ตอนที่ 39 : if
38
“พี่วา!! พี่วาไปส่งวีหน่อยยย” เป็นอีกวันที่ผมต้องตื่นจากห้วงนิทราด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย
“พี่วาๆๆ” ครั้งนี้เจ้าของเสียงขยับมาใกล้มากขึ้นและกระโดดใส่ผมไปด้วย
“พี่วาตื่นได้แล้วววว วีจะไปโรงเรียนแล้วนะ” ผมยอมผุดลุกขึ้นมานั่งเมื่อวีตะโกนใส่หูผม
“ไปโรงเรียนกันเถอะค่ะ!” เมื่อเปิดเปลือกตาหนักๆขึ้นมาได้ ผมก็พบกับวีที่นั่งอยู่บนตัวผมอีกที พร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้
ปกติความง่วงและความเซ็งจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสนี้
แต่ครั้งนี้ไม่ปกติ
“พี่พูดเหรอว่าจะไปส่งวี” ผมยังไม่ได้คุยกับวีเลยด้วยซ้ำ
“วีอยากให้พี่วาไปส่ง!”
“พี่ไม่ไป” วีชะงัก ก่อนที่จะบุ้ยปากออกมา
“ไม่เอา! พี่วาต้องไปส่งวี ต้องไปส่ง ต้องไปส่ง” วีเบ้ปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้ก่อนที่จะเหวี่ยงกำปั้นน้อยๆใส่ผมไม่หยุด
“อย่างอแงได้ไหมวี!!” วีเงียบทันที เธอชะงักและมองผมด้วยสายตาไม่เข้าใจ โดยที่ผมก็ยังคงจ้องเธออย่างนั้น
“เดี๋ยววันนี้ให้คุณพ่อไปส่งอีกวันล่ะกันเนอะ” ผมพึ่งเห็นว่าแม่ยืนอยู่ไม่ไกล เธอเดินเข้ามาหาวี ลูบหัวน้องเบาๆก่อนที่จะจูงมือวีออกไป
ผมสาบานว่าวีกำลังร้องไห้
อะไรวะเนี่ย
ผมยกมือขึ้นมาเสยผม ก่อนที่จะเลื่อนมันมาปิดหน้าไว้
นี้มันเป็นเช้าที่แย่ที่สุดสำหรับผมเลย
“เป็นอะไร” ผมลดมือลงเมื่อสัมผัสได้ว่าแม่กำลังทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงผม
“เปล่าครับ”
“ใครเชื่อก็บ้าแล้ววา เป็นอะไร เล่ามาเร็ว”
“วาบอกว่าไม่มีอะไรไงแม่” ผมตอบทั้งยังหันไปมองหน้าเธอตรงๆ
“แล้วนี้แกจะมาเหวี่ยงฉันทำไม” พอโดนคำถามแบบนั้นผมถึงได้เสสายตาหลบ
“วาไม่ได้เหวี่ยง”
“ไม่ได้เหวี่ยงอะไร เหวี่ยงทั้งน้อง เหวี่ยงทั้งแม่ บอกให้เล่ามาไง” แม่หยิกแขนผมแรงๆไปหนึ่งที เล่นเอาผมขยับหนีเลยครับ
“มันเจ็บนะแม่!”
“เล่ามาสิย่ะ” ผมถอนหายใจ ดูจากท่าทางแม่คงไม่หยุดถามถ้าผมไม่เล่า
“แม่ไม่สงสัยเหรอว่าทำไมพี่ติณห์รีบกลับ” แม่หันมาหาผมมากขึ้นก่อนที่เธอจะพยักหน้า
ใช่ครับ พี่ติณห์กลับกรุงเทพไปแล้ว เขากลับไปตั้งแต่ที่เราคุยกันจบเมื่อวาน อย่างที่เขาบอกแหละว่า บางทีการไม่มีผม มันอาจทำให้อะไรๆชัดเจนขึ้น
ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่าอะไรแม่งจะชัดเจนขึ้นสักอย่าง
และเขาก็ตัดสินใจกลับกรุงเทพโดยไม่ฟังคำแย้งของผมสักคำ และเชื่อไหมว่าผมตอนนั้นก็ไม่มีแรงแม้แต่จะรั้งเขาไว้ สุดท้ายพี่ติณห์ก็เดินออกไปโดยที่ผมไม่ได้บอกลาเลยด้วยซ้ำ
“ฉันสงสัยว่าแกได้ไปส่งเขารึเปล่ามากกว่า ไม่ใช่ว่าทะเลาะกัน ไปเหวี่ยงเขา แล้วปล่อยเขากลับบ้านเองนะ” แม่จุดไฟในหัวผมขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ติณห์เขาโตแล้วนะแม่! เขาดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องการวาหรอก” ไม่รู้ทำไมประโยคหลังมันถึงได้เบาลง
“ฉันแม่แกนะวา ขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอ” แม่หยิกแขนผมอีกครั้งก่อนที่จะบ่นออกมา
หยิกก็เจ็บ!
“สรุปทะเลาะกันเรื่องอะไร” แม่ถามต่อ
“ถ้ามันทะเลาะกันอาจจะดีกว่าก็ได้” แม่งแย่ตรงเราไม่ได้ทะเลาะกันด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าผมไม่พอใจได้ไหม หรือพี่ติณห์ทำอะไรตรงไหนไม่ถูกใจผม
ซึ่งมันไม่มีเลย
เพราะแบบนั้นผมถึงได้สับสนไปหมด
มันฟุ้งซ่านจนผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าตัวเองนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงตั้งแต่พี่ติณห์ออกไป นั่งอยู่นานสองนานก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้ร้องไห้ แต่มันอัดอั้นไปหมด ผมเข้าใจเหตุผลของเขา และผมก็เข้าใจเหตุผลของตัวเองด้วย
แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุผลของเราถึงไปด้วยกันไม่ได้
ทำไมเราปรับให้มันเข้าหากันไม่ได้
ทำไมสุดท้ายแล้วเราต้องแยกกัน
ทั้งๆที่เราไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นเลย
“จริงๆแล้วก่อนที่วาจะกลับบ้าน วาได้ทุน ทุน100% ไปอังกฤษด้วยนะแม่ ของAFUด้วยแหละ” แม่มองตรงมาที่ผมนิ่งๆไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงให้ผมพูดไปเรื่อยๆเท่านั้น
“ยอมรับนะว่าโครตดีใจเลย แต่วาไม่อยากไปคนเดียวแล้วอ่ะแม่” แม่เลื่อนมือมาจับมือผม สภาพผมคงแย่มากแล้วแหละ
“พี่ติณห์เขาเคยสัญญากับวาไว้ว่าอีก3ปีเราจะไปด้วยกัน เพราะแบบนั้น... วาถึงได้ปฏิเสธทุน ทุกอย่างดำเนินมาด้วยดี แล้วอยู่ๆพี่ติณห์ก็พูดว่าเขาอาจจะไปกับวาไม่ได้ ให้วาคิดเรื่องรับทุนใหม่ เขาไม่อยากเป็นตัวถ่วงวา เขาจะรู้ไหมวะ... ว่าวายอมไม่ไปไหน เพียงแค่ได้เดินไปพร้อมกับเขา นี้มันเหมือนเขากำลังผลักวาออกเลย”
“เหมือนวาปิดตา จับมือเขาคนเดียว ปล่อยให้เขาจูงวาเดินไปข้างหน้า แต่แล้วเขาก็ปล่อยมือ ทิ้งวาไว้ท่ามกลางความมืด บอกให้วาหาทางออกให้ได้ ทางออก...ที่วาอาจจะต้องสร้างมันขึ้นมาเอง และถ้าวาทำไม่ได้ ถ้าวาลองทำแล้วมันไม่โอเค วาจะกลับมาจับมือเขาได้ไหม เขาจะยอมจับมือวาอีกครั้งไหม และถ้าเขาไม่อยากจับมือวาอีกแล้ว วาเลือกให้เขาไม่ปล่อยมือได้ไหม”
“... ขอแค่มีเขาได้ไหม”
แม่บีบมือผมจนแน่น ก่อนที่เธอจะเลื่อนมืออีกข้างมาลูบหัวผมเบาๆ
“วาต้องคิดในมุมของพี่ติณห์บ้างนะลูก” ผมนิ่ง มองตรงไปที่แม่ ให้ทายว่าสายตาผมคงสับสนมาก มันคงเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำและความอ้อนวอน
อ้อนวอนให้ใครสักคนมาช่วยผมที
“พี่ติณห์ตอนนี้ เขาคงไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนจูงมือวาอยู่ แต่เขากำลังเป็นคนปิดตาวาต่างหาก... ถ้าเขาปล่อยมือ วาก็จะเดินไปข้างหน้าได้ด้วยตัวของวาเอง ไม่ใช่ว่าเขาอยากปล่อยมือจากวา แต่เขากำลังปล่อยให้วาเดินนำไปก่อน เดินไปก่อนเขา และถ้าวันไหนที่วาต้องการเขา วาก็แค่เดินให้ช้าลง รอให้เขาเดินมาถึงวา”
“ถ้าตอนนั้นเขาเปลี่ยนทางไปแล้วล่ะ ต่อให้วารอนานขนาดไหน มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา” ผมพูดแทรกออกไปทันที
“ถ้าวาพร้อมให้เขาจูงมือวาไปที่ไหนก็ได้ วาก็แค่ต้องเปลี่ยนทางเดินของวาบ้าง”
“แล้ววาต้องทำยังไง... ถ้าเขาจูงมือคนอื่นอยู่” แม่เงียบ เธอมองหน้าผมนิ่งๆก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
“แม่ว่าวากำลังโฟกัสผิดจุด” ผมขมวดคิ้วจนปวดหัวแล้วนะ
“สิ่งที่วาต้องคิดตอนนี้คือวาจะเดินต่อไปด้วยตัวเองหรือเดินกลับไปหาพี่ติณห์” เป็นอีกครั้งที่ผมไม่มีคำตอบให้คำถามนี้
“ถึงตอนนี้วาเลือกเดินกลับไปหาเขาก็ใช่ว่าวาจะเดินต่อไปกับเขาได้ตลอด หรือถ้าวาเลือกเดินต่อไปตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าพี่ติณห์จะเดินตามมาไม่ทัน มันอยู่ที่วา”
“วารู้แล้วแม่ แต่... วากลัว” ผมรู้เรื่องนั้นดีและก็คิดซับซ้อนไปมาตั้งไม่รู้กี่รอบแล้ว
“วากลัวอะไร”
“วากลัวว่าถ้าวากลับมาหาเขาอีกครั้ง ตอนนั้นเขาจะไม่ใช่ของวาอีกแล้ว”
“และวาไม่กลัวว่าวาจะเจอคนอื่นบ้างเหรอ”
“วาไม่มีทางรักคนอื่นได้แล้วแม่...”
“แล้ววาคิดว่าพี่ติณห์เขาจะรักคนอื่นได้อีกเหรอ”
“...วากำลังดูถูกความรักของพี่ติณห์อยู่นะ” ผมเม้มปากอีกครั้ง ปล่อยสายตาให้ทอดมองไปยังที่ไกลๆอย่างไม่รู้ว่าควรจะวางสายตาไว้ตรงไหน
“สิ่งที่วาต้องทำคือชั่งใจให้ดีว่าอยากไปอังกฤษหรือไม่อยากไป เรื่องอื่นไม่ต้องไปคิดเผื่อมัน”
“วาจะได้ไม่ต้องมาหงุดหงิด เหวี่ยงชาวบ้านเขาไปทั่วแบบนี้ด้วย” แม่ดีดเหม่งผมเบาๆก่อนที่เธอจะยิ้มบางๆให้ผม
“อังกฤษเลยนะแม่ ให้ไปเหรอ” แม่ไหวไหล่
“ไม่ให้ไปไหวด้วยเหรอ แกจะไปก็จะไปนั้นแหละ ฉันทำอะไรได้ที่ไหน” ผมขำออกมาเบาๆ นั้นสินะ ผมน่ะ ถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะทำก็จะทำอย่างเดียวใครมาห้ามก็ไม่ฟังหรอก
“แต่ถ้าจะไปตอนไหนก็บอกก่อนด้วยล่ะ” ผมพยักหน้า
“วาขอคิดก่อนนะ” แม่พยักหน้ารับ ยีหัวผมรัวๆก่อนที่จะลุกขึ้น
“จะเอายังไงก็บอก จะให้ช่วยอะไรก็บอก รู้ไหมลูกชาย” ผมยิ้ม
“ครับแม่”
“วาผ่านไปได้อยู่แล้ว” แม่โน้มตัวมาหอมแก้มผมก่อนที่เธอจะผละออกไป
ผ่านมันก็คงผ่านไปได้แหละ
แต่บาดแผลระหว่างทางคงฉกรรจ์น่าดู
หลังจากเหวี่ยงวีจนน้องร้องไห้ไปวันนั้น ผมก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะง้อวีสำเร็จ แถมยังเสียตังค่าขนมไปอีกหลายร้อย แต่สุดท้ายวีก็กลับมาเล่นกับผมเหมือนเดิมแล้ว
ผมปิดโทรศัพท์และไม่ได้คิดจะหยิบมันขึ้นมาเปิดอีก ผมไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากติดต่อใคร ตอนนี้ผมแค่อยากอยู่กับวี กับแม่ และกับตัวเองเท่านั้น เพราะถึงตอนนี้ผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเวลามันลดลงไปทุกที จากที่คุยกับอาจารย์ต้นไปไม่กี่ประโยควันนั้น ผมน่าจะมีเวลาตัดสินใจ1อาทิตย์ บวกลบดูแล้วผมก็เหลือเวลาอีกแค่2-3วัน แต่ผมก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี
“พี่วาาาา ของพี่วาค่ะ” ผมละสายตาจากปาท่องโก๋ที่ฝากแม่ซื้อมาเมื่อเช้า เป็นวีที่กำลังยื่นซองสีน้ำตาลขนาดเท่าA4ให้ผม
“ขอบคุณนะคร้าบบ” ผมรับไว้และพูดขอบคุณวีไปด้วย วียิ้มแฉ่งและวิ่งออกไปนอกบ้านอีกครั้ง วันนี้วันเสาร์เด็กๆอายุเท่าวีจึงออกมารวมตัววิ่งเล่นกันอยู่แถวนี้แหละ
ผมหยุดสายตาอยู่ที่ชื่อผู้ส่ง ถึงจะจำที่อยู่ไม่ได้เป๊ะๆ แต่ผมก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นที่อยู่มหาลัยนะ
ผมรู้ทันทีว่าในซองคืออะไร
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พ่นลมหายใจออกทางปากช้าๆ ก่อนที่จะแกะซองออก
เอกสารประกอบการตัดสินใจนะวรมินทร์ ลองอ่านรายละเอียดดู ถ้าเธอเปลี่ยนใจ เซ็นต์เอกสารแล้วเอามายื่นให้อาจารย์ได้ที่มหาลัย อาจารย์ให้เวลาถึงแค่วันอังคารนะ
อาจารย์ต้น
ผมอ่านโน้ตแผ่นเล็กๆที่ตกมาก่อน และหยิบเอกสารที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษทั้งหมดออกมาอ่าน
คงเป็นพวกเงื่อนไขจากAFUนั้นแหละ
ยอมรับเลยว่าตราสัญลักษณ์AFUที่หัวกระดาษทำให้ใจผมเต้นแรงขึ้นมาเลย
ผมอ่านเอกสารแผ่นแรกคร่าวๆ ประมาณว่าขอแสดงความยินดีที่ได้รับทุน แถมมีชื่อผมverเต็มยศภาษาอังกฤษใส่อยู่ด้วย ดูขลังโครตๆเลยอ่ะ ผมมองกระดาษใบนั้นอยู่สักพักก่อนที่จะเปิดใบต่อไป
หวังว่าเอกสารนี้จะทำให้ผมคิดออกสักทีนะว่าจะเอายังไงต่อไปกับชีวิต
ผมมองวีที่กำลังพยายามก่อกองทรายให้เป็นปราสาทด้วยสายตาเหม่อลอย ผมใช้เวลากับการอ่านเอกสารทั้งหมดสักพักก่อนที่จะหาพวกข้อมูลเพิ่มเติมในอินเตอร์เน็ตต่อ และผมก็ไปเจอกับกระทู้หนึ่ง
AFUไม่ได้ให้ทุนนี้เฉพาะเจาะจงที่ประเทศไทย แต่พิจารณาจากเอเชียทั้งหมด พูดง่ายๆก็คือ สมมติมีทุน5ทุน ก็ควานหาแต่ล่ะประเทศเลยว่าใครควรได้รับทุนบ้าง บางทีก็อยู่ในประเทศเดียวกันหรือบางทีก็ต่างประเทศ และถึงแม้จะมีทุนถึง5ทุนแต่ถ้าไม่มีเด็กที่เหมาะสมกับทุนมากเท่าจำนวนก็จะให้ทุนแค่เด็กที่สมควรได้ สำหรับประเทศไทยเรา คนล่าสุดที่ได้ทุนนี้คือเมื่อ3ปีก่อน (ซึ่งตอนนี้พี่เขาก็จบไปแล้ว) แต่คนต่อจากนั้นก็คือผมเอง
ถ้าผมปฏิเสธทุนครั้งนี้อาจจะส่งผลประทบต่อการพิจารณาให้ทุนเด็กไทยในปีต่อไป หมายถึงAFUคงเอาเวลาไปหาเด็กประเทศอื่นแทน เพราะอุตสาห์มอบทุนให้เด็กไทย มันก็ดันไม่เอา (ผมเอง)
อาจารย์ต้นถึงได้ตามเรื่องและอ้อนวอนให้ผมคิดดูดีๆ
พอรู้แบบนี้ก็ยิ่งปัญหาระดับชาติไปใหญ่
เพราะยิ่งสับสนผมเลยถ่อพาวีมาสนามเด็กเล่นที่หมู่บ้านข้างๆ บ้านผมอยู่ในซอยในสุดและไม่ได้เป็นหมู่บ้านครับ แต่ถ้าขับออกจากบ้านผมออกมาหน่อยก็จะเจอกับหมู่บ้านจัดสรรข้างๆที่ผมกับวีมาวิ่งเล่นอยู่บ่อยๆ
แต่ถึงจะมานั่งชิงช้า แกว่งไปมาแบบนี้ หัวผมก็ยังคงว่างเปล่า
“เฮ้ยวา!” ผมชะงักขาที่แกว่งชิงช้าเบาๆและหันไปตามเสียงเรียก
“พี่เชน!” ผมตาลุกวาวขึ้นมาเลย
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะมึง”
“โครตนานอ่ะพี่ ผมนึกว่าพี่ย้ายบ้านไปล่ะ” พี่เชนตบหัวผมเบาๆก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งชิงช้าข้างๆผม
“จะย้ายไปไหนล่ะวะ”
พี่เชน เป็นผู้ชายสูงประมาณผม ตัวใหญ่กว่าผมนิดหน่อย ผิวขาว ตาตี่ มีเชื้อจีนแบบเต็มที่ ผมจะถูกย้อมตลอดเวลา และตอนนี้มันก็เป็นสีน้ำตาลอ่อนครับ ถ้าจำไม่ผิดครั้งล่าสุดที่ผมเจอพี่เชน คือตอนที่ผมปิดเทอมกำลังจะขึ้นปี2นู้นนนน นั้นนานโครตๆเลยนะ ผมกับพี่เชนเราสนิทกันมาก เพราะช่วงที่ผมเกิดไม่ค่อยมีเด็กวัยเดียวกับผมเท่าไหร่ มีแต่แก่ไปเลยหรือไม่ก็เด็กไปเลย อย่างพี่เชนนี้ก็แก่กว่าผมตั้ง5ปี เรามาสนิทกันมากๆตอนแม่จ้างพี่เชนมาออกแบบร้านให้ครับ
นี้แหละสถาปนิกที่ผมร่วมงานด้วยคนแรก
แถมเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆให้ผมอยากเรียนสถาปัตย์ด้วย
“นี้มึงเรียนจบยังวะ” บอกแล้วว่าเราไม่ได้เจอกันนานคงไม่แปลกที่พี่เชนจะไม่รู้
“จบปี3ล่ะพี่” พี่เชนพยักหน้ารับก่อนที่จะพิจารณาผมแบบดีๆ
“กูเชื่อ ใต้ตาคล้ำเชียว” ผมขำทันที
“เรื่องปกติของเด็กคณะนี้ป่ะวะ” พี่เชนขำบ้าง
“เออก็จริง ตอนกูนี้ดำโครตจนแม่ตกใจ”
“พี่สบายดีนะ” ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าพี่เชนดูซูบลงกว่าที่เคยเห็น และดูไม่ใช่happy virusคนเดิมที่ผมเคยรู้จักด้วย
“ก็ดีมั้ง ปากกัดตีนถีบกันไปอ่ะ” เขาตอบพร้อมเค้นยิ้มหน่าย
“พี่ยังเป็นสถาปนิกอยู่ป่ะ” พี่เชนเลื่อนสายตามามองผม
“เป็นอยู่ดิว่ะ แต่ก็ไม่มีคนจ้างมาสักพักใหญ่ๆล่ะ” ผมหุบปากทันที เอาจริงไอ้งานสถาปนิกเนี่ยมันไม่ค่อยบูมในประเทศเราเท่าไหร่เลยนะ ทุกคนไม่มีความคิดที่ว่าจะสร้างบ้านต้องจ้างสถาปนิก เขาก็คิดเพียงแค่จ้างวิศวะ จ้างช่างก่อสร้าง อะไรแบบนั้นมากกว่า และเด็กสถาปัตย์เองก็มีอยู่ไม่น้อยเลยในประเทศเรา จบทีก็จบเยอะ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่แต่ล่ะคนจะมีงานเท่าเทียมกัน บางคนก็ต้องหักเหไปทำงานอย่างอื่นแทนด้วยซ้ำ
“กูก็คิดไว้ตั้งแต่จะเข้าคณะนี้แล้วแหละว่างานมันคงไม่ได้หาได้ง่ายๆ แต่ก็ทำไงได้วะ กูอยากเรียนถาปัตย์อ่ะ” เพราะพี่เชนมีแนวคิดที่คิดมากๆเกี่ยวกับสถาปัตย์ผมเลยซึมซับมันมาเยอะมากๆ จนอยากเข้าสถาปัตย์เลย
“แล้วพี่ทำงานไรอยู่อ่ะ”
“ฟรีแลนซ์ทั่วไป เขาให้ทำไรกูก็ทำ ชีวิตมันต้องการเงินนี้ว้า” เราเงียบอีกสักพักก่อนที่พี่เชนจะเลื่อนมือมาตบบ่าผม
“เฮ้ย นี้กูผิดที่พูดป่ะเนี่ย เผลอไปบั่นทอนนิสิตป่ะวะ” ผมขำก่อนที่จะส่ายหัว
“เปล่าหรอกพี่ ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าเรียนสถาปัตย์มันคงหางานยากอยู่เหมือนกัน”
“เอาจริงๆกูชอบงานสถาปนิกนะ แต่คนในโลกมันก็มีคนที่เก่งกว่ากูอีกเยอะเลยอ่ะ กูก็อยากให้เขาทำให้เต็มที่ กูไม่ได้ทำงานในสายงานนี้โดยตรงก็ไม่เป็นไรอยู่ล่ะ” พี่เชนยักไหล่ เขามองตรงไปที่วีที่อยู่ไม่ไกล
“แล้วมึงอ่ะ ถ้าจบแล้วจะเป็นสถาปนิกตลอดไปป่ะ” คำถามนั้นทำให้ผมนิ่งไป
“ไม่รู้ดิพี่ ขอเรียนให้จบก่อนล่ะกัน” พี่เชนขำเบาๆ
“คิดไว้หน่อยก็ดีนะเว้ย เพราะบางทีการที่มึงจะเป็นสถาปนิกไปได้ตลอด มันยากว่ะ ต้องคิดอาชีพอื่นเผื่อไว้หน่อย” ผมนิ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่าการคุยกับพี่เชนจะทำให้ผมได้ย้อนกลับมามองตัวเองอีกครั้ง
“จะพูดยังไงดีวะ... ถ้าผมไม่เป็นสถาปนิก ผมก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วว่ะ เหมือนเก่งแค่อย่างเดียว” ผมพูดออกไปในที่สุด ผมไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ดีเยี่ยมขนาดนี้จริงๆนะ และผมก็หวังว่าจะเป็นสถาปนิกที่พัฒนาฝีมือต่อไปเรื่อยๆไม่มีจบ
เพราะถ้าไม่เป็นสถาปนิก ผมก็คงไม่สมควรที่จะเป็นอะไรอีกแล้ว
“คิดได้แบบนี้ก็ดีนะเว้ย มึงก็พุ่งไปเลย พุ่งด้านสถาปัตย์ไปให้สุดๆ ยิ่งมึงมีความรู้ด้านนี้มากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ มึงก็ยิ่งได้เปรียบ” สายตาและท่าทางที่หวังดีกับผมมากๆของพี่เชนยังคงเป็นแบบเดิมเสมอไม่เคยเปลี่ยน ผมมองแววตาที่จ้องมองมาก่อนที่จะพูดสิ่งที่ผมคิดไปคิดมาไม่รู้จบออกมา
“พี่เชน... จริงๆแล้วผมได้ทุนไปเรียนAFU”
“เหี้ย! จริงดิ มึงแม่งสุดๆเลยว่ะ” พี่เชนเบิกตากว้างก่อนที่จะยีหัวผมรัวๆ
“แล้วมึงจะไปเมื่อไหร่” พี่เชนยังคงถามต่อด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเลยพี่”
“อ้าวววววแล้วมึงรออะไรอยู่ กูพูดเลยนะวา ถ้ามึงอยากเป็นสถาปนิกไปตลอดชีวิต AFUนี้แหละจะช่วยให้มึงทำสำเร็จ” ผมเม้มปาก ผมรู้ว่าAFUเหมือนเป็นการเปิดเส้นทางด้านสถาปนิกให้ผมเลยแหละ และผมก็ควรจะเดินไป เพราะผมก็ตั้งใจจะเป็นสถาปนิกไปตลอดอยู่แล้ว
“ผมก็ไม่รู้ว่าผมรออะไรอยู่” พี่เชนตบหัวผมทันที
“พี่ตบหัวผมทำไมเนี่ย!”
“กูตบหัวมึงแทนเด็กสถาปัตย์ที่อยากเรียนAFUทุกคน ตบหัวแทนกู..ที่แค่จะเอาอาชีพสถาปนิกมาหาเลี้ยงชีพยังทำไม่ได้ ตบหัวแทนใครหลายๆคนที่เขาไม่ได้โอกาสแบบมึง”
“... ถ้ามึงไม่รู้ว่ารออะไรอยู่ ก็ไม่ต้องรอ เลิกรอได้แล้ว เส้นทางของมึงมันอยู่ตรงหน้า เพียงแค่มึงก้าวต่อไป จะหยุดอยู่ที่เดิมทำหอกอะไร” พี่เชนฮึกฮักใส่ผมก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้น
“พี่จะไปแล้วเหรอ”
“เออ! มีการมีงานต้องทำ แล้วถ้ามึงจะไปอังกฤษ ช่วยโทรบอกกูสักนิดนะวา” ผมพยักหน้ารับ พี่เชนยีหัวผมอีกนิดหน่อยก่อนที่จะระบายยิ้มให้ผมบางๆ
“กูรู้ตั้งแต่เมื่อ3ปีที่แล้ว ว่ามึงจะไปได้ไกล” ผมยิ้มรับ ยกมือไหว้พี่เชน และพี่เขาก็แยกออกไป
การได้กลับบ้านเปรียบเสมือนการได้รื้อฟื้นอะไรเก่าๆ ผมได้กลับมาสัมผัสความรู้สึกที่อยากเรียนสถาปัตย์มากๆเมื่อวันนั้น ความรู้สึกตอนที่แม่เห็นร้านครั้งแรกและยิ้มจนปวดกราม ความรู้สึกที่เราได้สร้างสรรค์อะไรสักอย่างให้ใครสักคน สร้างสรรค์ความสุขให้กับพวกเขา เพราะความรู้สึกแบบนั้นผมถึงได้เลือกเรียนสถาปัตย์
คณะที่จะสร้างสิ่งในความคิดให้ออกมาเป็นความจริง
ผมในตอนนั้นพยายามทุกอย่าง ทุ่มสุดตัว เพียงเพื่อได้เข้าไปเรียนอย่างที่หวัง ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลา3ปีที่ผ่านไป ทำให้ผมหลงลืมการนั่งอ่านหนังสือสอบgatpatจนโต้งรุ่ง การวาดเส้นตรงจนหมดสมุด หรือการเก็บตังซื้ออุปกรณ์ทั้งหมด เรื่องเหล่านั้นมันกลายเป็นชีวิตประจำวันที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว
แต่บางทีผมก็อยากกลับไปสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันนะ
เริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับทางใหม่
“ขอตังหน่อยค่ะ” ผมควักแบงค์ยี่สิบใบเดียวที่พกมาให้วี ก่อนที่เธอจะวิ่งตรงไปยังรถเข็นไอติมที่จอดรออยู่ไม่ไกล
“อันนี้ของพี่วา” วีวิ่งตรงกลับมาที่ผมเมื่อได้ไอติมตัดโบราณ2แท่งมาไว้ในมือ และยื่นรสกะทิให้ผม
“ขอบคุณนะคร้าบบ” แม้ว่าจะตังผมก็เถอะ วีทิ้งตัวลงนั่งชิงช้าข้างๆผม
“คุณพระอาทิตย์จะไปนอนแล้ว” เธอพูดพร้อมกับชี้ท้องฟ้าสีส้มตรงหน้า
“วี”
“คะ?” วีหันกลับมามองผมและเลิกคิ้วใส่
“โตขึ้นอยากเป็นอะไรเหรอ” เธอยู่ปากทันที
“ขนาดพี่วายังถามคำถามนี้เลย! วีโดนถามตั้งแต่เพื่อน คุณครู คุณพ่อ คุณแม่ ยันคุณปู่ คุณย่าเลยนะ” ผมขำกับท่าทางงอแงเล็กๆนั้น
“วีป.2แล้วไง พี่ก็เลยอยากรู้” วีทำแก้มป่องก่อนที่จะชูนิ้วก้อยขึ้นมา
“สัญญาก่อนว่าถ้าวีบอกจะไม่ขำ” ผมพยักหน้าหนักแน่นและเกี่ยวก้อยกับนิ้วเล็กๆนั้น
“พี่สัญญาเลย” วียิ้มกว้าง เธอเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดออกมา
“วีอยากเป็นครูที่สอนเด็กอนุบาลค่ะ” ผมชะงัก
“ครูเนอสเซอรี่เหรอ” เธอพยักหน้ารับ
“ทำไมอยากเป็นครูสอนเนอสเซอรี่อ่ะ” ผมเบ้ปากทันที ผมนี้เป็นไม่ได้แบบไม่ได้เลยยยย จะเผลอไปหักคอลูกเขาตอนไหนก็ไม่รู้
“ทำไมอ่ะ วีชอบน้องตัวเล็กๆ ครูประจำชั้นห้องวีนะ เขาพาลูกมาเรียนด้วย น่ารักมากเลยแหละ” วีพูดจบก็ยิ้มหวาน เออบางทีวีอาจจะทำได้ก็ได้นะ แต่ผมนี้ไม่มีทาง
“ก็ฟังดูน่ารักดีนะ” ผมโยกหัววีนิดหน่อยก่อนที่จะตอบเธอกลับไป วีอุ้มเด็กตัวเล็กๆ คงเป็นภาพที่น่ารักดี
“พี่วามาสร้างโรงเรียนให้วีสิ”
“พี่เหรอ?” ผมยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเอง ซึ่งวีก็พยักหน้ารัวๆใส่ เห็นเธอพยักหน้าแบบจริงจังขนาดนั้นผมก็หลุดยิ้มออกมา
“ถ้าตอนนั้นวียังอยากเปิดโรงเรียนเนอสเซอรี่จริงๆ พี่ออกแบบให้ฟรีเลย”
“จริงนะ!”
“จริงสิ” วียิ้มหวาน ผมมองรอยยิ้มนั้นอีกสักพัก และหันกลับมาจัดการไอติมในมือให้หมด
“ถ้าพี่ไม่อยู่ วีจะคิดถึงพี่ไหม”
“พี่วาจะไปไหนเหรอคะ”
“พี่อาจจะไปในที่ที่ไกลมาก และคงไม่ได้กลับมาเจอวีอีกสักพักใหญ่เลย” วีเบ้ปาก
“ไกลขนาดไหนอ่ะ แล้วทำไมกลับมาหาวีไม่ได้”
“ไกลมากๆเลยครับ ไกลมากจริงๆ...”
“พี่วาอยากไปเหรอ” คำถามของวีทำให้ผมเค้นยิ้มออกมาบางๆ
“พี่อยากไปมากเลยครับ” ผมต้องเลิกหลอกตัวเองสักที
“ถึงจะนาน แต่วันหนึ่งพี่วาจะกลับมาใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับ
“งั้นก็ไปเถอะค่ะ” ผมชะงัก ไม่คิดว่าวีจะตอบกลับมาแบบนี้ เพราะถ้าพูดกันตามตรงแล้ว วีน่ะ หวงผมมากเลยนะ แค่ไปเรียนยังงอแงอยากให้ผมกลับมาหาบ่อยๆเลย
“ถ้าพี่วาอยากไป วีก็อยากให้ไปนะ”
“เดี๋ยววีรออยู่กับคุณพ่อคุณแม่ แปบเดียวพี่วาก็กลับมาแล้ว” พูดจบเธอก็ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันให้ผมเห็น ผมเลื่อนมือไปลูบหัววีเบาๆ
ถ้ากลับกัน... ถ้าผมรู้ว่าวีจะต้องไปในที่ที่ไกลมากๆ แม้ว่าผมจะเป็นห่วงเธอขนาดไหน แต่ถ้าเธออยากไปจริงๆ ผมก็คงยอมให้เธอไป ยอมให้เธอออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธออยากเจอด้วยตัวของเธอเอง
แม่ผมก็คงจะคิดแบบนี้แหละมั้ง
รวมถึงพี่ติณห์ด้วย...
พี่เชนพูดถูก ถ้าผมไม่รู้ว่าผมกำลังรออะไร ผมก็ต้องเลิกรอมันสักที
ผมหยุดอยู่ตรงนี้ตลอดไปไม่ได้ ผมต้องก้าวต่อไป
เพราะเส้นทางสถาปนิกของผมยังอีกยาวไกล
นี้ผมก็ก้าวช้ากว่าคนอื่นมามากพอแล้ว
“พรุ่งนี้พี่จะกลับกรุงเทพนะ”
ผมจะกลับมาเดินตามความฝันของตัวเองอีกครั้ง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หวัดดีค่าาา ถือว่าตรงเวลาพอดีเป๊ะ อัพเดตกับการประกาศแอดมิชชั่นที่ผ่านมานิดนึง สุดท้ายก็มีที่เรียนโดยชอบธรรมแล้วค่ะ 555 วิทย์สิ่งแวดล้อม มธนะคะะะ ไม่รู้ว่ามีเพื่อนในภาคบ้างรึเปล่า 5555 ขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจนะคะ กลับมาที่นิยายกันต่อ ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะ40ตอนจบ แต่ไปๆมาๆดูเหมือนว่าจะเกินนะ อาจจะเกินสัก1ตอนเนอะ
เรื่องเดิมที่ย้ำอีกครั้ง 5555 ขอบอกก่อนว่าถ้าอัพเว็บจนจบแล้วยอดยังไม่ถึงก็จะไม่ตีพิมพ์นะคะ อาจจะมาแต่งตอนพิเศษลงเว็บอีกที ยังไม่แน่ใจนะะะ แต่ถ้าใครที่สนใจให้รวมเล่มก็ส่งเมลล์มาที่ nnmfnns@gmail.com นะคร้าบบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ก็เป็นแรงบันดาลสุดๆ
ขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือต่อไป Y^Y
ทำตามใจที่ตัวเองอยากทำเถอะวา เราเชื่อว่าเวลากับสถานที่ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรอกนะ
ขอให้กลับมาแล้วได้รักกับพี่ติณห์ต่อไปนะ เราเชื่อว่าพี่ติณห์ต้องรอวาแน่ๆ สู้ๆทั้งคู่เลยนะ
ปล.ยินดีกับผลแอดมิชชั่นด้วยนะคะ
น้ำตาก็มาเต็ม สงสารวา
เข้าใจความรู้สึกวาจริงๆ มันก้ำๆกึ่งๆ
วางแผนทุกอย่างไว้แล้วว่าจะทำอย่างงี้ ทำเพื่อคนนู้นคนนี้.. แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราฝันอ่ะนะ
เด็กแม่โดม~ ยินดีด้วยค่าาาแฮ่ แบบว่าเด็ก60ค่ะ5555555