ตอนที่ 48 : specify; 1-4 to kiss and make up with
1-4
“จะไปแล้วเหรอวา” ผมชะงักมือที่กำลังตรวจเช็คข้าวของอีกครั้งเป็นพี่ติณห์ที่ตอนนี้ผุดลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาและพูดกับผมด้วยเสียงงัวเงียสุดๆ
“ครับ” พี่ติณห์ยังคงขยี้ตาอยู่สักพัก
“กี่โมงล่ะอ่ะ”
“8โมงเอง พี่นอนต่อเหอะ” วันอาทิตย์นี่ใครเขาตื่นเช้ากันครับ
ยกเว้นคนมีงานต้องทำแบบผมไง
“ให้ไปส่งไหม” พี่ติณห์ยังคงถามต่อ ผมยิ้มก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าเขา
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองได้ นอนต่อเถอะนะ” ผมเลื่อนมือไปลูบหัวพี่ติณห์เบาๆ รู้สึกเอาเปรียบเขาชะมัดเลยแหะ นี่สองวันติดแล้วที่เรามีอะไรกัน (เมื่อคืนเราเปลี่ยนบรรยากาศเป็นในห้องน้ำและเปิดน้ำเสียงดังๆตามที่เฮียบอกครับ) ผมพอจะรู้อยู่บ้างนะว่ามันค่อนข้างสูบพลังงานเลย โดยเฉพาะฝ่ายรับอย่างพี่ติณห์ แถมเมื่อเช้ามืดผมก็ตื่นขึ้นมาทำงานต่อด้วย ไม่รู้มันรบกวนการนอนของพี่ติณห์รึเปล่า (แม้ผมจะลงทุนออกไปนั่งทำนอกระเบียงก็ตาม)
“กลับกี่โมง” พี่ติณห์ถามขึ้นมาอีก
“เย็นๆแหละ ผมจะออกไปดูสถานที่ด้วย” พี่ติณห์บุ้ยปาก
“เหรอ..”
“ทำไมอ่ะ มีไรเปล่า” พอจะรู้ล่ะครับว่าถามเกริ่นมาแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ
“เห็นคุณบอกว่าอยากกินต้มยำกุ้ง” ผมยิ้มกว้างทันที ขนาดผมแค่บ่นเฉยๆนะพี่ติณห์ยังจำได้อีก
“พี่จะทำให้ผมกินเหรอ” พี่ติณห์ส่ายหัว
“ทำเป็นที่ไหนเล่า แต่จะบอกแม่ให้นะ อาจต้องส่งแม่ไปซื้อของด้วย ถ้าคุณกลับเร็ว..จะได้ไปด้วยกัน” น่าร้ากกกกก
“ผมไม่แน่ใจเวลาเลยอ่ะ..” ถึงแม้อยากจะไปซื้อของด้วยขนาดไหนแต่ถ้างานยังไม่เสร็จผมก็คงจะกลับมาไม่ได้อยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมไปซื้อกับแม่ก็ได้ คุณน่าจะกลับมาทันมื้อเย็นใช่ไหม” จริงๆก็ไม่รู้อ่ะ...
“ผม..คิดว่านะ” ผมยิ้มแหย่ทันที จะให้ปฏิเสธว่ากลับมาไม่ทันก็กลัวพี่ติณห์เสียความรู้สึก
“ถ้ากลับไม่ทั..”
“ทัน ผมจะกลับให้ทันนะ” ผมพูดแทรกออกไป ลูบแก้มพี่ติณห์เบาๆก่อนที่จะระบายยิ้มให้เขา
“โอเค” ผมยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อพี่ติณห์รับคำ ขยับเข้าไปใกล้และกดจูบที่หน้าผากมน
“ผมจะรีบกลับนะครับ”
“โอเคนะ ฉันชอบเลยแหละ” ผมยิ้มรับ
“ถ้าคุณมินชอบก็ดีแล้วครับ” คุณมินเลื่อนแบบบ้าน3Dในโน๊ตบุ๊คผมดูอีกสักพัก ส่วนผมก็กระชับดินสอในมือ
“แต่ตรงบ่อปลา.. อยากให้มันเป็นแบบโค้งๆอ่ะ” นั่นไง... ผมว่าแล้ววววว
“อ้อ ได้ครับ เดี๋ยวผมแก้ให้นะ” ผมจดคำว่าบ่อปลาลงในสมุด
“แล้วก็ห้องฟิตเนสด้วยจ๊ะ” หลังจากนั้นก็มีอีก3-4ที่ต่อมาที่คุณมินอยากให้ผมนำไปแก้ จะบอกให้ว่าคำว่าฉันชอบนะของลูกค้าเนี่ย มักจะเป็นคำขึ้นประโยคของการสั่งแก้เสมอแหละ
“อีก2วันผมจะส่งแบบที่แก้แล้วมาให้ดูนะครับ” คุณมินวนดูทั้งหมดซ้ำอีกครั้งก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“โอเคเลยจ๊ะ งั้นเดี๋ยวเราไปดูสถานที่เลยไหม”
“ได้ครับ” วันนี้คุณมินจะลากผมไปดูที่ที่เขาตั้งใจจะสร้างบ้านด้วยนะครับ เผื่อจะช่วยให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้น
“เออวา ดื่มน้ำอะไรไหม” คุณมินถามขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังเก็บโน๊ตบุ๊คใส่กระเป๋า
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบ และหันไปยิ้มบางๆให้คุณเลขาที่พึ่งเดินเข้ามา
“ไม่เป็นไรได้ไงล่ะ นั่งคุยกันมาตั้งนานคอแห้งแย่แล้ว สั่งได้เลยจ๊ะ” เธอว่างั้นและพยักพเยิดไปทางคุณเลขาเป็นเชิงบอกว่าให้สั่งเลขาเธอได้เลย
“ผมเอาอเมริกาโน่ล่ะกันครับ” ผมไม่สามารถปฏิเสธคุณมินได้เลยจริงๆครับ คุณเลขายิ้มรับก่อนที่จะเดินออกไป
“ยังเด็กอยู่เลยกินอเมริกาโน่แล้วเหรอ”
“ผมง่วงนะครับ” ผมตอบออกไปตามตรง ถ้าเป็นปกติผมคงสั่งพวกน้ำแดงหรือคาราเมลมัคคิอาโต้ที่ไม่ได้มีคาเฟอีนมากมายอะไร แต่การตื่นมาทำงานตั้งแต่ตี4 ทั้งๆที่เสร็จกิจตอนตี2นี่เล่นเอาผมเพลียอยู่ระดับหนึ่งเลย
“ไม่ได้นอนเพราะบ้านฉัน หรือเพราะอย่างอื่นล่ะ” เธอพูดจบก็หลิ่วตาใส่ผมด้วย
“ทั้งสองอย่างแหละครับ” เธอขำทันที เพราะคุยงานกันตั้ง2-3ครั้งแล้ว คงไม่แปลกที่เราจะเริ่มสนิทและหยอกล้อกันบ้าง อย่างตอนนี้เธอก็เดินมากอดคอผมและเดินออกไปพร้อมกับผมล่ะครับ
“นึกว่าจะมีแฟนเป็นฝรั่งนมใหญ่ๆซะอีก” ผมขำ
“ไม่ใกล้เลยครับ” ไม่เลยสักนิดด้วย
“คุณมินตราคะ รบกวนเซ็นต์..” คุณมินปล่อยคอผมและหันไปรับปากกาจากพี่พนักงานคนหนึ่งมา เซ็นต์อย่างรวดเร็วและคว้าแขนผมไปควงแทน
“แฟนเธอต้องลุคไหนอ่ะ แบ๊วๆเหรอ” พี่ติณห์ก็ไม่ใกล้คำว่าแบ๊วนะ
“ไม่แบ๊วนะ” เธอเลิกคิ้วใส่ผม
“พวกฮิปเตอร์เหรอ” ฮิปเตอร์นี่มันเป็นยังไงวะ..
“ประมาณนั้นมั้งครับ” ถ้าถ่ายรูปแนวๆ สะพายกล้อง พี่ติณห์ก็มีส่วนนะ
“ฉันเก่งไหมล่ะ” เธอดูจะดีใจมากที่ทายถูก จังหวะนั้นคุณเลขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับอเมริกาโน่และลาเต้อย่างล่ะแก้วในมือ
“ขอบคุณครับ” ผมพูดขอบคุณคุณเลขาขณะรับแก้วน้ำมา ส่วนคุณมินก็ควงแขนผมออกมาเมื่อผมรับแก้วน้ำมาแล้ว
“ฉันเดาเลยว่าเธอต้องชอบทำเลเรือนหอฉันมากแน่ๆ” คุณมินยังคงชวนคุยอย่างต่อเนื่องแม้เราจะขึ้นมานั่งบนรถแล้ว
“ผมก็หวังว่าผมจะชอบนะครับ”
“ชอบแน่นอนวา! เชื่อเซนส์ฉันสิ” ผมขำ
“เออนี่..เธอมีแฟนแล้วฉันก็แอบเสียดายนะ” อยู่ๆคุณมินก็พูดขึ้นมาพร้อมเท้าคางมองหน้าผมด้วยครับ
“ทำไมล่ะครับ”
“เธอนะสเปคฉันเลยนะวา” ผมขำอีกครั้ง
“ขำทำไมมม ฉันพูดจริงๆนะ” เธอทำปากยื่นอย่างไม่พอใจที่ผมหัวเราะ
“ผมแค่มีแฟนนะครับ แต่คุณมินมีสามีล่ะนะ” เธอเชิดหน้าใส่ผมทันที
“ย่ะ! ทำไมฉันเต๊าะเด็กไม่ได้เลยเนี่ยยยย ฉันใช้ทุนให้เธอได้สบายๆเลย เธอรู้ใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับ คุณมินน่ะรวยจะตาย แถมถ้าจำไม่ผิด สามีเธอก็เป็นถึงเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังเลยนะ แต่งงานกันแล้วก็คงยิ่งทวีความร่ำรวยไปใหญ่
“แต่ถ้าสามีคุณมินรู้ว่าผมตรงสเปคคุณพอดีเนี่ย ผมอาจจะหมดอนาคตทางการศึกษาเลยนะครับ” เธอกลอกตาทันที
“ให้สามีฉันรู้เถอะ ไม่เห็นจะสนใจอะไรสักอย่าง..แม้กระทั่งให้ออกความคิดเห็นเรื่องเรือนหอยังไม่สนใจเลย” ผมชะงักทันที รู้สึกอยากย้อนเวลาไปลบประโยคล่าสุดออก ถ้าคุณมินกับสามีเขาทะเลาะกันขึ้นมาและไม่จ้างผมต่อนี่แย่เลยนะ
แค่ปัญหาที่ยังไม่ได้เคลียร์ที่AFUก็มากพอแล้ว อย่าพึ่งเพิ่มปัญหาให้ผมเลย
“เขาคงอยากตามใจคุณมินนั้นแหละครับ” ผมพยายามพูดในแง่ดี
“ไม่รู้สิ ปกติเขาเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการนะ มายอมฉันง่ายๆก็แปลกชอบกล” เธอไหวไหล่
“..แต่ก็เอาเถอะ ไม่ขัดก็ดีล่ะ เดี๋ยวฉันจะติดwallpaperห้องนอนให้เป็นสโนไวท์ให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีไหม” เธอถามติดตลก ก่อนที่จะชวนคุยเรื่องสัพเพเหระต่อไป ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ (นานกว่าที่ผมคิดอีก) เราก็มาถึงทำเลที่คุณมินบอก ซึ่งตอนนี้มันเป็นเพียงพื้นดินโล่งๆเท่านั้น
ก็แน่ล่ะ บ้านยังโดนแก้แบบอยู่เลย
“มันร้อน” ผมชะงักเมื่อคุณมินใส่หมวกให้ผม แต่สุดท้ายก็หันไปยิ้มบางๆให้เธอ
“เป็นไง เจ๋งป่ะล่ะ” เธอถามในขณะที่เดินนำไปก่อน เมื่อผมเดินตามเธอไป ผมถึงได้เห็นว่ามีทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอยู่
“เมื่อก่อนตรงนี้เขาเลี้ยงม้ากันอ่ะ ที่ฉันมาซื้อแถวนี้ก็เผื่อจะได้เลี้ยงม้านี่แหละ”
“อ้อ” ผมตอบรับก่อนที่จะมองพื้นที่ตรงหน้าอีกครั้ง
เพราะอยู่ชานเมืองด้วยมั้ง ลมถึงได้พัดเย็นสบาย ยิ่งมีพื้นที่โล่งน่าวิ่งเล่นแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งทำให้บรรยากาศดูดีเข้าไปใหญ่ บวกกับถ้ามีม้าแบบที่คุณมินบอกเพิ่มเข้ามาด้วยนะ
“คุณพูดถูก ผมชอบที่นี่จริงๆแหละ” คุณมินหันมายิ้มให้ผม
“ชอบจริงรึเปล่า ตรงฝั่งนู้นฉันก็ซื้อไว้นะ แต่ไม่ได้ใช้ทำอะไร ขายให้ได้นะ” เธอบอกพร้อมชี้มือไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่ค่อนข้างไกลเลยแหละ นี่เหมาพื้นที่กว้างโครตๆขนาดนี้ในกรุงเทพได้ต้องจ่ายเท่าไหร่วะเนี่ยยยย
“ผมไม่มีตังหรอกครับ” เธอขำ
“ผ่อนเอาก็ได้ ไม่คิดดอกเบี้ยหรอก”
“ผมขอคิดดูก่อนล่ะกันนะครับ” เธอพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าตัวบ้านเราต้องหันหน้าไปทางนี้” ผมกลับมาพูดเรื่องบ้านอีกครั้ง
“ทำไมอ่ะ” คุณมินถามและหันไปทางที่ผมชี้
“ทิศทางลมนะครับ ถ้าหันทางนี้ลมก็จะพัดผ่านเข้าบ้านตลอดเวลา” เธอพยักหน้ารับงึกงักอย่างสนใจ ผมจึงพูดขยายต่อไปอีก
“แล้วสวนก็อยู่ตรงนี้..” ผมเริ่มร่ายห้องต่างๆและพื้นที่บริเวณรอบๆให้คุณมินฟัง
“จะบอกว่าแถวนี้มีร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยมาก! กินเป็นเพื่อนฉันก่อนเนอะ” เราใช้เวลาดูพื้นที่สักพักก่อนที่คุณมินจะพูดขึ้น
“ผมขัดอะไรได้ด้วยเหรอครับ” เธอขำทันที
“รู้ก็ดีล่ะเด็กน้อย” เธอยื่นมือก็หยิกแก้มผมเบาๆ
“นี่ฉันเอ็นดูเธอมากจนอยากรับมาเป็นลูกบุญธรรมแล้วนะ” ผมส่ายหัวพรืดทันที
“มีแม่คนเดียวผมก็แทบจะไม่ได้ดูแลแล้วอย่าเพิ่มแม่ให้ผมเลยครับ” เมื่อผมพูดจบเธอก็ระเบิดเสียงขำออกมาทันที ก่อนที่เราจะขึ้นมานั่งบนรถอีกครั้งในที่สุด
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี คุณลุงคนขับรถก็กำลังขับไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่คุณมินบอก
Rrrrrrr
‘ฮัลโหล’ ผมเบือนสายตาหนี พยายามจะไม่แสดงท่าทีตั้งใจฟังคุณมินคุยโทรศัพท์มากเกินไป แต่เธอก็พูดด้วยเสียงปกติโดยไม่ได้เกรงกลัวว่าผมจะได้ยินเลยครับ
‘ทำงานกันไม่เป็นรึไง สั่งตอนนี้จะเอาเดี๋ยวนี้มันได้ที่ไหน’ ผมไม่ได้ตั้งใจแอบฟังจริงๆนะ
‘รอไปก่อนล่ะกัน ฉันจะไปกินข้าวก่อน’ คุณมินวางสายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนักก่อนที่เธอจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ตามมาอีกที
“วา”
“ครับ?” ผมเลิกคิ้วใส่เธอ
“วันนี้เธอว่างไหม” ผมชะงัก
“ทำไมเหรอครับ”
“ไปหาแม่ฉันหน่อย”
“ครับ?” ผมยังคงเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“พอดีแม่ฉันเขาอยากคุยเรื่องบ้านนะ เธอไปคุยกับเขาวันนี้เลย จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาอีก นี่เลขาฉันก็พึ่งโทรมาบอกให้เข้าประชุมด่วน เดี๋ยวเธอไปคุยกับแม่ฉันและฉันก็จะกลับไปประชุมต่อ” ผมยังคงนิ่งอย่างคนตามเรื่องไม่ทัน
“แล้วถ้าประชุมเสร็จ เดี๋ยวฉันไปรับเธอ แถมส่งกลับบ้านให้ด้วย”
“เอ่อ..” เธอยังคงจ้องมาที่ผมอย่างรอคำตอบ
“...ผมขัดอะไรได้ด้วยเหรอครับ”
ถ้าความรู้สึกผิดมันอยู่ในสถานะของเหลวคงจะท่วมท้นร่างผม จนเอ่อล้นออกมาแล้วแน่ๆ
ผมสาวเท้าวิ่งให้เร็วขึ้นไปอีก ผมละไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าผมจะติดนานอยู่บนถนนกว่า3ชั่วโมง ทั้งๆที่เดินทางแค่ในกรุงเทพแท้ๆนะ และบวกกับคุณมินมารับก็เย็นจะแย่แล้ว กว่าจะฝ่าวิกฤตรถติดมาได้อีก ผมก็มาถึงบ้านเอาตอน4ทุ่มเลย
ผิดแผนไปหมดเลยโว้ยยย
ถึงผมจะโทรบอกพี่ติณห์ตั้งแต่ตอนเย็นๆแล้วว่าคงกลับช้าหน่อย แต่นี่มันไม่ใช่แค่ช้าหน่อยอ่ะ นี่มันช้ามากกกก แค่คิดว่าตกลงอะไรกับพี่ติณห์ไว้ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าควรสาวเท้าให้วิ่งไปถึงเร็วๆ หรือเดินช้าๆและคิดหาคำแก้ตัวดีๆสักคำดี
แต่ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดถูกไหม
ผมจับรั้วบ้านเพื่อเป็นหลักยึดร่างกายไว้ นี่ผมวิ่งตั้งแต่ปากซอยบ้านพี่ติณห์มาอ่ะ โครตเหนื่อยเลย หลังจากหอบหายใจสักพัก ผมก็กำลังจะเอื้อมมือไปกดออด ถ้ารั้วที่จับอยู่ไม่เปิดออกตามแรงดัน
ประตูรั้วไม่ได้ปิด
ผมตบหน้าผากตัวเองดังป้าบทันที พี่ติณห์ต้องบอกให้เปิดไว้แน่ เพราะเขารู้ว่าผมจะกลับมา และเขาก็ตั้งใจเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ด้วย
แต่ผมก็ทำมันพังหมด
ผมพึ่งคบกับเขาได้2วันเองนะเว้ย ฟ้าปราณีชีวิตคู่ของผมหน่อยเถอะ
ผมลากขาหนักๆเข้ามาในบ้านได้ในที่สุด ประตูบ้านก็ไม่ได้ล็อคไว้ครับ หลังจากผมเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ก็พบกับแสงไฟเพียงดวงเดียวที่เปิดอยู่ มีคนๆหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา สายตาจับจ้องไปที่โทรทัศน์
แม้โทรทัศน์จะไม่ได้เปิดก็เถอะ
“พี่ติณห์” ผมพูดออกไปทันที อย่างน้อยชิ่งพูดก่อน ชิ่งอธิบายก่อนอาจจะดีกว่า
“ผมไปคุ..”
“กินอะไรมารึยัง” พี่ติณห์ยืนขึ้นและหันมาถามผม
“ผมกินมาแล้ว...” มันช่วยไม่ได้อ่ะ แม่คุณมินเขาชวนกิน ผมจะปฏิเสธได้ไง
“งั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำนอนได้แล้ว” พี่ติณห์พูดจบก็หมุนตัวกลับและตั้งท่าจะเดินขึ้นชั้นสองไปในทันที แต่แววตาที่นิ่งเฉยและท่าทางแบบนั้นของพี่ติณห์ก็ทำให้ผมรีบวิ่งไปคว้ามือเขาไว้
“แต่ผมหิวอีกแล้วอ่ะ” ผมไม่รู้ว่ามันช่วยอะไรไหม แต่พี่ติณห์ก็ยอมหยุดเดินนะ
“เดี๋ยวผมอุ่นต้มยำกุ้งให้ล่ะกัน” พี่ติณห์พูดแค่นั้นและเดินนำเข้าไปในครัว เขาดึงมือออกจากมือผมด้วยแหละ!
งานยากเลยไอ้วา
ผมเสยผมลวกๆก่อนที่จะเดินตามพี่ติณห์เข้าไปในครัว ซึ่งเขาก็กำลังเปิดแก๊สและเอาหม้อออกมาตั้ง
งอนแบบงอนหนักมาก ผมต้องรีบคิดวิธีง้อล่ะ
แต่ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่คนที่จะง้อใครซะด้วย ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ง้อพี่ติณห์นะ ผมต้องง้อเมียผมอยู่แล้ว แต่ผมแทบจะไม่เคยง้อใครเลยไง ดังนั้นผมเลยไม่มีวิธีง้อดีๆเลยสักวิธี เพราะแบบนั้นผมจึงทำได้เพียงแค่เกาหัวและยืนมองแผ่นหลังของพี่ติณห์แบบนั้น แต่ขืนปล่อยไว้แบบนี้ คืนนี้พี่ติณห์ไม่ให้นอนกอดแน่ๆ
“งอนผมเหรอ” ผมเลื่อนมือไปสวมกอดเอวพี่ติณห์ไว้ ก่อนที่จะขยับเข้าไปกอดหลังเขาไว้ในอ้อมแขน และเกยคางลงบนไหล่ของพี่ติณห์
“คุณจะบ้าเหรอ งอนเงินอะไรเล่า” พี่ติณห์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อโดนผมกอดซ้อนหลังแบบนี้ เมื่อตั้งสติได้ก็พยายามจะดันผมออกทันที
“ไม่งอนแล้วไอ้ท่าทางเมินเฉยผมคืออะไร” แต่ผมไม่ปล่อยให้พี่ติณห์ดิ้นหลุดง่ายๆผมยังคงกอดเอาไว้แบบนั้นแหละแถมกระชับให้แน่นขึ้นด้วย
“ผมเมินเฉยคุณตรงไหน ยังมาอุ่นต้มยำกุ้งให้คุณอยู่เลยเนี่ยยย” พี่ติณห์เลิกพยายามจะดิ้นออกจากอ้อมแขนผมแล้ว (คงคิดขึ้นมาได้ว่าไม่มีประโยชน์)
“แต่พี่ยังไม่มองตาผมเลยนะ” พี่ติณห์ชะงักก่อนที่จะหันหน้ามาหาผม
“มองอยู่นี้ไง” พี่ติณห์พึมพำกลับมาเบาๆ ผมปล่อยให้เรายืนสบตากันแบบนั้น รู้สึกได้เลยว่าหัวใจกำลังเต้นรัวเร็วขึ้น พอเป็นพี่ติณห์นะ หัวใจผมโครตตอบสนอง และมันก็กำลังตอบสนองมาก จนผมเกรงว่าพี่ติณห์ที่แผ่นหลังชิดอกผมแบบนี้จะได้ยิน แต่ก็ชั่งมันเถอะครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังขยับเข้าไปใกล้ และกดริมฝีปากลงที่ริมฝีปากที่คุ้นเคยของคนตรงหน้า ขบเม้นริมฝีปากบนและล่างสลับกันอย่างออดอ้อน ก่อนที่จะผละออกมา
“ผมขอโทษนะครับ” ผมพูดขอโทษออกไปก่อนในจังหวะที่พี่ติณห์ยังอยู่ในภวังค์
“อือ คราวหลังถ้าจะกลับดึกขนาดนี้ก็บอก ปล่อยให้รอเก้ออยู่ได้” เขาเบ้ปากและทุบแขนผมเบาๆ ใบหูที่แดงเถือกไปแล้วเรียบร้อย
ผมง้อสำเร็จแล้วถูกไหม
“ผมไม่รู้จริงๆว่ามันจะช้าขนาดนี้นี่นา แต่เดี๋ยวผมชดเชยให้วันพรุ่งนี้นะ” ผมถูคางกับไหล่พี่ติณห์เบาๆ ยังคงงัดลูกอ้อนออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง
“ชดเชยยังไง” พี่ติณห์หันมามองผมและเลิกคิ้ว
“พรุ่งนี้ผมว่าง เดี๋ยวอยู่ด้วยทั้งวันเลย” ปกติผมจะเข้าไปคุยงานกับคุณมินวันเว้นวัน และพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดของผม และแบบที่ต้องแก้ก็ไม่ได้มากมายอะไร ทำคืนนี้ให้เสร็จไปเลยก็น่าจะได้ พรุ่งนี้ผมจะได้ว่างและอยู่กับพี่ติณห์ทั้งวันไง
“พูดจริงป่ะเนี่ย” พี่ติณห์หลิ่วตา
“จริงงง ผมยกเวลาพรุ่งนี้ของผมให้พี่ทั้งวันเลย” ผมตอบ ยิ้มหวานให้เขา ก่อนที่จะชิ่งหอมแก้มขาวๆนั้นไปฟอดใหญ่
“วา!” พี่ติณห์ตีแขนผมทันที หันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี มันเป็นท่าทางเคอะเขินของพี่ติณห์ที่โครตน่ารักเลยสำหรับผม ดังนั้นแม้จะแสบๆนิดหน่อยบริเวณที่พี่ติณห์ตีผมก็ยังคงกอดเขาไว้แบบนั้น
“ปล่อยได้แล้วววว” พี่ติณห์หันมาบ่นผมนิดหน่อย
“พี่พูดว่ายกโทษให้ผมก่อนดิ” ผมซบหัวลงบนไหล่พี่ติณห์ โดยปล่อยให้จมูกละอยู่ที่ต้นคอของฝ่ายนั้น
“โอเคๆๆ ผมยกโทษให้ล่ะ” พี่ติณห์ที่เบือนตัวหลบได้ไม่มากนักรีบพูดออกมา ก่อนที่จะดันหัวผมขึ้น
“ไม่หิวแล้วรึไง” พี่ติณห์ถาม เขาบีบจมูกผมเบาๆ เหมือนกำลังหมั่นเขี้ยวผมนั้นแหละ
“หิวอย่างอื่นแล้วอ่ะ” คราวนี้พี่ติณห์หยิกแขนผมเต็มแรงจนผมต้องปล่อยเอวเขาทันที
“โอ้ย! พี่หยิกผมทำไมเนี่ยยย” ผมลูบแขนตัวเองปอยๆทันที
“เผื่อความหื่นมันจะลดลงบ้าง” เขาแลบลิ้นใส่ผมและหันไปยกหม้อต้มยำกุ้งที่กลับมาร้อนเหมือนเดิมไปวางไว้บนโต๊ะ กลิ่นหอมที่ผมโครตคิดถึงโชยขึ้นมาทันที ผมชอบกินต้มยำกุ้งมากเลยนะ อยู่ที่นู้นมันอาจจะมีให้กินบ้าง แต่ก็ไม่ได้รสชาติจัดจ้านแบบที่ไทยหรอก ดังนั้นได้กลับมาผมก็ขอกินตุนไว้หน่อยล่ะกัน ผมหันไปล้างมือ ล้างหน้า เพื่อเตรียมกินข้าวทันที
“ที่นู้นได้กินข้าวบ้างไหมเนี่ย” เมื่อผมกินอย่างเอร็ดอร่อยพี่ติณห์จึงได้ถามขึ้น
“กินดิ แต่อาหารไทยนี่แทบไม่ได้กินเลย” ผมตอบเสียงกลั้วหัวเราะ ในขณะที่กำลังพยายามแกะกุ้งตรงหน้าไปด้วย ตัวใหญ่มากเลยอ่ะ อยากกราบแม่พี่ติณห์งามๆสักทีเลย
“ผมยาวไปหน่อยไหมเนี่ย” พี่ติณห์พูดขึ้นมาอีก ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาคว้าผมด้านหน้าผมขึ้น
“ผมก็ว่ามันยาวแหละนะ แต่ไม่มีเวลาไปตัดเลย” พี่ติณห์เปลี่ยนเป็นปัดให้ผมผมกลายเป็นแสกกลางแทน
“แต่พอผมข้างหน้ายาวแล้วแสกกลางขึ้นนะ” พี่ติณห์ยังคงวุ่นวายกับทรงผมผมอยู่ ส่วนผมก็ยังคงตักข้าวเข้าปากต่อไป เขาปัดจัดทรงไปมาสักพักก่อนที่จะลุกไปหยิบยางและมัดจุกเป็นน้ำพุให้ผม
“วา” ผมที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆเงยหน้าไปหาพี่ติณห์ที่กำลังส่องกล้องมาทางผม ยังไม่ทันถามว่าถ่ายรูปเหรอเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นมา
แชะ
ถ่ายชัวร์
“มัดผมข้างหน้าขึ้นแล้วแบ๊วเลยอ่ะ ดูดิ” พี่ติณห์ขำสักพักก่อนที่จะหันโทรศัพท์มาให้ผมดู
“อย่าให้รูปหลุดไปเชียวนะ” ลองคิดภาพผมเคี้ยวข้าวจนแก้มป่อง ไหนจะหน้าที่พึ่งล้างเมื่อกี้ หน้าก็ยังแดงๆอยู่นิดหน่อยจากการวิ่ง และผมน้ำพุบนหัวอีก
“ทำไมอ่ะ น่ารักดี” พี่ติณห์ยังคงชื่นชมรูปอยู่
“ก็เพราะมันน่ารักไงถึงบอกว่าห้ามให้รูปหลุด เดี๋ยวลูกทีมผมหมดศรัทธาในตัวผมหมด” พี่ติณห์ขำ
“ผมจะเก็บไว้อย่างดีเลย” พี่ติณห์มองรูปนั้นอีกสักพักก่อนที่จะวางโทรศัพท์ลง
“นี่พี่ยังใส่อยู่อีกเหรอ” ผมชะงักเมื่อพึ่งสังเกตเห็นนาฬิกาข้อมือของพี่ติณห์
“ใส่ดิ มันยังใช้ได้นะ” พี่ติณห์ตอบและขยับนาฬิกาให้เข้าที่ เป็นนาฬิกาเรือนที่ผมเลือกให้พี่ติณห์นั้นแหละ
“ของผมทำตก โดนรถเหยียบแตกไปล่ะ” พูดแล้วยังเซ็งอยู่เลย ตอนนั้นหอบของพะรุงพะรังมากเลยครับ นาฬิกาก็ถอดและถือไว้แทน มันเลยหล่นตอนผมข้ามถนน และรถที่ขับผ่านก็เหยียบแตกเลย
“เดี๋ยวผมซื้อให้ใหม่” ผมเลิกคิ้ว
“ป๋าอีกล่ะนะพี่ติณห์ แค่เลือกให้ผมก็พอ ผมซื้อเองได้ จะให้ใช้ตังคนว่างงานได้ไง” พี่ติณห์เตะขาผมทันที
“เดี๋ยวจะโดนนะวา” เขาชี้นิ้วดุผมนิดหน่อย
“แล้วเรื่องงานพี่เอาไงอ่ะ” ผมขำนิดหน่อยก่อนที่จะถามออกไป
“ผมยังไม่รู้เลย เมื่อวันก่อนไปดูบริษัทพ่อเพื่อนเนฟมา เขาก็บอกว่ายังไม่อยากได้คนอ่ะ บางทีผมอาจต้องไปอยู่พัทยามั้ง” พี่ติณห์บุ้ยปากนิดหน่อย และเอื้อมมือมาแย่งช้อนจากมือผมไปตักข้าวเข้าปากบ้าง
“มีบริษัทที่พัทยาติดต่อมาเหรอครับ”
“อืม บริษัทที่ฝึกงานอ่ะ เขาอยากให้ไปทำต่อ แต่ผมอยากอยู่บ้าน ก็เลยยังไม่ได้ตอบตกลง” เราเงียบไปสักพักก่อนที่พี่ติณห์จะเงยหน้ามามองผมและระบายยิ้มให้บางๆ
“แต่พัทยาก็ไม่ได้ไกลอะไรจากกรุงเทพมากซะหน่อย”
“เดี๋ยวก็หาได้แหละ” ผมยิ้มตอบและพูดออกไปบ้าง จริงๆอยากทำอะไรได้มากกว่าแค่ให้กำลังใจนะ
“ว่าแต่ คุณไปทำอะไรมา ทำไมสูงขึ้นขนาดนี้” พี่ติณห์เหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ก็เลยถามขึ้น
“เล่นบาสอ่ะดิ ไอ้พวกนั้นนะ ว่างก็เล่นบาส ไม่ว่างก็เล่นบาส เอะอะอะไรก็เล่นบาส ผมไม่มีไรทำเลยไปเล่นกับพวกมันด้วย รู้ตัวอีกทีก็สูงขนาดนี้แล้วเนี่ย” บวกพวกกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาโดยผมไม่รู้ตัวด้วย
“...ผมสูงกว่าพี่รึยังเนี่ย” ผมไม่ได้สังเกตเลยครับ พี่ติณห์เกาหัวเบาๆก่อนที่จะเบือนสายตาหนี
“ผมสูงเท่าเดิมอ่ะ” สมองผมกำลังประมวลผลว่าเท่าเดิมของพี่ติณห์นี่มันเท่าไหร่
“183?”
“ทำไมจำได้!” แสดงว่าถูก
“ผม186ล่ะนะ” เมื่อผมพูดต่อ พี่ติณห์ก็เตะขาผมอีกรอบทันที
“รู้แล้วนา ว่าสูงกว่าอ่ะ!” พี่ติณห์เบ้ปากอย่างไม่พอใจ
“ผมควรจะสูงกว่าพี่อยู่ล่ะเหอะ”
“ทำไมวะ”
“อ้าว ก็ผมเป็นผัวพี่อ่ะ เตี้ยกว่าพี่มันดูแปลกๆป่ะ” พี่ติณห์เบ้ปากหนักเข้าไปใหญ่เลยครับ
“จะบอกว่าผมเป็นเมียคุณควรที่จะตัวเตี้ยกว่า ตัวเล็กกว่า บอบบางกว่า แบบนั้นรึไง” ผมพยักหน้ารับ
“ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” พี่ติณห์หุบปากฉับเหมือนกำลังคิดตามว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆรึเปล่า ตอนนี้ผมแน่ใจมากว่าร่างกายผมไม่ได้ผอมแห้งแรงน้อยเหมือนก่อนแล้ว ทั้งซิกแพคเอย กล้ามแขนเอย มีระดับที่ไม่ได้น้อยและไม่ได้มาก สำหรับพี่ติณห์ที่เห็นมาทุกส่วนของผมแล้วเนี่ย คงรู้ในเรื่องนั้นดี พี่ติณห์มองสำรวจผมอยู่สักพักก่อนที่เขาจะใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม
“ก็ใช่แหละ” และตอบผมกลับมาด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
ผมเอื้อมมือไปบีบจมูกพี่ติณห์โดยอัตโนมัติ หมั่นเขี้ยวเขามากจนไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยด้วยซ้ำ
น่ารักจังเลยนะ~ แฟนใครเนี่ยยย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผ่านมาครึ่งปีแล้วเนอะ ก็ขอให้ครึ่งปีหลังจากนี้เป็นปีของทุกคนและของไรต์ด้วยนะ 555 วันนี้มาช้าไปนิดนึง แต่คืนวันศุกร์คงไม่มีใครรีบนอนหรอกเนอะ 555 จนตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมีกี่ตอน น่าจะอยู่ที่6-7นี้แหละไม่น่าเกิน ในเมื่อเขากลับมาแฮปปี้กันแล้ว มันก็ต้องแฮปปี้กันไปยาวๆสิจริงไหมมม
เจอกันวันอาทิตย์นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำให้เรารู้ว่า เขาโคตรรักและเอ็นดูพี่ติณห์มากๆเลย