ตอนที่ 43 : epilogue
42
Special part IV
TIN
1ปีผ่านไป
“พรุ่งนี้เดี๋ยวไอ้ไม้มาถ่ายรูปนะ” หลังจากรู้เวลาถ่ายรูปจากเพื่อนเรียบร้อยผมก็รีบวิ่งจากชั้นสองลงมาบอกทุกคนในบ้านทันที
“พรุ่งนี้กูมีออกไปเจอลูกค้านะ” แต่ไอ้พี่ชายที่นั่งร่วมโซฟากับพ่อก็พูดขัดออกมาก่อน
“ลูกค้าไรวะ กูบอกมึงตั้งแต่ต้นอาทิตย์ว่าเดี๋ยวรุ่นน้องกูจะเข้ามาถ่ายรูป มึงก็ยังจะไม่ว่างอีกเนอะ” นี้มันไม่ใช่งานยุ่งแล้ว นี้มันไม่สนใจมากกว่า
รู้ไหมว่ากว่าจะแย่งไอ้ไม้มาถ่ายรูปให้กลุ่มผมได้นี้ไอ้อิฐลงทุนไปเดินตามอยู่หลายวันเลยนะ
สุดท้ายอิฐ ว่าน เมฆ และผมก็รวมตังกันจ้างไอ้ไม้มาถ่ายรูปให้สำเร็จ นี้ผมก็เป็นคิวหลังๆเลยที่ไม้จะมาถ่ายให้ที่บ้าน เพราะนับถอยหลังอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ก็จะถึงแล้ว
วันรับปริญญา
ของผมเอง!
“เต็นท์มีคุยงานกี่โมงล่ะลูก” แม่ที่เห็นท่าว่าผมกับเต็นท์จะเปิดศึกกันในไม่ช้ารีบเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยทันที
“สายๆอ่ะแม่”
“แล้วตากล้องน้องติณห์จะเข้ามากี่โมงล่ะ” เมื่อได้คำตอบจากเต็นท์แม่ก็หันมาถามผมต่อ
“เดี๋ยวติณห์บอกให้มันเข้ามาบ่ายๆก็ได้ครับ” และศึกย่อมๆของผมกับเต็นท์ก็สิ้นสุดลง
ผมรู้สึกเซ็งที่เป็นลูกชายคนเล็กของบ้านก็ตอนนี้
ทั้งๆที่อีกไม่กี่วันจะวันรับปริญญาของผมอยู่แล้ว และสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ (จากปกติเวลานี้ต้องเป็นเวลาของCongrats Project แต่สำหรับพวกผมที่เป็นบัณฑิตจบใหม่หมาดๆ มันเป็นเวลาของการหยิบชุดนิสิตและชุดครุยไปถ่ายรูปมากกว่า) ผมกับเพื่อนในรุ่นก็แวะเวียนไปถ่ายรูปในมหาลัยมาหลายวันแล้ว ผมจำได้ดีเลยว่าเมื่อ3ปีที่แล้วตอนเต็นท์เรียนจบ ทุกคนในบ้านตื่นเต้นกันมาก ทั้งสั่งตัดชุด ทั้งนัดเวลาตากล้องมาอย่างดิบดี
แต่พอเป็นตาผมล่ะทุกคนดันชิลๆซะงั้น
ก็เคยผ่านงานแบบนี้มารอบหนึ่งแล้วนี้นะ
แม้ลึกๆผมจะแอบน้อยใจขนาดไหน แต่แค่ทุกคนถ่ายรูปชุดครุยกับผมที่บ้าน และไปงานผมที่มหาลัย ผมก็พอใจแล้วววว
ดึ่งด่อง
เมื่อบอกข่าวทุกคนเสร็จเรียบร้อย โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ร้องขึ้นมาพอดี ผมจึงได้ก้าวขากลับขึ้นห้องอีกครั้ง
‘ไอ้ว่านบอกแล้วใช่ป่ะว่าไม้จะเข้าไปถ่ายบ้านมึงพรุ่งนี้’ เสียงไอ้เมฆดังตามสายมาทันทีที่กดรับ
‘อ่าฮะ นี้กูพึ่งลงไปบอกแม่มา’
‘ตอนมันมาถ่ายบ้านกูเมื่อวันก่อนนะ พ่อกูเลี้ยงข้าวซะยกใหญ่’ ผมขำ
‘แม่กูก็คงไม่ต่าง’
‘เออแล้วกูแอบไปเห็นCongrats Projectของพวก101มาแว่บๆ เจ๋งอยู่นะ’ คำว่าCongrats Project ทำให้ผมระบายยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ผมเคยคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปความคิดถึงก็คงจะลดลงไปเอง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้ผมลืมได้เลย ไม่ว่าผมจะทำอะไร จะหยิบจับอะไร ผมก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ
แม้จะผ่านมาปีกว่าแล้วก็ตาม
ผมไม่ได้รู้อีกเลยว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เรียนเป็นยังไง มีเพื่อนไหม หรือมีปัญหาอะไรรึเปล่า เพราะเราไม่ได้คุยกันอีกเลยหลังจากวันที่ผมไปส่งเขาวันนั้น แต่การที่เขาไม่อยู่ก็ทำให้ผมกลับกลายเป็นคนนิ่งเงียบมากกว่าเดิม จนหลายๆคนจับสังเกตได้และพาลไปรู้เรื่องผมกับเขา ถึงจะไม่มีใครพูดออกมา แต่ผมว่าทุกคนต่างรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราทั้งนั้น รู้ตัวอีกทีทั้งคณะเราและรุ่นพี่หลายๆคนก็รู้แล้วแหละว่าผมคบกับวา แต่อาจเพราะผมนิ่งจนน่ากลัว พีทจึงพูดลอยๆให้ผมรู้ว่าวาสบายดี มันแค่เรียนหนักมากจนพวกเขาเองก็แทบจะติดต่อไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่ามันกำลังทำตามความฝันอย่างเต็มที่ โดยไม่คิดจะย่อท้อเลยล่ะ
ผมเชื่อคำพูดของพีททันทีที่บังเอิญไปเห็นผลงานของวาบนหน้าเว็บของมหาลัย
เด็กคนนั้นเก่งขึ้นหลายเท่าแล้วแน่ๆ
แต่อย่างน้อยๆเวลาที่ผ่านมาก็ช่วยให้ผมคิดถึงเขาโดยไม่เจ็บปวดนะ
‘ไปเห็นมาได้ไงวะ ไอ้เปรมแม่งห้ามไม่ให้กูไปเหยียบแถวนั้นเลย’ แต่เปรมไม่ได้เป็นตัวแทนของปี98หรอกนะครับ ดูเหมือนเพชรที่เป็นประธานรุ่น จะลงมือทำของปีนี้ด้วยตัวเองเลย
‘บังเอิญโครตๆอ่ะ ไอ้ดิวบ่นกูซะจนปวดหู’ ดิว คือเหลนรหัสรุ่น101ของเมฆนั้นเอง
‘สมน้ำหน้า’ ไอ้เมฆจิ๊ปากนิดหน่อยที่โดนผมซ้ำเติม ก่อนที่มันจะวางสายไป
นับกันจริงจัง ผมเหลือเวลาอีกแค่3วันก่อนงานรับปริญญา พรุ่งนี้มีคิวถ่ายรูป ต่อจากนั้นก็ว่างวันหนึ่ง และวันต่อไปก็งานรับปริญญาเลย
ถ้าถามว่างานในมหาลัยอะไรที่ผมชอบมากที่สุด ผมคงตอบได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมากมายเลยว่า
งานรับปริญญา
สำหรับคนอื่นผมไม่รู้นะ แต่ผมชอบงานรับปริญญามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชอบตั้งแต่ความรู้สึกที่เราเป็นผู้ร่วมงานแล้ว เพราะทุกคนสวนเสเฮฮากันได้ตลอดงานล่ะมั้ง ขนาดพี่บัณฑิตแม้จะเหนื่อยจนแทบแย่ แต่ก็ยังคงยิ้มแย้มถ่ายรูปได้จนจบงาน แถมงานรับปริญญายังเป็นงานที่พวกรุ่นน้องจะหาเรื่องมาพูดแซวรุ่นพี่ได้โดยไม่มีใครว่าด้วย แต่กลับมองว่าสนุกสนานซะมากกว่า
ซึ่งผมชอบชะมัด
รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในนามพี่บัณฑิตซะแล้ว
นี้ผมก็รีเควสไอ้เปรม ไอ้เก่ง ไอ้เจ และสายรหัสคนล่าสุดอย่างไอ้บอลไปเรียบร้อยว่าอยากได้อะไร
เห็นไหมล่ะงานรับปริญญานี้ดีจะตาย
พูดแล้วผมก็ต้องนอนเก็บแรงไว้เยอะๆวันนั้นจะได้มีเรี่ยวแรงฉีกยิ้มให้กล้องทุกกล้องเลย
D-DAY
ขอบคุณฟ้าที่ส่งให้ผมเกิดมาเป็นผู้ชาย ผมจึงไม่ต้องตื่นขึ้นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตี3-4แบบพวกผู้หญิง แต่ก็อย่างว่านะ วันนี้คงเป็นอีกหนึ่งวันที่พวกเธออยากสวยให้มากที่สุด
ก็งานรับปริญญานี้มันไม่ได้มีบ่อยๆนี้นา
ผมมาถึงมหาลัยเร็วกว่ากำหนดการอยู่ประมาณหนึ่ง เพราะตื่นเต้นด้วย และเพราะอยากมาซึมซับบรรยากาศงานตั้งแต่เริ่มด้วย ตอนนี้ผมจึงมาเดินทอดน่องอยู่ใต้ตึกสถาปัตย์เรียบร้อย
ตึกเรียนที่ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยมาตั้ง5ปี ขึ้นมาทุกชั้น เรียนมาแทบทุกห้อง สถานที่ที่สอนให้ผมรู้วิชาสถาปัตย์ เพื่อเป็นสถาปนิกที่ดีในอนาคต
ผมกวาดสายตามองผู้คนที่เริ่มมาถึงบ้างก่อนที่จะสะดุดตากับงานCongrats Projectที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
ผมยังไม่ได้ดูเลยแหะ
ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นไปดูทันที
ดิ่งด่อง
‘ว่า’ แต่โทรศัพท์ดันดังขึ้นมาซะก่อน
‘อยู่ไหนล่ะ’
‘อยู่ใต้ตึก มึงอ่ะ’ ผมถามไอ้เมฆกลับไปและเดินเข้าไปดูงานด้วย
‘จะถึงล่ะ รถติดว่ะ คงอีกสักพัก’
‘เออ ไม่ต้องรีบมาก็ได้ ยังไม่ค่อยมีใครมาหรอก’ ยังไม่มีใครมาเลยด้วยซ้ำ
‘แล้วมึงอยู่กับใครอ่ะ’
‘อยู่คนเดียวดิ’
‘สู้เขานะมึง ชีวิตมันก็ต้องอยู่คนเดียวกันบ้าง’ ผมขำทันที มึงจะดึงดราม่าทำไมเนี่ย
‘กูกำลังพยายามใช้ชีวิตตามลำพังอยู่นี้ไง’ เมฆบ่นเรื่องรถติดอีกสักพักก่อนที่จะวางสายไป
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่านะ แต่จากวันที่ผมอ่อนแอสุดๆให้มันดู เมฆก็เป็นห่วงผมมากขึ้น คอยโทรมาชวนคุยบ่อยๆ ยิ่งช่วงแรกๆที่วาไปใหม่ๆนะ เมฆแทบจะแบกข้าวของมาอยู่บ้านผมถาวร ไม่รู้มันกลัวผมคิดสั้นขึ้นมารึเปล่า
แต่ตอนวาไปแรกๆมันก็หนักอยู่แหละ
ผมหยุดดูงานแต่ล่ะชิ้นอย่างละเมียดละไม ความรู้สึกที่น้องๆตั้งใจสร้างสรรค์งานพวกนี้เพื่อแสดงความยินดีกับรุ่น97อย่างพวกผมยิ่งทำให้ผมสนใจงานทุกชิ้นเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะงานชิ้นไหนก็มีความสวยงามและเอกลักษณ์ประจำตัวของแต่ล่ะคนไป ผมยกกล้องขึ้นถ่ายไปหลายสิบรูปโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะแพลนกล้องไปยังงานชิ้นต่อไป
แต่นิ้วที่ควรจะกดชัตเตอร์กลับหยุดนิ่งอยู่แบบนั้นเมื่อผมเห็นงานผ่านview finderช่องเล็กๆ
สุดท้ายผมก็ลดกล้องลง และมองงานชิ้นนั้นด้วยดวงตา
ถ้ามองผ่านๆ มันก็เป็นงานวาดรูปเสมือนของเหตุการณ์หนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ผมที่เป็นส่วนหนึ่งในภาพ มองแค่แว่บเดียวผมก็รู้แล้วว่ามันเป็นภาพในวันที่เราเข้าห้องเชียร์
ตอนที่ผมเป็นเฮดว้าก
ภาพถูกวาดด้วยดินสอทั้งหมด ไม่มีการลงสี แต่ก็ดูมีมิติและสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ และมันกลับดูทรงพลังมากขึ้นเมื่อเป็นรูปขาวดำเช่นนี้ แต่รายละเอียดยิบย่อยในภาพต่างหากที่ทำให้ผมชะงัก ไม่ว่าจะสิ่งของที่วางอยู่ข้างๆ ตัวผม ไอ้เมฆที่จะยืนอยู่ขวามือของผมเสมอ หรือไอ้ว่านที่จะอยู่ซ้ายมือ หรือแม้กระทั่งปี1ที่นั่งหน้าสุดทุกครั้งเป็นไอ้เก่งก็ยังคงถูกต้อง
รายละเอียดมันชัดเจนมากจนผมแปลกใจ
ละเอียดจนเหมือนคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
“มาเช้าจังวะ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหนึ่งตะปบเข้าที่ไหล่
“ภาพนี้ใครวาดวะ” แต่ผมไม่ได้ตอบคำถามของอิฐ เพียงแค่ชี้ที่งานตรงหน้าและถามต่อเท่านั้น
“เข้ วันที่เข้าห้องเชียร์ป่ะ” ไอ้อิฐเองก็คงพึ่งเห็นภาพนี้ เมื่อเห็นมันก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที สัญชาตญาณความเป็นพี่ว้ากคงกลับมาเลยล่ะสิ
“วาดกูหล่อใช่ได้นี้ว้า” แถมชื่นชมรูปตัวเองซะด้วย
“มึงรู้ป่ะว่าใครวาด” ผมถามซ้ำออกไปอีกครั้ง เพราะถ้าปล่อยให้ไอ้อิฐพิจารณาภาพไปเรื่อยๆคงไม่จบแน่ๆ
คำถามที่ในหัวผมมีชื่อของคนๆหนึ่งเด่นชัดอย่างไม่น่าเชื่อ
“มึงดูป้ายดิ” อิฐตอบส่งๆและยังคงมองรูปตรงหน้าอยู่ ส่วนผมก็มองหาป้ายตามที่มันบอก
“ป้ายอะไรวะ ไม่เห็นจะมีเลย”
“แค่หาป้ายนี้มึงยังหาไม่เจอเลยเหรอ” อิฐบ่นนิดหน่อยแต่ก็ยอมเดินมาหาป้ายให้ผม
“อ้าว ทำไมไม่มีป้ายวะ”
“เห็นป่ะ!” ผมเถียงมันกลับทันที แต่ปกติงานพวกนี้มันต้องมีป้ายคนทำติดอยู่ดิ การที่ไม่มีมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ
ไม่จริงนา...
เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วไอ้ติณห์
ผมต่อว่าตัวเองก่อนที่จะสะบัดหัวไล่ความคิดนั้น บางทีอาจจะแค่ลืมเอาป้ายมาติดเท่านั้นเอง
“อิฐ!! ตินติน!! มึงไปรายงานตัวยังวะ” ประโยคคำถามใหม่ดังขึ้นมาพร้อมไอ้ว่านที่วิ่งเข้ามาหาทำให้ผมกับอิฐเลิกมองหาป้ายชื่อ
“ยังเลย รายงานตัวที่ไหนวะ” ไอ้อิฐเป็นคนตอบแทนผม
“มึงรีบไปเลย เดี๋ยวก็โดนด่าอ่ะ” ไอ้ว่านตอบและชี้เส้นทางให้ผมดู
“ยัยมิ้งค์กำลังยืนแยกเขี้ยวเลยนะเว้ย” ไอ้ครีมเข้ามาร่วมวงด้วย ซึ่งประโยคใหม่ก็ทำให้ผมกับอิฐรีบเร่งฝีเท้าไปหามิ้งค์ทันที
ก็มิ้งค์น่ะ ถ้าเล่นบทโหดขึ้นมาก็พร้อมหักคอพวกผมไปโยนทิ้งได้เลยนะสิ
หลังจากรายงานตัวกับมิ้งค์เสร็จ พวกเราก็ทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆ จากบรรยากาศเงียบเหงาก็แปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นทันที
“ไอ้ติณห์!!!!!” เสียงเรียกที่ดังระดับสิบพร้อมด้วยแขนที่คว้าคอผมไปกอดอย่างแรงทำให้ผมรู้ทันทีว่าใคร
“นึกว่าพี่จะไปมาซะล่ะ”
“จะไม่มาได้ไง ไอ้ลูกหมามันเรียนจบสักที” พูดจบพี่ดินก็ยีหัวผมอย่างแรงโดยไม่สนใจเลยว่าผมจะเสียเวลาเซ็ตผมมานานขนาดไหน แต่ผมก็ยังคงระบายยิ้มรับอยู่ดี พี่ดินน่ะ พอเรียนจบก็ย้ายกลับไปทำงานที่บ้านที่ภูเก็ต นานนนนๆจะขึ้นกรุงเทพสักที ขนาดตอนที่ผมโทรไปชวนพี่ให้มางานรับปริญญาผมนะ พี่ดินยังตอบด้วยเสียงอ่อยๆว่า กูยังไม่แน่ใจนะมึง อยู่เลย การที่สุดท้ายแล้วพี่ดินแบ่งเวลามาหาผมได้ ผมเลยดีใจสุดๆ
“นี้กูให้” ยีหัวผมจนพอใจ พี่ดินก็ยื่นของที่เตรียมมาด้วยให้ผม
“เฮ้ย! พี่เอาจริงดิ” เมื่อเห็นของที่พี่ดินเตรียมมาให้ ผมก็ฮาลั่นทันที ก็พี่ดินเล่นเอารูปผมไปใส่กรอบอันใหญ่มาก แต่ที่ทำให้ผมฮาจริงๆก็คงเป็นการที่เอาไปทำเป็นจิกซอว์ก่อนใส่กรอบนี้แหละ
“เออ แต่กูไม่ได้ต่อเองนะกูบอกก่อน ใช้น้องในบริษัทเอา” ผมยังคงขำและรับรูปมาจากพี่ดิน
“ขอบคุณนะพี่” พี่ดินพยักหน้ารับ และขยับให้พี่เป้อและพี่เกลเข้ามาแสดงความยินดีกับผมบ้าง
“กูมีเซอร์ไพรส์ให้มึงด้วย” หลังจากรับช่อดอกไม้ช่อยักษ์จากพี่เป้อ เขาก็พูดออกมาทันที พี่เป้อเองก็ไม่ได้ทำงานไกลจากกรุงเทพมากนัก จึงยังแวะเวียนมาที่มหาลัยให้ผมได้เจอบ่อยๆ (เห็นเขาว่ากันว่าพี่เป้อจีบเด็กอยู่)
“เซอร์ไพรส์อะไร” ผมเลิกคิ้วและถามต่อไปทันที แค่ช่อดอกไม้ช่อเบ้อเริ่มในมือนี้ผมก็เซอร์ไพรส์ล่ะนะ
“ตินติน!!!!” คำตอบมาพร้อมกับเสียงเรียกชื่ออย่างดัง
“พี่โก้!!! พี่เกล!!!” ซึ่งผมก็ตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน ก็ทำที่จำได้ พี่สองคนนี้ตอบกลับมาว่าติดงานตอนที่ผมโทรไปบอกนี้หนา การที่อยู่ๆพี่ทั้งคู่มาอยู่ตรงนี้จึงดีต่อใจผมมากจริงๆ
“ถ่ายรูปๆๆๆ” ผมพูดรัวเร็วหลังจากรับของจากพี่ทุกคนจนครบ นี้มันรวมสาย0002 ตั้งแต่รุ่น95 96 97 98 99 100 จน101เลยนะ จะไม่ถ่ายรูปได้ไง
นี้แหละครอบครัวสายรหัสของผม
แบบของจริงเลย
“เนฟ! ถ่ายรูปให้กูหน่อย” และคนที่พอจะว่างให้ผมไหว้วานได้ก็คือเนฟ เด็กซิ่วที่ควรจะเป็นปี100แต่ดันมาเป็นปี101แทน
“มาถึงก็ใช้งานเลยนะ” ไอ้เนฟบ่นนิดหน่อยแต่ก็ยอมยกกล้องมาถ่ายให้แต่โดยดี
“แหมมมมมมมม พอเป็นพี่เตชินท์เนี่ย สั่งนิดสั่งหน่อยมึงทำหมดเลยนะเนฟ” ไอ้เปรมที่ยืนอยู่ด้วยคงอดที่จะแซวออกมาไม่ได้
ใครๆเขาก็รู้กันว่า
เนฟจีบผม
ช่วงแรกๆผมก็ทักทายมันบ้างตามประสาตอนเดินผ่าน แต่พอนานๆเข้าผมก็เริ่มจับสังเกตได้ว่าไอ้เด็กปี1ที่ควรจะมีสังคมกับเด็กปี1มันแลจะตัวติดผมมากกว่าปกติ
แต่ผมบอกมันชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไร
ถึงแม้พูดกันตามตรงแล้วผมเองจะยังไม่มีใครก็เถอะ ผมเลยปล่อยตัวปล่อยใจให้มันไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าหรอกครับ เพราะผมต้องฝึกงาน นับครั้งได้เลยที่จะเจอกัน และส่วนมากที่เจอกันก็เพราะไอ้เนฟพยายามจะเสนอตัวมาหาผมนั้นแหละ
อย่างครั้งนี้ก็ด้วย
ยิ่งมันพยายามมากเท่าไรผมก็ยิ่งรู้สึกผิด และผมเองก็บอกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าถึงตัวผมจะไม่มีเจ้าของ
แต่หัวใจผมมีเจ้าของแล้ว
“ดีแล้วๆ แต่เอาพี่เปรมออกจากเฟรมนะยิ่งดีเลย” ไอ้เด็กนี้ก็ใช่ว่าจะยอมคนที่ไหน เพราะมันบอกมุมกล้องให้โดยที่ไม่วายจะแซะเปรมกลับไป
“กูพี่มึงนะเนฟ!” ไอ้เปรมโวยกลับไปซึ่งเรียกเสียงฮาจากพวกผมได้มากโข
“เอานะ 1!! 2!!” พวกเราฉีกยิ้มให้กล้องไอ้เนฟ มันกดถ่ายอีก2-3รูปก่อนที่จะยกมือโอเคส่งมาให้
“แล้วนี้มึงได้งานยัง” พี่โก้พี่ใหญ่ประจำทีมโผล่ขึ้นมาก่อนที่จะคว้าคอผมไปกอด
“พี่ที่ฝึกงานเขาอยากให้ไปทำต่ออ่ะพี่ แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจนะ” ผมโชคดีมากที่ได้ที่ฝึกงานดี และผมก็เข้ากับทุกคนได้ดีมากๆ จนพี่หัวหน้าออกปากขอจ้างผมอยู่ต่อเลย แต่ที่ทำงานมันอยู่ที่พัทยา ถ้าผมตกลงทำก็คงต้องไปหาบ้านแถวนั้นอยู่ เพราะถึงมันจะไม่ไกลจากกรุงเทพมาก แต่การจะให้ผมไปกลับมันจะเหนื่อยไปสักหน่อย แต่ผมยังอยากอยู่บ้านอยู่ ก็เลยยังไม่ได้ตอบตกลงไป
“อย่าเลือกงานให้มันมากนักนะไอ้ลูกหมา เดี๋ยวจะลำบาก” พี่เกลพูดต่อขึ้นมา
“ผมไม่ได้เลือกนะพี่ แต่มันก็ต้องอาศัยปัจจัยอะไรหลายๆอย่างไหมอ่ะ” พี่เกลยอมพยักหน้ารับ จากที่ผมรู้มาเนี่ยกว่าพี่เกลจะได้ทำงานที่นี่ก็เปลี่ยนมาหลายที่เหมือนกันนะ
“ผมให้” ไอ้เนฟเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยก่อนที่จะยื่นกล่องของขวัญให้ผม
“อ้าวพวกเราหลบหน่อย คนเขาจะจีบกัน” นี้ไงงงงง เล่นชงกันขนาดนี้ไง เขาถึงได้รู้กันหมดว่าไอ้เนฟจีบผม แถมพอพี่เป้อพูดแบบนั้น ทุกคนก็พร้อมใจกันร้องฮิ้ววววและแยกทางให้เนฟเดินเข้ามาหาผมซะงั้น
“อะไรวะ” ผมรับกล่องมาจากเนฟและเขย่าๆดูเพื่อเดาว่าคืออะไร
“เปิดดูก็รู้เองแหละพี่” เนฟมันว่างั้น
“ถ่ายรูปให้หน่อยดิพี่” ผมพึ่งสังเกตว่าพิ้งค์ยืนอยู่ไม่ไกล
“จ้า~” พิ้งค์บุ้ยปากแต่ก็ยอมรับกล้องจากเนฟไปแต่โดยดี ก็ใช่สิ เนฟเป็นน้องรหัสพิ้งค์นี้
“1..2..” ผมยิ้มกว้างให้กล้องของเนฟ โดยมีเนฟยืนอยู่ข้างๆ
“ส่งภาพให้กูด้วย” ถ่ายเสร็จผมก็หันไปบอกไอ้เนฟ
“ได้เลยครับผม” เนฟยิ้มกลับมาให้ผมหลังจากมันเช็คภาพเสร็จ
“พี่เตชินท์!” ผมหันไปตามเสียงเรียกอีกครั้ง
“ขอบใจนะ” ผมรับช่อดอกไม้จากพาร์ท หลังจากวันที่พาร์ทไปหาผมที่บ้าน เราก็ดูจะสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมอีกระดับหนึ่ง
ระดับเล็กๆเท่านั้นแหละ
“เรียนจบแล้วก็ขอให้ได้งานดีๆด้วยนะพี่” พีทที่ยืนอยู่หลังพาร์ทยื่นหน้าเข้ามาบอก
“แล้วก็ดอกไม้ผมรวมกับไอ้พาร์ทนะพี่ ช่วงนี้ช็อต” ผมขำทันที
“เออ ขอบใจนะ”
“เตชินท์!” ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดหน่อยที่มีใครไม่รู้กรูกันเข้ามาแสดงความยินดีกับผมมากมายจนผมแทบจะไม่มีมือเหลือรับของแล้ว
“97!!! เตรียมเข้าหอประชุมได้เลยนะ!” เสียงของใครบางคนตะโกนขัดขึ้นมา ทำให้ผมกับไอ้เมฆต้องรีบหาที่วางของและเข้าไปต่อแถวรอเข้าหอประชุมทันที ผมบอกที่บ้านไว้ว่าให้มาหาหลังจากออกจากหอประชุมมาแล้ว ตอนนี้จึงยังไม่มีใครคอยให้ผมฝากของเลยครับ ผมจึงฝากไอ้เนฟนั้นแหละให้ช่วยเฝ้าให้หน่อย
เราเดินเรียงหาที่นั่งกันมาเรื่อยๆจนผมได้ที่นั่งในที่สุด แต่ด้วยความที่ชื่อผมขึ้นต้นด้วยตัว ต ผมก็ทำใจไว้แล้วแหละว่าคงต้องนั่งกันอีกยาวๆเลย
“สู้เขานะมึง” เพื่อนที่นั่งข้างๆทักขึ้นมาแบบนั้น เล่นเอาผมเลิกคิ้วใส่เลย
“สู้ไรวะ” อยู่ๆมาให้สู้อะไรของมัน
“อ้าว กล่าวสุนทรพจน์ไง” คำอธิบายที่ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นเลย
“ใครต้องกล่าวนะ” ผมถามซ้ำ คราวนี้เพื่อนคนเดิมทำหน้างงใส่ผมบ้างก่อนที่จะชี้นิ้วมาที่ผม
“มึงไง”
“ห้ะ!!!”
“อ้าวมึงไม่รู้เหรอ”
“กูจะไปรู้ได้ไง” ตอนนี้ผมเริ่มจับเรื่องราวได้คร่าวๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมสุดท้ายคนที่ต้องขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์สั้นๆก่อนปิดงานจึงกลายเป็นผม
“ก็เห็นเขาตกลงกันแล้วว่ามึงพูด กูก็นึกว่ามึงรู้แล้ว” ไหน! ไอ้ใครหน้าไหนมันไปตกลงกัน มาให้กูถีบซะดีๆ
“แล้วก็ให้ไอ้เมฆไปบอกมึงอีกรอบด้วย มันไม่ได้บอกมึงเหรอ” ใช่เมฆไม่ได้บอกผม... แม่งคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าบอก ผมต้องค้านหัวชนฝาแน่ๆว่าไม่เอาๆ
มันเลยเลือกไม่บอก
ไอ้เมฆ!!!!!
ผมหันมองหาเจ้าของชื่อที่ผมอยากจะกระถืบมันซะจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะหามันเจอ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมาซะก่อน
‘กูรู้ว่ามึงมีคำพูดดีๆเอาไว้พูดสุนทรพจน์อยู่มากมาย สู้เขานะตินติน’
“เพื่อนเลว” ข้อความสั้นๆจากเพื่อนที่ผมอยากบีบคอมากที่สุดทำให้ผมหลุดสบถออกมา แต่แล้วผมก็ต้องมานั่งไตร่ตรองว่าจะเอาอะไรไปพูดดีวะ
ทำไงดีเนี่ยยยยย
ช่วงเวลาที่ผมคิดว่าคงจะว่างจนหลับได้ไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไปเมื่อผมมีภารกิจกล่าวสุนทรพจน์ค้ำคออยู่ และยิ่งรายชื่อเข้าใกล้ผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งขาดสติมากเท่านั้น แม้ผมจะได้พูดหลังจากทุกคนรับปริญญาเสร็จแล้วผมก็ยังตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด ในหัวกำลังกลั่นกรองคำพูดที่สวยหรูเหมาะที่จะพูดมากที่สุด ซึ่งยิ่งพยายามคิดเท่าไร ก็ยิ่งคิดไม่ออกเท่านั้น
ในหัวผมตอนนี้มีแต่ความคิดที่อยากฆ่าไอ้เมฆเท่านั้น
‘กู พ่อ แม่ รออยู่ใต้ตึกนะ’
ข้อความของเต็นท์ที่พึ่งส่งมาถึงทำให้ผมกดตอบมันไปทันที ถ้าเป็นปกติผมคงแค่อ่านเฉยๆแต่ในกรณีที่สมองไม่สามารถกลั่นกรองอะไรได้แบบนี้ผมจึงพิมพ์ตอบมันกลับไปทันที
‘กูต้องขึ้นพูดสุนทรพจน์ว่ะ ทำไงดีวะ’
รออยู่เพียงอึดใจข้อความของเต็นท์ก็ส่งกลับมา
‘เชดเข้จริงดิ เดี๋ยวกูเข้าไปดูนะ’
‘ไอ้สัด นั้นไม่ใช่ประเด็นไหม ประเด็นคือกูไม่รู้จะพูดอะไร’
ผมด่าพี่ชายคนเดียวกลับไปทันที
“ต่อจากนี้ก็เชิญท่านอธิการบดีกล่าวอวยพรบัณฑิตใหม่ด้วยค่ะ” เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้ผมยิ่งลุกลี้ลุกลนขึ้นไปอีกทวีคูณ
ถ้าอธิการพูดจบ มันก็ถึงคิวของผมแล้วนี้นา
‘มึงเรียนที่นี่มาตั้ง5ปีนะ ไม่มีสิ่งที่อยากบอกก่อนจะไม่ได้เป็นนักศึกษาของที่นี่อีกแล้วรึไง’
ประโยคสั้นๆต่อมาของเต็นท์ทำให้ใจผมเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ
เต็นท์พูดถูก ผมไม่จำเป็นต้องหาคำพูดที่สวยหรูหรือซาบซึ้งกินใจที่สุด ผมแค่พูดในสิ่งที่ผมอยากจะบอก บอกทุกอย่างออกไปก่อนที่ผมจะต้องลามหาลัยแห่งนี้ไป
“ต่อไปขอเชิญตัวแทนนิสิตจากคณะสถาปัยตกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัยตกรรมหลัก พูดกล่าวอะไรสักเล็กน้อยค่ะ”
ผมไม่ได้ยินเสียงการกล่าวของคนอื่นๆเลย ผมรู้เพียงแค่คนพูดผ่านไปคนแล้วคนเล่า จนชื่อคณะสามารถเรียกอาการหูอื้อออกไปจากผมได้ รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนขึ้นและเดินตรงไปยังเวทีแล้ว
พูดสิ่งที่อยากบอกก่อนจะไม่ได้เป็นนักศึกษาของที่นี่อีก
ผมย้ำกับตัวเองด้วยประโยคเรียกสติสั้นๆก่อนที่จะมาหยุดยืนอยู่หน้าไมโครโฟน
แม่งเอ้ย... อยู่ตรงนี้แล้วยิ่งสติพังไปใหญ่
“เอ่อ...” ทำไมเสียงหลุดออกไปวะ! ผมเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงใดหลุดออกไปให้ดูขายหน้าอีก สายตากวาดมองบัณฑิตจบใหม่ที่นั่งกันอยู่ละลานตา กวาดสายตามองช้าๆก่อนที่ผมจะหันไปเห็นพวกรุ่นน้องหลายๆคนที่ยืนรอบนอกคอยมองอยู่ไม่ไกล
พูดสิ่งที่อยากบอกก่อนจะไม่ได้เป็นนักศึกษาของที่นี่อีก
“ผมชื่อเตชินท์ อยู่คณะสถาปัยตกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรมหลักนะ ถ้าจะให้พูดแบบเป็นทางการจริงๆ...ผมคงพูดไม่ได้ ขอพูดแบบนี้ล่ะกันนะ” ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าแต่มีหลายๆคนที่พยักหน้ารับ
“ผมมาเรียนสถาปัตย์ เพราะพี่ชายผมยุอ่ะ มันจบวิศวะมาเลยอยากได้สถาปนิกสักคน แค่นั้นเอง” เสียงขำดังขึ้นมานิดหน่อย
“จริงๆผมก็เถียงมันเหมือนกันนะตอนแรก ก็ไอ้คณะเนี่ย เรียนก็ต้องเรียนตั้ง5ปี เหนื่อยกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาอีก แต่พอมาคิดๆดูแล้ว...ผมก็ดูเหมาะกับสถาปัตย์อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ”
“จากที่คาดหวังความรู้ในสาขาวิชานี้ก็ได้มากกว่านั้น สถาปัตย์...ไม่ได้สอนแค่วิธีสร้างบ้าน แต่สถาปัตย์สอนวิธีใช้ชีวิต สอนให้รู้จักปรับตัว สอนให้มีสังคม มีความรับผิดชอบ ถ้าจะพูดให้ครบ ผมอาจต้องใช้เวลาทั้งวัน”
“ดังนั้นขอพูดแค่เรื่องเด่นๆล่ะกัน อันดับแรกขอบคุณเพื่อนทุกคนทั้งในสาขาและนอกสาขา พวกเราให้ใจกัน สนิทกัน เพียงเพราะเราเลือกเรียนสถาปัตย์เหมือนกัน ซึ่งมันเจ๋งมากเลยสำหรับผม”
“ขอบคุณรุ่นพี่ทุกคนที่คอยสอน คอยด่า คอยว่า หรือบางทีก็ลงไม้ลงมือ เพื่อให้น้องได้ดี... แต่บางครั้งก็พูดดีๆก็พอนะพี่” ผมแน่ใจว่าเห็นพี่ดินกำลังขำกับประโยคนั้นของผม
“ขอบคุณรุ่นน้องทุกคน ที่ไม่เคยบ่น ไม่ว่าพี่จะไหว้วานให้ช่วยทำงานเยอะขนาดไหน แถมยังเชื่อฟังและเป็นเด็กดีอีก พี่อาจจะไม่เคยพูดขอบคุณพวกเรารายคนนะ ก็ขอรวบยอดวันนี้เลยล่ะกันนะ”
“สุดท้ายขอบคุณสถาปัตย์... ขอบคุณที่ทำให้ได้เจออะไรหลายๆอย่าง ได้เปิดโลกใหม่ๆ ทั้งความรู้ ความเข้าใจ และ...ความรัก ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งให้โอกาสคนๆหนึ่งได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ และในอนาคต หวังว่าเราจะได้เดินในเส้นทางของสถาปัยตกรรม เป็นสถาปนิกที่ทรงคุณค่า อยากให้ทุกคนช่วยจับตาดูและเดินไปข้างๆกันแบบนี้นะ”
“...ขอบคุณครับ” เสียงตบมือดังกึกก้องเมื่อผมพูดจบ ผมรับช่อดอกไม้จากอธิการก่อนที่จะลงจากเวทีมานั่งที่ในที่สุด ผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกไปบ้าง แต่รู้ว่าตัวเองได้พูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปแล้ว
รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเลยล่ะ
“1!!! 2!!!!” หลังจากพิธีการเสร็จแน่นอนว่าเป็นเวลาของการถ่ายรูปอีกครั้ง ผมนี้ลากที่บ้านมาถ่ายรูปด้วยกันใต้ตึกทันที
“พูดได้ดีนะ สมกับเป็นน้องกู” เต็นท์ว่างั้นก่อนที่มันจะคว้าคอผมไปกอด
“กูเก่งไง” เต็นท์เบ้ปาก
“เอออออ กูยอมให้มึงเก่งวันหนึ่ง” ผมขำ ก่อนที่เราจะหันไปยิ้มรับกล้องที่ไม่รู้ว่ากดถ่ายไปกี่รอบแล้ว
“พี่เตชินนนนท์ถ่ายรูปกานนน” เสียงใสๆพร้อมด้วยพิ้งค์และเนที่ก้าวเข้ามาหา
“มาๆ” ผมถูกดันให้ไปยืนตรงกลางก่อนที่กล้องจะถูกกดถ่าย
“ทางนี้พี่ทางนี้ๆ” ผมโดนจับดึงไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างงงงวยไปหมด จนผมไม่รู้แล้วว่ากำลังร่วมเฟรมกับใครอยู่ เพราะคนก็เริ่มเข้ามารุมตรงบริเวณนี้มากขึ้น แถมยังมีเสียงกล่าวชมดังมาจากหลายทิศทางที่ผมทำได้เพียงแค่รับคำโดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงนั้น
“บูมคณะ!!!!!!!” เสียงสั่งที่ดังขึ้นมา ทำให้น้องๆที่วนเวียนถ่ายรูปอยู่ยอมแยกออกไปและกอดคอเพื่อบูมคณะแต่โดยดี
“3!!!!!! 4!!!!!!” ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียงสั่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ตอบรับคำด้วยการที่ทุกคนกอดคอและตั้งใจบูมคณะให้พวกเรารุ่น97อย่างเต็มที่
มันเหมือนกับการเดินทางด้านการศึกษาตั้งแต่3ขวบของเรามาถึงเส้นชัยสักที การศึกษาที่เราต่างท้อต่อกระบวนการศึกษามานับครั้งไม่ถ้วน ถูกคุณครูดุด่าหรือลงโทษมาหลากหลายวิธี แถมยังต้องต่อสู้กับความง่วงนอนที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปโรงเรียนและเข้าแถวให้ทัน สำหรับผมที่ผ่านโรงเรียนมาหลายโรงเรียนมันยิ่งมากล้นไปด้วยความรู้สึก
ผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่โครตจะไม่ชอบการเริ่มต้นใหม่ แต่ผมกลับต้องเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า และต่อจากนี้ ผมก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในหน้าที่การงาน ที่ไม่รู้ว่ามันจะออกมาดีหรือร้าย แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็แค่ต้องผ่านไปให้ได้อีกครั้ง
คิดมาถึงตรงนี้ขอบตาผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องแสร้งยกช่อดอกไม้ในมือที่ไม่แน่ใจว่าใครให้ขึ้นมาดมอีกครั้ง
“สถาปัตตตตตตตตตตตย์” เสียงบูมโค้งสุดท้ายยังคงดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทของผม
“เฮ!!!!!!!!” บัณฑิตทุกคนในวงล้อมพร้อมใจกันโห่ร้อง ตบมือแสดงความขอบคุณกับความตั้งใจในการบูมของน้องๆ
“พี่ติณห์” ในขณะที่ทุกคนยังคงชุลมุนอยู่นั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังขัดให้ผมหันไปหา
“ครับ?” ผมรับคำและหันไปมองหาด้วย แต่เพราะคนที่มากมายตรงนี้ผมจึงไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเรียกผม
แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ช่อดอกไม้สีน้ำตาลช่อหนึ่งตรงหน้าที่ถูกยื่นมาในระดับสายตาของผมพอดี ภายในประกอบไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิดที่ล้วนเป็นชนิดที่ผมชื่นชอบจนอยากจะเอ่ยปากชมในความใส่ใจของเจ้าของ แต่มันกลับไม่ได้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสักเท่าไร ถึงแม้จะดูไม่ได้สวยงามเหมือนร้านจัด แต่ความไม่เพอร์เฟคนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าช่อดอกไม้ช่อนี้ถูกทำขึ้นด้วยตัวคนให้เอง
ผมเลื่อนมือไปรับช่อดอกไม้ช่อนั้น
และเสียงพูดคุยที่ดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดูจะเงียบลงไปในเสี้ยววินาทีนั้น สายตาผมจับจ้องไปยังเจ้าของช่อดอกไม้ที่ขยับเข้ามาในระดับสายตาของผม ใบหน้าคุ้นเคยกับดวงตาที่คุ้นตากำลังจับจ้องมาที่ผม หัวสมองผมขาวโพลนซะยิ่งกว่าตอนคิดบทพูดสุนทรพจน์เมื่อกี้อีก คนที่ควรจะสูงในระดับสายตากลับอยู่สูงกว่านั้น จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง สายตาที่มองตรงมาทำให้ร่างกายผมหยุดนิ่งและไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี มือไม้ดูเกะกะขึ้นมาจนไม่รู้จะเอามันไปวางไว้ตรงไหน และอยู่ๆคนๆนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม อาจจะเพราะกลัวเสียงที่ดังอึกทึกจนฟังไม่ได้ศัพท์กลบเสียงของเขาซะหมด เขาจึงยื่นหน้าเข้ามาในระดับที่มั่นใจว่าผมจะได้ยินแน่นอน
แต่บางทีมันอาจจะยิ่งทำให้ผมไม่ได้ยิน
เพราะกลิ่นอายเฉพาะตัวที่ผมไม่เคยได้กลิ่นที่ไหนอีกเลย นอกจากตัวเขายิ่งยืนยันให้ผมแน่ใจว่าคนตรงหน้าผม คนๆนี้...
คือวาไม่ผิดแน่
“ผมมาทวงสัญญาครับ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชื่อว่าหลายคนกำลังด่าทอถึงขั้นสบถออกมาหลังจากอ่านจบ 55555 อันนี้คือตอนจบแบบจบจริงๆของเรื่องนี้แล้วนะคะ ฮืออออ เพราะมันเป็นตอนจบแล้วเลยไม่รู้จะพูดเรื่องไหนก่อนดี เอาเป็นว่าtalkอาจจะยาวสักหน่อยไม่โกรธกันเนอะ
อันดับแรก ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ ขอบคุณที่คอยอ่าน คอยติ หรือคอยเร่งให้อัพเร็วๆ ขอบคุณมากๆจริงๆที่สนุกไปกับนิยายเรื่องนี้ และถึงแม้นิยายจะจบไปแล้ว แต่วาและติณห์ก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในนี้เสมอนะคะ สำหรับเนื้อหาที่ลงเว็บไป เราจะไม่ลบออกนะ ก็จะปล่อยไว้แบบนี้แหละ ใครอยากกลับมาอ่านอีกก็ได้เสมอเลย และอาจจะมีรีไรท์คำผิดในอนาคต (คงอีกสักพักใหญ่ๆนะ)
เรื่องที่สอง เพราะว่าแต่งมายาวนานกว่าครึ่งปีและเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สองที่เราแต่งจนจบ อยากจะขอวอนให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านช่วยทิ้งคอมเม้นต์ให้หน่อยได้มั้ยอ่ะ อยากจะบอก อยากจะว่าที่ตัดจบแบบนี้ 555 หรือจะพูดความในใจอะไรก็ได้เลย อยากรู้ความคิดของทุกคนที่อ่านจริงๆค่ะ
เรื่องต่อไปคือเรื่องรวมเล่ม เราคิดว่าคงยังไม่ได้รวมเล่มเนอะ ด้วยยอดที่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ถึง (ฮืออออ) แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เราตัดสินใจว่าจะเอาตอนพิเศษมาแต่งลงเว็บนะคะ แต่คงไม่เยอะเท่าที่บอกไปครั้งนู้นนนน แต่จะเป็นเนื้อหาที่อยากแต่งจริงๆ ส่วนเรื่องเวลาอัพยังไม่แน่นอนว่าจะอัพตอนไหน คงจะมาอัพเมื่ออยากอัพจริงๆ หรือบางทีอาจจะรอยอดคอมเม้นต์ให้เยอะๆก่อนเดี๋ยวมาอัพ 555 เพราะว่าตอนพิเศษยังไม่ได้วางพล็อตเลย แค่วางเรื่องไว้คร่าวๆเท่านั้นจึงยังไม่แน่ใจว่าจะได้อัพตอนไหน ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งนะคะ และก็ขอบคุณสำหรับความรักที่ให้วาและติณห์มาโดยตลอด ยังไงก็ไปมโนตอนต่อไปกันได้ก่อนที่ตอนพิเศษจะมาอัพเนอะะะ
เจอกันตอนพิเศษนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อธิบายการทำงานของคณะสถาปัตดีมากๆ ตอนหน่วง ก็หน่วงจนเราร้องไห้เลย ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆ มาให้อ่านนะคะ
เราจะบอกว่าเรื่องนี้เราใช้เวลาอ่านประมาณ2วันได้ค่ะ เสียดายเหมือนกันที่เราไม่ได้อ่านเรื่องนี้ให้ไวกว่านี้ เพราะนิยายเรื่องนี้มัน!!! ดี!!! มาก!!! #ยกนิ้วชาบู เราชอบความมีเสน่ห์ของตัวละคร และการดำเนินเรื่องที่ไรต์แต่งอะค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ ขอบคุณที่ทำให้เราผูกพันกับพี่ตินและน้องวา ผ่านตัวอักษรที่ไรต์บรรยาย :) ---
เราขอโทษด้วยนะคะ ที่เราไม่ได้เม้นต์ให้ไรต์ทุกตอน แต่เราจะขอรวบในเม้นต์เดียวละกัน55555 ขอโทษจริงๆค่ะ เราอยากจะบอกว่าคนแบบวานี่นิสัยคล้ายเรามากเลย เราแบบเห้ย เอานิสัยเราไปแต่งหรอ อะไรแบบนี้55555 --- ความรู้สึกหลังจากอ่านนิยายเรื่องนี้จบมันอิ่มเอมแปลกๆอะค่ะ มันHappy ที่เราได้เห็นการพัฒนาของตัวละคร แล้วไรต์เองก็บรรยายดี ทำให้เราเหมือนมีส่วนร่วมในนิยายเลยยยย !! --- ตอนแรกเรากะว่าจะไม่อ่านเพราะดูคำโปรยแล้วไม่สนุก แต่พอได้มาอ่านจริงๆแบบ เห้ยแก!! สนุกอะ!! ดำเนินเรื่องไม่เอื่อย มีมุก มีความreal แถมตัวละครไม่เวิ้นเว่ออีก ชอบเลยอะ!!!ท้ายสุดก็อยากจะถามว่ามีภาคต่ออีกไหมคะ เราอยากอ่าน T_T 5555 คู่อื่นก็ได้ค่ะ อยากเห็นพาร์ทสมหวังอ่ะ นางน่าสงสารมากเรื่องนี้ #ทีมพาร์ท
แต่มันทำให้อยากรู้ต่อว่าเรื่องราวหลังจากนั้นเป็นยังไงนะ
บอกว่าจบค้างละกัน ถ่ออออ
เราชอบเรื่องนี้นะคะ เป็นเรื่องฟีลกู้ดสบายๆ
รอตอนพิเศษค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
อ่านแล้วเราชอบการบอกเล่าความรู้สึกของคู่นี้
มันทำให้เราเข้าใจในตัวตนของทั้งคู่
ปล. อยากอ่านเรื่องของวาและติณห์หลังจากนี้มากคะ
ปล.รอตอนพิเศษน้าสู้ๆค่ะ