้วก็ย่าง”
“อ้อออ” ผมพยักหน้ารับ และงับอีกชิ้นที่พี่ติณห์ป้อนเข้าปาก
“น้ำอะไรดีวา” เราสองคนมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านน้ำปั่นก่อนที่พี่ติณห์จะหันมาถามผม
“ผมเอาน้ำแดงล่ะกัน” พี่ติณห์ขำ และเลื่อนมือมาโยกหัวผม
“ผมว่าล่ะ” เขาว่างั้น ก่อนที่จะเดินเข้าไปซื้อน้ำ
“วา!!” ผมสะดุ้งเมื่อมีมือตะปบเข้าที่ไหล่พร้อมเสียงเรียกที่ตะโกนใส่หูผมเลย
“ตกใจหมดดด” เมื่อหันกลับมาและเห็นว่าคนตรงหน้าคือเพลง ผมก็อดที่จะบ่นไม่ได้
“ขวัญอ่อนเชียวนะเธอ”
“คนบอบบางก็แบบนี้แหละ” เพลงกลอกตาทันที
“เออแล้วไอ้พีทมันบอกแกยัง” ผมเลิกคิ้ว
“บอกเรื่องไรวะ”
“กินเลี้ยงพรุ่งนี้ไง ไหนว่ากลับมาไม่นาน ไม่คิดจะออกมาสังสรรค์กับเพื่อนกับฝูงบ้างเลยรึไง”
“พรุ่งนี้กี่โมงอ่ะ” ขอคิดก่อนนะว่าว่างไหม
“เย็นๆแหละ” พรุ่งนี้คงคุยงานกับคุณมินเสร็จตั้งแต่บ่ายแล้วมั้ง
“มีใครไปบ้าง”
“ก็คนกันเองทั้งนั้น ฉัน แทน ชิน พีท พาร์ท ปาย หลิว แล้วก็พวก97 99 100 และก็101บางคนอ่ะ ฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่” ผมพยักหน้ารับ
“เออเดี๋ยวไป” ไหนๆก็กลับมาแล้ว จะไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนเลยมันก็ดูเสียเที่ยวจริงๆนั้นแหละ
“นี่แกมากับใครอ่ะ” เพลงมองซ้ายมองขวาก่อนที่จะถามขึ้นมา
“พี่ติณห์” เมื่อผมตอบจบ เธอก็หลิ่วตาใส่ผมทันที
“ยังไงๆ ดีกันแล้วเหรอ” ผมไหวไหล่ ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มมากว่านั้น
“แล้วเธอมากับใคร”
“ก็มากับแฟนฉันสิย่ะ” เพลงตอบ พร้อมทำหน้าเหนือๆใส่ผม
“แฟนแกนี่คนไหนวะ คนเดิมป่ะ” เพลงถึงกับฟาดมือใส่แขนผมเลย
“เออ! คนเดิมนั้นแหละ” เสริมประโยคนั้นของเพลงด้วยการที่คนที่ผมกำลังพาดพิงถึง เดินเข้ามาหาเพลง
“พี่วาหวัดดีครับ” แทนไทยกมือไหว้ผมด้วยรอยยิ้มกว้าง ตอนแรกมันชะงักไปนิดหนึ่งเลยล่ะตอนเห็นผม
“ยังคบกันอยู่อีกเหรอวะ”
“โหยพี่ อย่าพูดงั้นดิ นี่ก็หวิดเลิกมาหลายรอบล่ะ” แทนไทบ่น
“แกนั้นแหละเงียบไปเลยแทน” เพลงหันไปค้อนแทนไท และพี่ติณห์ที่อาสาไปซื้อน้ำก็เดินกลับมาพอดี
“หวัดดีค่ะ” เพลงยกมือไหว้พี่ติณห์ รวมถึงแทนไทที่เคี้ยวขนมจนเต็มแก้มก็ยกมือไหว้พี่ติณห์ด้วย
“ชวนพี่เตชินท์ไปด้วยนะเว้ย” เพลงหันมาบอกผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับแกนๆ
“งั้นไว้เจอกัน ฉันไปล่ะ พี่เตชินท์หวัดดีค่า” ท้ายประโยคเพลงหันไปพูดกับพี่ติณห์ก่อนที่จะยกมือไหว้และแยกออกไป
“ชวนไรอ่ะ” พี่ติณห์หันมาถามผมเมื่อเพลงและแทนเดินออกไปแล้ว
“พรุ่งนี้เย็นมีปาร์ตี้” พี่ติณห์พยักหน้ารับ
“อ้อ เห็นไอ้เมฆมันพูดอยู่นะ”
“ไปก็ดีเหมือนกันเนอะ นี่เรายังแทบไม่ได้ไปไหนเลย” อยู่แค่บ้านพี่ติณห์นี่แหละครับ
“นั้นดิ.. เออวา! นี่คุณไม่กลับบ้านเหรอ” พี่ติณห์คงพึ่งนึกขึ้นได้เพราะเขาเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดๆ ส่วนผมแค่รับแก้วน้ำแดงมาดูดและตอบเขากลับไป
“อือ คงไม่กลับอ่ะ”
“ทำไมอ่ะ มาถึงนี่ล่ะนะ ไม่กลับไปหาแม่หน่อยเหรอ” พี่ติณห์ศอกแขนผมเบาๆ
“ถ้ากลับบ้าน แค่เดินทางก็วันหนึ่งล่ะนะ และนี่ผมเหลือเวลาอีกแค่2วันเอง จะเอาเวลาที่ไหนกลับบ้านล่ะ” ตอนนี้ผมเข้าใจคุณค่าของเวลามากๆเลยครับ เพราะเวลาทุกนาทีของผมมีค่ามากจริงๆ
“แต่ว่า..”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาหาแม่อยู่แล้ว” คุยกันไม่นาน เราก็มาถึงรถแล้ว และหน้าที่ขับรถกลับก็เป็นของผมครับ
“แล้วคุณตั้งใจไว้ว่าอะไร” พี่ติณห์ผุดเข้ามานั่งในรถเมื่อผมสตาร์ทรถ
“ผมตั้งใจกลับมางานรับปริญญาพี่ไง” พี่ติณห์ขมวดคิ้วมุ่นทันที
“บ้าไปแล้วเหรอวา” พี่ติณห์ในตอนนี้ดูพร้อมเข้ามาหักคอผมทุกเมื่อเลยครับ
“ผมไม่ได้บ้านะ ผมแค่ไม่สามารถทำอะไรพร้อมๆกันได้ทีล่ะหลายอย่าง ผมอยากกลับมางานรับปริญญาพี่ ผมก็เลยต้องรับงานเพื่อที่จะได้กลับไทย และเพราะผมรับงานมาแล้วผมก็ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นผมจะเอาเวลาที่ไหนกลับบ้านล่ะครับ”
“คุณก็ไม่จำเป็นต้องกลับมางานรับปริญญาผมก็ได้นี่” ผมหยุดมือที่กำลังจะสตาร์ทรถและหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆทันที พี่ติณห์ไม่ได้มองตรงมาที่ผม เขาเบือนสายตามองกระจกข้างที่ไม่เห็นจะมีอะไรให้มองสักอย่าง
“ผมจะไม่มาได้ไง งานรับปริญญาไม่ได้มีบ่อยๆนะ” ผมเลื่อนมือไปประคองหน้าพี่ติณห์
“โทษอะไรตัวเองอีกล่ะ” ผมถาม เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลคู่นั้น
“โครตรู้สึกผิดเลยอ่ะ” พี่ติณห์ก็ยังคงเป็นพี่ติณห์จริงๆ
“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ผมคุยกับแม่อยู่ตลอด และแม่ก็รู้ด้วยว่ากลับมาหาพี่ เดี๋ยววันที่ผมกลับเขาก็มาส่ง ก็ได้เจอกันอยู่ดีแหละ” พี่ติณห์กำลังจะอ้าปากเถียงผม
“คุ้มจะตายแล้วเนี่ย ได้กลับมางานรับปริญญาพี่ ได้กลับมาคบกัน..ผมโครตพอใจแล้วครับ” พี่ติณห์บุ้ยปากใส่ผมแทนที่จะเถียง
“คุณพูดแบบนี้แล้วผมจะเถียงยังไงงงง” ผมขำ จุ๊บปากเขาเบาๆก่อนที่จะหันมาขับรถเพื่อกลับบ้านสักที
บรรยากาศภายในรถกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง เสียงเพลงคลอเบาๆและแอร์เย็นๆ ในขณะที่รอสัญญาณไฟแดงผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“พี่ติณห์”
“ว่า” ไฟเขียวแล้ววว
“ไปดูหนังกัน” พี่ติณห์ไม่ได้ตอบในทันที แต่ผมไม่ได้หันไปมองจึงไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงอยู่ และผมก็ใกล้บ้านพี่ติณห์เข้าไปทุกทีล่ะครับ
“ชวนไปเดทป่ะเนี่ย” พี่ติณห์ถามขึ้นหลังจากผมเลี้ยวเข้าซอยบ้านพี่ติณห์เรียบร้อย
“อื้ม ชวนไปเดท” พี่ติณห์ขำเมื่อผมยอมรับง่ายๆ
“ไปดิ” ผมจอดรถก่อนที่จะขยับเข้าไปใกล้โดยที่พี่ติณห์ไม่ได้ตั้งตัว
“มีคนชวนไปเดทก็ไปง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ”
“ถามทำไม อยากรู้..หรือว่าหึง” ร้ายป่ะล่ะ!
“มันเกี่ยวกับหึงตรงไหนเนี่ย”
“งั้นแสดงว่าไม่หึง ถ้าผมจะรับคำชวนไปเดทของใครต่อใคร” หัวคิ้วผมม่นเข้าหากันทันที
“หึงดิ โครตหึง พอใจยัง” พี่ติณห์ยิ้มกว้างทันที เขาคว้าคอผมไปกอดก่อนที่จะกดจูบเบาๆที่ริมฝีปากผม
“พอใจมาก” เขาถอดริมฝีปากออกก่อนที่จะตอบกลับมา เมื่อพี่ติณห์รุกมาขนาดนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากข้ามไปที่นั่งฝั่งพี่ติณห์และกดเบาะลง
“เฮ้ยเดี๋ยวๆๆ” พี่ติณห์ดันหน้าอกผมไว้เมื่อผมกำลังจะโถมตัวเข้าหาเขา
“พี่พลาดล่ะ” ผมพูดแค่นั้น คว้าแขนพี่ติณห์ที่ดันหน้าอกผมไว้ด้วยมือเดียวก่อนที่จะโน้มตัวเข้าไปกดจูบที่ริมฝีปากของคนตรงหน้า
ไม่ได้ตั้งใจจะรู้จุดอ่อนของคนตรงหน้าหรอกนะ แต่ผ่านมาหลายคืนเข้า หลายรอบเข้า ผมก็พอจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้พี่ติณห์ยอมอ่อนข้อ จนถึงขนาดไม่สามารถปฏิเสธผมได้
แต่ผมไม่บอกหรอก
เป็นความลับ
ติ๊งต่อง
ผมแน่ใจว่าผมพร้อมฆ่าใครก็ตามที่มากดออดตอนนี้ พี่ติณห์สะดุ้งและผละผมออกทันที
“ผิดบ้านมั้ง” แต่เพราะไม่มีเสียงออดดังขึ้นมาอีก ผมถึงได้ชิ่งพูดออกไป และงับหัวไหล่ของพี่ติณห์เบาๆ
“ไม่ใช่ล่ะวา บ้านผมนี่แหละ” พี่ติณห์พยายามจะดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดผม
ติ๊งต่อง
โว้ยยยยยใครมาวะ อยากตายใช่ไหมเนี่ย
“ลุกเลย บอกแล้วว่าบ้านผม” พี่ติณห์ทุบไหล่ผมเบาๆ
ติ๊งต่อง
รู้แล้วๆ
“เดี๋ยว” ผมรั้งพี่ติณห์ไว้เมื่อเขาตั้งท่าจะออกไปดู ก่อนที่จะเลื่อนสายตาต่ำลงเป็นเชิงบอกว่าทำไม
“คุณแม่งโครตเร็วอ่ะ” พี่ติณห์บ่น แต่สำหรับผมนั้นเป็นคำชมนะ
“เดี๋ยวผมไปดูให้ก่อนล่ะกัน” ผมเสยผมลวกๆ ไม่รอให้พี่ติณห์ตอบอะไรกลับมา เพราะผมออกเดินไปยังประตูรั้วแล้ว โดยปล่อยให้พี่ติณห์จัดการกับเสื้อผ้าตัวเองไปก่อน
ขาที่ก้าวเดินอย่างรวดเร็วชะลอความเร็วลง เมื่อผมพบรถตู้คันสีดำสนิท ยี่ห้อเดียวกับที่ผมนั่งมาหลายวัน แต่เพราะสีรถที่แตกต่างกับทะเบียนรถที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่เจ้าของรถคันเดิม
“คุณวรมินทร์อยู่ที่นี่รึเปล่าครับ” ผมหยุดอยู่หน้าประตูรั้วก่อนที่ผู้ชายในชุดสูทจะเกาะรั้วและถามผมออกมา
“วา! ใครมาอ่ะ” พี่ติณห์ที่พึ่งจัดการกับตัวเองเสร็จ วิ่งเข้ามาหาผม
“รู้จักเหรอ” เขาหยุดยืนข้างผม ก่อนที่จะกระซิบถามผม
เอาจริงก็ไม่รู้จักหรอกครับ แต่สังหรณ์ใจแปลกๆ
“คุณคือคุณวรมินทร์เหรอ” ผู้ชายคนเดิมถามขึ้นมาอีกครั้งและหันมามองผม
“มีธุระอะไรเหรอครับ” ผมถามกลับ
“คุณอดิรุจอยากพบนะครับ” ผมขมวดคิ้วทันที สาบานเลยว่าในชีวิตไปเคยรู้จักคนชื่ออดิรุจมาก่อน และทำไมเขาต้องอยากมาเจอผมด้วยวะ
“คุณอดิรุจเป็นสามีคุณมินตราครับ” คนๆเดิมพูดอธิบายเพิ่มเติม อาจจะเพราะว่าหน้าผมดูไม่เข้าใจมากๆล่ะมั้ง
“มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ” ถึงจะยังไม่เข้าใจเท่าไร แต่ผมก็เลือกที่จะถามต่อไป ในขณะที่คุณคนเดิมกำลังจะอ้าปากตอบผม ประตูรถก็เปิดออก ปรากฏร่างของผู้ชายอีกคน ที่จากแค่ดูก็รู้แล้วว่าคงเป็นเจ้าคนนายคนแน่ๆ เขาถอดสูทนอกออก ส่งให้คุณน้าที่คุยกับผมและหันมามองผม
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันคุยเอง” ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม รวมถึงพี่ติณห์ก็ยังอยู่ข้างๆไม่ขยับไปไหน
“จะไม่เชิญฉันเข้าบ้านหน่อยเหรอวรมินทร์”
ทำไมอยู่ๆถึงกลายเป็นผมนั่งอยู่บนโต๊ะรับแขกบ้านพี่ติณห์ โดยมีแขกที่ชื่ออดิรุจที่ผมพึ่งรู้เมื่อกี้นั่งอยู่ตรงข้าม แถมไม่ไกลยังมีคนขับรถและคุณน้าที่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเป็นเลขาคุณอดิรุจนั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว ส่วนพี่ติณห์ก็กำลังนำน้ำผลไม้มาให้ผมกับคุณอดิรุจ และแยกไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าว
แต่แทนที่คุณอดิรุจจะรีบพูดธุระของเขามา เขากลับกำลังจิบน้ำผลไม้อย่างสบายใจ ด้วยท่าทางสบายอารมณ์มากๆ จนผมตามไม่ทัน แต่เพราะนั่งตรงข้ามกันแบบนี้ผมถึงได้พิจารณาเขาดีๆ จากการคาดคะเนของผม คิดว่าอายุน่าจะไม่เกิน40 เป็นคนหน้าคมๆดุๆมีหนวดนิดหน่อย โดยรวมก็ถือเป็นคนหน้าตาดีเหมือนกันนะ
“มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะครับ” สุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนา
“มีธุระเหรอ ทำไมรีบจัง” ฝ่ายนั้นว่างั้นและเลิกคิ้วใส่ผม
“มันไม่ใช่เวลางานของผมนะครับ คุณน่าจะเข้าใจ” คุณอดิรุจทำหน้าที่พอจะสื่อออกมาได้ว่าหูยยยและพยักหน้าช้าๆ
“ฉันขอเรียกเธอว่าวาล่ะกันนะ เหมือนที่ภรรยาฉันเรียก” ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้ซีเรียสกับคำเรียกมากมายอยู่แล้ว
“เธอก็เรียกฉันว่ารุจก็ได้” ผมเลิกคิ้ว แต่เมื่อเขายังมองตรงมาเหมือนแน่ใจแล้ว ผมถึงได้ยอมพยักหน้ารับ
“ครับคุณรุจ” คุณรุจยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจทันที
“ฉันขอดูเรือนหอของฉันหน่อยได้ไหม” ผมหันไปหยิบโน๊ตบุ๊คมาเปิด โชคดีจริงๆที่ผมแก้งานเสร็จไปหมดแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าเขาจะขอดูก่อน แต่จะโทรมาบอกก่อนได้ไหมล่ะ อยู่ๆก็บุกมาบ้าน รถตู้ก็ดำ ฟิล์มก็ดำ แถมยังใส่สูทดำมากันหมด มันน่ากลัวไปหน่อยนะ
“ผมพึ่งแก้ในส่วนล่าสุดไปเองครับ” คุณรุจเลื่อนแบบดูไปเรื่อยๆ
“นี่ไปคุยกับแม่ยายฉันมาด้วยใช่ป่ะ” เขาถามโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามามองผม
“ครับ คุณมินพาไปเมื่อวาน”
“อ้อ น่าอิจฉาเนอะ เจอกันแปบเดียวเขาก็พาไปหาแม่ซะแล้ว” ผมชะงักเลยครับ
“ผมแค่ไปคุยงานครับ” ผมรีบโพล่งออกไป คราวนี้คุณรุจยอมปลายตามามองผม
“ฉันแค่ล้อเล่น จะลุกลี้ลุกลนทำไมเนี่ย คิดจริงล่ะนะ” อ้าวววววว
“แต่จะว่าไป.. เธอก็สเปคเมียฉันเลยนะ” ผมเงียบ ไม่คิดจะตอบอะไรกลับไป ก็คุณมินก็พึ่งบอกผมเมื่อวานเองว่าผมสเปคเธอเป๊ะ
ขอเงียบๆดีกว่าครับเดี๋ยวจะกระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน
“สวยดีนะ” เมื่อผมไม่พูดอะไรออกไป คุณรุจถึงได้กลับมาพูดเรื่องเดิม
“อยากให้แก้ตรงไหนบอกได้นะครับ” ถ่อมาถึงนี่คงไม่ได้แค่อยากจะดูงานก่อนหรอก
“ไม่ได้อยากให้แก้อะไร..แต่อยากให้เพิ่ม” ผมพยักหน้ารับ คว้าดินสอประจำตำแหน่งมาถือเพื่อเตรียมจดทันที
“ฉันอยากได้สระว่ายน้ำ” ผมชะงัก มือไม่ได้จดตามคำพูดของคุณรุจอย่างที่ควรจะเป็น
“สระว่ายน้ำเหรอครับ” ผมทวนและเงยหน้าไปมองคุณรุจ
“อืม” เขาตอบรับและพยักหน้ายืนยันด้วย
“คุณมินบอกว่าจะไม่มีทางสร้างสระว่ายน้ำ..” เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้ชะงัก เราคุยกันตั้งแต่แรกๆเลยด้วยซ้ำ ผมเคยเสนอไปแล้วว่าให้สร้างสระว่ายน้ำในพื้นที่โล่งที่เหลืออยู่ แต่เธอยื่นคำขาดว่าจะไม่มีการสร้างสระว่ายน้ำ แบบห้ามเด็ดขาด และยังเอาแต่ส่ายหัวปฏิเสธรัวๆ ผมเลยจดสระว่ายน้ำเป็นblacklistตั้งแต่วันนั้น แต่อยู่ๆคุณรุจมาขอให้เพิ่มสระว่ายน้ำมันไม่แปลกๆเหรอ
“มินบอกด้วยเหรอ นี่ฉันเริ่มหึงเธอกับเมียฉันนิดๆล่ะนะ” ผมส่ายหัวหน่ายทันที
“ถ้าไม่อยากให้ฉันหึงเธอจนเป็นอุปสรรคต่องานของเธอนะ ก็เพิ่มสระว่ายน้ำให้ฉันซะ” ผมเลิกคิ้ว
“สรุป..ที่คุณมาหาผมถึงนี่ เพราะอยากให้ผมเพิ่มสระว่ายน้ำเข้าไปในบ้านเหรอครับ” เขาพยักหน้ารับ
“สระว่ายน้ำที่เป็นblacklistของคุณมิน..เนี่ยนะ”
“ตอนนี้อาจจะเป็นblacklistแต่ถ้านายช่วยพูด มินอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” ผมถอนหายใจทันที
“ขนาดคุณเป็นสามีเธอ เธอยังไม่ฟังเลย แล้วผมเป็นใคร ทำไมคุณมินเขาต้องมาฟังผมด้วย”
“คิดผิดล่ะไอ้หนู มินน่ะ เขาฟังทุกคนยกเว้นสามีเขาเนี่ยแหละ ยิ่งนายนะ เขาฟังยิ่งกว่าใครทั้งหมดเลย นายไม่รู้หรอกว่า มินเขาคุยโม้เรื่องไหวพริบ ความสามารถ ความอดทน หรือหน้าตาของนายให้ฉันฟังขนาดไหน และถ้าคนพูดกล่อมมินคือนาย ยังไงมินก็ต้องไขว้เขวบ้างแหละ!” ผมเหวอทันที
“คุณเอาอะไรมามั่นใจเนี่ยยยย”
“ฉันเอาตำแหน่งสามีของฉันเป็นหลักประกันเลย ฉันรู้จักภรรยาฉันดี” ผมเงียบ รู้สึกถึงปัญหาที่กำลังจะตามมาเลย
“ลูกค้าของผมมีคนเดียว..ก็คือคุณมิน ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องฟังคุณ” มันช่วยไม่ได้นี้นา ผมไม่อยากมีปัญหากับคุณมินและผมก็เหลือเวลาอีกไม่มากด้วย อย่าเพิ่มปัญหาให้ผมเลยยย ผมขอล่ะ
“ถือว่าฉันขอร้องล่ะกัน แบบนี้จะยอมฟังไหม” ผมแน่ใจได้เลยว่าผมต้องกำลังเลิกคิ้วอย่างอึ้งๆแน่ๆ คุณรุจผู้เป็นถึงเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังกำลังขอให้ผมช่วยเนี่ยนะ
“ผมไม่รับประกันนะว่าจะสำเร็จ” เป็นอีกครั้งที่ผมแพ้สายตาอ้อนวอน คุณรุจยิ้มกว้างทันทีเมื่อผมพูดแบบนั้น
“แค่เธอยอมพูดให้ ฉันก็วางใจขึ้นเยอะแล้ววว นี่ๆ ฉันอยากเพิ่มสระว่ายน้ำตรงนี้” สรุปผมคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยยยยย
“ผมขอโทษนะพี่ติณห์ อุตสาห์พูดสวยหรูว่าจะยกเวลาวันนี้ทั้งวันให้พี่แท้ๆ” หลังจากคุยกับคุณรุจต่ออีกนิดหน่อยจนเสร็จ ผมก็หันมาแก้แบบทันที อย่างที่บอกว่าผมเหลือเวลาไม่มาก แถมพรุ่งนี้ผมต้องเข้าไปคุยกับคุณมินแล้วด้วย ถ้าจะเสนอเรื่องสระว่ายน้ำก็ควรจะต้องมีแบบจริงๆให้เธอดูควบคู่ไปด้วย
แม้ผมจะไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าจะเปลี่ยนใจคุณมินได้
“ไม่เป็นไรหรอก คุณก็ไม่ได้ไปไหนซะหน่อย” พี่ติณห์ตอบพร้อมระบายรอยยิ้มให้ผมขณะที่กำลังตัดโมอยู่
ปกติเราจะพรีเซนต์โดยใช้โน๊ตบุ๊คใช่ไหมครับ ประมาณว่ามันทันสมัยกว่าและก็สะดวกกว่า แต่ในกรณีที่จะได้เห็นภาพแตกต่างระหว่างมีกับไม่มีชัดเจนที่สุด ผมว่าการทำโมเดลก็ยังดีที่สุดอยู่ดี เพราะอย่างนั้นผมจึงตัดสินใจทำโมเดลในที่สุด
“พี่ว่าผมทำถูกไหม” พี่ติณห์ปลายตามามองผมนิดหน่อย
“มันไม่มีอะไรผิดหรือถูกหรอกวา” ผมเบ้ปาก
“ไม่รู้ดิ ผมรู้สึกว่าผมผิดที่เชื่อฟังคำพูดของคนอื่นมากกว่าลูกค้าที่จ้างผมมา”
“คุณไม่ได้ทำแบบนั้นซะหน่อย ตอนนี้คุณสร้างบ้านของพวกเขาอยู่นะวา มันก็ต้องเป็นความเห็นของทั้งสองฝ่ายสิ และมันก็เป็นหน้าที่สถาปนิกอย่างเราๆอยู่แล้วที่ต้องหาจุดกึ่งกลางที่เหมาะสมที่สุดของทั้งคู่ให้ได้”
“...คุณก็แค่เป็นกระบอกเสียงแทนคุณรุจในการพูดกับคุณมิน แต่คุณมินเขาจะเลือกฟังกระบอกเสียงนี้ไหม หรือเขาจะไม่สนใจ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา คุณทำเต็มที่แล้ว” พี่ติณห์เอื้อมมือมากุมมือผมไว้ ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยกมืออีกข้างมาเท้าคาง จ้องมองหน้าพี่ติณห์พร้อมรอยยิ้มให้เขา โดยมือข้างนั้นก็คว้ามือพี่ติณห์มาจับไว้จนแน่น
มีพี่ติณห์อยู่ข้างๆอะไรมันก็ดีไปหมดจริงๆ
ผมอยากจะพับเขาใส่กระเป๋ากลับไปอังกฤษกับผมด้วยชะมัด
“งั้นหนังคืนนี้ก็เลื่อนไปก่อนเนอะ” พี่ติณห์พูดขึ้นมาอีก แต่ผมส่ายหัวปฏิเสธทันที
“ได้ไงอ่ะ พี่ตกลงไปล่ะนะ จะเบี้ยวเหรอ” พี่ติณห์ส่ายหัวบ้าง
“ก็คุณติดงาน ทำงานให้เสร็จก่อนดีกว่า”
“งานแก้แปบเดียวเอง ยังไงผมก็จะไปดูหนัง” เชื่อไหมว่าจากคนที่เดือนหนึ่งดูหนังในโรงอย่างน้อย2เรื่องอย่างผม พอไปเรียนต่อนี้แทบจะไม่ได้ดูเลยจริงๆ หนังเรื่องล่าสุดของผมคือ3เดือนที่แล้วอ่ะ
“จองเลยล่ะกัน เอาเรื่องไรดี” เพื่อไม่ให้พี่ติณห์ท้วงขึ้นมาอีกผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ครอบเลย
“อยากดูเรื่องไหนล่ะ ผมดูได้หมดแหละ” พี่ติณห์ตอบแค่นั้น คงไม่ได้คิดจะแย้งเรื่องไปดูหนังอีกแล้ว เพราะเขาหันไปตัดโมต่อแล้ว
“ผมไม่รู้เลย.. ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังเรื่องไหนเข้าอยู่บ้าง” นี่ผมห่างหายกับการดูหนังไปมากจริงๆ
“ผมว่าเรื่องนี้น่าสนุก” พี่ติณห์โน้มตัวเข้ามาหาผมก่อนที่จะกดหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“เรื่องเป็นยังไงอ่ะ”
“ก็เป็นผู้หญิงติดเกาะอ่ะ ไม่เชิงเกาะด้วย เหมือนโขดหิน แล้วล้อมรอบก็มีฉลามอยู่” ผมเลิกคิ้ว
“พี่อยากดูมากเลยเหรอ” ถึงกับรู้เรื่องย่อเลยเนี่ย เท่าที่ผมรู้ไอ้คนที่เช็ครอบหนังตลอด และอัพเดตตลอดว่าหนังเรื่องไหนมันเข้าโรงบ้างคือผมนะ
“ไม่ได้มากขนาดนั้น แต่ก็น่าสนใจดี อยากรู้ว่าหนังจะเล่าออกมายังไง เรื่องนี้ก็น่าสนุกนะ” พี่ติณห์ชี้อีกเรื่องหนึ่งในผมดู
“พี่ดูชำนาญนะ”
“เออ ประมาณนั้นแหละ ช่วงหลังๆไม่มีไรทำผมก็ไปดูหนัง”
“จริงดิ ตั้งแต่เมื่อไร” พี่ติณห์บุ้ยปากใส่ผม
“ตั้งแต่ที่ไอ้คนบางคนที่ชอบชวนดูหนังมันบินไปอังกฤษนั้นแหละ” ผมขำทันที
“แถมก่อนไปยังทิ้งตั๋วหนังไว้ให้ด้วย เลยกลายเป็นว่าตอนผมคิดถึงคุณ ผมก็จะออกไปดูหนัง ให้หนังเป็นเพื่อนแทน” ผมยิ้ม
“แล้วพี่ไปดูme before youมาเปล่า” ตั๋วหนังรอบ3ทุ่มใบสุดท้ายที่ผมให้พี่ติณห์ก่อนไปคือเรื่องme before youแน่ๆ เพราะวันที่ผมต้องขึ้นเครื่องผมก็ไปดูรอบ3ทุ่มของวันนั้นมาเหมือนกัน
“ไป แล้วคุณดันให้ตั๋วมาแค่ใบเดียว ไม่คิดจะให้ผมไปกับเพื่อนกับฝูงเลยรึไง” ผมส่ายหัวทันที
“ผมตั้งใจครับ ผมอยากให้พี่ไปคนเดียว ถ้าใครที่ควรไปกับพี่ ก็มีแต่ผมเท่านั้นแหละ”
“จะไปแล้วยังจะเจ้ากี้เจ้าการกับผมอีก” พี่ติณห์บีบจมูกผมเบาๆ
“ผมหวงพี่ ผมผิดด้วยเหรอ” พี่ติณห์หลบสายตาผมเมื่อผมพูดแบบนั้นและยกมือมาเกาแก้มแก้เก้อนิดหน่อย
“สรุปเราดูเรื่องนี้เนอะ” แถมเปลี่ยนเรื่องทันทีเลยครับ
เขินก็บอกว่าเขินไม่ใช่ทำมาเป็นเปลี่ยนเรื่อง
ติ๊งต่อง
ผมกับพี่ติณห์หันไปมองประตูรั้วทันที
“วันนี้วันรับแขกรึไงนะ” พี่ติณห์ยิ้มแหย่ก่อนที่จะแยกออกไปเปิดประตู ทั้งๆที่มันอาจจะเป็นป้าข้างบ้าน ไปรษณีย์ หรือใครก็ได้ แต่ผมก็เลือกที่จะเดินตามพี่ติณห์เพื่อออกไปดูว่าใครมาอยู่ดี
“อะไรของคุณเนี่ย” พี่ติณห์หันมามองหน้าผมอย่างงงๆ เมื่อผมเดินเข้าไปหาเขาแถมยังยกแขนกอดคอและดึงเขาเข้ามาประชิดตัวอีกตั้งหาก
ก็คนที่มามันคือไอ้เด็กนั้นไง
ไอ้เด็กเนฟอ่ะ!
“หวัดดีครับพี่” อย่างน้อยเด็กมันก็มีสัมมาคารวะเหมือนกันนะ
“พี่จะไม่ชวนผมเข้าบ้านหน่อยเหรอ” แต่มันเหมือนแค่ไหว้ผมตามพิธีอ่ะ เพราะพอมันไหว้ผมเสร็จมันก็หันไปพูดกับพี่ติณห์ด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากพูดกับผมชัดๆ
จะเปิดศึกใช่ไหม
ได้!!
“มีธุระอะไร” ผมล็อคตัวพี่ติณห์ไว้เมื่อเขาทำท่าจะเปิดประตูให้เนฟและชิ่งถามออกไปทันที
“ผมผ่านมาแถวนี้เลยซื้อขนมมาฝาก” เนฟตอบและชูขนมในมือให้ดูด้วยว่ามันพูดจริง
“ผ่านมายังไงถึงได้เข้าซอยมาถึงนี่วะ” มันจงใจมาหาพี่ติณห์ชัดๆอ่ะ
“บ้านยายผมอยู่ซอยนี่ จะให้ผมไปซอยไหนล่ะ” มันเลิกคิ้วใส่ผม แต่ไอ้ท่าทางของมันนี้เล่นเอาคิ้วผมกระตุกเลย
“บ้านยายเนฟอยู่ท้ายซอยอ่ะ” พี่ติณห์หันมาอธิบายเพิ่ม ซึ่งไม่ควรอธิบายเพิ่มแทนมันเลยอ่ะ ผมยิ่งหน้าแตกไปใหญ่
“ผมขอโทษล่ะกัน” ผมตอบแค่นั้น หันหลังกลับ และจ้ำอ้าวเข้าบ้านทันที
หงุดหงิดโว้ย
“เนฟซื้อบลูเบอร์รี่ชีสเค้กร้านโปรดคุณมาด้วยแหละ” พี่ติณห์เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับไอ้เนฟในที่สุด และยังชูกล่องกระดาษประจำร้านโปรดของผมให้ดูด้วย
“คนอื่นยังไม่กลับเหรอครับ” เนฟถามขึ้นมา มันไม่เห็นเหรอวะว่าพี่ติณห์เขาคุยกับผมอยู่ (โครตพาลเลยตอนนี้)
“อืม กลับเย็นๆกันอ่ะ” แต่รูปประโยคนั้นของมันก็ทำให้ผมรู้เลยว่าเนฟคงเคยเจอคนในบ้านพี่ติณห์มาแล้ว ก็แน่นอนล่ะ ครั้งล่าสุดที่ผมเจอมัน มันถึงกับมานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวเย็นกับบ้านพี่ติณห์เลยนี้นา
“ผมซื้อโดนัทที่แม่ชอบมาให้ด้วยนะ” มันพูดต่อ
“เออดีเลย แม่ไม่มีขนมปังกินกับกาแฟพอดี” แต่มันจะดูกระหนุงกระหนิงไปป่ะวะ
“ว่างอยู่ใช่ป่ะ” ผมโพล่งออกไปทันที หวังจะให้บทสนทนาจบเร็วๆ ซึ่งพี่ติณห์ก็หันมามองผม เมื่อพี่ติณห์หันมามองผมแล้วไอ้เนฟก็ต้องหันมาด้วย
“ผมเหรอ?” เนฟถามและเลิกคิ้ว
“กูคงคุยกับบลูเบอร์รี่ชีสเค้กมั้ง” ผมแน่ใจมากว่าได้ยินพี่ติณห์ขำ
“มาช่วยตัดโมหน่อย” ผมไม่สนใจเสียงขำของพี่ติณห์และพูดต่อออกไปทันที
“ครับ” ผมพูดขนาดนี้ถ้ามันไม่ช่วยผมก็จะไปลากคอมันให้ช่วยอยู่ดี
“ผมเอาของไปเก็บก่อนนะ” พี่ติณห์พูดจบก็เดินเข้าห้องครัวไป
ผมควรฆ่ามันตอนนี้เลยดีไหม
“รู้จักกูไหม” ผมถามมันออกไป
“พี่วาไง” เนฟตอบโดยที่ยังคงตัดโมตามที่ผมสั่งอยู่
“แล้วรู้เรื่องกูกับพี่ติณห์ไหม” ผมถามต่อ
“รู้”
“รู้ว่าไร”
“พวกพี่เคยคบกัน” มันตอบพร้อมกับเงยหน้ามามองผม
“อัพเดตข่าวใหม่ด้วยนะ ไม่ใช่แค่เคยเว้ย ตอนนี้กลับมาคบกันแล้ว” เนฟมองหน้าผมนิ่งๆก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“อ้อครับ” แค่นี้เหรอวะ
“รู้แล้วก็เลิกมายุ่งวุ่นวายกับพี่ติณห์ได้ล่ะ” ผมเริ่มควบคุมน้ำเสียงไม่ให้แสดงความไม่พอใจออกไปไม่ได้ล่ะนะ
“ผมยุ่งวุ่นวายตรงไหน ผมก็แค่ทำเหมือนที่เคยทำ”
“เหมือนที่เคยทำ? จีบพี่ติณห์อ่ะนะ แต่เขามีแฟนแล้วนะ” เนฟเงยหน้ามามองผม มันส่ายหัวหน่ายๆก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
“ถามจริง พี่หึงผมกับพี่ติณห์เนี่ยนะ”
“เออดิ! ก็มึงไม่บริสุทธิ์ใจอ่ะ”
“ผมชอบพี่ติณห์นะ แต่ก็ไม่ได้คิดถึงกับจะแย่งคนมีเจ้าของแล้วหรอก” ทำไมหัวผมถึงรีเพลย์ซ้ำแค่คำว่าผมชอบพี่ติณห์นะ
“และพี่ติณห์ก็ไม่ได้พึ่งมีเจ้าของ เขามีเจ้าของมานานแล้ว และเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้ผมสักครั้ง ผมก็แค่ดันทุรังไปงั้น ยิ่งพี่กลับมาแบบนี้ผมก็รู้แล้วล่ะว่าพี่ต้องดีกันแล้ว และผมก็หมา” มันพูดไปเรื่อยๆแถมยังไหวไหล่แบบไม่ซีเรียสนัก
“ผมก็แค่แวะมาหา แวะมาพูดคุยในฐานะรุ่นน้อง พี่คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“..เพราะผมก็ถือเป็นรุ่นน้องพี่ด้วย” ผมถึงกับหุบปากที่กำลังจะเถียงทันที เนฟยิ้มบางๆให้ผม มันดูเป็นยิ้มที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรหรอก เหมือนแค่อยากจะยืนยันว่ามันพูดจริงๆ ในจังหวะที่ผมกับเนฟยังคงจ้องตากันอยู่ พี่ติณห์ก็กลับมาที่โต๊ะพร้อมกับจานบลูเบอร์รี่ชีสเค้กและส้อม2อัน
“เรื่องพี่ติณห์ผมทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้วแหละ และพี่ติณห์ก็พูดย้ำตั้งไม่รู้กี่ครั้งว่าไม่ได้คิดอะไรกับผม แต่ผมก็แค่อาศัยตอนที่พี่เขายังว่างๆขอแทะโลมสักนิดสักหน่อยเท่านั้นเอง” เนฟพูดต่อ คราวนี้มันพูดโดยมองพี่ติณห์ไปด้วย
“พอล่ะเนฟ กวนตีนวามันทำไมเนี่ย” พี่ติณห์บ่นก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งข้างผม นี่ดีนะที่พี่ติณห์เซนส์ดีพอที่จะนั่งข้างผม ถ้าเขานั่งข้างไอ้เนฟผมจะกัดคอให้
“เนฟมันนับถือคุณเป็นไอดอลเลยนะ” อยู่ๆพี่ติณห์ก็หันมาหาผมและพูดขึ้น
“ฮะ? ผมเนี่ยนะ”
“อ่าฮะ เนฟก็อยากได้ทุนไปAFUเหมือนกัน คุณเลยเป็นไอดอลมันไง”
“เว่อร์ไปพี่ติณห์ ผมก็แค่ยอมรับว่าพี่เขาเก่งจริงเฉยๆ ไม่ได้ยกเป็นไอดอลอะไรสักหน่อย” เนฟรีบพูดขัดออกมา
“ให้มันจริง ตอนมึงเข้ามาทักกูครั้งแรกก็เพราะรู้เรื่องที่กูกับวาเคยคบกันไม่ใช่เหรอ แล้วเรื่องจีบกูค่อยตามมาทีหลังด้วยซ้ำเหอะ” พี่ติณห์พูดต่อ
“ถ้ายกให้กูเป็นไอดอลก็ไม่ควรจีบแฟนกูป่ะวะ” ผมแว้ดออกไปทันที
“โหยพี่ เรื่องชื่นชมมันก็ส่วนชื่นชม เรื่องพี่ติณห์มันก็อีกเรื่องหนึ่งแถมตอนนั้นพวกพี่ก็เลิกกันแล้วด้วย แยกแยะหน่อยดิ” มือผมนี่ถึงกับลั่นไปตบหัวมันเลยครับ
“แยกกบาลมึงอ่ะ” พี่ติณห์ระเบิดเสียงขำออกมาทันที
“ผมถือว่าจีบติดก็กำไร ไม่ติดก็เท่าทุนแค่นั้นแหละ” เนฟลูบหัวปอยๆและบ่นกลับมา
“มึงจะไม่ได้ทั้งกำไรและเท่าทุน แถมจะขาดทุนด้วย” ผมตอบมันกลับไป
“เอาน่า ถือว่าเคลียร์เรื่องเนฟล่ะนะ ผมไม่ได้คิดอะไรกับเนฟ และเนฟก็จะไม่จีบผมแล้ว..ใช่ป่ะ” ท้ายประโยคพี่ติณห์หันไปถามเนฟ
“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบแย่งคนมีเจ้าของ” มันตอบกลับมาแบบนั้น ส่งผลให้ผมยกนิ้วไปชี้หน้ามันทันที
“อย่าให้กูรู้ว่ามึงยังจีบพี่ติณห์อยู่นะ กูจะให้AFUแบนชื่อมึง”
“โหยยยยเล่นถึงอนาคตเลยเหรอ” เนฟโอดครวญออกมาอีกสักพัก แต่ทั้งๆที่เราคุยกันไปทำโมไป งานในส่วนที่ผมโยนให้เนฟทำก็เสร็จไปเยอะ จนผมยอมรับในความรวดเร็วของมันจริงๆ และงานที่ออกมาก็ไม่ใช่งานชุ่ยๆด้วย พูดง่ายๆก็คือเป็นคนทำงานเร็วอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นผลดีมากในอนาคตต่อตัวมันเองนั้นแหละ
ตั้งแต่ที่ผมรู้ว่าเนฟเป็นรุ่นน้องรุ่น101 ผมก็ไม่อยากจะจงเกลียดจงชังอะไรมันมากนักเพราะยังไงก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน และพอมารู้ว่ามันเป็นน้องรหัสพิ้งค์ ผมก็เกลียดมันไม่ลงไปอีก จนวันนี้มันรับปากว่าจะไม่จีบพี่ติณห์แล้ว แถมยังยกให้ผมเป็นไอดอลขนาดนั้น ผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องโกรธเกลียดมันหรอกครับ
“มึงอยากได้ทุนไปเรียนที่AFUจริงป่ะวะ” เมื่อผมถามแบบนั้น เนฟก็หันมามองผมและผมรู้สึกเหมือนเห็นเปลวไฟที่ลุกโชนออกมาจากแววตามันเลย
“จริงดิพี่!” มันตอบเสียงหนักแน่น
“ถ้าอยากไปจริงๆ..กูจะบอกเทคนิคให้”
ยังไงมันก็รุ่นน้องนี้นะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนต่อไปจะเป็นตอนสุดท้ายของภาคย่อย1ล่ะนะ หรือก็คือบทสุดท้ายจริงๆแล้วที่จะอัพลงเว็บให้อ่านกันฟรีๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ฝากอุดหนุนภาคย่อยที่ขายด้วยนาา สำหรับภาคย่อย2จะเป็นเนื้อเรื่องหลังจากวาเรียนจบแล้ว เป็นก้าวแรกในการทำงานของวา และติณห์ก็เริ่มก้าวใหม่โดยการเปิดบริษัทกับเต็นท์อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก แต่ก็รู้กันใช่ไหมว่าก้าวแรกมักยากเสมอ ยังไงก็ฝากให้กำลังใจติณห์และวาด้วยนะ ส่วนภาคย่อย3ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องของพาร์ทหรือเรื่องรีโนเวทบ้านติณห์ดี เพราะไม่รู้ว่าทุกคนอยากอ่านเรื่องของพาร์ทกันไหมอ่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
เจอกันวันอังคารค่าา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

669 ความคิดเห็น
-
#605 เจ้าชายสีเทา (จากตอนที่ 49)วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 / 22:55ชอบตอนวาหึงอ่ะ#6050
-
#497 subtle'z (จากตอนที่ 49)วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 / 21:35อ่ะแหนะวา มีบ่งมีบอกเทคนิคน้าา~#4970
-
#496 mangpor43 (จากตอนที่ 49)วันที่ 3 กรกฎาคม 2559 / 21:05555556 หนุกๆๆๆ#4960
-
#495 D A R K . (จากตอนที่ 49)วันที่ 3 กรกฎาคม 2559 / 19:45ขำตอนวาตบหัวเนฟ 55555555 เราอยากอ่านภาคย่อยของพาร์ทนะคะ เราอยากรู้ว่าพาร์ทเป็นยังไงต่อไป ^^#4950
-
#494 Helena Kadian (จากตอนที่ 49)วันที่ 3 กรกฎาคม 2559 / 19:36รออยู่สัมเม่ออออ#4940
-
#493 เกริด้า(๐-*-๐)v (จากตอนที่ 49)วันที่ 3 กรกฎาคม 2559 / 19:31อยากอ่านทุกช่วงทุกตอนค่ะ! แต่อย่าดราม่าเกินไปก็พอ ไม่ชอบอะไรที่ปวดใจมากมายน่ะค่ะ และ... ขอe-bookเถอะน๊าาาาาาาาาาาาาาา *ส่งสายตาปิ๊งๆๆ* / อยากรู้ว่ารูปนั้นในวันงานรับปริญญาของพี่ตินตินใช่วาวาดรึเปล่าอ่ะคะ?#4931
-
#492 Gen_Bear (จากตอนที่ 49)วันที่ 3 กรกฎาคม 2559 / 18:46พาร์ททททททททททททท#4920