ตอนที่ 34 : T.
33
“ไรมึง” พี่ติณห์ตอบกลับ ตีหน้าไม่เข้าใจสุดๆ ส่วนผมนี้ชะงักไปเลยครับ พี่เขาดูออกได้ไงวะ!
“กูรู้จักมึงมาทั้งชีวิตนะติณห์” ถึงพี่เต็นท์จะพูดแบบนั้น พี่ติณห์ก็ยังทำหน้างงอยู่
“กูจะถามมึงอีกครั้ง มึงซื้อนาฬิกานี้ให้มันใช่ไหม” เขาปลายตามามองนาฬิกาที่ข้อมือผมก่อนที่จะหันกลับไปจ้องหน้าพี่ติณห์
“เปล่า” พี่ติณห์ตอบ แต่ดูไม่มีความมั้นใจเลย
“งั้นกูถามใหม่... มึงเลือกที่จะโกหกใช่ไหม” พี่เต็นท์พูดต่อ คราวนี้ยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าพี่ติณห์ด้วย นี้ถ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่น้องกันผมคงเข้าใจว่าเป็นอริที่สงบศึกกันแล้วกำลังจะเปิดศึกกันใหม่อะไรประมาณนั้น
“คือ...” พี่ติณห์ลังเลขึ้นมาเมื่อโดนต้อนขนาดนี้ เป็นผม ผมก็ลังเลอ่ะ ผมบอกเลยว่าพี่เต็นท์โครตน่ากลัว
“ถ้าพี่หมายถึงนาฬิกานี้พี่ติณห์ไม่ได้ซื้อให้ผมหรอกครับ” ผมยกแขนข้างซ้ายที่สวมนาฬิกาขึ้น
บางทีผมก็เบื่อวิญญาณพระเอกในร่างตัวเองเหมือนกันนะ
“กูไม่ได้ถามมึง” พี่เต็นท์หันมามองหน้าผม ก่อนที่จะพูดช้าๆชัดๆใส่หน้าผม
“ถ้าประเด็นมันคือนาฬิกาผม มันก็น่าจะเกี่ยวกับผมแล้วนะครับ” พี่เต็นท์หรี่ตาใส่ผม ตอนนี้เขาคงเปลี่ยนเป้ามาที่ผมแทนแล้ว
“ผมซื้อนาฬิกานี้ด้วยตัวผมเอง” เขายกแขนขึ้นมากอดอก เหมือนอยากจะรู้ว่าผมจะพูดอะไรต่อ
“เพราะแบบนั้น มันก็ไม่ใช่นาฬิกาคู่แล้ว” พี่เต็นท์ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม
“มึงชอบสีอะไร” คำถามต่อมาทำให้ผมเลิกคิ้ว แต่สติสัมปชัญญะในร่างก็ทำให้ผมเลือกที่จะเงียบแล้วฟังเขาพูดต่อ
“ติณห์ชอบสีเทา มึงรู้ใช่ไหม” เป็นประโยคคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ
“มันชอบอะไรเรียบๆ ไม่โดดเด่น อะไรที่โครตจะไม่สะดุดตาจะสะดุดตาติณห์มาก และมันก็มักจะนิยามรสนิยมจืดๆของมันว่า..คลาสสิค แบบนาฬิกามึงเลย” พูดจบเขาก็คว้าแขนผมขึ้นเพื่อมองนาฬิกาชัดๆ
“โครตติณห์สไตล์” เขาพึมพำ
“ให้เดาไหมเปี๊ยก มึงคงจะชอบสีน้ำเงิน ชอบอะไรที่มีลูกเล่นเยอะๆ อะไรที่สามารถเป็นพ้อยท์ได้ อย่างเช่น...นาฬิกาอันนั้น” เขาชี้ไปยังนาฬิกาข้อมือของพี่ติณห์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
“กูจะถามมึงประโยคเดิมนะ มึงเลือกที่จะโกหกใช่ไหม” ประโยคเดิมที่ถูกถามตรงมาที่ผมให้ความรู้สึกที่ต่างจากเดิม
อยู่ๆประโยคที่พี่ติณห์เคยพูดว่า ถ้าเราพูดออกไปมันจะไม่ใช่เรื่องของเราสองคนแล้วนะ และเราไม่มีทางรู้เลยว่าทุกคนจะโอเคเหมือนเราสองคนรึเปล่า ก็เด้งเข้ามาในหัวผม ผมไม่รู้ว่าระหว่างเลือกพูดความจริงกับเลือกที่จะโกหกต่อผู้ชายคนนี้อะไรมันดีกว่ากัน
ทั้งๆที่เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ท่าทางนิ่งๆ ก็ทำให้ผมคิดล้านแปดในหัวแล้ว อาจจะเพราะผมไม่สามารถอ่านแววตาของเขาได้ และผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
พี่เต็นท์จะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่ผมจะมีปัญหาด้วย
“พอได้ล่ะมึง” พี่ติณห์คว้าไหล่พี่เต็นท์ไว้ ซึ่งเขาก็หันกลับไปมองหน้าน้องชายอย่างชิลๆ
“ทำไม มึงจะโกหกอะไรอีก” แว่บหนึ่งที่ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังน้อยใจ
แว่บเดียวจริงๆผ่านมาและผ่านไปด้วยความรวดเร็ว
หรือผมคิดไปเองวะ
“กูเลือกล่ะนี้ไง กูจะพูดความจริง” พี่เต็นท์ยกมือขึ้นมาตบมือหลังจากพี่ติณห์พูดจบ เป็นท่าทางที่กวนตีนที่สุดในชีวิตที่ผมเคยเห็นมาเลย
“ผมชอบพี่ติณห์ครับ” ผมชิงพูดออกไปก่อน ฝ่ายนั้นหันมามองผมอีกครั้ง เดินเข้ามาหาผมช้าๆ ก่อนที่จะโบกหัวผมไปหนึ่งที
เจ็บบบบบ
“พี่ตบหัวผมทำไมเนี่ย” ผมโวยวายทันที
“กูตบเพราะมึงตอแหลตอนแรก”
“ผมไม่ได้ตอแหล ผมพูดจริงๆ!” พี่เต็นท์ทำหน้าไม่เชื่อผมสุดฤทธิ์
“มันพูดจริง กูไม่ได้ซื้อให้มัน และมันก็ไม่ได้ซื้อให้กู เราต่างคนต่างซื้อ” พี่ติณห์ทิ้งตัวลงนั่ง
“...แค่อีกฝ่ายเลือก” พี่ติณห์พูดต่อจนจบ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยิ้มกับท่าทางเขินที่ปิดไม่อยู่ของพี่ติณห์ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็โบกหัวผมอีกรอบก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม
“พี่ตบผมทำไมอีกวะ!” เจ็บอ่ะเจ็บ
“กูอยากตบไอ้ติณห์แต่มันอยู่ไกล กูเลยตบมึงแทน ทำไม! แค่นี้รับแทนน้องกูไม่ได้เหรอ” พูดมาขนาดนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ
นอกจากลูบหัวปอยๆ
“ไหนๆก็ยอมเปิดปากพูดล่ะ เล่ามาให้หมดเลย” พี่เต็นท์ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิอย่างโครตชิล
“เล่าไรวะ ไม่มีไร” พี่ติณห์ตอบ แต่เพราะผมโดนตบหัวไปสองทีเต็มๆแรงผมเลยรู้ได้ทันทีว่าพี่เต็นท์จะตบหัวผมอีกรอบแน่ ผมเลยหันไปคว้าแขนฝ่ายนั้นไว้
“ก็คบกันนั้นแหละ” และชิงพูดก่อนเลย
“ตั้งแต่เมื่อไร” เขาถามต่อ
“สักพัก 2-3เดือนแล้วมั้ง”
“คิดจะชอบผู้ชายทั้งที ดันเลือกให้เด็กนี้อ่ะนะ” ประโยคนั้นพี่เต็นท์หันไปพูดกับพี่ติณห์
“โหยเฮีย พูดซะผมไม่มีไรดีเลยเนอะ” ไม่รู้ทำไมถึงหลุดสรรพนามเฮียสำหรับเรียกพี่เต็นท์ออกไป แต่ฝ่ายนั้นก็แค่ปลายตามามองผม ไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอะไรกับคำเรียกนั้น
“แล้วมึงมีไรดีอ่ะ” อยู่ๆให้มาพรีเซนต์ตัวเองอย่างนี้มันก็แปลกๆนะ
“ผมหล่อ” เฮียมองบนใส่ผมทันที
“วามันเป็นคนมีบุคลิกแตกต่างกับแต่ล่ะคนมากๆเลยอ่ะ มึงจะรับรู้ได้เลย เป็นคนเก่งมาก เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นสถาปนิก และก็ละเอียดมาก ตอนมันตั้งใจทำอะไรสักอย่าง โครตน่ามอง เป็นคนเซนซิทีฟที่มีความเป็นผู้นำเยอะชิบหาย เป็นคนนิ่งๆที่โครตมีเสน่ห์ เป็นคนโลกส่วนตัวสูงที่เปิดให้กูเข้าไปในโลกของมัน” พี่ติณห์เงียบเมื่อผมกับเฮียมองตรงไปที่เขา
“พอยังอ่ะ” เขาพูดต่อ ก่อนที่จะยกมือมาเกาแก้มแก้เก้ออย่างที่มักจะเผลอทำเวลาเขินๆ
“อีกนิดกูจะอ้วกล่ะ” เฮียตอบและหันมามองหน้าผม
“มึงอ่ะ บอกข้อดีของไอ้ติณห์มาบ้างดิ” ผมเลิกคิ้ว
“พี่ติณห์เป็นคนชอบกินชาเขียวที่บางครั้งยอมกินน้ำแดงเป็นเพื่อนผม เป็นคนมีของที่เยอะโครตๆและไม่เคยหวงที่จะแบ่งให้ใคร เป็นรุ่นพี่ที่รักรุ่นน้องมากๆ เป็นคุณครูที่ทุ่มเท เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง เป็นผู้นำที่มีแต่คนอยากเดินตาม เป็นคนใจดีที่ชอบทำตัวใจร้าย เป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง..จริงๆผมไม่ค่อยชอบอันนี้เท่าไร เป็นคนต้มมาม่าและเล่นเกมส์เก่งมาก เป็นเจ้าของรอยยิ้มที่โครตดึงดูด เป็นพี่ติณห์...ที่ผมหลงใหล” อยู่ๆเฮียก็เลื่อนมือมาปิดตาผมที่มองหน้าพี่ติณห์อยู่ ผมจึงต้องหยุดพูดแต่เพียงเท่านั้น
“พอล่ะ กูจะอ้วก แม่งขึ้นมาที่คอหอยแล้ว” มีการทำท่าโก่งคออ้วกด้วย
“ทำตัวดีๆนะไอ้เปี๊ยก กูเตือนไว้ก่อน” พูดจบก็จับหัวผมโยกไปมาอย่างรุนแรงด้วย
“คร้าบบบ” ผมจำต้องรับคำเขาถึงได้หยุดโยกหัวผม
“กูไปล่ะดีกว่า ไม่อยากรบกวนเวลาคนพลอดรักกัน” จะบอกว่าเฮียกวนเวลามานานโครตๆล่ะ เฮียเต็นท์ลุกขึ้นยืน จับหัวพี่ติณห์โยกสองทีก่อนที่จะผละออกจากห้องไป
“ห้ามทำอะไรๆกันในห้องนี้นะ กูได้ยินนะเว้ย” โดยไม่วายโผล่หัวออกมาพูดอีกครั้ง
“เหี้ยอะไรล่ะ ไม่ทำหรอก” พี่ติณห์โวยออกไปทันที เฮียเต็นท์จึงชี้นิ้วไปที่ตาตัวเองและชี้มาที่พี่ติณห์เหมือนมองว่าจับตามองอยู่ก่อนที่จะออกไปจริงๆสักที
“มันโอเคใช่ไหม” เมื่อเฮียเต็นท์ออกไปผมถึงได้หันมาถามพี่ติณห์
ตอนแม่ผม ผมรู้อยู่แล้วว่าแม่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่กับเฮียเต็นท์ที่เป็นผู้ชายแมนๆ ดุๆคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง
“ผมกับเต็นท์รู้จักกันมาทั้งชีวิตจริงๆอ่ะ มันไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราผิดใจกันได้ด้วยซ้ำ” พี่ติณห์ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม
“ถ้าผมเป็นต้นเหตุทำให้พี่ทะเลาะกับเฮียผมคงรู้สึกผิดแย่” พี่ติณห์ส่ายหัวทันที ก่อนที่เขาจะจ้องตาผมนิ่งๆจนผมต้องเลิกคิ้ว
“คุณพูดถึงผมโครตดี” พี่ติณห์พูดออกมาและเอื้อมมือมาจับแก้มผมไว้
“พี่ก็พูดถึงผมโครตดี ผมพูดได้อีกนะ พี่อยากฟังไหม” ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือนั้น
“เอาดิ พูดมาอีก” พี่ติณห์พยักหน้ารัวๆและจ้องหน้าผมอย่างตั้งใจฟังจริงๆ
“คืนนี้กลับไปนอนหอสิครับ ผมจะพูดให้ฟังยาวๆเลย” พี่ติณห์หรี่ตา เปลี่ยนมือที่จับแก้มผมอย่างอ่อนโยนเป็นบีบกรามผมทันที
“วนกลับมาเรื่องนี้ตลอดอ่ะ” เขาบ่น และจับหน้าผมเหวี่ยงไปทางซ้ายทีทางขวาที
“เอ็บบบบ”
ถ้าให้ผมอยู่กับสองพี่น้องนี้นานๆผมต้องช้ำไปหมดแน่
ผมรู้ล่ะว่าเฮียเต็นท์ได้ความดุมาจากใคร
พี่ติณห์ได้แม่มาและเฮียได้พ่อมา
ใช่ครับ คนที่หน้าดุกว่าเฮียก็พ่อนี้แหละ
ผมรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเข้าห้องปกครองตอนมัธยมอีกครั้ง
“กลับทันด้วยเหรอลุงนึกว่าจะกลับไม่ทันล่ะ” แน่นอนว่าประโยคประมาณนี้คงไม่มีใครกล้าพูดนอกจากเฮีย
“ฉันตัดพ่อตัดลูกแกตอนนี้เลยเต็นท์” ขนาดพูดเล่นๆกับลูกผมยังอดลอบกลืนน้ำลายไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีผมที่ช่วยยกกับข้าวออกมาวางที่โต๊ะก็พรุ่งเข้าไปหาพี่ติณห์ในครัวทันที
“เอาไป” พี่ติณห์ยกจานใส่มือผมก่อนที่เขาจะเดินไปหาแม่ แต่ผมวางจานลงและเข้าไปคว้าแขนพี่ติณห์แทน
“พี่เอาออกไปวางเองเลย” พี่ติณห์ขมวดคิ้วใส่ผม
“ทำไมวะ”
“พ่อพี่โครตน่ากลัวอ่ะ” พี่ติณห์ขำทันที
“เต็นท์ก็อยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าตายมันจะช่วยพาไปวัดนะ” พูดจบพี่ติณห์ก็ยัดจานใส่มือผมและแยกออกไปอีกครั้ง นี้พี่ไม่คิดห่วงผมเลยถูกไหม
ถ้าผมมาในสถานะรุ่นน้องอย่างบริสุทธิ์ใจก็คงดีอ่ะ
ผมยีหัวอย่างกลุ้มใจ แต่สุดท้ายก็ยอมยกจานออกไปวางที่โต๊ะอยู่ดี
“ไอ้เปี๊ยกนี้แหละพ่อ” ผมชะงักเมื่อเฮียพูดประโยคนั้นแถมชี้ๆผมให้พ่อดูด้วย
เฮียเต็นท์แม่งโครตตัวอันตราย
“ผมทำไม” ผมถามออกไป แต่เฮียดันจุ๊ปากใส่ผมและหันไปกระซิบกับพ่อ
“แกล้งอะไรน้องเต็นท์” บ้านนี้มีแม่คนเดียวใช่ไหมที่ช่วยชีวิตผมได้ เพราะเธอวิ่งกรูเข้ามาและฟาดแขนเฮียไปหนึ่งที
“ตีเต็นท์ทำไมมม เต็นท์แค่คุยกับพ่อ”
“น้องวานั่งเลยจ๊ะ” แม่เมินเฮียและหันมาบอกผม
“คร้าบ” ผมพยักหน้ารับและทิ้งตัวลงนั่ง โดยไม่วายหันไปส่งสายตาให้พี่ติณห์มานั่งข้างผม
“แล้วใครตักข้าวล่ะ” ผมที่อยู่ใกล้โถข้าวที่สุดชะงัก เมื่อพ่อถามแบบนั้น ก่อนที่จะหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ติณห์
“ใครอยู่ใกล้ข้าวที่สุดล่ะ” พ่อพูดย้ำขึ้นมาอีก ผมจึงต้องหันไปหยิบโถขึ้นมาในที่สุด
“ขอโทษครับ” ไม่รู้ว่าขอโทษอะไรแต่รู้สึกว่าควรขอโทษอ่ะ
“มาน้องวาเดี๋ยวแม่ตักเอง” แม่ตีแขนพ่อเบาๆก่อนที่จะยื่นมือมาขอโถข้าวจากผม
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมทำได้” แล้วนี้ผมจะต้องอยากทำทำไม
“แต่น้องวาเป็นแขกนะจ๊ะ มาแม่ทำเอง” เอ่อ... ผมกำลังคิดว่าควรยกโถให้แม่หรือตักเองดี
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ” สุดท้ายผมก็ยืนยันคำเดิมและเริ่มตักข้าวให้ทุกคน
“ตักให้แค่นี้ต้องกินกี่รอบถึงจะอิ่ม” ฮือออออ ช่วยผมด้วย
“ผมไม่รู้ว่าพ่อกินเก่งรึเปล่านี้นา” ผมบ่นพึมพำ รู้สึกได้เลยว่าพี่ติณห์เตะขาผมนิดหน่อย
“พูดอะไรก็พูดให้มันดังๆ พูดต่อหน้าผู้ใหญ่พึมพำแบบนี้ได้รึไง” ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่ติณห์ถึงเตะขาผม
“ผมพูดว่าผมไม่รู้ว่าพ่อกินเก่งรึเปล่านะครับ” ผมพูดประโยคเดิมด้วยเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง
แต่ก็ระวังไม่ให้ดูตะคอกนะ
“ฉันกินเก่งที่สุดในบ้านนี้เลยล่ะ” ผมจึงตักข้าวเพิ่มให้พ่ออีกทัพพี ก่อนที่จะหันไปตักให้แม่ต่อ
และแล้วผมก็ได้นั่งลงและกินสักที!
“ที่บ้านทำงานอะไรล่ะ” พ่อพูดขึ้นมาลอยๆ แต่เขาคงไม่ได้ถามใครนอกจากผมแล้วล่ะผมถึงได้เงยหน้าไปมองหน้าเขา แต่หางตาก็ดันไปเห็นเฮียกำลังอ้าปากพะงาบๆใส่ผมว่า ตายแน่มึง ซะก่อน
ผมมันเป็นพวกถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่รู้สึกกลัวนะครับ และผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย
รวมถึงเรื่องที่คบกับลูกเขาก็ด้วย
“คุณคะ” แม่ดุพ่อนิดหน่อย แต่ผมเพียงแค่ยิ้มให้เธอและตอบคำถามนั้น
“แม่เปิดร้านขายดอกไม้นะครับ ส่วนพ่อทำธุรกิจโรงแรมต่อจากคุณย่า”
“...ถ้าเอาแบบละเอียดนะครับ พ่อเลี้ยงผมรับราชการ ส่วนแม่เลี้ยง จริงๆก็ยังไม่ถึงกับแม่เลี้ยงหรอกนะครับ แต่พ่อคงไม่จีบคนใหม่แล้วแหละ ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกสาวของเพื่อนคุณย่า และผมก็มีน้องสาวอีกคนครับ ชื่อวีริน 8ขวบ เป็นลูกของแม่กับพ่อเลี้ยงผม” ทุกคนเงียบเมื่อผมพูดจบ ผมเห็นแว่บๆนะว่าแม่ตีแขนพ่อไปอีกหนึ่งที แต่เมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาผมจึงหันมากินข้าวต่อ
ไม่น่าเชื่อว่ามื้ออาหารของเราต่อจากนั้นจะไม่มีอะไรมาก แม่ถามเรื่องสอนกับพี่ติณห์ และเรื่องงานของเฮีย ดูเหมือนเฮียจะทำงานในบริษัทอะไรสักอย่าง และทุกอย่างก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนท้องผมแน่นขนัดและไม่สามารถยัดอะไรลงไปได้อีก
“แม่ครับ ผมช่วยนะ” ผมเข้าไปช่วยแม่ล้างจาน
“ไม่ต้องก็ได้จ๊ะ จานนิดเดียวเอง” ผมไม่ได้ตอบ แค่หยิบจานมาล้างเท่านั้น
“น้องวาเป็นแขกยังมาช่วยแม่ล้างจาน แล้วดูลูกๆสิ” จบประโยคนั้นเธอก็หันขวับไปมองลูกๆที่นั่งย่อยกันอยู่ที่โซฟา
“เดี๋ยวติณห์จะออกไปส่งวานะ ยืมรถหน่อยดิ” พี่ติณห์รีบพูดออกมา ประโยคหลังหันไปพูดกับเฮีย
“ได้ กุญแจรถอยู่ในห้องอ่ะ เดี๋ยวกูไปหาให้” และทั้งคู่ก็พากันเดินขึ้นห้องไป
หนีชัดๆ
“ดูทำเข้า” แม่บ่น
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ วาทำได้” ผมหันไปยิ้มให้แม่ว่าโอเคจริงๆ แค่ล้างจานเองครับ ไม่ได้ลำบากอะไรเลยด้วยซ้ำ
“เหมือนฝนจะตกเลยนะครับ” ผมพูดต่อออกไปเมื่อหันไปเห็นท้องฟ้าที่นอกหน้าต่าง
“ตายจริง! แม่ไปเก็บผ้าก่อนนะ” แม่พูดและรีบวิ่งออกไปเลย ผมจึงหันมาล้างจานต่อ
ผมวางจานใบสุดท้ายที่ล้างเสร็จลง ก่อนที่จะหันไปเจอพ่อกำลังรินน้ำอยู่ มาตอนไหนเนี่ย... พ่อดูไม่ได้สนใจอะไรผมมาก ผมจึงหันกลับมาล้างมือต่อ
“ขอโทษนะ” ผมชะงักและหันกลับไปมองพ่ออีกครั้ง
“เรื่องอะไรครับ”
“ที่ฉันถามเรื่องครอบครัวเธอ ฉันไม่รู้ว่า...”
“อ้อ ถ้าเรื่องที่พ่อแม่ผมหย่ากัน ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น เขาก็เลิกกันมาตั้งนานล่ะ และไม่ได้เลิกกันไม่ดีด้วย ผมยังคุยกับพ่อกับแม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นผมไม่ได้ติดใจอะไรหรอกครับ ถามได้ตามสบาย” พ่อหันกลับมามองหน้าผมก่อนที่จะหันกลับไป
พี่ติณห์น่าจะได้จมูกมาจากพ่อนะ
เราเงียบใส่กันอีกครั้ง ทั้งๆที่ผมพูดไปโครตยาวขนาดนั้น และจะให้มายืนเงียบๆใส่กันสำหรับผมมันคงแปลกๆ ผมจึงหันซ้ายหันขวาเพื่อหยิบอะไรมาชวนพ่อคุยต่อ
“พ่อเป็นผู้พิพากษาใช่ไหมครับ” ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วใส่ผม
“เธอรู้ได้ไง”
“พี่ติณห์เคยบอกนะครับ” ผมตอบด้วยหน้าตาใสซื่อที่สุด
เกิดไปทำหน้าตาวอนตีนเขาอีกคงลำบากแย่
“สนิทกับติณห์เหรอ ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย”
“ผมก็รู้จักพี่ติณห์มาหลายปีแล้วครับ แต่พึ่งมาสนิทกันมากๆก็ปีนี้แหละ”
“เธอพึ่งเคยมาที่นี้ครั้งแรกสินะ” ผมพยักหน้ารับ
“ถ้าหมายถึงบ้านนี้ก็ครั้งแรกเลยครับ”
“และคงเป็นครั้งสุดท้ายด้วยล่ะสิ” ผมส่ายหัวกับประโยคนั้นของพ่อ
“ผิดล่ะครับ พ่อจะได้เห็นหน้าผมอีกบ่อยๆเลยล่ะ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม เขาวางแก้วน้ำลงและหันมามองหน้าผมอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
“ไม่กลัวฉันรึไง”
“ก็กลัวแหละครับ แต่ถ้ากลัวแล้วหลบหน้าเนี่ย.. มันไม่ค่อยใช่ผมเท่าไหร่” เขาจ้องหน้าผม ส่วนผมก็ยิ้มหวานให้เขา นี้ผมไม่ได้ท้าทายนะแต่ผมพูดจริงๆ ผมไม่แน่ใจว่าพ่อรู้เรื่องผมคบกับพี่ติณห์รึเปล่า แต่ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ ผมก็อยากแสดงให้เขาดูว่าผมจริงใจ
ผมพึ่งเห็นตอนนี้เองว่าน้ำที่พ่อรินเมื่อกี้คือน้ำส้ม
ก๊อกๆ
“ขออนุญาตครับท่าน” ผมเคาะโต๊ะสองครั้งก่อนที่จะยกมือขึ้นและพูด เหมือนตอนอยู่ในศาลประมาณนั้น ซึ่งพ่อก็มองหน้าผมอย่างโครตงงเลยครับ
“เชิญพูด” เขารับมุกเว้ย!
“น้ำผลไม้เนี่ย ถ้าซื้อแบบกล่องผมว่าดื่มน้ำผลไม้รวมดีกว่านะครับ” เขาขมวดคิ้ว
“ทำไม”
“น้ำส้มแบบกล่องเนี่ยมันไม่มีแคลเซียมนะครับ ก็ไม่ต่างอะไรจากดื่มน้ำเปล่าใส่น้ำตาล” พูดจบผมก็หยิบกล่องน้ำส้มมาดูข้างกล่องและส่งให้พ่อดูด้วย
“ถ้าเป็นผลไม้รวม จะมีแคลเซียมตั้ง10%ครับ ช่วยเรื่องกระดูกด้วย” พ่อหรี่ตาใส่ผม
“แล้วเธอรู้ได้ไง”
“คุณหมอบอกนะครับ”
“หมอ?”
“ครับ ผมเคยพาคุณยายไปหาหมอและคุณหมอเขาบอกมาเป็นเกร็ดความรู้”
“แล้วฉันกับยายเธอเหมือนกันรึไง” ผมพยักหน้าหนักแน่น
“อย่างน้อยๆก็เป็นคนที่ผมเคารพเหมือนกันนะครับ” ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่สายตาที่พ่อมองผมไม่ได้แข็งกร้าวอย่างที่ตอนแรกเป็น เหมือนเขาเริ่มรู้สึกว่าผมอาจเป็นคนที่คบได้คนหนึ่ง เห็นแบบนั้นผมก็ได้ใจและยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมทันที
“พ่อครับ” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ผมชื่อวานะครับ”
“วา กลับยัง” พ่อยังไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เสียงพี่ติณห์พร้อมเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามาก็ขัดเอาไว้ก่อน
“เฮ้ยยยย คุยกับพ่อเนี่ยนะ” พี่ติณห์หรี่ตาใส่ผมและพ่อ
“อะไรของแก จะไปส่งก็รีบไปและรีบกลับ” พ่อพูดรัวเร็วและเดินออกไป
“พ่อครับ!” เขาหยุดเดินและหันมามองผมอีกครั้ง
“คราวหน้าผมจะซื้อน้ำผลไม้รวมมาฝากนะ” พ่อหันกลับและเดินออกไปทันที
“น้ำผลไม้รวมเกี่ยวไรวะ” พี่ติณห์หันมาถามผม แต่ผมเพียงแค่ไหวไหล่คืนไปให้เท่านั้น
"คุณไม่กลัวพ่อผมเหรอ" พี่ติณห์ถามขึ้นหลังจากเราขับรถออกมาได้ไม่นาน
“กลัวสิครับ หน้าดุแล้วยังดุจริงๆด้วย” เหมือนครูฝ่ายปกครองจริงๆนะ
“คุณดูไม่กลัวเลยนะ ยังกวนตีนพ่อผมได้อยู่เลย” ผมส่ายหัวทันที
“ผมเปล่ากวนตีนนะ แค่พยายามสานสัมพันธ์”
“...เดี๋ยวเขาไม่ยอมยกลูกชายให้ผมก็แย่เลย” พี่ติณห์เคาะหัวผมทันที
“แต่คุณไม่กลัวก็ดีนะ เพื่อนผมทุกคนที่มาบ้านแล้วเจอพ่อผมนะ แทบจะไม่กลับมาบ้านผมอีกเลยอ่ะ” ผมพอจะเข้าใจประโยคนั้นของพ่อล่ะ
“ไม่ใช่กับผมหรอกครับ” เพราะผมจะกลับมาอีกแน่
กลับมาพร้อมน้ำผลไม้รวมไง
“แล้วนี้Congrats Projectคุณไปถึงไหนล่ะ” ได้เวลากลับมาสู่โลกความจริงแล้วสินะ
“60%ล่ะครับ เหลือลงสีล้วนๆ” ผมหันไปมองสีที่ซื้อมาตุนไว้ด้วย
“ให้ผมช่วยอะไรไหม” ผมยิ้มทันที แค่พี่ติณห์อยากจะช่วยผมก็ดีใจแย่แล้วเหอะ
“ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมแบบนี้ต่อไปก็พอครับ” เขาเคาะหัวผมอีกครั้ง ส่วนผมก็หัวเราะร่วนและมองวิวภายนอกหน้าต่างไปด้วย
เสียงเพลงเบาๆ แอร์เย็นๆ กับคนสำคัญมันเป็นโมเม้นต์ที่ดีจังนะ
“ผมอยากไปเที่ยวจัง” ทริปล่าสุดของผมคือทริปไปทะเลเมื่อปิดเทอมที่แล้วนู้นนน
“ไปไหนดีอ่ะ” พี่ติณห์ถาม
“ไปไหนก็ได้ที่มีพี่ พี่อยากไปไหนล่ะ” พี่ติณห์เงียบไปสักพัก
“ไม่อยากไปทะเล ไปบ่อยล่ะ”
“... อยากขึ้นเขา” ผมเลิกคิ้ว
“เขาไหน”
“เขาไหนก็ได้ อยากอยู่ท่ามกลางต้นไม้ อากาศดีๆ ลมเย็นๆ วิวสวยๆ” ผมพยักหน้ารับ ฟังดูน่าสนใจแหะ
“พี่เคยไปเขาค้อไหม” พี่ติณห์ส่ายหัว
“จริงดิ เราไปเขาค้อกันเถอะ” ผมตาลุกวาวทันที
“เขาค้อนี้อยู่ไหนวะ” ผมขำ
“เพชรบูรณ์ไง”
“บ้านคุณก็อยู่เพชรบูรณ์ใช่ป่ะ” ผมพยักหน้ารัวๆทันที
“ก็น่าสนใจนะ” พี่ติณห์พูดต่อ
“ไม่ใช่แค่น่าสนใจนะ แต่เราจะไปกันจริงๆเลย... แค่เราสองคน” พี่ติณห์หันมามองหน้าผมหลังจากจอดรถเรียบร้อย แปบเดียวก็มาถึงมหาลัยซะแล้ว
“จะไปเมื่อไหร่”
“หลังจบงานรับปริญญาไง ยังไงก็ปิดเทอมอยู่ล่ะ” พี่ติณห์บุ้ยปาก
“หลังจบงานรับปริญญาผมยังต้องสอนอีก3-4วันนะ”
“รอพี่สอนเสร็จก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปช่วยสอนด้วย” พี่ติณห์หรี่ตาใส่ผม ท่าทางผมคงดูอยากไปมากๆเลยครับ ผมอยากไปมากๆเลยตอนนี้ แค่คิดว่าได้ไปเที่ยวกับพี่ติณห์ก็อยากไปจะแย่แล้ว
“ขอคิดดูก่อนล่ะกัน” ผมบุ้ยปาก
“ทำไมอ่ะ ไปเหอะ เราไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยกันสองคนเลยนะ” พี่ติณห์ขำ เขาเลื่อนมือมาลูบหัวผม
“ถ้ามันไม่มีปัญหาอะไร เราได้ไปแน่” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทันที เล่นเอาพี่ติณห์ชะงักไปเลย คงเพราะเขาไม่ได้ตั้งตัวนั้นแหละ
“ผมไม่มีทางยอมให้มีปัญหาอะไรทั้งนั้น” ผมพูดชิดริมฝีปากนั้น
“...พี่เตรียมเก็บกระเป๋าได้เลย” ผมพูดต่อจนจบก่อนที่พี่ติณห์จะเป็นฝ่ายปิดริมฝีปากของผม
ด้วยริมฝีปากของเขา
“เลิกทำตัวน่ารักได้แล้ววา ผมหลงคุณจะแย่อยู่แล้ว” ประโยคสั้นๆพร้อมด้วยเสียงสั่นๆของพี่ติณห์ทำให้ผมแทบคลั่งตายอยู่แล้ว
“ผมทำตอนไหน” เพราะอยากให้เขาพูดต่อ ผมถึงพูดแบบนั้นออกไป
ผมอยากฟังว่าผมน่ารักตรงไหน ยังไง ตอนไหน
จากปากพี่ติณห์
“ตอนที่เป็นฮีโร่ช่วยแม่ผม เป็นไอ้เปี๊ยกให้เต็นท์ เป็นผู้ร้องคดีที่กล้าหาญของพ่อผม คุณทำทุกอย่างได้ดีและเข้ากับทุกคนได้ยังไง” ผมยิ้ม เลื่อนตัวไปกดจูบที่หน้าผากของพี่ติณห์และเลื่อนลงมาในระดับสายตาของพี่ติณห์อีกครั้ง
“เพราะทุกคนคือคนสำคัญของพี่ไงครับ”
แค่ใครคนนั้นเป็นใครสักคนที่พี่ติณห์รักมากที่สุด ผมก็จะรักคนๆนั้นมากที่สุด ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรืออะไร
“และผมเป็นอะไรสำหรับพี่” ผมถามออกไป พี่ติณห์หลบสายตาผม เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ดูคิดหนักขึ้นมาซะเฉยๆ แต่ผมไม่ได้รีบร้อน แค่รอให้เขากลั่นกรองทุกอย่าง สุดท้ายพี่ติณห์ก็เลื่อนสายตามาสบกับผมอีกครั้ง สื่อสารคำพูดผ่านแววตาสักพักก่อนที่จะพูดออกมา
“เป็นคนรักของผม”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีใครให้หวานกว่านี้มั้ยครับคุณ 5555 คิดว่าอีก7ตอนจะจบแล้ว (ถ้ามันไม่ยืดขึ้น) ทั้งๆที่เหลืออีกตั้ง7ตอนนะแต่เริ่มใจหายแล้วววว เราควรเปิดให้จองหนังสือเลยมั้ยอ่ะ จะได้รู้ยอดว่าได้ตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อันนี้ถือว่าเป็นออร์เดิฟของคนที่คิดว่าสั่งแน่ๆนะคะ ให้ส่งเมลล์มาที่ nnmfnns@gmail.com แค่ส่งมาว่าถ้าจะซื้อจะซื้อกี่เล่มแค่นั้นพอค่ะ เราจะได้รวมยอดได้เนอะ
สำหรับคนที่สั่งเล่ม บอกเลยว่าไม่มีทางผิดหวังแน่นอน 5555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

วานี่น่าจะเป็นเคะนะ มีความน่ารักฟรุ้งฟริ้งอยู่ในตัว555
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ตอนนี้โคตรหวานเลยอ่ะ... ไม่ได้หวานแบบต้องมีอะไรหวือหวา
แต่มันหวานละมุนแบบอบอุ่นใจ ฮืออออออออออออออออออ
ไม่ไหวแล้วววววว จะซื้อ T_______________T
หลงว่าเข้าไปอี๊กกกกกกกกก อยากขโมยวาจะตายอยู่แล้ว ฮือ
ปล.เปิดฮอทเมล์แป๊บค่ะ...