ตอนที่ 47 : specify; 1-3 begin again
1-3
Special part; Tin 5.5
แสงแดดยามเช้าที่ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่ยามเช้าตอนพยายามลืมตาขึ้น เพราะแดดมันสาดส่องเข้ามามากจนผมไม่สามารถลืมตาได้ในทันที และขนาดผมลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ยังต้องพาเจอกับภาพพร่ามัวอยู่สักพักก่อนที่ร่างกายจะปรับโฟกัสสายตาได้ในที่สุด
แสงมันดันส่องผ่านผ้าม่านมาตรงผมพอดีเลยด้วยไง
ผมขยี้ตา ก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้านาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมาดูว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว
13:20
ให้ตายเหอะ นี้นอนยาวอะไรขนาดนี้ล่ะ
พอรู้ตัวว่าเสียเวลากับการนอนไปมากมายขนาดไหน ผมก็ไม่คิดจะข่มตาหลับอีก ปกติแม่จะเข้ามาปลุกผมตอน11โมง ด้วยประโยคสั้นๆว่า จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนติณห์ พร้อมกับตีผมแรงๆหนึ่งทีเป็นการปลุกผม แต่วันนี้แม่ไม่ได้เข้ามาปลุกผมเหมือนทุกวันแหะ
ผมหยุดสายตาอยู่ที่คนข้างๆ ซึ่งยังคงหลับตาพริ้ม และกำลังฝันหวานอยู่แน่ๆ
คงเป็นเพราะแม่ไม่เห็นวานอนโซฟาข้างล่าง และคงรู้ในเวลาต่อมาไม่นานว่าผมได้อุทิศส่วนหนึ่งของเตียงให้วาได้มานอนด้วย แม่เลยไม่อยากปลุกล่ะมั้ง
แม่ผมนี่รักวามากกว่าผมแล้วครับ
ผมเลิกคิดเรื่องอื่น เพียงแต่นอนตะแคงและมองคนข้างๆอีกครั้ง
ผมของวายาวขึ้นกว่าเดิม ถึงจะดูออกว่าไปตัดมาแล้วก็ตามเถอะ แต่มันก็ยังดูยาวกว่าครั้งล่าสุดที่เราเจอกันอยู่ดี สีผิวก็ขาวกว่าเดิมอยู่เฉดหนึ่ง กล้ามเนื้อก็มากขึ้น เหมือนคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่วาเนี่ยนะออกกำลังกาย... ผมคงไม่มีทางคิดได้เลยว่าวาจะออกกำลังกาย ถ้าไม่ได้เห็นร่างกายเขาชัดๆเมื่อคืน
ผมเลื่อนมือไปปัดผมที่ปรกหน้าวาออกเบาๆ ขนาดแค่ขยับตัวเพียงเล็กน้อยอาการเจ็บก็แล่นผ่านไปทั่วร่างจนผมต้องขยับมานอนที่เดิม
นี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยนะ ทำไมมันยังเจ็บอยู่เลย
ผมทุบสะโพกตัวเองเบาๆ แต่มันจะไม่เจ็บก็คงแปลก ผมไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับด้านหลังมาตั้งปีกว่าแล้ว แถมเมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าจะแค่รอบเดียวซะที่ไหน เรียกได้ว่าคุ้มกับที่ไม่ได้ทำมาเป็นปีเลยล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป ผมก็คงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรเมื่อคืนอยู่ดี
เพราะมันโครตดี
จริงๆนะ
ผมไม่รู้เลยว่าเวลาที่ผมขอมันยาวนานขนาดไหน และผมควรรอไปถึงเมื่อไร จนเห็นวาในระยะใกล้ๆ สัมผัสลมหายใจของเขา แถมยังท่าทางหึงผมที่ออกมาจากสายตาของเขาอีก เขาอาจจะไม่ได้แสดงเด่นชัดว่าหึงนะ แต่การที่เขาถามถึงเนฟ และคว่ำปากเบาๆก็ทำให้ผมรู้เลยว่าเขากำลังหึง
ผมรู้ในตอนนั้นเลยว่าผมอยากเป็นคนที่เขาหึงไปตลอด
วาเป็นคนที่ทำให้หมอกที่ปกคลุมผมอยู่โดนพัดออกไปจนหมด
ผมเกลี่ยนิ้วที่แก้มของวาเบาๆ เหมือนเรากำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เริ่มต้นเรื่องของเราสองคนอีกครั้ง
Arrrrrr
เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้ผมสะดุ้งเฮือกทันที ก่อนที่ผมจะหาต้นตอของเสียงและพบว่ามันคือเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ของวา ผมหันกลับมาที่วา ชั่งใจว่าตัวเองควรรับสายหรือปล่อยให้มันดังแบบนั้นจนเงียบไปเองดี ก็วายังหลับปุ๋ยอยู่เลยนี้นา คงไม่ตื่นมารับสายง่ายๆแน่
ในขณะที่ผมยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำยังไงกับโทรศัพท์เจ้าปัญหานี้ดี วาที่อยู่ข้างๆก็เอื้อมมือไปคว้ามันขึ้นมา สไลด์รับสาย และแนบมันที่หู โดยไม่ได้แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาดูด้วยซ้ำ
“ครับ ครับบ” ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าวากำลังคุยกับปลายสายรู้เรื่องจริงๆใช่ไหม
“ครับ ได้ครับ” วายังคงรับคำด้วยคำๆเดิม
“คร้าบบ ขอบคุณครับ” วารับคำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมและเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ถ้าเป็นวาคนเดิมคงปล่อยให้โทรศัพท์ร้องต่อไปแบบนั้นโดยไม่สนใจอะไร แต่วาคนนี้ไม่ใช่แล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจับใจความได้เท่าไรก็เถอะ แต่วาก็รับยังสายนะ
วาโตขึ้นอีกก้าวแล้ว
ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนแม่ภูมิใจในตัวลูกยังไงอย่างนั้นผมถึงได้หุบปากลง ไม่ได้ดิ.. ก็ผมไม่อยากเป็นแม่เขาสักหน่อย
โครกกก
ผมลูบท้องปอยๆทันที เมื่อคืนตั้งใจจะลงไปหาอะไรกินก็โดนวาจับกินซะก่อน นี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเนี่ย อย่างหิว
ผมมองวาที่คล้ายจะหลับไปอีกรอบนิ่งๆ ก่อนที่จะตัดสินใจผละลงไปหาอะไรกินก่อน เดี๋ยวค่อยมาปลุกวาล่ะกัน ปล่อยให้เขานอนพักอีกสักพัก
“ไปไหนนน” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวลงพื้น วาก็คว้าเอวผมไปก่อน แถมดึงเข้าไปหาจนผมแนบชิดกับร่างเขาทันที
“ผมจะลงไปหาอะไรกิน” ผมตอบ ซึ่งวาก็ยกคางขึ้นมาเกยไหล่ผมไว้
“อย่าพึ่งไปดิ” เขาพูดแค่นั้น แถมยังไม่ลืมตาขึ้นมาด้วยเหอะ
“ถ้าคุณง่วงคุณนอนไปก่อนก็ได้ แต่ผมหิว” ผมพยายามจะแงะแขนวาออกจากเอวผมให้ได้ ทำไมแรงเยอะแบบนี้นะ! ตั้งแต่เมื่อคืนล่ะนะที่ผมไม่สามารถดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนวาได้ ตอนเช้ากึ่งตื่นกึ่งหลับแบบนี้ผมก็ยังทำไม่ได้อีกเหรอเนี่ยยย
“นอนเป็นเพื่อนผมก่อน” เขากระชับอ้อมแขนและพูดต่อออกมา เอาจริงๆผมไม่มีแรงมากพอจะผลักเขาออกด้วยแหละครับ บอกแล้วไงว่ามันเจ็บมากจริงๆ
“หิววววว!” ผมตะโกนใส่หูวา หวังให้วายอมปล่อยผมออกสักที แต่วากลับขำและลืมตาขึ้นมามองผม
พอสบตากันในระยะประชิดแบบนี้ ผมก็ไม่อยากออกห่างจากเขาซะเฉยๆ แม้จะหิวก็เถอะ แต่ผมยังคงอยากซุกตัวในอ้อมกอดของเขาต่อไปนี้นะ
“อรุณสวัสดิ์นะ” ผมพูดออกไปเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักที ส่งผลให้วายิ้มจนเห็นเขี้ยวสวยๆประจำตัว
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาตอบกลับ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนที่จะกดจูบที่ริมฝีปากผมเบาๆ กดค้างไว้แบบนั้นสักพักก่อนที่จะผละออก
“มอนิ่งคิสนะครับ” วาพูดต่อ คราวนี้เป็นผมที่ยิ้มตอบกลับไป
“อื้ม” ผมรับคำ รู้สึกร้อนๆวูบวาบขึ้นมาอีกแล้ว ทั้งๆที่แค่จุ๊บปากเบาๆไม่มีอะไรเลย แต่ท่าทางน่ารักๆของวาก็ทำให้มันพิเศษขึ้นมาได้
เราสบตากันอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนที่วาจะกดให้ผมนอนลงและขึ้นคร่อมผมไว้
“ผมไม่ไหวล่ะนะ” ผมแย้งออกไปทันที แต่วาเพียงแค่ขำ
“อีกรอบหนึ่ง” นั้นไงผมว่าล่ะ
“ไม่เอา” ผมโวยและพยายามจะพลิกตัวขึ้นให้ได้ แต่ผมก็เป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างมาตลอดนี้ครับ อยู่ๆจะให้พลิกขึ้นไปอยู่บนตัวเขาก็ใช่ว่าจะง่ายๆซะหน่อย
“ไม่เอาจริงดิ” ผมกำลังจะสวนกลับไปในทันทีว่า เออ! ถ้าไม่ติดว่าลิ้นอุ่นๆของวากำลังลากผ่านกระดูกไหปลาร้าผมเบาๆ
ผมที่พยายามฮึดฮัดจะลุกขึ้นให้ได้ก็กลายเป็นนอนกองอยู่ที่เดิมทันที ทำไมถึงได้มีลูกเล่นอะไรแบบนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณขนาดนี้นะ แค่รับมือกับวาเวอร์ชั่นปกติก็ยากแล้ว นี้วาเวอร์ชั่นevolutionเลยนะ ผมจะรับมือไหวได้ไง!
“ไหนบอกว่าไม่เอาไง” วาผละออกมาถามผมนิดหน่อย แววตาพราวระยับอย่างโครตสนุกที่ได้แกล้งผม ผมจึงอดที่จะดีดเหม่งมนๆนั้นไปแรงๆไม่ได้จริงๆ
“หยุดแกล้งผมเลยนะวา เดี๋ยวไม่มีคราวหน้าแล้วจะเสียใจ” ผมแกล้งขู่ไปอย่างนั้นแหละ
“โอ๋ๆ แกล้งเล่นนิดเดียวเอง” วาเลื่อนมือที่กอดเอวผมอยู่มาลูบหลังผมเบาๆเหมือนกำลังปลอบประโลมเด็กๆที่ขวัญเสียอะไรแบบนั้นแหละ
“ครั้งต่อไปรอปีหน้าเลยล่ะกัน” วาเลิกคิ้วใส่ผมทันที
“ไม่เอา~ นานไปปป” วาโวยวาย ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมรับคำพูดนั้น ผมขำ เลื่อนมือไปโอบคอวาไว้ก่อนที่จะจรดหน้าผากที่หน้าผากของวา ท่าทางแบบนั้นของผมทำให้วาเลิกเล่นบทงอแง เขากอดผมตอบ และกดจูบเบาๆที่ปลายจมูกผม ค้างไว้อย่างนั้นสักพักก่อนที่จะผละออกมาสบตากับผมอีกครั้ง
ผมไม่อยากปล่อยเขาไปอีกแล้วจริงๆ
ผมกลัว..กลัวว่าผมจะต้องปล่อยเขาไปอีกครั้ง
“พี่โอเคนะ” วาถาม ให้ทายว่าแววตาของผมคงวิตกกังวลมากๆ เขาลูบหัวผมเบาๆโดยที่มืออีกข้างก็ยังคงกอดผมไว้ไม่ห่างตัว
“คุณต้องกลับไปอีกใช่ไหม” จริงๆเรายังไม่ได้พูดเรื่องนี้กันจริงจังเลย แต่ผมแค่สัมผัสได้นะ สัมผัสได้ว่าวาไม่ได้จะอยู่ตรงนี้ไปตลอด
“อืม” เขาตอบผมสั้นๆ ทั้งๆที่คิดไว้อยู่แล้วว่าเดี๋ยววาก็คงต้องกลับไป แต่พอได้รับคำยืนยันจากวา ผมก็ยิ่งใจหาย จนรั้งเขาเข้ามาใกล้กว่าเดิม ก่อนที่จะซบหน้าลงกับไหล่ของเขา
“อีกแค่ปีเดียวเอง” วาเองก็ซบหน้าลงกับไหล่ผม เขายังคงลูบหัวผมเบาๆอยู่อย่างนั้น
“พี่ติณห์” วากระซิบข้างหูผม แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“พี่ติณห์ครับ” คราวนี้วาผละออกจากผมนิดหน่อยเพื่อที่จะได้สบตากับเขา
“คบกับผมเถอะนะครับ” ผมชะงักไปเลย เชื่อเถอะว่าไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากวาจริงๆ มันเป็นรูปประโยคเดิมที่ออกมาจากปากคนๆเดิม ผมยังจำได้อยู่เลยด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่วาพูดประโยคนี้ มันทำให้ผมรวนจนคิดไม่ออก สมองเบลอไปช่วงขณะเลยทีเดียว ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก หัวใจกำลังเต้นระรัวแทนคำตอบ แต่สมองไม่ได้เบลอเหมือนอย่างที่ผ่านมา มันกำลังคิดว่าทำไมวาถึงได้ขอคบผมอีกครั้ง ทั้งๆที่เราพึ่งพูดเรื่องกลับไปเรียนของวาเมื่อกี้นี้เอง ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองจะต้องกลับไปไม่ช้าก็เร็ว ทำไมวายังขอคบกับผมอีกครั้ง
“ผมรู้ว่ามันคงฟังดูแปลกๆ และผมก็มาขอหลังจากเรามีเซ็กส์กันไป..อีกแล้ว” วาถอนหายใจอกมาเบาๆเหมือนกำลังไม่พอใจตัวเอง
“และผมก็รู้ว่ามันคงแย่ถ้าเรากลับมาคบกันแต่ผมต้องกลับไปเรียนต่อ ถ้าผมทิ้งพี่ไว้”
“แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่ชอบความรู้สึกที่ผมไม่มีสิทธิ์ในตัวพี่เลย พี่รู้ไหมว่าผมหึงพี่แทบแย่ แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แถมยังต้องคอยบอกตัวเองซ้ำๆว่าถ้าพี่มีคนใหม่ผมจะไม่ดึงดันแย่งกลับมา แม้ในใจจะเถียงแทบแย่ก็ตาม แต่ผมเป็นคนปล่อยพี่ไปเอง..ผมทำแบบนั้นเอง ผมไม่มีสิทธิ์ทวงพี่กลับมา”
“มันแย่มากเลยนะ ที่เราคิดถึงเขามากๆแต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดถึง ไม่สามารถกลับไปยืนข้างเขาได้อีกแล้ว มันทรมานนะ...” ผมไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงได้เลื่อนมือไปเกลี่ยแก้มวาแบบนั้น แต่เมื่อผมทำแบบนั้นวาก็คว้ามือผมไว้ เขาจับมือผมไว้ก่อนที่จะพูดต่อ
“ผมขอกลับไปยืนตรงนั้นได้ไหม ผมขอกลับไปเป็นคนที่พี่รัก ขอโทรมาหาตอนคิดถึง ตอนที่ผมเหนื่อย ผมขอจองพี่ไว้ก่อน เพราะผมคงทนไม่ได้..ถ้าใครได้พี่ไป” ผมไม่ได้ตอบอะไรวากลับไป เพียงแค่ยื่นหน้าเข้าไปหาและปิดริมฝีปากนั้นด้วยริมฝีปากของผม
วาปล่อยให้ผมรุกล้ำเขาจนพอใจก่อนที่เขาจะจูบตอบกลับมา ไม่ว่าเรียวลิ้นอุ่นๆของวาจะกวาดไปทางไหน ก็เล่นเอาผมร้อนวูบวาบไปหมด ผมขยุ้มเส้นผมเส้นเล็กกว่าคนทั่วไปที่ทั้งนิ่มและลื่นไว้ในมือ ริมฝีปากยังคงตอบรับจูบของวา รู้สึกได้ว่าวากำลังวางผมลงบนเตียงโดยที่ริมฝีปากไม่ได้ผละออกห่างเลยสักนิดเดียว เราจูบกันอยู่แบบนั้นสักพักก่อนที่ผมจะผละออกเพื่อหายใจและกดซ้ำลงไปอีกครั้ง
จูบกับวาไม่เคยจบแค่จูบครั้งเดียวเลย เรามักจะจูบ ผละออก และกดจูบลงไปใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อ ทั้งๆที่จูบกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ผมก็ยังคงอยากจูบเขาต่อไป เพราะไม่ว่าจะจูบเขาหรือสัมผัสเขามากเท่าไหร่
มันก็ไม่เพียงพอเลยในความรู้สึก
“คุณไม่ได้เป็นคนทิ้งผมไป ผมต่างหากล่ะที่ทิ้งคุณ” ใช้เวลาอยู่สักพักกว่าที่เราจะผละออกจากกันได้ แต่เรายังคงไม่ขยับออกห่าง ผมจึงได้พูดชิดริมฝีปากเขาพอดี และเพราะพึ่งผ่านจูบที่หนักหน่วงมา เสียงผมถึงได้แหบพร่ากว่าปกติ ที่มองยังไงก็ดูยั่วเขาชัดๆ
แต่นี่วานะ ก็ชั่งมันเถอะ
“และก็ไม่ใช่แค่คุณหรอกนะวา ที่คอยกังวลว่าเขาจะคบกับคนอื่นไปแล้วรึยัง จะเจอคนที่ดีกว่าไปแล้วรึยัง เพราะผมก็เป็น..เผลอๆเป็นหนักกว่าคุณด้วย” ผมเคยเป็นกังวลว่าวาจะเจอคนใหม่รึยังวันล่ะเป็นสิบๆครั้งจนรู้สึกว่าหัวจะระเบิดแตกตายอยู่แล้วเลยลากสังขารไปช่วยแม่ที่โรงเรียนเลยครับ
“ไม่ใช่แค่คุณที่หวงผมแทบแย่ เพราะผมเองก็หวงคุณแทบตาย” วาขยับมางับปากผมเบาๆ ก่อนที่จะผละออกและสบตากับผมนิ่งๆ
“ผมรักคุณนะ” ผมพูดสิ่งที่อยากพูดที่สุดซ้ำออกไปอีกครั้ง วายิ้มรับ เขาจูบปากผมเบาๆอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมา
“ผมก็รักพี่ครับ” ความเงียบเข้าครอบงำหลังจากวาตอบกลับมา ลมหายใจของเรายังคงหอบอยู่เล็กน้อย ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ขยับขึ้นไปกดจูบที่หน้าผากมนๆนั้นและขยับลงมาที่ระดับสายตาของเขาอีกครั้ง
“สำหรับคำถามที่คุณถาม คำตอบของผมคือ..ตกลง”
Special part; The End
ผมเข้าใจคำว่าอิ่มอกอิ่มใจมากๆก็ตอนนี้ รู้สึกคิดไม่ผิดจริงๆที่ขอพี่ติณห์คบอีกครั้ง และพี่ติณห์ก็ใจดีกับผมเหมือนเดิม แถมยังยอมให้ผมตอดนิดตอดหน่อยตลอดเวลา ก็แน่ล่ะ ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี้นะ
กลับมาครั้งนี้นี่คุ้มล่ะ
“เดี๋ยวแม่ทำให้นะ” หลังจากบอกเมนูที่อยากกิน แม่ก็หยิบผ้ากันเปื้อนมาผูกด้วยรอยยิ้มและเดินเข้าครัวไปทันที
“อะไร” พี่ติณห์บ่นออกมา เมื่อผมหันไปมองหน้าเขานิ่งๆ
“เปล่าครับ” ผมตอบติดตลก ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะกินข้าวเหมือนพี่ติณห์ เมื่อกี้ก่อนลงมากินข้าวเราอาบน้ำกันเรียบร้อยล่ะครับ อาบพร้อมกันด้วยแหละ (อวด) จากตอนแรกที่ตั้งใจจะอาบน้ำเฉยๆ ก็หัวเปียกทั้งคู่จนต้องสระผมไปด้วยเลยครับ
“เช็ดผมให้ผมบ้างดิ” ผมงอแงนิดหน่อย พี่ติณห์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แค่ย้ายจากนั่งฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างผมและหยิบผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่ผมพาดไหล่ไว้ไปเช็ดผมให้ พอมีคนประจำตำแหน่งเช็ดผมแล้ว ผมก็หันไปหยิบแฟ้มงานที่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเพิ่มขึ้นมา
ยังไงวันนี้ก็ต้องเสร็จครับ พรุ่งนี้ต้องส่งงานให้คุณมินแล้ว แถมเมื่อเช้าคุณเลขายังโทรมายืนยันเรื่องเวลานัดอีกรอบด้วย
“บ้านเหรอ” พี่ติณห์ชะโงกมาดูงานที่ผมทำอยู่ก่อนที่จะถามขึ้น
“อ่าฮะ” ผมตอบ ยังคงวาดลายเส้นจากในหัวต่อไปเรื่อยๆ
“การบ้านเหรอ” พี่ติณห์ถามต่อ
“เปล่า จ้างอ่ะ” มือที่เช็ดผมให้ผมชะงักไปนิดหน่อย
“เออ คุณยังไม่เคยเล่าเรื่องAFUให้ผมฟังเลยนะ” ผมหันไปมองพี่ติณห์นิดหน่อย
“จะให้เล่าอะไรล่ะ” คราวนี้เขากลอกตาใส่ผมเลยครับ
“ทุกเรื่องนั้นแหละ ไปเรียนเป็นยังไง ไม่มีใครรู้เลย นึกว่าตายไปแล้วเถอะ” ผมขำทันที
“มันวุ่นๆอ่ะเลยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง”
“นี่ไง เล่าให้ผมฟังคนแรก”
“อยากรู้เรื่องไรอ่ะ”
“ไอ้ติณห์!!” เสียงเรียกที่ดังขัดขึ้นมาเรียกให้ผมกับพี่ติณห์หันไปมอง ก่อนที่จะเจอเฮียที่พึ่งกลับมาจากข้างนอกกับพ่อ เฮียเดินอาดๆเข้ามาหาผมกับพี่ติณห์
ป้าบ
“โอ้ย! เหี้ยไรของมึงเนี่ย!!” ก่อนที่จะเดินเข้ามาตบหัวพี่ติณห์อย่างแรง จนหัวพี่ติณห์เกือบทิ่มโต๊ะอยู่แล้ว (ผมจับไว้ทัน)
“มึงจะให้กูบอกไหมล่ะว่ากูตบหัวมึงเรื่องอะไร!” จบประโยคของเฮียทุกคนก็เงียบ เหมือนกำลังคิดตามว่าเรื่องอะไรวะ พ่อที่เอาของเข้าไปให้แม่ในครัวก็เดินออกมาพอดีก่อนที่เขาจะเดินไปเปิดโทรทัศน์ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ถ้ามึงคิดไม่ออกกูจะช่วยเตือนความจำให้นะ” เฮียปล่อยให้พวกเรานั่งคิดสักพักก่อนที่จะพูดต่อออกมา
“เมื่อคื..” ยังไม่ทันที่คำที่สองจะหลุดออกจากปากเฮีย พี่ติณห์ก็พุ่งพรวดขึ้นไปปิดปากเฮียเอาไว้แล้ว
ทำไมคิดออกเร็วจังวะ
“เรื่องไรอ่ะ” ผมถามออกไปบ้าง เพราะยังคงไม่เก็ตอยู่ดี
“ก็เรื่องที่มึ..” เฮียพยายามจะพูดต่อแต่พี่ติณห์ก็ยังคงปิดปากเขาไว้ครับ
“ไม่ต้องถามได้ไหมเนี่ยยยย” พี่ติณห์หันมาโวยผมต่อ อ้าว... โดนบ่นเฉยเลยวะ
“มึงไม่ต้องมาห้ามกูเลยติณห์!” เฮียสะบัดตัวหลุดจากมือพี่ติณห์แล้ว
“กี่ขวบแล้วเนี่ย ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ” พ่อที่คงทนเสียงโหวกเหวกที่น่าจะดังจนกลบเสียงโทรทัศน์หันมาบ่นทันที
“พ่อ! เมื่อคืนไอ้ติณ..”
“มึงจะเอาอะไร” พี่ติณห์พูดแทรกขึ้นมาทันที คราวนี้เฮียหันมายิ้มพราวระยับที่โครตน่ากลัวให้พี่ติณห์เลยครับ
“อย่างนี้สิไอ้น้อง” พี่ติณห์กลอกตาทันที เสยผมขึ้นไปลวกๆอย่างโครตหงุดหงิดก่อนที่จะตวัดสายตาหันมามองผม
อ้าวววววว โบ้ยผมเฉย
“ต้องอะไรก็ได้นะ” พี่ติณห์ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“เออ”
“กูขอไปลิสต์ก่อนนะว่าอยากได้อะไรบ้าง” เฮียพูดแค่นั้นและยังคงยิ้มแบบเดิมให้พี่ติณห์อยู่
“แล้วนี้ดีกันแล้วเหรอ” เฮียดูจะเริงร่าขึ้นมาเลยเมื่อพี่ติณห์ยอมตกลงว่าอะไรก็ได้
“ถ้าไม่ดีแล้วจะเอากันเหรอ” คำตอบของพี่ติณห์ทำให้ผมเลิกคิ้วใส่อย่างงงๆที่พี่ติณห์บอกเฮียออกไปตรงๆ แต่พอเห็นหน้าตาหงุดหงิดของพี่ติณห์ผมก็เลือกที่จะเงียบเหมือนเดิมดีกว่า แต่เฮียนี่หัวเราะร่าเลยครับ
“นั้นดิเนอะ ฟังจากเสียงดูดีกันด้วยดีมากๆเลยด้วยเหอะ” ประโยคประชดประชันเล่นเอาพี่ติณห์เสยผมขึ้นไปด้วยท่าทางร้อนๆ อยู่ๆอากาศก็ร้อนขึ้นมาเฉยๆเลย อะไรประมาณนั้นแหละ
“มีอีกเรื่อง” เฮียพูดขึ้นมาอีก ก่อนที่เขาจะคว้าคอผมกับพี่ติณห์ไปกอดคนล่ะข้างและยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“คราวหลังจะเอากันอ่ะก็ไปเปิดห้องเข้าใจไหม” พี่ติณห์ตบหัวเฮียทันทีที่พูดจบ ส่วนผมก็ฮาออกมาทันที เก็ตแล้วว่าทำไมพี่ติณห์ถึงห้ามไม่ให้ผมถามเฮียว่าเรื่องอะไรขนาดนั้น
ไอ้เหตุผลที่ห้ามทำในบ้าน เพราะผนังมันบางสินะ
“ตอนที่มึงพาเด็กมานอนบ้านกูยังไม่บอกใครเลยนะ” พี่ติณห์โวยขึ้นมาบ้าง
“เด็กกูมันเรื่องสิวๆเลยเมื่อเทียบกับมึงนะติณห์ อย่างน้อยๆเด็กกูก็เป็นผู้หญิงอ่ะ” จากที่ฟังๆดูเฮียก็คงเคยหิ้วสาวกลับมานอนและพี่ติณห์รู้สินะ
“แถมมึงเป็นรับอีก” เฮียพูดต่อ พูดจบพี่ติณห์ก็ยกมือขึ้นไหว้เร็วๆทันที
“กูยอมล่ะ” เฮียยื่นมือไปตบบ่าพี่ติณห์อย่างโครตเหนือกว่า
“ให้มันรู้นะว่าใครเป็นใครไอ้น้อง” มีเย้ยด้วยครับ ผมก็อยากจะซีเรียสนะ แต่พอเห็นแบบนี้ก็อดจะขำไม่ได้จริงๆ
“เฮ้ยๆ แต่กูขอเตือนเลยนะว่าระวังตัวมากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่กูที่ได้ยินจะเกิดไรขึ้น” ผมกับพี่ติณห์พยักหน้ารับคำนั้น แถมพี่ติณห์ยังหันมามองผมเหมือนจะบอกว่าผมนั้นแหละผิด
ก็มันช่วยไม่ได้นี่หนา จุดนั้นใครหยุดได้ผมนี่ชูชกเลย
“..กูแนะนำว่าถ้าจะทำไปทำบนรถ หรือไม่ก็ในห้องน้ำและเปิดน้ำแรงๆเอาดีกว่า” ผมฮาออกมาอีกรอบเมื่อฟังคำแนะนำส่งท้ายจากเฮียจบ
“เดี๋ยวกูลิสต์ของเสร็จแล้วเอามาให้นะน้องรัก” เฮียยิ้มหวานให้พี่ติณห์อีกครั้งก่อนที่จะเดินไปหาแม่ในครัว
“หารสองล่ะกันเนอะ” ผมโพล่งออกไปพี่ติณห์ถอนหายใจก่อนที่ทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมอย่างหงุดหงิด
“เตรียมเงินไว้เลย เต็นท์มันขอแพงแน่”
“ตอนนั้นพี่ขออะไรอ่ะ” ถ้าให้ทายตอนเฮียพาเด็กมานอนพี่ติณห์ต้องไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่ เฮียเต็นท์ถึงได้ดูแฮปปี้ขนาดนั้นที่ได้เอาคืน
“macbook” คำตอบของพี่ติณห์ทำให้ผมลอบตบหน้าผากตัวเองทันที
“หมดตูดแน่เลยยยยย” ถึงจะหารสองก็แพงอยู่ดีนั้นแหละ
“ก็คุณนั้นแหละ ผมบอกแล้วว่าอย่าๆ”
“แต่ผมถามพี่แล้วนะว่าเปิดห้องไหม พี่ก็บอกว่าไม่ต้องเอง” พี่ติณห์บุ้ยปากเมื่อเถียงไม่ได้
“เอาเหอะ” สุดท้ายก็ยอมรับโชคชะตาด้วยเสียงอ่อยๆทันที ผมขำ และหันกลับมาทำงานตรงหน้าอีกครั้ง งานผมไม่คืบหน้าสักทีเนี่ยยยย
“ได้แล้วจ้า” เสียงของแม่ดังขึ้นมา และเจ้าตัวก็เดินถือจานข้าวผัดกุ้งแถมไข่ดาวมาให้ผมกับพี่ติณห์คนล่ะจานทันที
“ขอบคุณนะครับแม่” ผมยิ้มหวานให้แม่ทันที ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่นะ แม่พี่ติณห์ดูแลผมดีมากกก จนผมซาบซึ้งใจเลย
“แม่แถมนี้ให้ด้วย” แม่เดินกลับเข้าไปในครัวก่อนที่จะเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำแดงใส่น้ำแข็งที่แค่เห็นก็ดูเย็นชื่นใจสองแก้ว
“ขอบคุณคร้าบบ” ผมตอบ ส่วนพี่ติณห์ก็รับน้ำมาดื่มและลงมือกินข้าว
“ทำไมบ้านพี่มีน้ำแดงด้วยอ่ะ” เท่าที่จำได้คนที่ชอบน้ำแดงมีแค่ผมคนเดียวนะ และตอนนี้ผมก็ยังชอบอยู่ด้วย
“ก็ตอนที่คุณให้น้ำแดงมาสามขวดอ่ะ ผมก็ต้องกินใช่ไหมล่ะ พอกินบ่อยๆแม่ก็นึกว่าชอบเลยไปซื้อมาเก็บไว้เต็มเลย” ผมขำนิดหน่อย
“น้องติณห์ก็ชอบไม่ใช่รึไง เห็นกินตลอดเลย” แม่บุ้ยปากและพูดส่งท้าย
“แม่ไปรดน้ำต้นไม้ก่อนนะ จะเอาอะไรก็บอกนะจ๊ะ” ท้ายประโยคเธอหันมาพูดกับผม ซึ่งผมก็ยิ้มกว้างกลับไปให้เธอ
แม่พี่ติณห์ใจดีมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ติณห์ถึงเป็นคนใจดีขนาดนี้
“คุณยังไม่ได้เล่าเรื่องAFUให้ผมฟังเลย” พี่ติณห์ถามขึ้นมาอีกครั้งหลังจากกินเข้าไปหลายคำแล้ว
“อ้อ ผมลืมไปเลย” เพราะเฮียเข้ามานั้นแหละเลยลืมไปเลยว่าจะเล่าเรื่องAFU
“กินเสร็จก่อนล่ะกัน เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง”
ผมกับพี่ติณห์ใช้เวลาไม่นานในการกวาดอาหารทั้งหมดลงท้องเพราะเราต่างหิวกันมากจริงๆ หลังจากกินเสร็จก็ไม่สามารถบรรเทาอาการหิวของเราได้เท่าไหร่หรอกครับ พี่ติณห์จึงชวนผมออกไปหาอะไรกินที่ตลาดหน้าปากซอยมา
หลังจากได้ของกินมาจนเต็มมือ เราก็กลับมาที่บ้าน และนั่งกินขนมอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนในสวนของแม่ที่แม่พึ่งรดน้ำต้นไม้เสร็จเมื่อกี้นี้เอง
“เดี๋ยวมีคนเห็น” พี่ติณห์บ่นออกมานิดหน่อยเมื่อผมทิ้งตัวลงนอนตักเขา
“ไม่เป็นไรหรอก มากกว่านี้ก็มีคนได้ยินมาล่ะ” พี่ติณห์ดีดเหม่งผมนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ผลักผมออก เป็นสัญญาณอันดีว่าอนุญาตครับ
“พี่อยากฟังอะไรเกี่ยวกับAFUล่ะ” พี่ติณห์วนนิ้วเล่นกับเส้นผมของผมเบาๆ ดูเขาจะชอบผมผมมากเลยแหะ
“อยากรู้ทุกอย่างเลย ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ” ผมงับช็อกโกแลตที่พี่ติณห์ป้อนเข้าปาก
“AFUไม่เหมือนที่นี่เลย ไม่เลยสักนิด” พี่ติณห์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาเพียงแต่สบตากับผมเป็นเชิงบอกว่าฟังอยู่เท่านั้น
“ตอนแรกที่ผมไปถึง ผมก็ต้องไปสอบวัดclassนะครับว่าจะได้classไหน ตอนนั้นผมได้class Cต่อมาอีกสามเดือนก็ต้องสอบอีกครั้ง และครั้งนี้ผมได้A” ผมคว้ามือพี่ติณห์มาจับไว้ขณะที่เล่าไปด้วย
“เหมือนพลิกผันชีวิตผมเลยอ่ะ คลาสของAFUเริ่มตั้งแต่A B CและD ตอนผมอยู่Cนะ ตึกก็ตึกเก่าๆ หอก็หอเก่าๆ แถมต้องอยู่ตั้ง3คน แต่พอผมเลื่อนไปAนะ ผมก็ได้ย้ายไปอยู่หอใหม่ หอโครตใหม่อ่ะ ห้องก็กว้าง แถมอยู่คนเดียวด้วย ตอนนั้นมันทำให้ผมได้รู้ว่าAFUที่แบ่งคลาสกันจริงจังมากๆเลย”
“...จริงจังขนาดที่เพื่อนคลาสCไม่คุยกับผมอีกเลย หลังจากผมย้ายไปคลาสA”
“แต่คนที่ดีใจกับผมที่สุดคนหนึ่งก็คงเป็นลุงแอนดริว ลุงถึงกับสั่งทำดินสอประจำตำแหน่งที่ผมใช้บ่อยๆให้ผมเลยนะ และผมก็มารู้ทีหลังว่า เด็กที่ลุงพาเข้ามาเรียนในAFUเนี่ย อย่างมากก็ได้แค่คลาสBไม่เคยได้Aเลย ผมเป็นคนแรกในรอบสิบปีด้วยซ้ำ เรื่องนี่ถือว่าเป็นเรื่องกดดันอย่างแรกของผมเลยครับ” พี่ติณห์เกลี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้ผมเบาๆ ยังคงเท้าคางมองหน้าผมที่นอนหนุนตักเขาแบบนั้น
“จริงๆAFUมีมาตรการเรียนควบคู่กับทำงานอยู่แล้ว แต่ตอนผมอยู่คลาสCนะ นานนนนนนๆทีถึงจะมีงานสักชิ้นให้ทำ แถมกว่าจะได้ทำก็ต้องรอแล้วรออีก ผมได้ทำงานแค่งานเดียวเองคืองานรีโนเวทคอกม้าให้คุณลุงคนหนึ่ง”
“แต่พอผมย้ายมาคลาสAนะ งานเยอะมากกกก เยอะมากจนผมไม่เข้าใจว่าทำไมไม่แบ่งไปคลาสอื่นบ้าง แถมงานก็ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีแล้วรีโนเวทคอกม้า ซ่อมโรงรถ หรือทำบ้านพักคนงาน งานมันใหญ่กว่านั้นมากๆ เป็นงานในระดับบริษัท งานของพวกกระเป๋าหนักอะไรประมาณนั้น”
“ปกติพวกงานพวกนี้ถ้าทำเสร็จก็จะได้ค่าจ้างไปสมกับค่าเหนื่อย แต่สำหรับผมที่เป็นเด็กทุน หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็เก็บเข้ามหาลัยหมด เอาไปหักลบกับเงินทุนที่ยืมเขามานั้นแหละ ผมจึงไม่ค่อยอยากรับงานเท่าไหร่ แค่งานที่เรียนมันก็หนักจะแย่อยู่แล้วอ่ะ จะเอาเวลาที่ไหนมารับงานนอกอีก” ผมกดจูบที่มือพี่ติณห์เบาๆก่อนที่จะเล่าต่อ
“แต่โชคชะตาคงไม่เข้าข้างผมเท่าไหร่ เพราะเพื่อนคนเดียวในคลาสAอย่างไอ้ต้าเหวินมันชวนให้ผมทำงานหนึ่งคู่กับมัน ขอร้องอ้อนวอนจริงจัง จนสุดท้ายผมก็ต้องทำงานนั้นกับมัน แต่กระแสมันดันดีเกินคาดครับ งานออกมาถูกใจลูกค้ามาก และเขาก็กล่าวชมผมกับไอ้ต้ามาเยอะมาก หลังจากนั้นตำแหน่งในคลาสAของพวกผมก็ถูกขยับขึ้น”
“…ขนาดได้อยู่คลาสAแล้วยังมีจัดอันดับอีกอ่ะ พี่คิดดูดิ” พี่ติณห์เค้นเสียงขำออกมาเบาๆ
“แล้วยังไงต่อ”
“ผมก็รับงานต่ออีก2-3ชิ้น ตอนนั้นมันช่วงขาขึ้นนะครับ ทำอะไรก็ดีไปหมดเลย รู้ตัวอีกทีผมก็ขึ้นเป็นTop5ของclass Aแล้ว ซึ่งจนตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นข้อดีของการเป็นTop5นี้เลย ก็แค่ต้องเหนื่อยกว่าเก่า ทำงานเยอะกว่าเก่า รับผิดชอบมากกว่าเก่า อ้อ.. อาจจะมีเรื่องงานที่จะได้เลือกก่อนคนอื่นล่ะมั้งที่ดีขึ้นมาหน่อย”
“และเพราะอันดับที่สูงขึ้น มันก็เหมือนมีแรงกดดันมากขึ้น งานที่ได้รับก็ใหญ่ขึ้น จนสุดท้ายผมก็ต้องสร้างTeamของผมเอง มีสมาชิก6คน ผมเป็นกัปตัน ไอ้ต้าเป็นต้นหน และน้องๆที่เป็นลูกเรืออีก4คน”
“ก่อนที่จะมานี่ พวกผมรับผิดชอบออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่หนึ่งอยู่ แต่น้องในทีมดันทำพลาดขึ้นมา พี่เข้าใจไหมอ่ะ... พอน้องมันทำพลาด คนที่ต้องรับแทนก็คือกัปตันไง” พี่ติณห์บีบมือผมแน่นๆหนึ่งทีเหมือนกำลังจะบอกผมว่าเขาเข้าใจ
“ผมแม่งต้องเข้าไปขอโทษผู้ใหญ่ จ่ายค่าเสียหายอะไรแบบนั้นเลยเว้ย ตอนเห็นคุณมินตราจ้างงานมา ผมจึงไม่ลังเลที่จะรับงานและชิ่งหลบมาไทยทันที ผมเหนื่อยแล้วอ่ะ ผมไม่ใช่เครื่องจักรที่จะรับอะไรซ้ำซากแทนคนอื่นได้ตลอดนะเว้ย” พี่ติณห์ตบบ่าผมเบาๆ แต่ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ชีวิตที่AFUของผมก็คงมีแค่นี้มั้ง ที่เหลือก็คงเป็นเรื่องเรียน เรียน เรียน งาน งาน งานเท่านั้นแหละ
“งั้นถ้าคุณไม่อยากรับผิดชอบแทน ทำไมคุณไม่บอกให้น้องเขารับผิดชอบเองล่ะ” พี่ติณห์พูดขึ้นมา
“ไม่ได้หรอกครับ..นั้นลูกทีมผมนะ” เมื่อผมพูดจบ พี่ติณห์ก็ระบายยิ้มออกมา
“ถ้าตั้งใจจะช่วยอยู่แล้วจะงอแงทำไมเนี่ย” เขาเลื่อนมือมาบีบจมูกผมเบาๆ
“ก็ตั้งใจจะทำอยู่แล้วแหละ แต่มันเหนื่อยนี้ครับ บ่นไม่ได้เหรอ” พี่ติณห์เลิกคิ้ว
“ผมบอกเหรอว่าห้ามบ่น ผมก็ฟังคุณบ่นอยู่นี่ไง” ผมยิ้มตอบ
“ขอบคุณนะครับ ผมบ่นให้ใครฟังไม่ได้เลยจริงๆ” พี่ติณห์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะกดจูบที่หน้าผากของผม
“คุณเหมือนเดิมเลยนะวา.. ยังคงเป็นวาที่แบกอะไรไว้บนบ่าจนหนักอึ้งไปหมด บอกแล้วไงว่าถ้าแบกไม่ไหว ให้ผมช่วยแบกก็ได้”
“แค่พี่อยู่ข้างๆผม ก็ช่วยผมได้มากโขแล้วครับ” พี่ติณห์ไม่ได้ตอบ แค่จรดหน้าผากเราด้วยกัน
“ผมกลัวว่าผมจะทำได้ไม่ดี” เมื่อได้ระบายแล้วผมก็อยากจะระบายทุกอย่างออกไปให้หมด เพราะพี่ติณห์เป็นคนเดียวที่รับฟังและให้คำแนะนำผมได้เสมอ
“คุณจำได้ไหมว่าก่อนรับน้อง คุณก็กลัวแบบนี้ แล้วเป็นไงล่ะ ไม่มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย อย่าตีตัวไปก่อนไข้สิ” พี่ติณห์ถูจมูกกับจมูกผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนที่จะผละออก
“เอาจริงๆนะ ผมอยากให้พี่อยู่กับผมตรงนั้น อยากให้พี่คอยดุ คอยว่า คอยรั้ง คอยตำหนิ หรือคอยช่วยเหลือผม ผมอยากให้พี่อยู่กับผมจริงๆนะพี่ติณห์” ผมผสานมือเราเข้าด้วยกัน และสบสายตากับเขาตรงๆเป็นการบอกว่าผมพูดจริงๆ
“ผมอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับคุณ แต่ผมอยู่ตรงนี้เสมอนะ” พี่ติณห์โน้มตัวลงมาใกล้ ก่อนที่จะกดจูบที่หน้าอกด้านซ้ายของผม
“ผมคิดไม่ผิดจริงๆที่กลับมาเติมพลังกับพี่” ผมคว้าท้ายทอยพี่ติณห์ไว้ก่อนที่จะดึงพี่ติณห์ขึ้นมาจูบ
ชีวิตAFUของผมมันเหนื่อยมากจริงๆ มันเป็นความรับผิดชอบของคนที่อยู่สูง คนที่ไม่สามารถก้าวพลาดได้แม้แต่ก้าวเดียว นี่ผมก็ทำใจไว้บ้างแล้วว่าการที่งานผมพลาดครั้งนี้คงทำให้ตำแหน่งผมตก และก็ต้องมานั่งปลดลูกทีมอีกแน่ๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้หรอกครับว่าจะปลดใครออก มันไม่ใช่เพียงแค่อยากจะรักษาตำแหน่งเอาไว้เพื่อชื่อเสียง แต่การรักษาตำแหน่งเอาไว้ก็เหมือนการประคับประคองทีมด้วย เพราะเมื่อตำแหน่งผมตกลง ลูกทีมผมก็ต้องลดลงตามไปด้วย
ดังนั้นผมจึงพยายามอย่างมากไม่ให้ตัวเองตกลงมา
แต่มันก็คงไม่มีใครที่ไม่ผิดพลาดเลย
“แล้วนี้ผมไปแย่งตัวกัปตันมาจะไม่เป็นไรเหรอ” พี่ติณห์ถามขึ้นหลังจากผละริมฝีปากออกแล้ว
“เป็นดิ พี่อาจจะโดนลูกทีมผมรุม” พี่ติณห์ดีดเหม่งผมอีกครั้ง
“ว่าแต่คุณจะอยู่นานเท่าไร”
“จนกว่างานคุณมินจะเสร็จอ่ะ ตามที่ขอมหาลัยไว้ก็...7วัน”
“เดี๋ยวนะ.. นี้มันกี่วันแล้ววะ” หัวคิ้วม่นๆขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิดทันที
“วันงานรับปริญญาพี่ก็คือวันที่1 เมื่อวานวันที่2 วันนี้ก็วันที่3แล้ว”
“เฮ้ยยยยยยยย ผมก็เหลือเวลากับคุณอีกแค่4วันเองเหรอ” ผมพยักหน้ายืนยันพร้อมเบ้ปากอย่างไม่พอใจเวลาที่ผ่านไปโครตเร็ว
“เหลือแค่4วันเอง เราควรจะทำอะไรดีล่ะ” ผมผุดลุกขึ้น ระบายรอยยิ้มที่พี่ติณห์เคยมองว่ามันดูร้ายกาจออกมาก่อนที่จะตอบคำถามนั้น
“เราก็มาทำอะไรที่มันทำไม่ได้ตอนเราห่างกัน เป็นการเก็บตุนไว้ก่อนดีกว่า” พูดจบผมก็เลื่อนมือไปบีบสะโพกพี่ติณห์ พี่ติณห์สะดุ้งก่อนที่จะคว้ามือผมไว้
“ในหัวคุณมีแต่เรื่องหื่นๆรึไงเนี่ยยยยย”
“ถ้าผมตอบว่าใช่ พี่จะสนองให้ป่ะล่ะ” พี่ติณห์ย่นจมูกก่อนที่จะผลักหน้าผมออกจนหงายเลยครับ
“รอมืดก่อนไม่ได้รึไงล่ะ”
แปลไทยเป็นไทยได้ว่า
จะสนองให้สินะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เวลาทำให้คนเปลี่ยนไป ซึ่งทั้งพี่ติณห์และวาก็ต่างเปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดไหน ความรู้สึกก็ยังคงเดิม นี่แหละคือความพิเศษ สำหรับบทนี้ คงเคลียร์เรื่องความสัมพันธ์แล้ว ถือว่าแฮปปี้นะ 5555 ต่อไปก็หวังให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆล่ะกัน 55555
เจอกันค่าาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

5555555555
พี่ติณต้องให้รางวัล5555
แต่นางเก่งนะ ไต่เต้าได้เป็นท็อปไฟว์ของห้อง
สนุกดีค่ะ
รอตอนต่อไป อิอิ
แต่นางเก่งนะ ไต่เต้าได้เป็นท็อปไฟว์ของห้อง
สนุกดีค่ะ
รอตอนต่อไป อิอิ