ตอนที่ 44 : specify; 1-1 return
1-1
Special part V
TIN
“ทำไมต้องบ้านเราด้วยอ่ะแม่!” ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดเสียงดังขนาดนั้น แต่พอเห็นท่าทีเห็นดีเห็นงามของคนทั้งบ้านโดยไม่มีใครคิดจะหันมาถามผมสักคำ ผมจึงอดที่จะแว้ดออกไปไม่ได้
“แล้วทำไมจะเป็นบ้านเราไม่ได้ล่ะติณห์” แต่แทนที่แม่จะตอบคำถามผม กลับทำหน้าตาไม่เข้าใจใส่ผมซะงั้น
“บ้านเราห้องเต็มหมดล่ะนะ จะให้ไปนอนที่ไหน” ตลอดบทสนทนานี้ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่หันไปมองคนที่แม่กอดแขนไว้แน่น
“เต็มตรงไหนล่ะ นอนห้องน้องติณห์ยังได้เลย ห้องใหญ่ขนาดนั้น”
“ไม่ได้! ห้องติณห์ไม่ได้” ผมรีบแย้งเข้าไปใหญ่ คราวนี้ทุกคนมองผมอย่างงุนงง ก็แน่ล่ะปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนี้ผมเคยทำที่ไหนกัน
“ติณห์พึ่งย้ายของกลับมาจากหอเองนะ ของเต็มห้องจนติณห์เองไม่รู้จะเดินตรงไหนเลย” เมื่อทุกคนเอาแต่มองผมนิ่งๆ ผมจึงต้องหยิบยกเหตุผลที่มองยังไงก็เข้าใกล้คำว่าแถมาพูดอีกครั้ง ซึ่งเมื่อผมพูดจบ ไอ้เต็นท์ที่ยืนอยู่ข้างๆก็ระเบิดเสียงขำออกมาทันที
“ไม่เป็นไรหรอก เรายังมีห้องรับรองแขกอยู่ไง” แม่ยังคงหันไปพูดกับคนข้างๆด้วยรอยยิ้ม
“ห้องรับรองแขกที่กลายเป็นห้องเก็บของมา5-6ปีแล้วเนี่ยนะ”
“เดี๋ยวแม่เข้าไปทำความสะอาดนิดหน่อย ก็อยู่ได้แล้วจ๊ะ”
“แต่แม่เป็นภูมิแพ้นะอย่าลืม” แม่ตวัดสายตามามองผมอย่างไม่พอใจทันทีที่ผมเอาแต่ขัด
“โหยยยยยแม่ ไอ้ติณห์มันพูดขนาดนี้ก็ความหมายว่ามันไม่อยากให้แม่เอาไอ้เปี๊ยกนี้กลับไปนอนบ้านเราไง” เต็นท์ที่เลิกขำได้พูดขึ้นมาในที่สุด
ย้อนกลับไปเมื่อ2ชั่วโมงที่แล้ว
หลังจากที่ผมรับช่อดอกไม้จากวาเสร็จ ทุกๆอย่างรอบข้างที่พร้อมใจกันหยุดเดินก็กลับมาเดินด้วยความรวดเร็วมากกว่าเก่า เพราะเมื่อคนในละแวกนั้นเห็นว่าคนที่อยู่ข้างๆผมคือวา ก็พร้อมใจกันกรูเข้ามาหา ทั้งยังยิงคำถามมากมายใส่วาจนผมเองยังงงแทน และอยู่ๆพี่บัณฑิตที่เป็นตัวเอกของงานก็ถูกเตะออกมานอกวง ปล่อยให้วากลายเป็นพระเอกตัวจริงที่มักจะมาช้าสุดซะงั้น
สรุปคือผมยังไม่ได้คุยกับวาสักคำเลยครับ
แต่ไม่รู้เพราะว่าวาหล่อขึ้นกว่าเดิม ท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น หรือชุดที่เข้ากับวาโครตๆ บวกกับส่วนสูงที่เพิ่มมากขึ้นจนผมแปลกใจ ไหนจะสีผิวที่ขาวขึ้นกว่าเดิม
เออนั้นแหละ เอาเป็นว่าทั้งหมดนั้น
มันทำให้ผมไม่กล้าพูดกับวาซะงั้น มันแปลกๆและทำตัวไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ แค่เขาทำท่าหาโอกาสจะคุยกับผม ผมก็ต้องรีบหยิบเรื่องอะไรมาคุยกับเพื่อน ทำให้ตัวเองไม่ว่างพอที่จะคุยกับเขา กลายเป็นไอ้ติณห์โง่ๆคนหนึ่งไปเลย แต่ผมยังไม่พร้อมคุยจริงๆ
ส่วนหนึ่งเพราะหัวใจที่ไม่ได้เต้นรัวเร็วแบบนี้มานานกำลังแข่งกันสูบฉีดจนผมไม่แน่ใจว่ามันลามให้หน้าผมแดงไปแล้วรึเปล่า แต่การที่หัวใจผมกลับมาเต้นแรงเพียงแค่เห็นเขาเท่านั้น
มันทำให้ผมประหม่า
อย่างน้อยๆผมขอเวลากลับไปควบคุมหัวใจก่อนได้ไหมแล้วค่อยคุยกับเขา แต่นี้อะไร พองานใกล้เลิก ทุกๆคนเริ่มทยอยกลับ วาก็พูดขึ้นมาว่า กูยังไม่รู้จะไปนอนไหนเลย ทั้งๆที่วาพูดกับพีทและพาร์ท แต่แม่ผมดันได้ยิน หันไปถามอย่างห่วงใยว่า อ้าวไม่ได้จองห้องไว้เหรอจ๊ะ ซึ่งวาก็ตอบว่า ครับแม่ วาคืนหอไปแล้วอ่ะ และถ้าจะให้กลับบ้านตอนนี้ก็ไม่รู้จะถึงเมื่อไร พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มเตรียมจะปล่อยสายฝนลงมาในไม่ช้า ถ้าคำว่ากลับบ้านของวามันหมายถึงกลับบ้านที่เพชรบูรณ์ ผมว่าก็คงลำบากอยู่ที่เขาจะกลับบ้านตอนนี้ แต่ถึงจะกังวลนิดหน่อยว่าเขาจะไปนอนที่ไหนคืนนี้
แต่ไม่ต้องบ้านผมได้ไหมล่ะ!
แม่ก็เอ็นดูวาจนออกปากชวนให้ไปนอนบ้านโดยไม่สนใจหน้าตาเหวอสุดๆของผมเลยสักนิด
บอกว่าขอเวลาหน่อยไง!
“ติณห์ไม่อยากให้วาไปนอนที่บ้านเหรอลูก” แม่ถามขึ้นมาเมื่อเต็นท์พูดจบ ในใจผมกำลังร่ำร้องว่า ใช่! แต่เมื่อกวาดสายตามองพ่อที่มองมา ไอ้เต็นท์ที่ยังคงยิ้มขำแต่ก็ยังมองตรงมาที่ผม ไหนจะแม่ที่มองมาอย่างสงสัย และวาที่ยืนให้แม่ผมกอดแขนโดยไม่คิดจะสะบัดออกก็กำลังมองผม ยิ่งมีพีท พาร์ท ปาย หลิว แจน เนฟ เมฆ และใครอีกหลายคนที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ล้วนแต่มองมาที่ผมจนคำสั้นๆในหัวผมไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างใจคิด
“ติณห์..ไม่ได้..” ผมติดอ่างขึ้นมาทันที
“เอางี้ มึงรังเกียจที่จะให้ไอ้วาไปนอนบ้านรึเปล่า” เต็นท์ที่นั่งฟังอยู่นานคงหมดความอดทนขึ้นมาถึงได้พูดขึ้นและหันมาถามผม
“บ้า! จะรังเกียจทำไม” คำว่ารังเกียจมันร้ายแรงมากเลยนะ ผมจึงรีบตอบเต็นท์กลับไปทันที
“งั้นให้วาไปนอนบ้านเราก็ได้ เรื่องห้องเดียวค่อยว่ากันอีกทีล่ะกัน ที่นี้เรากลับบ้านกันได้รึยัง ผมหิวล่ะ” สรุปเสร็จสรรพไอ้เต็นท์ก็ลุกขึ้นและเดินนำไปก่อน ส่งผลให้พ่อและแม่ต้องเดินตามไป
“แล้วบ้านพีท..” แต่ผมยังคงไม่เดินไปไหน เพียงแค่หันไปถามพีทที่ยืนอยู่ไม่ไกลแทน
“บ้านผมไม่ได้หรอกครับพี่เตชินท์ ญาติผมมาเต็มบ้านเลย เนอะพาร์ทเนอะ” ท้ายประโยคศอกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆไปด้วย
“ใช่เลยครับพี่ คนแน่นเลยอ่ะ ถ้าพี่ไม่รังเกียจไอ้วาก็ฝากดูแลมันด้วยนะครับ” พาร์ทก็ดันรับมุขอีกไง พูดจบพร้อมยิ้มพิมพ์ใจที่ทำให้ผมอ้าปากพะงาบๆอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ไอ้ติณห์!! ไปยัง กูหิว” เต็นท์ตะโกนมาจากรถจนผมต้องละสายตาจากน้องๆไปที่มัน
“เออๆ” สรุปผมก็เถียงอะไรไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย น้องๆยกมือไหว้ผมนิดหน่อย
“พรุ่งนี้เจอกันนะพี่เตชินท์” เนฟที่ยืนอยู่ด้วยพูดส่งท้ายขึ้นมา ซึ่งผมก็โบกมือรับคำปัดๆ ก่อนที่จะลากขาหนักๆให้กลับไปที่รถ ทิ้งตัวลงนั่งโดยพยายามไม่หันไปมองคนที่นั่งเบาะหลัง
ทำไงดีวะเนี่ยยยยยย
ที่แย่ยิ่งกว่าคือผมต้องคีพลุคทำตัวนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร แม้เมื่อกี้จะหลุดเถียงแทบแย่จนดูมีพิรุธโครตๆไปแล้วก็ตาม แต่เพราะไม่อยากให้หลุดท่าทางฮาๆอะไรออกไปอีก หรือแม้แต่ใครชวนคุยก็ไม่อยากคุย ผมจึงหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบกับโทรศัพท์และใส่หูทันที แถมยังแสร้งมองวิวข้างนอกอย่างสนใจมากๆ
ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนรถเต็นท์ โดยมีวานั่งอยู่ที่เบาะหลัง ส่วนรถคันข้างหน้าคือรถของพ่อกับแม่ ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมวาถึงได้มานั่งคันนี้แทนที่จะไปนั่งกับพ่อแม่ แต่การที่รู้ว่าขยับตัวนิดเดียวก็ตกอยู่ในเป้าสายตาวาได้ทำให้ผมต้องยกหูฟังขึ้นมาใส่เลย
“มึงต้องไปเรียนนานเท่าไรนะ” อยู่ๆเต็นท์ก็พูดขึ้นมา ส่งผลให้ไอ้คนแอคติ้งฟังเพลงแต่ไม่ได้เปิดเพลงแบบผมหูผึงขึ้นมาทันที
“2ปีอ่ะเฮีย” วาตอบ แค่เสียงของวา แค่ประโยคสั้นๆแค่นั้นยังทำให้ใจที่กลับมาสงบเริ่มเต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง โอ้ยยยยยยนี้ผมเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย
“นี้มึงไปมาสองปีแล้วเหรอวะ”
“ยังดิ ผมไปมาไม่ถึงปีเลยมั้ง” ไม่ใช่ล่ะ.. วาไปมา1ปี2เดือนแล้วเหอะ
“แล้วทำไมมึงรีบกลับวะ” นั้นเป็นคำถามที่ผมก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน เพราะผมรู้อยู่แล้วไงว่ากำหนดกลับของวามันยังไม่ถึง และเขาพึ่งเดินมาแค่ครึ่งทางเท่านั้นเอง ดังนั้นการที่จะมาเจอเขาวันนี้จึงไม่อยู่ในหัวผมเลยสักนิด แต่อยู่ๆวาก็โผล่มา โผล่มาโดยไม่ให้ผมตั้งตัวและเตรียมใจสักนิด
“กลับมางานรับปริญญาไง” คราวนี้เสียงหัวใจที่ดังจนน่ารำคาญกลับเงียบกริบ งานรับปริญญา..ของผม...งั้นเหรอ
“ของไอ้ติณห์อ่ะนะ?” ผมรู้สึกรักเต็นท์ก็วันนี้
ในขณะที่ผมรอคำตอบจากวา รถก็ขับมาถึงบ้านซะก่อน ทำไมบ้านผมมันอยู่ใกล้ขนาดนี้! สุดท้ายวาก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้นจนได้
ผมอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยก็ได้ เพราะ97เองก็มีแต่รุ่นพี่ที่สนิทกับวาทั้งนั้น เขาอาจจะแค่ตั้งใจมาหาทุกคนอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะผมสักหน่อย
นั้นสินะ...
“หูลู่เลยนะมึง” ผมหันไปมองเต็นท์ที่เข้ามาประชิดตัวผมตอนไหนก็ไม่แน่ใจ
“หูลู่อะไรของมึง” ผมหันไปบ่นมัน ซึ่งแม่งก็หลิ่วตาใส่ผมซะงั้น
“รู้อยู่แก่ใจนะไอ้น้อง” มันว่างั้นและตบบ่าผมสองทีก่อนที่จะเดินนำเข้าบ้านไป
ผมเกลียดมันว่ะ
“วากินอะไรมารึยังลูก”
“แล้วนี้เดินทางมาเหนื่อยไหม”
“ใครมาส่งเหรอ”
คำถามนานาจิตตังจากแม่ผมถูกส่งไปให้วาแบบไม่เสียเวลาหยุดพักให้วาตอบสักข้อ ส่งผลให้ผมมองแม่ที่กำลังหาน้ำหาท่าให้วากินด้วยตาขีดๆ
ถ้าได้กลิ่นเหม็นๆก็คงจะเป็นกลิ่นเน่าของหัวผมนี้แหละ
“แม่ ติณห์ขึ้นไปนอนนะ จะกินข้าวแล้วปลุกด้วย” ผมบอกแม่ซึ่งแม่ก็ยิ้มรับและหันไปคุยกับวาต่อ
เออให้มันได้แบบนี้ดิ
นอน! นอนเท่านั้น
แต่ฟ้าคงไม่อยากให้ผมหนีความจริงด้วยการนอนเท่าไหร่ เพราะหลังจากข่มตาหลับได้2ชั่วโมง ร่างกายก็สั่งให้ผมตื่นพร้อมเหงื่อท่วมตัวจนผมนึกว่าไปนอนตากฝนมา ผมลุกขึ้นนั่ง เสยผมที่พึ่งไปตัดมาไม่นานขึ้นไปลวกๆ
ทำไมมันร้อนขนาดนี้ มันอบอ้าวไปหมด เป็นอากาศก่อนที่ฝนจะตกจริงๆแหละ ซึ่งผมไม่ชอบเลยแหะ
ถ้าถามว่าทำไมผมไม่เปิดแอร์ ช่วงนี้ผมกลับมาอยู่บ้านแล้วครับ กลับมาอยู่จริงจัง แบบขนของออกจากหอหมดแล้ว และการกลับมาอยู่บ้านเนี่ย อะไรที่ประหยัดได้ก็ช่วยๆกันไปครับ อย่างแอร์เนี่ยที่บ้านผมจะเปิด2ทุ่ม ตอนนี้พึ่ง6โมงเท่านั้น หมดสิทธิ์เปิดเลยครับ
“เชี่ย! มึงเล่นเก่งอะไรขนาดนี้วะ” เสียงที่มักจะดังแว่วมาจากห้องข้างๆดูจะดังมากกว่าปกติซะอีก
“เก่งอะไรล่ะพี่ ผมเล่นบ่อยมากกว่า” เสียงของวาดังแว่วตอบมา
เดี๋ยวนะ... อย่าบอกว่าขึ้นมาเล่นเกมส์กับเต็นท์
อย่างที่รู้กันว่าเต็นท์มันทำงานบริษัทแล้ว แต่ช่วงนี้มันค่อนข้างมีปัญหากับที่ทำงานนะครับ วิธีแก้ปัญหาของเต็นท์ก็คือเล่นเกมส์เนี่ยแหละ เล่นมันทุกเกมส์ ตั้งแต่เกมส์โทรศัพท์ เกมส์เพลย์ ยันเกมส์ออนไลน์เลย ซึ่งเกมส์ออนไลน์มันก็จะนัดเล่นพร้อมเพื่อนในคณะแหละครับ และทุกครั้งที่เต็นท์เล่นเกมส์เนี่ย เสียงจะดังมากจนเลยมาห้องผมทุกที ถ้าดังมากจนนอนไม่ได้ ผมก็จะแวะไปด่ามัน แต่ส่วนมากก็ทนเอาแหละครับ ผมรู้ว่ามันเครียดกับที่ทำงานระดับหนึ่งเลย
จริงๆแล้วเต็นท์มันก็ชวนผมไปเล่นด้วยนะครับ แต่ผมมันเป็นพวกเล่นเกมส์แล้วติดนะสิ จึงเล่นแค่เกมส์ในโทรศัพท์นิดหน่อยเท่านั้น ผมจึงไม่ได้ไปเล่นกับเต็นท์ แต่ถ้าใครว่างๆและพอจะเล่นกับมันได้ มันก็จะชวนเล่นตลอดเลยนะ
และวาก็คงเป็นเหยื่อคนล่าสุดของมัน
“ไม่ใช่แค่เล่นบ่อยแล้ว มึงเก่งเลยเนี่ยยยยย” เสียงเต็นท์ยังคงดังผ่านเข้ามา
รู้ตัวอีกทีผมก็ลุกจากเตียงและพุ่งไปห้องเต็นท์แล้ว
“มึง” ปากที่อ้าปากทักมันปกติเงียบลงเมื่อไอเย็นจากห้องเต็นท์ทำให้คิ้วผมขมวดเข้าหากันทันที
“มีไร” เต็นท์กดpauseเกมส์และหันมาหาผม ข้างๆเป็นวาที่เปิดโน๊ตบุ๊ครอเล่นเกมส์ต่ออยู่
“เปิดแอร์เหรอวะ” ผมพึ่งบอกไปใช่ไหมว่ายังไม่ถึงเวลาเปิดแอร์และการที่เต็นท์เปิดและผมต้องทนร้อนเนี่ย ผมทนไม่ได้!
“เออ ก็กูมีแขก” คำตอบของมันเล่นเอาคิ้วผมกระตุกทันที กฎเปิดแอร์ของเราจะถูกอนุโลมก็ต่อเมื่อมีแขกนะครับ และไอ้เต็นท์ก็กำลังหยิบยกวาเป็นแขกมันซะงั้น
อยู่ๆก็นับมันเป็นแขกมึงเฉยเลยนะ!
“มึงมีไร” เต็นท์ถามซ้ำเมื่อผมนิ่งไป
“กูไม่แดกข้าวนะ ไม่ต้องปลุก” ผมตอบมัน ก่อนที่จะปิดประตูอย่างแรงโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของไอ้เจ้าของห้องที่ตามมา
กลับมาถึงห้องผมก็กดเปิดแอร์โดยไม่สนใจว่าตอนนี้มันจะกี่โมง ล็อคประตู กระโดดลงเตียงและหยิบหูฟังมาเปิดเพลงให้ดังกลบเสียงห้องข้างๆทันที
เป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ
แต่หงุดหงิดว่ะ
เมื่อห้องเย็นแล้วผมก็นอนนนนนยาวจนตื่นขึ้นมาอีกทีตอนตี2 อาการปวดเมื่อยจากการเดินไปเดินมาและถือของทั้งวันเริ่มทุเลาลง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความจากอินสตราแกรม ทวิตเตอร์และไลน์ ก่อนที่จะวางมันลงที่เดิมและผุดลุกขึ้นนั่ง
ผมก็อยากจะนอนต่อนะ แต่ท้องมันหิวว่ะ
ผมลูบท้องปอยๆก่อนที่จะตัดสินใจเดินลงไปหาอะไรกิน
การกินข้าวมื้อดึกกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปแล้ว วันๆหนึ่งผมกินข้าววันล่ะสี่มื้อเลยมั้ง และการที่ตอนเย็นไม่ได้กินข้าว ก็ทำให้ผมยิ่งหิวจนอดที่จะหาอะไรกินไม่ได้ เอาจริงแล้วผมก็ใช้พลังงานวันนี้ไปเยอะเลยนะ แต่ตอนเย็นดันหงุดหงิดจนไม่รู้สึกหิวนะสิ
ความหัวร้อนของผมโดยดับจนมอดไปหมดล่ะครับ คิดดูแล้วก็ขำตัวเองเหมือนกันที่หงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ มันถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยรึเปล่านะ... แต่การที่วาเอาแต่สนใจคนนู้นคนนี้โดยไม่สนใจผมเนี่ย
มันทำให้ผมหงุดหงิด
แต่ก็ช่างเถอะ
ขาที่กำลังก้าวลงบันไดของผมชะงักไปเมื่อเห็นแสงไฟจากชั้นล่าง ตอนแรกผมเข้าใจว่าพ่อกับแม่อาจจะลืมปิดไฟ แต่เมื่อสังเกตดีๆผมก็เห็นว่ามีคนๆหนึ่งกำลังจับจองโต๊ะกินข้าวในการทำอะไรสักอย่าง
วาสินะ
วาคงเลือกนอนห้องนั่งเล่นแน่ๆ
หัวผมเริ่มหมุนทันทีว่าควรกลับขึ้นห้องหรือลงไปหาอะไรกินอย่างที่ตั้งใจดี แต่วาก็นั่งหันหลังให้ผม และห้องครัวมันก็ติดกับบันไดแค่นี้เอง ถ้าผมก้าวเร็วๆเบาๆก็คงไม่เป็นไร
ความหิวชนะทุกสิ่งจริงๆครับ
ผมก้าวเดินด้วยความเงียบเชียบ บวกกับปิดประตูด้วยมือที่เบาที่สุด ก่อนที่จะเปิดไฟห้องครัวขึ้นมา ตอนแรกผมตั้งใจจะต้มมาม่านะ แต่พอรู้ว่าวานั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ผมจึงเลือกที่จะหยิบพวกขนมปังหรือขนมขบเคี้ยวต่างๆที่พอจะอยู่ท้องบ้างไปแทน ตบท้ายด้วยโอวัลตินสักแก้ว ผมหันไปหยิบแก้วที่ใช้ประจำและเริ่มชงโอวัลตินทันที
“พี่ติณห์”
เพล้ง
เสียงเรียกไม่ได้ดังมากเลยด้วยซ้ำ แต่มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมกำลังหมุนตัวเพื่อเอาแก้วไปเติมน้ำพอดี ผมจึงตกใจจนเผลอปล่อยแก้วหลุดมือไป
“เป็นอะไรไหมครับ” วาประชิดตัวผมทันทีเมื่อเห็นว่าผมทำแก้วแตก ทั้งยังดึงผมออกจากตรงนั้นด้วย
“ผมไม่เป็นไร” ผมตอบวากลับ และขยับตัวออกจากแขนวา
“เดี๋ยวผมเก็บให้นะครับ” วาปล่อยมือจากตัวผมและทรุดตัวลงเก็บเศษแก้วทันที
“เฮ้ยไม่เป็นไร ผมทำแตกเอง เดี๋ยวผมเก็บเอง” ผมรีบทรุดตัวนั่งยองๆและเก็บเศษแก้วบ้างทันที
“ผมเป็นคนทำให้พี่ตกใจจนปล่อยแก้วแตก ให้ผมทำเถอะครับ” วายังคงไม่ยอม แต่ผมไม่ได้ฟัง ยังคงเก็บเศษแก้วต่อไป
“เดี๋ยวก็โดนบาดหรอกครับ” วาคว้ามือผมไว้ ก่อนที่จะดุผมตามมา แค่เสียงก็รู้แล้วว่าตั้งใจดุ จนผมต้องเงยหน้าไปมองเขาเลย
“ห้ามดื้อ..ผมขอล่ะ” วามองตรงมาที่ผมก่อนที่จะบอกผมด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจจะออดอ้อนมากกว่าดุผมเหมือนตอนแรก
และผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากขยับหนีให้วาได้ทำเอง
ผมแพ้..แพ้ทุกอย่างเลย ตั้งแต่น้ำเสียง สายตา ท่าทางเป็นห่วงที่เห็นได้ชัดเจน หรือแม้แต่กลิ่นอายของเขาก็ตาม ผมแพ้ให้ทุกอย่างจนไม่รู้จะเอาชนะได้ยังไง ทำไมการกลับมาของวาครั้งนี้มันดูเหนือกว่าผมไปหมด
เหมือนวากำลังก้าวขึ้นไปโดยที่ผมยังอยู่ที่เดิม
ผมดูห่วยๆยังไงไม่รู้แหะ
“ผมคืนให้” เพราะมัวแต่ยืนเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมเลยไม่รู้เลยว่าวาหันไปชงโอวัลตินแก้วใหม่ให้ผมตอนไหน
“ขอบใจ” ผมรับแก้วโอวัลตินมาก่อนที่จะหันหลังกลับทันที ผมไม่อยากพ่ายแพ้อะไรต่อเขาอีกแล้ว
รีบหนีคงดีที่สุด
“พี่ติณห์ครับ” แต่เพราะเสียงของวานั้นแหละที่ทำให้ผมชะงักเท้า
“ลองชิมดูก่อนไหม ผมไม่รู้ว่ามันอร่อยรึเปล่า” วาเดินมาหยุดต่อหน้าผม ก่อนที่จะปลายตามองโอวัลตินในมือผมเป็นเชิงบอกว่าหมายถึงอะไร
“ผมกินได้” ผมตอบกลับไป
“ลองชิมดู..นะครับ” วายื่นหน้าเข้ามาใกล้แก้วโอวัลติน ซึ่งมันอยู่ในระดับสายตาของผมพอดี ก่อนที่เจ้าตัวจะช้อนสายตามองผมและพูดออกมา
“อืม” ผมหลบสายตาลูกแกะที่ดูน่ากลัวเกินกว่าแกะของวา ก่อนที่จะยกขึ้นจิบแต่โดยดี ส่วนหนึ่งก็อยากให้มันจบๆไปนั้นแหละ
“เป็นไงบ้างอ่ะ” วาถามขึ้นมาทันทีที่ผมลดแก้วลง
“ผมว่าใส่น้ำตาลอีกหน่อยก็ได้มั้ง” จริงๆมันดูจืดไปหมดเลยครับ ผมรู้สึกได้เพียงแค่รสชาติจางๆของโอวัลตินเท่านั้นเอง พอผมพูดแบบนั้นวาก็หันไปหยิบน้ำตาลมาใส่ทันที
“โอเคยัง” ผมยกขึ้นดื่มอีกครั้ง
“โอเคล่ะ” ก็โอเคกว่าตอนแรกแหละ วายิ้มกว้างอย่างโล่งอกออกมาเมื่อผมบอกว่ามันโอเค ซึ่งท่าทางแบบนั้นมันทำให้ผมอยากจะดึงแก้มเขาสักทีจริงๆ แต่สิ่งที่ผมทำกลับเป็นเพียงแค่หันไปหยิบขนมและตั้งท่าจะเดินออกไปเท่านั้น
“พี่ติณห์”
“อะไรอีกล่ะ” คราวนี้ผมหันกลับไปถามเขา ทั้งๆที่ผมจะก้าวพ้นห้องครัวออกมาอยู่ล่ะนะ
“ฮ่าๆ ผมแค่จะบอกว่า..ฝันดีนะครับ” วาขำผมก่อนที่จะพูดต่อมาและยิ้มให้ผมอีกครั้ง
“อืม..คุณด้วย” ผมหันหลังกลับ ก่อนที่จะสาวเท้าขึ้นห้องโดยไม่คิดจะหันไปมองอีก
แค่บอกฝันดี แค่นี้หัวใจต้องเต้นเร็วขนาดนี้เลยเหรอ
วันนี้หัวใจที่ไม่ได้เต้นมานาน
กลับมาทำหน้าที่จนคุ้มเลยล่ะ
เป็นอีกวันที่ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปส่งแม่ จากตอนแรกๆที่อิดออดแทบแย่กว่าจะขุดตัวเองออกมาจากเตียงได้ ก็กลายเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายสามารถตื่นได้เอง เพราะการตื่น7โมงมันก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย และถ้าทำงานเมื่อไหร่ก็คงต้องตื่นประมาณนี้แหละ ฝึกไว้ก่อนก็ดี
สรุปคือเรื่องตื่นเช้าไม่ใช่ปัญหาสำหรับเช้านี้
สิ่งที่เป็นปัญหาคือการก้าวลงไปชั้นล่างต่างหาก
ให้ผมลงไปชั้นล่างก็เหมือนลงไปหาวาเลยนะ
ก๊อกๆ
“แม่ถามว่าเสร็จยัง” ผมสะดุ้งเมื่อเสียงเคาะประตูดังมาพร้อมกับเสียงของเต็นท์
“เออ เดี๋ยวลงไป” แล้วจะไม่ลงไปก็ไม่ได้ไง บ้านผมดันมีประตูอยู่ชั้นแรกทั้งหมดซะด้วย
เอาว่ะ! ผมเป็นเจ้าของบ้านนะเว้ย
แต่ถึงจะตกลงกับตัวเองแบบนั้น ผมก็ยังก้าวด้วยความช้าและเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะเห็นก่อนว่าเขาอยู่ตรงไหน จะได้เตรียมตัวรับมือทันไง
“แม่ เต็นท์เอาไข่สุกๆนะ” น่าแปลกที่ทั้งบ้านผมก็ยังคงมีแค่คนในบ้านที่คุ้นเคย พ่อนั่งรออยู่ที่โต๊ะ เต็นท์ยืนอยู่ข้างๆแม่ในครัว และแม้ผมจะพยายามกวาดสายตาขนาดไหน ก็ไม่เจอวาอยู่ดี
หรือว่าอยู่ในห้องน้ำ
ผมหันไปมองห้องน้ำก่อนที่หัวคิ้วจะม่นเข้าหากันเมื่อแน่ใจว่าไฟไม่ได้เปิดอยู่
ไปไหนของเขานะ
“ติณห์เอาแซนวิชไหมลูก” แม่หันมาถามผม
“เอาก็ได้ครับ” บางวันผมจะไปหากินข้างนอกนะครับ แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์ กินที่บ้านให้อิ่มๆไปล่ะกัน
“มองหาใคร” ผมชะงัก ก่อนที่จะหันมามองเต็นท์ที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม
“เปล่า จะให้มองหาใครวะ” ผมยังคงคีพลุคเหมือนเดิม
“คีพลุคมากไหมเนี่ย จะไม่คุยกับมันจริงดิ” เต็นท์ก็ยังเป็นหนึ่งในคนที่มองผมออกเสมอ
“กูไม่ได้ไม่คุยกับมันนะ” เมื่อคืนยังคุยกันอยู่เลยเหอะ
“เหรอ.. แล้วไง กลับมาคบกันยัง”
“มึงพูดไรเนี่ยยยยย” ผมหันไปด่ามัน โดยที่อดจะปลายตาไปมองแม่ไม่ได้
“โหยยยยยเขารู้กันทั้งบ้านล่ะ” ผมก็อยากเถียงนะ แต่ลึกๆก็รู้ว่าเต็นท์พูดถูก ถึงพ่อกับแม่ผมจะไม่เคยพูดเรื่องวากับผมตรงๆ แต่ท่าทางหลายๆอย่างของผมที่เป็นลูกชายแท้ๆของเขา มันคงดูออกไม่ยากนัก
“สรุปกลับไปคบกันยัง” เต็นท์ถามซ้ำเมื่อผมไม่พูดอะไรออกมา
“เปล่า คุยยังคุยแค่นิดเดียวเอง”
“อ้าววววว รอไรอยู่” ผมหันไปมองหน้ามัน
“...ไม่รู้ดิ”
“กูถามมึงจริงๆ มึงชอบไอ้เนฟป่ะเนี่ย” ผมกลอกตาทันที
“เปล่า” ไอ้เต็นท์หลิ่วตามองผมอย่างจับผิด ส่วนผมก็มองมันกลับโดยไม่คิดจะหลบตา เรื่องเนฟผมบริสุทธิ์ใจจริงๆนะ ผมมองมันเป็นน้องคนหนึ่งที่ดีต่อผมมากๆ ถึงแม้มันจะไม่บริสุทธิ์ใจแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปทำตัวไม่ดีกับมันซะหน่อย อย่างวันนี้มันก็อุตสาห์พาผมออกไปดูงานบริษัทเพื่อนพ่อที่มันสนิทด้วย ถ้าได้งานที่กรุงเทพจริงๆ ผมคงสบายขึ้นเยอะ
“..ขอเวลากูหน่อย” ผมพูดต่อจนจบ เต็นท์มองหน้าผมอีกสักพักก่อนที่มันจะละสายตาจากผม มันอาจจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ผมรู้ว่ามันเข้าใจที่ผมพูดแล้ว
“นี้ของน้องติณห์ นี้ของเต็นท์” แม่วางแซนวิชแฮมไข่ดาวให้ผมกับเต็นท์ก่อนที่เธอจะหยิบแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่ม
“แล้วมันไปไหนอ่ะ” ผมหยิบแซนวิชตรงหน้ามางับก่อนที่จะอดถามออกไปไม่ได้
“ใคร” ผมจิ๊ปากและหันไปมองเต็นท์อีกครั้ง เรื่องกวนตีนขอให้บอกสินะ
“วา” เต็นท์แสร้งพยักหน้าเหมือนพึ่งเข้าใจทั้งๆที่เห็นก็รู้ว่ามันจงใจให้ผมพูดชื่อเขาออกมา
“แม่บอกว่ามันออกไปตั้งแต่เช้าแล้วอ่ะ ใช่ป่ะแม่” ท้ายประโยคเต็นท์หันไปถามแม่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“จ๊ะ ตอนแม่ตื่นมา6โมง น้องวาก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยล่ะนะ เห็นบอกว่ามีงานเช้า คงกลับดึกๆ” ผมชะงัก
“วาบอกว่างานเหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ”
“งานอะไรอ่ะ วายังเรียนไม่จบเลยนะ” ผมพึมพำ จริงๆผมยังไม่เข้าใจเรื่องที่วากลับมาไทยเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยเลย
และผมก็ยังไม่พร้อมคุยด้วย
“อยากรู้ก็ถามมันดิ” เต็นท์งับแซนวิชคำสุดท้ายเข้าปากและหันมายักคิ้วกวนตีนผม
“เต็นท์ไปทำงานก่อนนะแม่” ผมสะบัดหัวไล่เรื่องวา และหันมาสนใจกินแซนวิชตรงหน้าให้หมด
ยังไงก็ไม่รู้แหละ แต่เอาไว้ก่อนล่ะกัน
“เออแม่ เดี๋ยวเย็นนี้เนฟมากินข้าวด้วยนะ”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทุกคนนนน เรากลับมาแล้ว ก่อนอื่นขออธิบายเรื่องตอนพิเศษก่อน ตอนพิเศษของเรามันจะไม่เหมือนใครนะ มันจะเป็นฟิลแบบว่าภาคย่อยต่อจากภาคหลักที่อัพจบไปแล้วมากกว่า สำหรับภาคย่อยภาคแรกที่จะลง จะเป็นเรื่องต่อจากตอนสุดท้ายที่อัพไปเลย เรื่องต่อว่าวากลับมาได้ยังไง เรียนจบรึยัง และติณห์กับวาจะกลับมาคบกันมั้ย จะเป็นเรื่องราวต่อจากนั้นพอดีเป๊ะ เรายังไม่แน่ใจว่าภาคย่อยภาคแรกนี้จะยาวขนาดไหน (คงไม่เกิน10ตอน) เอาเป็นว่ายังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ สำหรับเรื่องที่ยังค้างๆคาๆกันอยู่ก็จะเฉลยไปเรื่อยๆเนอะ ใจเย็นๆนาาา
เรื่องต่อไปที่อยากจะบอกคือ พอมาแต่งภาคย่อย1แล้ว ก็มีความรู้สึกอยากแต่ง2 3และ4ต่อไปอีก เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเห็นระบบขายนิยายของเด็กดีไปบ้างแล้ว หลังจากภาคย่อย1จบ เราจะแต่งภาคย่อย2ต่อ แต่ในส่วนของภาคย่อย2จะลงขายนะคะะะ ฝากอุดหนุนกันด้วยนะ 5555
อีกเรื่องที่อยากบอกคือตอนสุดท้ายคอมเม้นต์เยอะมากกกก ขอบคุณมากๆนะคะ ถ้าทุกตอนคอมเม้นต์เยอะแบบนี้ตลอดก็คงดี ฮืออออ
เจอกันครับพ้ม
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กลับมาคราวนี้เริศมากค่าาาา