ตอนที่ 45 : specify; 1-2 its been a long day
1-2
“คุณวรมินทร์คะ บอสพร้อมแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ถึงแม้ในหัวผมจะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องเวลาที่เลยไปกว่าเวลานัดตั้งหลายชั่วโมง แต่สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่หยิบกระเป๋าคู่ใจและของทั้งหมดที่เตรียมมาพรีเซนต์ทุกอย่างขึ้นมาถือไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่จะก้าวขาเข้าไปในห้องที่ผมรอเข้ามาตั้งแต่เช้า โดยไม่ลืมหันไปขอบคุณพี่เลขาที่อุตสาห์เปิดประตูไว้ให้
“นั่งก่อนสิจ๊ะ” การที่คนที่ผมรอเป็นผู้หญิงไม่ได้ทำให้ผมตกใจซะเท่าไหร่ เอาจริงนะ ตอนนี้ผมโครตเหนื่อย และผมไม่มีแรงจะใส่ฟิลกับทุกอย่างในชีวิตหรอก
ผมแค่อยากรับผิดชอบงานให้เสร็จ และกลับไปนอนสักตื่น
“ผมเริ่มเลยนะครับ” ผมยิ้มทางธุรกิจให้ผู้หญิงท่าทางภูมิฐานตรงหน้า ซึ่งเธอกำลังยกมือขึ้นมาผสานและมองหน้าผมอย่างตั้งใจ
เกินไปซะด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวสิ แนะนำตัวก่อน” เธอว่างั้นและยิ้มด้วยรอยยิ้มที่คงมั่นใจมากๆว่าร้อยทั้งร้อยของผู้ชายไม่มีทางปฏิเสธยิ้มแบบนี้ของเธอได้
“วรมินทร์นะครับ เป็นสถาปนิกจากAFU ที่merlyขอไป” เธอทำหน้าไม่พอใจนิดหน่อยเมื่อผมพูดจนจบ
“ทำไมแนะนำตัวสั้นจังเลยล่ะ” โอเค.. นี้ไม่ใช่ลูกค้ารายแรกหรอกที่ผมเจอแบบนี้
“คุยงานกันก่อนไหมครับ แล้วผมจะแนะนำตัวยาวๆให้ฟัง” เธอขำนิดหน่อยก่อนที่จะขยับไปนั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางชิลๆ
“วรมินทร์เหรอ..ชื่อเล่นล่ะ”
“วาครับ” ถึงเธอจะยังถามเรื่องประวัติของผมอยู่ แต่จากที่มีประสบการณ์อยู่บ้าง ผมจึงหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมาขึ้นมากางบนโต๊ะ
“เธอรู้ไหมว่าฉันชื่ออะไร” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เธอก็ถามขึ้นมาซะก่อน
“คุณมินตรา” ผมตอบ ผมนั่งรอหน้าห้องมา3ชั่วโมงล่ะนะ เชื่อเถอะว่าผมได้ยินคุณเลขารับสายและพูดประโยคว่า คุณมินตราติดประชุมค่ะ เดี๋ยวเลิกประชุมจะติดต่อกลับนะคะ ประมาณห้ารอบเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นไม่ผิดแน่นอน
“ชื่อเล่นสิ” เธอท้วงเบาๆ แต่นั้นเล่นเอาผมใบ้กินทันที
ผมจะไปรู้ได้ไงวะ
“ผมไม่จำเป็นต้องรู้หรอกมั้งครับ” ผมไม่ได้พูดในเชิงว่ามันไม่สำคัญ แต่ผมพูดในเชิงที่บอสใหญ่ของบริษัทอาหารเสริมชื่อดังอย่างmerly ไม่มีความจำเป็นต้องแนะนำตัวกับเด็กทุนอย่างผมต่างหาก
“จำเป็นสิ นี่..เธอหล่อมากเลยนะ สนใจมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้productใหม่ของฉันไหม” ผมยิ้มแหย่ๆทันที ถ้าปกติผมคงจะกลอกตาและดึงเข้าเรื่องงาน แต่อะไรหลายๆอย่างที่ผมเรียนรู้มา มันทำให้ผมรู้ว่าการแสดงกิริยาท่าทางอะไรเพียงเล็กน้อย มันสามารถส่งผลระยะยาวต่อผมได้เลยล่ะ
“โอเคๆไม่แกล้งล่ะ งั้นฉันเรียกเธอว่าวาล่ะกันนะ จะได้คุยกันง่ายๆ ส่วนเธอก็เรียกฉันว่าคุณมินก็ได้จ๊ะ” ผมพยักหน้ารับ นี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มงานนะ
“ผมเริ่มเลยนะครับ” ผมขออนุญาตเธออีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เธอผายมือเป็นเชิงตามสบายทันที
“ถ้าตามโจทย์ที่ผมได้มา คุณจะสร้างเรือนหอใช่ไหมครับ” คุณมินพยักหน้า
“ใช่จ๊ะ เราจะแต่งกันต้นปีหน้า แต่แม่ฉันอยากให้เราจัดการเรื่องบ้านให้เรียบร้อยก่อน”
“คุณมีแบบบ้านที่ตั้งใจจะทำอยู่แล้วรึเปล่าครับ ถ้ายังไม่มี ผมเสนอได้นะ” เธอทำหน้านึกแต่ก็เลื่อนมือมารับแบบที่ผมส่งให้เธอดูอยู่ดี
“ยังไงดีล่ะ สามีฉันน่ะ เขาอยากให้ฉันดูแลเรื่องเรือนหอไปเลย เขาบอกว่าเขายังไงก็ได้ แต่ฉันอยากให้เขาได้เลือกบ้างนะ” เธอพูดในขณะที่กวาดสายตามองแบบไปด้วย
“งั้นแบบนี้ ฉันขอยืมไปให้สามีดูนะ” ผมยิ้ม
“เชิญเลยครับ”
“ส่วนฉันเอง มันก็มีอะไรบางอย่าง ที่ฉันอยากให้มีอยู่ในบ้านนะ แบบmust be” ผมกระชับดินสอในมือทันที
“ว่ามาได้เลยครับ” คุณมินยิ้มให้ผม ขยับมาเท้าแขนกับโต๊ะและเริ่มบอกสิ่งที่เธออยากได้ทีล่ะอย่าง
ผมคิดว่าผมใช้เวลาคุยกับคุณมินไม่นานนะ จนหันมามองเวลาอีกทีมันล่วงเลยจน5โมงเย็นนั้นแหละที่ผมพึ่งรู้ตัวว่าเราใช้เวลาไปประมาณหนึ่งแล้ว
จริงๆมันควรที่จะเสร็จตั้งแต่บ่าย2ล่ะครับ เพราะเรานัดเจอตอน7โมง ผมอุตสาห์นัดตั้งแต่เช้าเพื่อจะหลีกเลี่ยงการประชุมอะไรก็แล้วแต่ของคุณมิน แต่เธอก็ดันมาติดประชุมตอนผมมาถึงพอดี แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากนั่งรอ กว่าเธอจะประชุมเสร็จก็11โมงแล้ว คุยงานไปได้แปบเดียวก็ต้องพักกินข้าวเที่ยงอีก โชคดีหน่อยที่คุณมินยอมกินไปด้วยและคุยงานไปด้วย (เลี้ยงข้าวผมด้วย) และเราก็กลับมาคุยงานกันอีกครั้ง กว่าจะเสร็จก็5โมงเย็นเลยเนี่ย
“แล้วนี้กลับยังไงเรา” เพราะคุยงานกันมาทั้งวัน เราเลยสนิทกันแล้วครับ
“รถเมล์ครับ”
“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” ผมส่ายหัวทันที
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับได้”
“ฉันเป็นคนกักตัวเธอไว้จนเย็นขนาดนี้ให้ฉันไปส่งเถอะ” ผมกำลังจะอ้าปากเถียงอีกครั้ง ถ้าคนขับรถที่ควบตำแหน่งบอดี้การ์ดของคุณมินไม่ได้มองผมตาขวาง เหมือนกำลังบอกผมเป็นนัยๆว่าอย่าปฏิเสธนายเขาได้ไหม
“ผมกลับเองได้จริงๆครับ” ผมทำเป็นมองไม่เห็นและหันไปยืนยันคำเดิมกับคุณมิน
“เอาน่า มีคนไปส่ง ไม่เสียค่ารถไม่ดีเหรอ” คราวนี้เธอไม่รอให้ผมปฏิเสธซ้ำอีกครั้ง เพราะเธอคว้าคอผมไปกอดและเดินนำออกไป
ถือว่าไม่เปลืองค่ารถล่ะกัน
แต่การที่มีผู้โดยสารเพียงแค่2คนภายในรถตู้ก็ทำให้บรรยากาศอึดอัดระดับหนึ่งเลยนะ
“วาไปเรียนที่AFUเมื่อไรเหรอ” คุณมินคงสัมผัสได้ถึงความน่าอึดอัดที่โรยตัวอย่างช้าๆจึงถามขึ้น
“ปีที่แล้วครับ”
“ก็แปบเดียวเองนะ แสดงว่าเก่งมากเลยดิ AFUถึงได้ยอมป้อนงานให้”
“ไม่หรอกครับ มันต้องทะเยอทะยานนะ” ผมตอบแค่นั้นดดยไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมออกไปอีก
ผมไม่เคยเล่าชีวิตที่นู้นของผมเลยสินะ
มันเหนื่อยมากครับ
นี้เป็นคำๆแรกที่ผมคิดออกเมื่อนึกถึงช่วงปีที่ผ่านมา
“จริงๆแล้วตอนยื่นเรื่องให้AFUนะ ฉันไม่คิดว่าจะได้เด็กไทยหรอก แต่ตอนนายตอบตกลงนะ ฉันดีใจมากกกก ยังไงก็อยากให้คนไทยออกแบบให้อยู่ดีอ่ะ” คุณมินพูดต่อมาอีก เป็นที่รู้กันว่าAFUนะมีชื่อเสียงอยู่ระดับหนึ่งถึงมาก ดังนั้นใครๆก็ต่างอยากจ้างงานเด็กที่นี่ เป็นการส่งเสริมการศึกษาของเด็กไปด้วยในตัว แต่ตอนยื่นเรื่องจ้างไปจะไม่สามารถเลือกได้ว่าจะได้สถาปนิกคนไหนมาทำงาน เพราะพวกเราก็ต้องมาสู้กันอีกที กว่าผมจะได้อันนี้มานี่เหนื่อยเลยครับ
“ผมก็ดีใจเหมือนกันครับที่ได้กลับไทย” ผมพึมพำเบาๆ ก่อนที่รถตู้จะมาจอดหน้าบ้านพอดี
“ขอบคุณนะครับคุณมิน อีก2วันเจอกันนะครับ” เธอยิ้มกว้าง ก่อนที่รถจะขับออกไป
ผมยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาอีกครั้ง ตอนนี้6โมงกว่าจะครับ ความรถติดนี้
“ออกเช้ากลับเย็นเลยนะมึง” เสียงทักทายของเฮียดังออกมาก่อนที่ผมจะเห็นหน้าเขาอีกครับ
“ก็ทำงานอ่ะเฮีย” ผมตอบ วางกระเป๋าลงโซฟาที่เป็นทั้งเตียงและที่เก็บของของผมช่วงคราว ก่อนที่จะยกมือขึ้นบิดขี้เกียจอย่างปวดเมื่อย
“กินข้าวมารึยังจ๊ะ” เสียงของแม่ดังเข้ามาในโสตประสาทผม จากที่ผมกำลังจะหันไปตอบก็ชะงักไปเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ในครัวกับคนอีกคน
ไอ้คนนี้อีกล่ะ
ผมเห็นมันครั้งแรกตอนงานรับปริญญาของพี่ติณห์เมื่อวาน ไม่ได้คิดไปเองด้วยว่าไอ้เด็กนี่อยู่ไม่ห่างตัวพี่ติณห์เลย และวันนี้มันก็โผล่มาอยู่บ้านพี่ติณห์เฉย
หรือว่าจะเป็นแฟน
พี่ติณห์แทบจะไม่คุยกับผมเลย แถมยังคอยหลบหน้าผมตลอดเวลา จะให้ผมคิดยังไงล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีแฟนอยู่แล้วและไม่อยากให้แฟนต้องเป็นกังวล
เราตกลงกันชัดเจนว่าต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ไปเจอคนใหม่ได้ และผมเองก็คบๆเลิกๆมาก็หลายคน ถ้าพี่ติณห์จะเริ่มใหม่กับใครสักคนก็คงไม่แปลก และด้วยความที่เป็นพี่ติณห์ ยังไงเขาก็ไม่มีทางนอกใจแฟนอยู่แล้ว ไม่แม้แต่จะทำให้เขาลำบากใจ
ถึงได้เมินผมบ่อยๆสินะ
“มึงทันป่ะวะ” เฮียเดินมาขวางสายตาผมไว้ก่อนที่จะพูดขึ้น
“ทันอะไรอ่ะ”
“ไอ้เนฟไง” คิ้วผมกระตุกขึ้นมาเลย
“ชื่อเนฟเหรอ” เฮียพยักหน้ารับ
“ปี1ของถาปัตย์ปีนี้” เฮียอธิบายเพิ่ม
รุ่น101สินะ
101นี้ผมแทบจะไม่รู้จักใครเลยครับ รู้จักคนเดียวคือไอ้แพน น้องรหัสไอ้กิต ที่มันอุตสาห์พามาแนะนำตัวเมื่อวาน
“รหัสอะไรอ่ะ” ถึงผมจะไม่รู้จัก101เลย แต่ผมแน่ใจว่ารู้จัก100ทุกคน ดังนั้นผมอยากรู้ว่าไอ้เด็กเนฟนี้มันน้องรหัสใคร
“ไม่รู้ดิ.. เนฟ! รหัสไรวะ” ท้ายประโยคเฮียตะโกนถามเนฟที่อยู่ในครัว
“0043ครับ” ฝ่ายนั้นตะโกนกลับมา คำตอบมันเล่นเอาผมชะงักไปเลย
รหัสเดียวกับพิ้งค์
ไอ้นี่น้องรหัสพิ้งค์เหรอ!
“เป็นแฟนพี่ติณห์เหรอครับ” ผมหันมาถามเฮียตรงๆ
ให้มันชัดๆไปเลยมา!
“กูไม่แน่ใจว่ะ แต่ไอ้เนฟมันจีบติณห์ จีบมาจะปีล่ะ ไม่รู้ติณห์มันใจอ่อนรึยัง แต่มันก็ไม่ได้จะชวนใครมากินข้าวที่บ้านบ่อยๆหรอกนะ” เฮียพูดอะไรต่ออีกที่ไม่ได้เข้าหูผมเลยสักนิด ประโยคที่ดังในหัวผมมีเพียงแค่ เนฟจีบพี่ติณห์ และไม่รู้ด้วยว่ามันจีบติดรึยัง
จะผิดไหมถ้าผมภาวนาให้พี่ติณห์ใจแข็งอีกสักหน่อย
อย่าพึ่งใจอ่อนให้ใครเลยนะ
ขอร้องล่ะ
เพราะถ้าพี่คบใครแล้วจริงๆ
ผมก็หมดสิทธิ์ที่จะทวงพี่คืนมาแล้ว
ผมควงดินสอประจำตำแหน่งในมือก่อนที่จะฟุบตัวลงนอนกับโต๊ะ ในหัวอาจจะมีภาพบ้านคุณมินอยู่แต่ผมขอพักสายตาสักพักเถอะ
ผมหยุดสายตาที่ดินสอในมือ พยายามจะไม่หลับตาลงเพราะถ้าหลับตาได้ผมคงจะหลับยาวเลยแน่ๆ และผมอยากให้งานเดินกว่านี้สักหน่อยถึงจะนอนได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร เหตุผลที่ผมเรียกดินสอไม้ธรรมดาในมือว่าดินสอประจำตำแหน่ง ก็เป็นเพราะ...
ผมหมุนดินสอไม้ในมือ ก่อนที่จะพบกับตัวอักษรแกะสลักที่ปลายด้ามว่า Voramin
ดินสอแท่งนี้ลุงแอนดริวสั่งทำให้ผมหลังจากผมเลื่อนclassได้ และผมก็ใช้มันมาโดยตลอด
ผมวางดินสอแท่งนั้นลง และลากขาไปหาอะไรกินในครัว จริงๆผมก็เกรงใจบ้านพี่ติณห์เหมือนกันนะที่มาอาศัยบ้านเขา แต่ถ้าจะให้ผมอยู่บ้านย่ามันก็ไกลอ่ะ ผมต้องทำงานด้วย ถ้าได้บ้านอยู่ในตัวเมืองหน่อยก็คงสบายกว่า
ดังนั้นขอรบกวนสักพักล่ะกัน
แต่ผมหยิบของบ้านเขากินเฉยๆมันจะไม่ดูน่าเกลียดไปหน่อยเหรอวะ อย่างน้อยผมก็ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างนะ เพราะคิดได้แบบนั้นผมจึงหันไปที่ตู้เย็นและหยิบน้ำออกมาดื่มแทน ในขณะที่หมุนตัวไปหยิบแก้ว สายตาก็หันไปเห็นคนที่กำลังเดินลงมาจากบันไดพอดี
พี่ติณห์ชะงักขาไปเมื่อเห็นผม หันรีหันขวางเหมือนกำลังคิดว่าลงมาดีไหม
แต่สุดท้ายพี่ติณห์ก็ลงมาอยู่ดี
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” ถึงเขาจะมีแฟนใหม่ไปแล้วยังไงก็เถอะ ผมก็ยังอยากคุยกับเขาเหมือนเดิมนะ
“อืม แล้วคุณอ่ะ เมื่อคืนก็นอนดึก แถมตื่นซะเช้าเลย วันนี้ไม่รีบนอนเหรอ” ประโยคคำถามแฝงด้วยความเป็นห่วงตามสไตล์ของพี่ติณห์ จะติดก็ตรงที่เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองผมนี่แหละ
“ผมทำงานนะครับ” ผมตอบกลับไป คราวนี้พี่ติณห์หันมามองผมนิดหน่อยก่อนที่จะหันไปสนใจหม้อน้ำตรงหน้า
“ทำงานอะไร.. นี้คุณเรียนจบแล้วเหรอ” ผมอดที่จะยิ้มให้แผ่นหลังของคนข้างๆไม่ได้ อาจจะไม่ได้พูดขึ้นมาตรงๆ แต่มันก็แฝงไปด้วยความอยากรู้ไม่ใช่เหรอ
พี่ติณห์อยากรู้เรื่องของผม
แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วววว
“ต้มมาม่าเหรอครับ” ผมไม่ได้ตอบแต่ถามกลับไปแทน
“อ่าฮะ”
“เผื่อผมด้วยได้ไหม” ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเพื่อดูปฏิกิริยาของพี่ติณห์
“..ผมไม่ได้กินมาม่าฝีมือพี่ติณห์มาตั้งนานล่ะนะ” ผมพูดต่อและหันไปมองหน้าคนที่อยู่ใกล้ผมแค่เอื้อม
พี่ติณห์ไม่ได้ตอบผมในทันที เขาสบตากับผมนิ่งๆ เป็นสายตาที่เขาใช้มองผมตลอด
บางที
พี่ติณห์คงยังไม่ได้คบกับเนฟ
ผมได้คำตอบกับตัวเองตอนนั้นเพราะสายตาที่พี่ติณห์ใช้มองผมมันไม่ต่างจากเดิมเลย ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว สายตาที่ผมหลงใหล และดึงดูดผมที่สุด
รู้ตัวอีกทีผมก็ขยับตัวเข้าไปหาเขามากขึ้น ครั้งหนึ่งผมเคยพิสูจน์ทุกอย่างด้วยสิ่งนี้มาแล้ว ครั้งนี้ผมก็จะพิสูจน์ความรู้สึกของผมกับพี่ติณห์ ว่ามันยังเหมือนเดิมอยู่ไหม ด้วยวิธีเดิม
ลมหายใจอุ่นๆของพี่ติณห์ละอยู่ที่ปลายจมูกผม รู้ไหมว่าผมต้องทำยังไงและอะไรหลายอย่างมากกว่าผมจะได้มายืนตรงนี้ กว่าจะได้กลับมาหาเขา และถึงแม้ผมจะไม่พอใจเรื่องพี่ติณห์คบกับคนอื่นขนาดไหน ผมก็ต้องยอมรับว่าก่อนไปเราไม่ได้เป็นอะไรกัน และผมเองก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อเขาตลอดเวลา ดังนั้นถ้าผมจะโกรธเขา ผมก็ต้องโกรธตัวเองด้วย
ผมคิดไว้เยอะมาก คิดไปต่างๆนานา และแน่นอนว่าผมคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่า ถ้าผมกลับมาและพี่ติณห์มีคนอื่นไปแล้ว ผมจะทำยังไง หลังจากหาคำตอบกับตัวเองมายาวนาน ผมก็ได้คำตอบว่าถ้าพี่ติณห์เลือกแล้วจริงๆ ผมจะเคารพต่อการตัดสินใจของเขา ผมจะไม่ดึงดันแย่งเขากลับมา แต่ถ้าเขายังรอผมอยู่ ยังรู้สึกเหมือนเดิม
ผมจะทำให้เขากลับมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ดวงตาสีดำขลับแบบพี่ติณห์กลายเป็นสีตาที่หายากมากๆเมื่อผมไปอยู่อังกฤษ ผมเจอแต่ผมตาสีฟ้า ตาสีน้ำข้าว และพวกตาสีอ่อนๆ ตอนแรกผมก็เคยชื่นชมสีตาเหล่านั้น แต่ไม่ว่าจะดวงตากี่คู่ต่อกี่คู่ กี่คนต่อกี่คน ก็เทียบกับดวงตาของคนตรงหน้าผมคนนี้ไม่ได้เลย
ไม่มีดวงตาคู่ไหนที่สวยได้เท่าตาของพี่ติณห์
ยิ่งพี่ติณห์ไม่ได้ขยับตัวหนี ยิ่งทำให้ผมยับยั้งตัวเองไว้ไม่ได้ ผมปล่อยให้ร่างกายของเราขยับเข้าหากันด้วยแรงดึงดูดอ่อนๆระหว่างเรา
ที่มันยังคงอยู่
และมันไม่เคยหายไปไหน
สุดท้ายริมฝีปากของผมก็ประกบลงกับริมฝีปากที่แสนคุ้นเคย
ความอบอุ่นเป็นอย่างแรกที่ผมสัมผัสได้ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรง
เมื่อผมเริ่มรุกล้ำริมฝีปากอุ่นที่ร้อนขึ้นทุกขณะ พี่ติณห์ที่ยืนรับสัมผัสของผมนิ่งๆก็เริ่มตอบรับจูบของผมในที่สุด อาจจะเพราะเราไม่ได้จูบกันนานมาก มันนานมากจริงๆ จูบครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยความอัดอั้นและ ความต้องการอีกฝ่ายที่ปะทุออกมาอย่างไม่อาจกักเก็บต่อไปได้อีกต่อไป
เรียวลิ้นอุ่นต่างเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่ยอมแพ้ ผมผลักพี่ติณห์จนชนกับโต๊ะข้างหลัง และถึงแม้เสียงมันจะดังขึ้นมาผมก็ไม่ได้สนใจ ผมเลื่อนมือไปรั้งเอวของคนตรงหน้าไว้ เหนี่ยวรั้งให้มันใกล้ชิดกับผมมากขึ้น และเมื่อเราแนบชิดติดกันแบบนี้ เสียงหัวใจที่กำลังแข่งกันเต้นระรัวก็ยิ่งดังเข้าไปใหญ่ พี่ติณห์เลื่อนมือมาเกี่ยวคอผมไว้ ก่อนที่มืออีกข้างจะสอดเข้าไปในเส้นผมของผมและขยุ้มมันไว้ เหมือนเขากำลังหาที่พักพิงร่างกายของเขา เหมือนที่ผมกำลังใช้ร่างกายเขาต่างที่พักเหมือนกัน
แต่ถึงแม้จูบนี้จะสูบพลังมากมายขนาดไหน เราก็ยังคงกดจูบเข้าหากันครั้งแล้ว..ครั้งเล่า โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะไปจบตรงไหน นี่เป็นจูบที่ยาวนานที่สุดเท่าที่ผมจะเคยจูบกับใครสักคนจริงๆ แต่ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจแบบนั้น
ผมก็ไม่มีความคิดที่จะผละเขาออกเลย
เรายังคงแลกเปลี่ยนสัมผัสให้กันและกันอย่างนั้นอีกสักพัก ก่อนที่ความเจ็บที่ริมฝีปากจะทำให้ผมเลือกที่จะผละออกมา
เรื่องของเรื่องคือผมไม่อยากทำให้พี่ติณห์เจ็บนะ
ผมถอดริมฝีปากออก แต่ยังคงจรดหน้าผากของผมกับเขา ปล่อยให้ปากทำหน้าที่หายใจแทนจมูก ทำให้เสียงหอบหายใจของเราทั้งคู่ต่างดังไปพร้อมๆกัน ผมกำชับแขนที่กอดเอวพี่ติณห์ให้ใกล้ขึ้น ตั้งใจให้เขาช้อนสายตาขึ้นมาสบกับผม ก่อนที่ผมจะพูดออกไป
“ทำแบบนี้..แฟนไม่ว่าเหรอครับ” พี่ติณห์ชะงัก หัวคิ้วม่นๆนั้นขยับเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ใคร” เขาถาม
“น้องที่ชื่อเนฟไง” เมื่อผมพูดจบ พี่ติณห์ก็ขยับออกห่างจากผมนิดหน่อย เหมือนอยากจะเว้นระยะเพื่อมองหน้าผมให้ชัดขึ้น
“ใครบอกคุณว่าผมคบกับเนฟ”
“ไม่มีใครบอกหรอกครับ ผมเดาล้วนๆ” ผมตอบ และยื่นหน้าเข้าไปหาเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พี่ติณห์ขยับหนี แต่ก็ขยับหนีได้ไม่เท่าไหร่หรอกครับในเมื่อเอวเขายังอยู่ในอ้อมแขนผมแบบนี้
“ผมกับเนฟไม่ได้คบกัน” พี่ติณห์พูดออกมาในที่สุด
“ทำไมล่ะครับ เห็นเฮียบอกว่าเนฟมันตามจีบพี่มาเกือบปีแล้ว พี่รออะไรอยู่” โอเคยอมรับก็ได้ว่าตั้งใจถามกวนประสาทไปงั้นแหละ พี่ติณห์จูบผมดูดดื่มขนาดนั้น จะให้ผมคิดว่าเขามีใครในใจได้ยังไง ผมรู้ตั้งแต่เขาจูบตอบแล้วว่าพี่ติณห์ยังคงไม่เปลี่ยนจากเดิม
แต่แค่อยากได้ยินชัดๆจากปากเขาเท่านั้น
“รอคุณไง” ไม่รู้เพราะความร้อนจากจูบครั้งล่าสุดของเรายังคงอบอวลอยู่รอบๆ หรือเพราะเขาพ่ายแพ้ต่อสายตาของผม หรือแม้แต่มือร้อนๆที่ผมกอดเอวเขาอยู่ พี่ติณห์ถึงได้พูดออกมาตรงๆ
“ผมขอโทษนะครับ” ผมสบตากับฝ่ายนั้นก่อนที่จะพูดขอโทษออกมา
“ขอโทษทำไม ไม่ต้องขอโทษ” พี่ติณห์เลื่อนมือที่ลดลงกลับมากอดคอผมอีกครั้ง แถมยังใช้มันเกี่ยวผมให้เข้าไปหาเขาด้วย
“แค่กลับมาหาผม..กลับมาหาผมได้แล้ววา” เขาพูดจนจบก่อนที่จะกดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ส่งมอบจูบที่โหยหาผมมากที่สุดเพื่อให้ผมรู้ว่าเขากำลังต้องการอะไร
ครั้งแรกที่ผมเจอพี่ติณห์หลังจากเราไม่เจอกันมานานนับปี เราต่างก็ยังมีกำแพงบางๆที่คอยปกป้องตัวเองอยู่ไม่ต่างกัน ผมเองถึงแม้จะอยากคุยกับเขามากขนาดไหน ผมก็ต้องคิดอยู่ตลอดว่าจะพูดอะไรดี จะชวนคุยอะไรดี เพราะผมไม่อยากให้อะไรก็ตามมันผิดพลาดขึ้นมาอีก และผมรู้ดีว่าพี่ติณห์ตั้งใจเว้นระยะกับผม เหมือนเขากำลังขอเวลาอีกสักหน่อยจากผม จริงๆผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ ผมให้เวลาเขาเสมอ แต่เพราะผมเห็นไอ้เนฟอยู่ข้างเขาวันนี้นี่แหละที่ทำให้ผมเว้นระยะระหว่างเราไม่ได้อีกต่อไป
ผมจะไม่ยอมให้เขาเป็นของใคร
และจูบของเราคงจะช่วยทลายกำแพงในใจของพี่ติณห์และผม จนหมดสิ้นแล้ว
เราต่างกอดกันไว้ในอ้อมแขน และใช้จูบเป็นสื่อแทนความรู้สึกในใจ
แต่แค่ประโยคร้องขอให้ผมกลับมาของพี่ติณห์ ผมก็พร้อมจะมอบทุกอย่างในชีวิตให้เขาแล้วจริงๆ
ผมกับพี่ติณห์เราต่างต้องมองโลกแห่งความเป็นจริงก่อนเสมอ ทั้งเรื่องที่ผมรับทุน ทั้งเรื่องที่พี่ติณห์ต้องปล่อยให้ผมไป เพราะเราต่างรู้ว่ามันไม่มีอะไรค้ำประกันเลยว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปตราบนานเท่านาน และสิ่งที่จะคงอยู่กับเราจริงๆคือความรู้ คือเส้นทางอนาคตที่เราจะได้วาดฝันเอง เพราะแบบนั้นเราจึงแยกกันไปคนล่ะเส้นทาง ต่างเดินไปในทางที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด แต่ใครล่ะจะไปรู้ว่ายิ่งเส้นทางที่เราเลือกมันมีอุปสรรค มันเหนื่อยล้ามากมายขนาดไหน มันก็ยิ่งทำให้เราคิดถึงกัน และการที่เราได้กลับมาเจอกัน มันยิ่งทำให้คำว่าคิดถึงมีค่ามากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า
เพราะคิดถึงจึงกลับมาหา
เพราะคิดถึงจึงไม่อยากทำอะไรไม่ดีกับเขาอีก
เพราะคิดถึงจึงอยากเป็นคนดีของเขาอีกสักครั้ง
และเพราะคิดถึงอีกนั้นแหละ จึงอยากกลับไปยืนที่เดิมที่เคยยืน
ผมยอมรับว่าผมกำลังเหนื่อย ผมเหนื่อยกับเรื่องเรียนและงาน มันถาโถมจนผมไม่แน่ใจว่าผมจะประคองทุกอย่างไปได้ตลอดรอดฝั่งได้ยังไง การกลับมาหาพี่ติณห์ครั้งนี้ก็เหมือนการกดpauseเรื่องพวกนั้นไว้ กลับมาหาคนที่ใจต้องการ
กลับมาเติมพลังให้กับหัวใจ
ยิ่งผมคิดถึงเขามากขนาดไหน วันนี้ผมจะตักตวงจากเขาจนกว่าจะพอใจ
จนกว่าจะหายคิดถึง
ผมผละริมฝีปากออกจากริมฝีปากของพี่ติณห์ เปลี่ยนมาพรมจูบกับใบหน้าที่แสนคิดถึง ซุกไซ้ลงที่ซอกคอ ที่มักจะมีกลิ่นของพี่ติณห์ชัดเจนกว่าที่อื่น กดจูบและกัดเท่าที่อยากทำ ผมโหยหาเขามากจริงๆและแค่จูบมันแทบจะบรรเทาอะไรผมไม่ได้เลย
“วา” พี่ติณห์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อผมกัดเข้าที่ใบหูของอีกฝ่าย ทั้งยังปล่อยให้ลมหายใจละที่ใบหูอยู่แบบนั้น
“เดี๋ยวๆ” คราวนี้พี่ติณห์พยายามขยับหนีผมด้วย เมื่อผมกำลังเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆและเรื่อยๆโดยผมกำลังเลิกเสื้อยืดของพี่ติณห์ขึ้น
“ตรงนี้ไม่ได้” พี่ติณห์รั้งหน้าผมไว้ก่อนที่จะดึงให้ผมขยับมาอยู่ในระดับสายตาเขาอีกครั้ง ลมหายใจที่ผิดปกติและเหงื่อที่เริ่มซึมตามไรผมทำให้ผมรู้ดีเลยล่ะว่าพี่ติณห์ก็กำลังมีอารมณ์ร่วมอยู่ไม่น้อย
“บอกแล้วว่าไม่ให้มาค้างบ้านผม” พี่ติณห์ยังคงบ่นออกมา แต่ผมเพียงแค่ขำเบาๆในลำคอและกดจูบที่ขมับของพี่ติณห์ ก่อนที่จะไล้จมูกอยู่โดยรอบ
“แล้วทำที่ไหนได้” พี่ติณห์เลื่อนมือมาคว้าข้อมือผมไว้เมื่อสัมผัสได้ว่าผมกำลังสอดมือเข้าไปในเสื้อเขา แต่เมื่อผมไล้ปลายนิ้วไปตามแนวกระดูกสันหลังเบาๆ มือที่ควรจะหยุดผมก็ดูจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
“มันไม่ควรเป็นที่บ้านผม” พี่ติณห์สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะตอบผมออกมา
“แล้วทำไงอ่ะ เช่าโรงแรมไหม” ผมผละออกมาถามเขาตรงๆ พูดตรงๆเลยว่าผมหยุดไม่ได้แล้วอ่ะ ให้ขับรถออกไปหาโรงแรมตอนนี้ผมยังโอเคกว่าไม่ได้ทำอีก
“เด็กบ้า จะขับรถออกไปรึไง” เพราะผมเลิกวุ่นวายต่อร่างกายพี่ติณห์แล้วเขาถึงได้เสยผมขึ้นไปลวกๆและพูดกับผมดีๆ
ทั้งๆที่เขาแค่เสยผมที่เปียกเหงื่อจนชื้นขึ้นไปลวกๆ แต่ท่าทางนั้นมันโครตเซ็กซี่เลยสำหรับผม
“ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ ผมไม่ไหวล่ะนะ” ผมงอแงเล็กๆใส่ท้ายประโยค ก่อนที่จะคว้ามือของพี่ติณห์มาวางที่หน้าอกและดึงลงเรื่อยๆ
“โอเคๆ ยกเว้นแค่ครั้งนี้นะ” พี่ติณห์หยุดมือตัวเองไว้ทันก่อนที่จะสัมผัสโดนส่วนที่ผมอยากให้เขารู้ว่าทำไมถึงหยุดไม่ได้
“หมายถึง?” ผมถามซ้ำ พี่ติณห์ไม่ได้ตอบ แค่คว้ามือผมไปจับ กดปิดไฟ และจูงผมขึ้นไปชั้นบน
“ไปห้องผม”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าไม่มีเนฟ วาคงไม่รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง คงปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อไปมากกว่านี้ คนเราจะรู้สึกหวงของ ตอนที่ของชิ้นนั้นกำลังจะถูกแย่งไปนั้นแหละ แม้พี่ติณห์จะไม่มีทางไปก็ตาม 555 สำหรับตอนนี้อาจจะเบาใจเรื่องความสัมพันธ์ไปเปราะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังคงมีปัญหาอีกหลายๆข้อที่รอเวลาเฉลยนะคะ
สำหรับภาคย่อนี้จะอัพวันเว้นวันล่ะกันเนอะ
เจอกันค่าาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หุ้ยยยยยย><