ตอนที่ 25 : special part II
25
TIN
เพียงแค่ขยับตัวนิดเดียว ความรู้สึกเจ็บแปลบที่เล่นงานก็ทำให้ผมเลือกที่จะอยู่ในท่าเดิมนั้นแหละ นี้มันเจ็บจริงๆนะ ทุกคนทนได้ไงเนี่ย
ผมเอื้อมมือไปคว้านาฬิกาปลุกที่วางไว้บนหัวเตียงขึ้นมาดูเวลา ผมเป็นคนซื้อมันมาตั้งไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง มันกำลังชี้บอกเวลา14นาฬิกา20นาที ผมวางมันลงที่เดิม กลั่นกรองในหัวว่ามีงานอะไรที่ต้องทำหรือคลาสที่ต้องเข้ารึเปล่า แต่เอาเข้าจริงถึงวันนี้มีคลาสเพื่อนก็คงไปเข้าไม่ถึง20%หรอกครับ เมื่อวานเล่นดื่มกันเป็นน้ำเปล่าเลย และเป็นโชคดีที่วันนี้ผมไม่มีเรียนด้วย
ผมผุดลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าที่สุด อาการเจ็บที่สะโพกยังคงไม่หายไปไหน เพิ่มเติมคือปวดเมื่อยไปตามตัวจากการนอนท่าเดิมนานๆ
เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็น่าจะตี3กว่า ตื่นอีกทีบ่าย2กว่า นี้นอนเกือบ12ชั่วโมงเลยเหรอ
ผมยีหัวและนั่งขยี้ตาสักพัก พยายามไม่ขยับตัวมาก หลังจากหายเมาขี้ตา ผมก็กวาดสายตามองรอบๆห้อง
ห้องของวา
แค่นึกถึงชื่อเจ้าของผมก็อยากจะจับมันมาฉีกเป็นชิ้นๆแล้ว เมื่อคืนมันทำไว้แสบมากเลยนะ เล่นเอาผมต้องนั่งพิจารณาใหม่เลยว่าควรจะมีครั้งต่อไปไหม จริงๆแล้วผมก็รู้แหละว่าวาพยายามขนาดไหนไม่ให้ผมเจ็บ และใจเย็นมากๆที่สุดแล้ว แถมยังลงทุน... เอ่อ..ออรัลให้ด้วย แต่มันก็ทำให้ผมหงุดหงิดลึกๆอยู่ดีอ่ะ ผมไม่คิดว่ามันจะเจ็บถึงขนาดนี้ แต่ถ้ามองโดยรวม...
มันก็เป็นคืนที่ดี
คิดมาถึงตรงนี้ผมก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง เมื่อวานหลังจากเสร็จภารกิจไปหลายยกผมก็หลับไปก่อน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาตัวเองกลับอยู่ในสภาพสะอาดสะอ้านและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ไม่ต้องเดาก็คงรู้ว่าใครทำ ผมไม่ซึ้งหรอกนะ! มันเป็นหน้าที่ของวาอยู่ล่ะเหอะ โทษฐานบุกรุกร่างกายผม
ทั้งๆที่เด็กกว่าตั้งปีหนึ่ง เห็นหน้ากันมาตั้งสามปี แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีมุมแบบนี้กับเขาด้วย
มุมเร้าร้อนของวา
ผมเลื่อนสายตาหันไปมองวาที่นอนอยู่ข้างๆ วายังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่ ผมก็เลยปลุกมันโดยการเตะไปหนึ่งที
“คุณควรรีบตื่นมาทำข้าวเช้าให้ผมนะ” ผมแกล้งพูดออกไป มันเป็นฉากในหนังบ่อยๆไง วาก็น่าจะทำตามบ้าง
วายังคงนิ่งจนผมต้องเตะอีกรอบ
“วา” ผมออกปากเรียก มันนิ่งจนเกินไปล่ะนะ
“คุณไม่ได้เหนื่อยอะไรมากเลยป่ะวะ ผมตั้งหากที่ควรจะหลับเป็นตาย” ผมบ่นอุบอิบและเขย่าร่างวาไปด้วย แต่เมื่อมือผมสัมผัสกับร่างวา ผมก็ชะงักไปเลย
“วา” ผมลืมความเจ็บทางร่างกายไปทันที วาตัวร้อนมาก ร้อนจนผมตกใจ ผมเลื่อนมือไปอังหน้าผาก ไล้ลงมาแตะแก้ม แตะคอและก็เลื่อนไปจับแก้มอีกรอบ
“วา!” ผมยังคงพยายามปลุกวาอยู่ ทำไมตัวร้อนขนาดนี้เนี่ย ในขณะที่ผมกำลังจะหันไปคว้าโทรศัพท์มาโทรเรียกรถพยาบาล บางทีวาอาจจะไข้ขึ้นจนน็อคไปแล้วก็ได้นี้หนา วาก็เลื่อนมือมาจับมือผมที่จับแก้มเขาอยู่
ยิ่งเขาจับมือผมแบบนี้ ยิ่งรู้เลยว่าเขาตัวร้อนขนาดไหน
“ทำไมตัวร้อนขนาดนี้” ผมถามออกไป วายังคงหลับตาอยู่ จะมีก็แต่มือที่จับมือผมไว้ที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาตื่นแล้ว
“ไม่ตลกนะวา” ผมไม่ได้ตั้งใจจะดุเลยนะ แต่พอวาเอาแต่เงียบเสียงมันเลยดุไปเอง
“ปกติอ่ะ” วาบุ้ยปาก ยอมลืมตามาคุยกับผมดีๆแล้ว
“ปกติเนี่ยนะ?” วาส่งเสียงอือเบาๆในลำคอ เหมือนจะเป็นหวัดนิดๆด้วยแหะ
“ปกติตรงไหนวะ” ผมถามออกไป ให้ทายว่าคงขมวดคิ้วมุ่นไปหมด
“ทุกครั้งที่มีเซ็กส์เหรอ” ผมถามต่อไปเมื่อวาไม่พูดอะไรกลับมาสักที
“จะบ้าเหรอพี่ติณห์” อ้าว...
“ก็คุณบอกว่าปกติ”
“ไม่ใช่เพราะเซ็กส์ไหมอ่ะ นั้นมันโครตสุดยอดเลยนะ” สายตาพราวระยับที่ส่งมาทำให้ผมอยากจะโบกหัวมันสักที จะติดก็แต่ตัวร้อนขนาดนี้หัวคงหนักมากแน่
“แล้วเพราะอะไรล่ะ” วากระชับมือที่จับมือผม ยังคงปล่อยให้มันวางแน่นิ่งอยู่บนแก้มเขาอย่างนั้น
“ผมมีภาวะขาดเอนไซม์แลคเตสอ่ะ” คำตอบนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ ความรู้วิชาชีววิทยาที่เรียนมาสมัยมัธยมโดนขุดขึ้นมาใช้ใหม่ แม้มันจะเลือนลางมากจนแทบจำไม่ได้ แต่เพราะผมชอบเรื่องต่อมไร้ท่อตอนม.5มาก ก็เลยพอจะจำได้
“แลคเตสที่ย่อยแลคโตสอ่ะนะ” จำได้แค่นี้แหละ
“อือ” บางทีผมก็อยากให้วาพูดมาให้หมด
“แลคโตสในนมเหรอ” ผมพูดต่อ
“ถูกต้อง พี่ชอบชีวะใช่ไหม” วาชี้นิ้วเป็นท่าติ้กถูกใส่ผม
“แพ้นมเหรอ?” ผมถามต่อ แต่วากลับส่ายหัว
“อาการแพ้นมกับภาวะขาดเอนไซม์แลคเตสมันไม่เหมือนกันนะ แพ้นมมักจะเกิดในเด็กเล็กๆ ส่วนขาดแลคเตสมันเกิดในใครก็ได้ อาการก็ไม่เหมือนกันด้วย” ผมยังคงทำหน้างงอยู่ วาถึงได้พูดต่อ
“ถ้าแพ้นมก็พวกผื่นแดงขึ้น หยุดนมก็หาย แต่ถ้าขาดแลคเตสคือย่อยแลคโตสในนมไม่ได้ บางคนก็ถึงกับกินอาหารที่มีแลคโตสไม่ได้เลย แต่ผมไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น ก็แค่กินนมไม่ได้... และแต่ล่ะคนก็จะมีอาการแตกต่างกันไป อย่างของผม มักจะเป็นหลังจาก6-7ชั่วโมง คือจะปวดท้อง จะอ้วก แล้วก็ไข้ขึ้น ไอ้ไข้ขึ้นกับเป็นหวัดนี้น่าจะเพราะร่างกายอ่อนแอก็เลยพาลเป็นไปด้วยนั้นแหละ” วาพูดจบก็ไอออกมานิดหน่อย
“รู้ว่ากินนมไม่ได้แล้วกินเข้าไปทำไม” ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมวาป่วย แต่ถ้ารู้ว่ากินไม่ได้มันก็ต้องหลีกเลี่ยงดิ
“ผมไม่ได้กิน” สายตาที่ตั้งใจมองผมสุดๆ ทำให้ผมชะงัก
“งั้นป่วยได้ไง” ผมถามต่อ
“นั้นสิครับ” วาตอบแค่นั้น ยังคงจ้องหน้าผมอยู่ จ้องจนผมรู้สึกว่าผมทำอะไรผิด แต่อะไรอ่ะ...
“อ้อ...” ผมคิดสักพักก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานหลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเอานมในตู้ไปเวฟกินเพื่อที่จะได้หายมึนหัวเป็นปริบทิ้ง
“เพราะพี่กินอ่ะ พอผมจูบพี่ก็เลยพลอยกินไปด้วย” วาสรุปสิ่งที่ผมคิดออกมา
“ก็มันอยู่ในตู้ห้องคุณอ่ะ ใครจะไปรู้ว่ากินไม่ได้” ตอนนั้นก็แค่อยากหาอะไรอุ่นๆกินเองนะ
“ไอ้พีทมันซื้อมาแกล้งอ่ะ มันรู้ว่าผมกินไม่ได้” ผมบุ้ยปาก ใครจะไปรู้วะ! แต่นี้มันก็ไม่ใช่ความผิดผมคนเดียวไหมอ่ะ
“คุณก็น่าจะได้กลิ่นดิ ถ้ารู้ว่าผมกินนมเข้าไปจะจูบทำไม” ผมไม่ได้พาลนะ แต่มันก็จริงไหมอ่ะ วาหลิ่วตาและอยู่ๆก็ฉุดแขนผมซะงั้น ผมที่ไม่ได้ตั้งตัวเลยตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดวาทันที
“จุดนั้น ผมหยุดได้ที่ไหนล่ะ” เพราะวาป่วยอยู่ ผมเลยยอมตามใจวาหน่อยโดยการไม่ได้ขืนตัวออกจากอ้อมแขนนั้น ทั้งๆที่วาแรงน้อยขนาดนี้ผมบิดตัวนิดหน่อยก็หลุดแล้วครับ
“โทษผมอย่างเดียวก็ไม่ได้นะ” แต่อดจะบ่นไม่ได้จริงๆ
“ไม่ได้โทษเลย แค่พูดเฉยๆ” วาตอบ คราวนี้เขาซุกตัวเข้าหาผมเพื่อให้ผมกอดเขาเอาไว้
“แต่ผมก็มีส่วนผิดอ่ะ” ผมยอมกอดวาไว้และตอบออกไป ไอร้อนจากผิววาทำให้ผมคิดขึ้นได้
“เดี๋ยวผมไปเอายามาให้นะ” ผมพูดและตั้งท่าจะลุกขึ้น ติดก็แต่วายกขามาก่ายผมไว้เนี่ย
“ไม่เอา เดี๋ยวเย็นๆไข้ก็ลงแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” ทำไมดูเชี่ยวชาญกับอาการป่วยจังเนี่ย
“ไม่เป็นไรได้ไงเล่า คุณตัวร้อนขนาดนี้” ผมพยายามพูดกับวาดีๆ ไม่อยากผลักเขาออกเลย ขืนหัวโดนกระชากแรงๆไข้จะเพิ่มขึ้นรึเปล่าก็ไม่รู้
“ไม่เป็นไรจริงๆ” เสียงงัวเงียยังคงตอบกลับมาเหมือนเดิม
“ผมมีส่วนทำให้คุณป่วยนะ ให้ผมทำเถอะ” ผมประคองหน้าวาให้หันมามองหน้าผม คนเราตัวร้อนได้ขนาดนี้จริงๆเหรอเนี่ย พาไปหาหมอดีไหม
“ผมอยากจูบพี่จัง” ผมกลอกตา
“มันใช่เวลาไหมวา” โครตจะไม่ใช่อ่ะ
“ถ้าไม่ติดว่ากลัวพี่ติดหวัด ผมจูบไปแล้วนะ” วาก็ยังคงไม่ฟังผมอยู่ดี
“ถ้าผมติดหวัดแทนแล้วคุณหายก็จูบเหอะ” จบประโยคนั้นผมก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หวังจะจูบวาจริงๆอย่างที่พูด แต่วารีบดันตัวออกเลยครับ
“ถ้าป่วยทั้งคู่ใครจะดูแลอ่ะ เป็นพยาบาลส่วนตัวให้ผมเลย” เยส! สำเร็จ
“ได้!” ผมรับคำ ผละออกจากอ้อมกอดวาและออกไปหายาทันที
ถ้าจะสั่งอะไรวาตรงๆวาจะไม่ทำหรอกครับ มันต้องใช้ชั้นเชิง
ซึ่งผมมีเยอะมาก
ผมกลับเข้ามาในห้องพร้อมข้าวต้มที่โทรไปสั่งมาและยาในมือ ก่อนที่จะจัดแจงยกโต๊ะญี่ปุ่นมาตั้งบนเตียงและพยุงวาให้ลุกขึ้นนั่ง
“ไม่กินข้าวได้ไหม” วาถาม สายตานี้ละห้อยสุดๆ
“กินหน่อยเถอะวา เดี๋ยวต้องกินยาอีก” วาเบ้ปากทันที
“ผมปวดท้องอ่ะ” พูดจบก็ลูบท้องเป็นเชิงยืนยันด้วย
“แต่ถ้าไม่กินข้าวก็กินยาไม่ได้นะ” ผมยื่นช้อนให้วาถือ วารับช้อนไปจากผม จับจ้องที่ข้าวต้มอยู่แบบนั้นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาและเงยหน้ามามองผม
“กินยาเลยเถอะ” สายตาน่าสงสารทำให้ผมเกือบเคลิ้มไปแล้ว
“กินนิดเดียวเอง” ผมย้ำ วาจึงยอมหันกลับไปมองถ้วยข้าวต้มอีกครั้ง จริงๆมันหอมมากเลยนะ แต่อารมณ์คนป่วยคงไม่อยากกินอะไรนั้นแหละ วาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะตักข้าวต้มขึ้นมา แต่ไม่ยอมกินเข้าไปสักที วาชั่งใจมองช้อนอยู่นานสองนานจนผมต้องพูดออกไป
“ผมป้อนไหม” ผมเสนอ วาไม่ได้ตอบ แค่ส่งช้อนให้ผมเท่านั้น ตอนนี้ฉายาหูตูบของไอ้เมฆดูจะชัดเจนขึ้นมาอีก เมื่อวาในตอนนี้ดูหงอ หูตก คิ้วตก และสายตาหงอยๆนั้นอีก ผมตักข้าวต้มขึ้นมา เป่านิดหน่อยและป้อนวา
“พี่ติณห์...” วาไม่ยอมกินเข้าไป ทั้งยังช้อนตามามองผมอีก แต่ผมพยักหน้ายืนยันว่ายังไงก็ต้องกิน วาถึงได้ยอมงับเข้าปากแต่โดยดี
ก็แค่เนี่ย
ผมป้อนข้าววาไปเรื่อยๆ ซึ่งกินได้ช้ามากๆ ผมว่าผมนั่งป้อนมาตั้งนานแล้ววาพึ่งกินได้แค่3คำเอง ผมตักข้าวคำที่4ขึ้นมา แต่วาที่ควรจะงับเข้าปากกลับชะงักไป ผมมองวานิ่งๆ กำลังจะอ้าปากถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า วาก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปก่อน เสียงที่ตามมาทำให้ผมรู้ว่าวากำลังอาเจียน ผมไม่ได้วิ่งเข้าไปในทันทีแค่แวะไปหยิบน้ำและผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนที่จะตามเข้าไป
“ไปหาหมอไหม” ผมถามขณะที่ลูบหลังให้วาไปด้วย วาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเพียงแค่อาเจียนออกมาอีกระลอกเท่านั้น ใช้เวลาสักพักกว่าวาจะหยุดอาเจียนและรับน้ำจากผมไปดื่ม
“ไปหาหมอเถอะ” ผมพูดซ้ำอีกครั้ง ตอนวากดชักโครกและทิ้งตัวลงนั่งบนฝาชักโครก
วาตอบคำถามของผมโดยการส่ายหัว
สายตาที่โครตอ่อนแรงกับปากที่ซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้ผมยิ่งอยากพาวาไปหาหมอเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าวาไม่ไป ผมก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก ผมไม่ได้คาดคั้นให้วาไปหาหมออีก แค่นั่งยองๆตรงหน้าวาและเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้ด้วยผ้าเช็ดหน้าที่หยิบมาเท่านั้น
“พี่ดูแลผมดีกว่าแม่ผมอีก” วาพูดออกมาหลังจากผมเช็ดหน้าให้เขาสักพัก
“เมียก็ต้องดูแลดีกว่าแม่อยู่แล้วเนอะ” มือผมถึงกับลั่นไปผลักหัววาเบาๆเลย ผลักแรงก็ไม่ได้ด้วยไง ทำให้วาขำออกมานิดหน่อย
“ถ้าไม่ไหวต้องไปหาหมอนะ” ผมอดที่จะพูดย้ำเรื่องหาหมอออกมาไม่ได้จริงๆ
“ครับ ถ้านอนพักก็น่าจะดีขึ้นแล้วแหละ” วาตอบกลับมา ผมจึงเลื่อนมือไปอังหน้าผากเขาอีกครั้ง วายังตัวร้อนไม่ต่างจากเดิมเลย
“ขอบคุณนะครับ” อยู่ๆวาก็พูดออกมาแบบนั้น
“ขอบคุณทำไม เรื่องแค่นี้เอง” ถ้าคนที่ป่วยเป็นผม วาก็คงดูแลไม่ต่างกันสักเท่าไหร่หรอก
ผมพยุงวาให้ลุกขึ้นและพากลับไปที่เตียง ส่งยาให้วากิน และเช็ดตัวให้วาด้วย หลังจากเช็ดตัวให้วาเสร็จผมก็ลุกขึ้น ตั้งใจจะเอาน้ำที่เช็ดตัวแล้วไปเก็บแต่วากลับคว้าแขนผมไว้
“ไม่ให้ไป” สายตาจริงจังทำเอาผมชะงักเลย
“ผมแค่จะเอาน้ำไปเก็บ”
“ไม่ต้องเก็บ” ไม่พูดเปล่าวากดให้ผมนั่งลงบนเตียงด้วย ผมเลยจำต้องวางกะละมังใส่น้ำไว้ที่เดิม
“นอนพักได้แล้ว” ผมบอกออกไป สายตาโครตเป็นกังวลกับคิ้วที่ขมวดอยู่ตลอดนี้ไม่สมกับเป็นวาเลย ผมเลื่อนมือไปลูบหัวเขาเบาๆ เพียงเท่านั้นหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายลง
“ห้ามไปไหนนะ” ผมพยักหน้ารับคำ วาจึงยอมทิ้งตัวลงนอน
อีกอาการป่วยของวาคือ สกิลความเป็นเด็กที่เพิ่มขึ้นด้วยความรวดเร็ว จริงๆจะใช้คำว่าสกิลความงอแงก็คงจะได้ วาไม่ยอมให้ผมห่างตัวเลย แถมยังไม่ยอมไปหาหมอ และถ้าโดนผมบังคับเขาหน่อย หน้าก็งอ ปากก็เบ้ทันที แล้วไหนจะคิ้วตกๆกับตาละห้อยๆไว้อ้อนขออะไรจากผมอีก
“ห้ามไปไหนจริงๆนะพี่ติณห์” ผมห่มผ้าให้วาเสร็จ วาก็พูดย้ำขึ้นมาอีก
“ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ” ผมลูบหัววาเบาๆ สายตาที่ทอดมองมายังคงหวาดกลัวว่าผมจะหายไป ผมโน้มตัวเข้าไปใกล้และกดจูบที่หน้าผากมนนั้น
“ตื่นขึ้นมาคุณจะเห็นผมคนแรกเลย” ผมยืนยันกับวาอีกครั้ง วาเอื้อมมือมาจับมือผมก่อนที่จะหลับตาลง
ผมนั่งมองวาอยู่สักพัก จนระดับลมหายใจที่สม่ำเสมอทำให้ผมรู้ว่าวาหลับไปแล้ว ผมถึงได้แกะมือวาออกเบาๆ ผมแค่จะเอาน้ำไปเก็บ หาอะไรกินแล้วก็อาบน้ำสักหน่อย บางทีอาจจะต้องหายาแก้ปวดมากินด้วยเนี่ย
ทำไมกลายเป็นผมมานั่งดูแลวาเฉยเลยนะ
ผมทำทุกอย่างเสร็จโดยใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ หาเก้าอี้มาวางข้างเตียงและก็ทิ้งตัวลงนั่งบนนั้น ไข้ลดลงไปบ้างแล้ว ทำให้ผมเบาใจขึ้นมาหน่อย บางทีมันอาจจะเป็นหนักช่วงแรกๆไม่กี่ชั่วโมงอย่างที่วาบอกก็ได้
ผมเลื่อนมือไปปัดผมที่ปรกลงบนหน้าวาออก ผมไม่เคยต้องมานั่งดูแลใครระยะประชิดขนาดนี้เลยนะ วาเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง เขาดูแลตัวเองได้ดีพอๆกับดูแลคนอื่น และเพราะเป็นคนแบบนั้น ผมถึงแน่ใจมากว่าคงไม่มีใครได้มีโอกาสดูแลเขาตอนป่วยมากนัก การที่ผมได้ทำหน้าที่นี้ถือว่าเจ๋งเลยนะ ผมเลยจะทำให้เต็มที่
ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดที่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาป่วย
แต่ผมอยากดูแลเขาให้ดีที่สุดจริงๆ
ติ้ง
ผมกดปิดเสียงโทรศัพท์แทบจะไม่ทัน กดเข้าหน้าจอไลน์ เพื่อดูข้อความที่ถูกส่งมา
Mek :
ออกมายัง
tin :
ออกไปไหนวะ
Mek :
แดกข้าวกับพี่ดิน
ผมชะงักไปนิดหน่อย เออลืมไปเลยว่าพี่ดินนัดไปกินข้าวเย็นนี้
tin :
ลืมว่ะ
แต่คงไปไม่ได้แล้วอ่ะ
Mek :
ทำไมมมมม
มึงแบกหูตูบมาด้วยก็ได้
tin :
แบกไปด้วยไม่ได้อ่ะดิ
เอาเป็นว่ากูไปไม่ได้
ฝากขอโทษที
Mek :
อยากโดนพี่ดินฆ่าเหรอ
ทำไมมาไม่ได้ล่ะไอ้สัส
tin :
วาไม่สบาย
Mek :
นี้มึงมีอาชีพเสริมเป็นพยาบาลส่วนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่
tin :
เมื่อกี้นี้แหละ
Mek :
โดนพี่ดินฆ่าแน่ไอ้ติณห์
tin :
วันแรกกูขอข้าวต้มกุ้งล่ะกัน
Mek :
มีอะไรจะอัพเดตไหม
tin :
เรื่องไร
Mek :
มึงกับหูตูบ
tin :
จมูกดีจริงๆนะมึง
Mek :
มึงเล่ามาเลย
tin :
ไว้เล่าให้ฟัง
ผมตอบแค่นั้นและไม่ได้ตอบอะไรเมฆกลับไปอีก บางทีผมอาจจะต้องคิดดีๆว่าจะเล่าความจริงทั้งหมด ความจริงที่ดัดแปลงแล้ว หรือไม่เล่าเลยดี
ตอนนี้เองที่ผมได้เลื่อนสายตาไปมองเวลาว่าล่วงเลยมาจนจะทุ่มหนึ่งแล้ว อาการเจ็บของผมก็ทุเลาลงบ้างแล้วด้วย ผมกดเข้าinstagramไล่ดูรูปไปเรื่อยๆ รูปส่วนมากเป็นรูปงานเมื่อคืนเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่ผมจะหยุดดูรูปหนึ่งนานเป็นพิเศษ เป็นรูปวาที่กำลังเซลฟี่กับน้องพิ้งค์ แค่เซลฟี่กับน้องต้องกอดไหล่ด้วยเหรอวะ ผมล้อเล่นนะ... รูปออกมาสวยดี คนที่ถ่ายรูปนี้คือไม้ ตากล้องประจำปี3นั้นเอง ด้วยความว่างผมเลยกดเข้าไปดูแอคเคาท์ของไม้ด้วย ส่วนมากเป็นรูปงานรับน้อง ทั้งรูปเข้าห้องเชียร์ รูปแสตน รูปกองเชียร์ แล้วนั้นรูปตอนวาโดนน้องบูม จะว่าไปตอนนั้นผมเดินเข้าไปหาวาด้วยสัญชาตญาณล้วนๆเลย แค่รู้สึกว่าคนเซนซิทีฟโครตๆอย่างวาโดนน้องทั้งรุ่นบูมเขาคนเดียว คงจะบาดใจอย่างแรง ซึ่งก็จริงด้วย ผมหันไปอีกทีวาก็น้ำตานองแล้ว
จริงๆแล้วถึงจะเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดขนาดไหน แต่ลึกๆเขาเป็นคนอ่อนโยนมากเลยนะ
ผมกดเข้าไปดูแอคเคาท์วาบ้าง ไม่มีรูปใหม่อัพเดตมาตั้ง3-4เดือนแล้ว ก็เพราะลุคเฮดว้ากมันห้ามเล่นโซเชียลนั้นแหละ รูปล่าสุดเป็นรูปวากำลังตรวจโมเป็นครั้งสุดท้ายอยู่ มีใครเคยบอกไหมว่าตอนวาทำโม หรือตอนตั้งใจทำงาน เป็นวาที่โครตดูดี ดูเป็นคนทำงานสุดๆเลยอ่ะ ผมนั่งมองรูปนั้นอยู่สักพักใหญ่ๆก่อนที่จะละสายตาไปยังคนที่นอนอยู่ตรงหน้าผม
ใครจะไปรู้ว่าคนในรูปกับคนๆนี้ตรงหน้าผมคือคนเดียวกัน
วาเป็นคนมีหลายบุคลิก ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองได้เห็นวาครบทุกบุคลิกรึยัง แต่คิดว่าได้เห็นเยอะเหมือนกันนะ อย่างน้อยๆลุคงอแงสุดๆนี้ก็คงไม่ได้เห็นง่ายๆเท่าไหร่ ผมเลื่อนมือไปลูบหัววาเบาๆอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบลูบหัววาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่วามักจะโอนอ่อนลงทุกครั้งที่ผมลูบหัวเขา ผมเลยชอบทำบ่อยๆ ท่าทางหูลู่ตอนผมลูบหัวเขามันน่ารักดีนะ
ครืด
ผมหยุดสนใจวา เมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงสั่นขึ้นมา ชื่อคนที่โทรมา ทำให้ผมต้องลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอเลย
พี่ดิน
‘ครับ’ ผมรับสายด้วยเสียงเบาๆ
‘ไอ้ตินติน! ทำไมไม่มา’ แต่เสียงโวยวายระดับสิบที่ตอบกลับมาก็ทำให้ผมต้องเดินแยกออกมาจากห้องวา โดยไปจบที่ระเบียงแทน
‘ขอโทษจริงๆพี่ ไปไม่ได้อ่ะ’ ผมเท้าแขนกับระเบียงและตอบพี่ดินกลับไป
‘ไอ้เมฆบอกว่ามึงติดเด็ก น้องเลว เด็กมันดีกว่าพี่แกรึไง’ ผมคิ้วกระตุกเลยกับประโยคนั้น ผมไม่ไปนี้คิดผิดป่ะวะ ไอ้เมฆมันเผาอะไรผมมม
‘เด็กอะไร ไม่มี’
‘โกหกกูเหรอติณห์’
‘เปล่าาา’
‘งั้นบอกกูมาว่าเด็กไหน กูจะยกโทษให้ ไอ้เมฆไม่ยอมบอก’ ขอบใจที่มึงยังเป็นเพื่อนที่ดีนะเมฆ
‘ไม่มีจริงๆ’
‘โกหก!!!’ ทำไมพี่ดินถึงเสียงดังทะลุทะลวงแบบนี้
พี่ดินซักไซ้เรื่องเด็กอีกสักพัก แต่หลังจากผมยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีๆ พี่ดินก็พาเข้าเรื่องว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาจะต้องกลับไปฝึกงานต่างจังหวัดแล้วนะ จะไม่มาจริงๆเหรอ ซึ่งผมก็อยากไปครับ แต่ผมไปไม่ได้จริงๆ พี่ดินก็ส่งโทรศัพท์ให้พี่เป้อไซโคผมต่อ คือผมก็อยากไปไงงงง แต่ผมไปไม่ได้
‘โหยพี่ ผมไปไม่ได้จริงๆ’ ผมพูดย้ำประโยคนี้รอบที่สามแล้ว
‘แต่พวกกูอาจจะไม่กลับมามอแล้วนะติณห์’ เสียงเศร้าๆพร้อมกับเสียงสะอื้นนิดหน่อยของพี่เป้อดังออกมา
‘พี่ต้องกลับมาส่งธีสิส ไหนจะรับปริญญาอีก’ ไม่เนียนเลยยย
‘เออ! น้องเวร กูแดกล่ะ ไปไหนก็ไปเลย งานรับปริญญากูขอเฟอเรโร่ช่อใหญ่ๆด้วย’ ผมขำ
‘ได้เลยยย’
‘ไหนเป้อมึงเอามา กูขอบ้าง’ เสียงพี่ดินดังแว่วเข้ามา
‘ไอ้ติณห์!’
‘ครับ’ จะตะโกนทำไมมม
‘กูขอรูปใส่กรอบใหญ่ๆเอาแบบเป็นจิ๊กซอว์นะ แล้วมึงต้องนั่งต่อเองด้วย’ นี้ก็ขอล้ำตลอด
‘ได้ ถ้าพี่ส่งธีสิสผ่านนะ’
‘ไอ้เหี้ยติณห์!!’ ผมขำ พี่ดินบ่นผมอีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสายไป
ผมยืนชมวิว ปล่อยให้ลมเย็นๆพัดกระทบร่างแบบนั้นอีกสักพักก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้อง
“ตื่นแล้วเหรอ” วานั่งอยู่บนเตียง เขาหันมามองผมทันทีที่ผมเดินเข้าไป
“ไปไหนมา”
“คุยโทรศัพท์” จะทำเสียงดุทำไมเนี่ย
“พี่บอกว่าจะไม่ไปไหน”
“ผมแค่ไปคุยโทรศัพท์เองนะ” วาบุ้ยปาก
“ไม่เกี่ยวอ่ะ ไม่ไปไหนก็คือห้ามไปไหนเลย พี่บอกว่าตื่นมาผมจะเจอพี่คนแรกด้วยซ้ำ”
“แล้วคุณไม่ได้เจอผมคนแรกเหรอ” ทั้งห้องมันมีแค่ผมกับวานี้ครับ
“ไม่ ผมเจอเก้าอี้ก่อนพี่” เอาจริงดิ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง น้ำเสียงฟังดูดีขึ้นเยอะเลยแหะ แก้มก็เริ่มกลับมามีเลือดฝาดแล้วด้วย
“โอเคขึ้นยัง” ผมถามในขณะที่เอื้อมมือไปอังหน้าผาก แต่วากลับเบี่ยงตัวหลบ
“ผมยังไม่เคลียร์เรื่องที่พี่หายไป”
“ผมแค่ไปคุยโทรศัพท์” ผมพูดย้ำ แต่วายังคงบุ้ยปากใส่ผมอยู่
“ผมนั่งเฝ้าคุณมาตั้งหลายชั่วโมง ความดีผมหายหมดเพียงแค่ผมออกไปคุยโทรศัพท์เหรอ” คราวนี้วาทำปากยื่นใส่ผมเลย
“ถ้าผมทำผิด งั้นผมไปก็ได้” ผมพูดปิดท้ายก่อนที่จะหันหลังกลับจริงๆ
“พี่ต้องง้อผมดิ” วาพูดแค่นั้นและรั้งแขนผมไว้
“ทำตัวเป็นเด็กๆนะวา” ผมอดที่จะบ่นไม่ได้ แต่ก็ทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม
“ผมก็ทำตัวเด็กๆแค่กับพี่นั้นแหละ” จบประโยคนั้นวาก็จับมือผมไปวางบนหน้าผากเขา ตัววาไม่ได้ร้อนมากจนน่าตกใจเหมือนตอนแรก แต่ก็ยังคงอุ่นๆอยู่นิดหน่อย
“ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมหายแล้ว” ผมขมวดคิ้ว ไม่เป็นไรอีกล่ะ
“คุณยังไม่หายดีเลย”
“ผมหายดีแล้ว ยาของพี่ออกฤทธิ์ดีมาก” แต่จากน้ำเสียงผมก็รู้แหละว่าวาดีขึ้นมากแล้ว
“หายปวดท้องแล้วเหรอ”
“นิดหนึ่ง แต่ไหวอยู่” วาตอบ และทิ้งตัวลงนอนตักผมซะงั้น
“รู้สึกดีขึ้นก็ดีแล้ว” ผมพูดออกไป ยอมให้วานอนอยู่แบบนั้น รวมถึงอนุญาตให้จับมือผมไปบีบเล่นด้วย
“อยู่ๆผมป่วยคงลำบากพี่แย่” วาพูดโดยที่มองหน้าผมไปด้วย ผมยกมืออีกข้างที่วาไม่ได้จับมาเท้าคางและจ้องหน้าวาไปด้วย
“ไม่หรอก ผมเป็นห่วงมากกว่า” ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็กๆทันทีที่ผมพูดจบ
“ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วพี่น่ารักขนาดนี้ผมยอมป่วย” คำชมว่าน่ารักทำให้ผมตีเหม่งเขาไปเบาๆ
“ก็ผมพูดจริงๆ”
“ผมชอบให้พี่พูดจริงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม เป็นห่วงก็เป็นห่วง คิดถึงก็คิดถึง ชอบก็ชอบ” วาจูบฝ่ามือผมเบาๆก่อนที่จะพูดออกมา เขาสบตาผมก่อนที่จะเลื่อนมือมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ
“พี่ทำให้ผมรู้สึกโชคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ผมยิ้มตอบกลับไป คว้ามือที่เกลี่ยแก้มผมอยู่มาจับและกดจูบลงไปบ้าง
“ผมก็รู้สึกโชคดีเหมือนกัน” เร็วเท่าความคิดวาผุดลุกขึ้นมาก่อนที่จะกดผมลง และนาบทับร่างผมเอาไว้ ผมแพ้เขาตลอดแหละกับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เลยกลายเป็นวานอนทับผมอยู่ ยังคงจับมือผมไว้แบบนั้น
“พี่เจ็บรึเปล่า” เขาถาม สายตาที่โครตเป็นห่วงถูกส่งมาที่ผม
“เจ็บดิว่ะ” ผมตอบกลับไปตรงๆ รู้ดีว่าเขาหมายถึงเรื่องไหน
“แล้วโอเคนะ” วายิ่งมองผมอย่างเป็นห่วงเข้าไปใหญ่
“เออ ดีขึ้นล่ะ”
“ขอโทษนะ ผมพยายามแล้ว” ผมยีหัววาทันที
“รู้แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ทำใจไว้แล้วแหละว่ามันต้องเจ็บ” วาวางคางลงบนมือผมที่เขาจับอยู่
“ถ้าพี่หายแล้วเรามาต่อครั้งต่อไปกันเลยดีกว่า” ผมโบกหัวเขาจริงๆแล้วครับ ไม่ได้ออมแรงด้วย
“ผมป่วยอยู่นะ!” วาโวยวายขึ้นมาทันที
“ครั้งต่อไปเราสลับกันไหม” ผมแกล้งถาม แม้รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ วาชะงักไปเลย เขากระพริบตาปริบๆใส่ผม
“เอาจริงดิ” ผมแกล้งพยักหน้ารับ
“ทำไมอ่ะ คุณให้ผมไม่ได้เหรอ”
“ถ้าพี่อยากได้ก็ได้แหละ แต่ผมอยากทำให้พี่มากกว่า” ความขี้อ้อนนี้คือไร ผมหลุดขำออกมาเบาๆ
“ล้อเล่น ไม่เอาอ่ะ ผมคงทำทุกอย่างแย่ไปหมด”
“... แล้วรับให้คุณก็ไม่เลวด้วย” วายิ้มกว้าง และกดจูบเข้าหาผม
เรื่องน่าแปลกคือจูบของเราจูนกันติดง่ายมาก มันมักจะเป็นจูบที่ยอดเยี่ยมสำหรับผมทุกครั้ง บางทีมันจะมีอะไรขัดใจบ้างสักเล็กน้อย แต่กับวาผมสามารถจูบเขาได้ตลอด และให้ความรู้สึกที่ดีมากไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ผมเกี่ยวคอวาไว้ รั้งให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งจูบกันแบบนี้ผมยิ่งรู้ว่าวายังตัวร้อนอยู่เลย ผมอาจจะพลอยติดไข้เขาไปด้วยก็ได้นะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าผมป่วยวาจะได้มาดูแลผมบ้างไง
เราใช้เวลากับจูบอยู่สักพักก่อนที่วาจะถอดริมฝีปากออกโดยไม่ได้ขยับไปไหน ผมยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆจากเขาอยู่เลย
“พี่ติณห์”
“หืม” ผมขานตอบในลำคอ สายตาหยุดอยู่ที่ดวงตากลมที่ดึงดูดผมตรงหน้า
“ผมรักพี่นะ” เหมือนสายน้ำเย็นเฉียบไหลผ่านร่างกายผม ผมชะงักไปเลย เราไม่เคยบอกรักกันสักครั้ง นี้เป็นครั้งแรกที่วาพูดประโยคนี้ หัวใจที่เต้นรัวอยู่แล้วยิ่งทวีความรัวเร็วเข้าไปใหญ่ เสียงหัวใจผมเต้นดังมากจนกลัวว่าวาจะได้ยิน แต่สมองผมกลับขาวโพลนไปหมด ไม่มีความคิดรบกวนใจอะไร มีเพียงเสียงของวากับประโยคบอกรักสั้นๆของเขาที่ดังสะท้อนไปมาในหัวผม
“ผมก็รักคุณ” ผมตอบกลับไป ไม่ได้ใช้สมองในการกลั่นกรองสักนิด สิ่งที่สั่งให้ผมตอบกลับไปคือ
หัวใจ
วายิ้มตอบกลับมา เขาเลื่อนไปกดจูบร้อนๆที่หน้าผากผม ก่อนที่จะลดลงมาในระดับสายตาผมอีกครั้ง
“คบกับผมเถอะนะครับ” ผมเหวอหนักเข้าไปใหญ่ ให้ทายว่าต้องกำลังเบิกตากว้าง เผลอๆอาจจะอ้าปากค้างด้วยซ้ำ นี้เขาตั้งใจจะฆ่าผมรึเปล่าเนี่ย ผมไม่คิดว่าหัวใจคนเราจะเต้นได้แรงขนาดนี้ด้วยซ้ำนะ
“พี่ไม่ต้องรีบตอบก็ได้ ค่อยๆคิด” อาจจะเพราะผมเงียบไปนานวาถึงได้พูดต่อมา
ผมไม่ได้อยากจะใคร่ครวญให้ดี ผมมีคำตอบที่เด่นชัดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำถาม แต่ผมไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้
“อะ..เอ่อ...” กลายเป็นคนติดอ่างไปแล้ว! วาเลิกคิ้ว เลื่อนมือมาปัดผมที่ปรกหน้าผากผมออก เขาดูไม่ได้เร่งรีบ เหมือนเขาอยากให้เวลาผมคิดจริงๆนั้นแหละ แต่ผมไม่ได้อยากคิด ผมมีคำตอบอยู่แล้ว
“ผม...” ผมสูดลมหายใจลึกๆและพูดออกไปอีกครั้ง
“คือ..ผม...” พูดออกไปสิว่ะ!
ติ๊งต่อง
ผมกับวาหันไปมองประตูห้องทันที แต่ก็ยังไม่มีใครขยับตัวไปไหน ตอนนี้แหละผมต้องรีบตอบ
“วา” วาหันกลับมาที่ผม
ติ๊งต่อง
ติ๊งต่อง
“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูก่อนดีกว่า” วาพูดจบก็ลุกออกไปทันที ผมไม่ได้ตอบจนได้ใช่ไหมเนี่ยยยยย ผมยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะเดินตามวาออกไป บางทีอาจจะแค่คนมาส่งของเท่านั้นเอง ถ้าเขากลับไปผมจะได้ตอบวาสักที ผมหยุดยืนอยู่ด้านหลังวาตอนที่วาเปิดประตู
ผู้หญิงหน้าตาคุ้นตา ที่ผมนึกออกว่าเคยเห็นเขาในเฟสไทม์ถึง2ครั้งยืนอยู่ตรงนั้น เธอตัวเล็กกว่าที่ผมคิด ส่วนสูงน่าจะประมาณไหล่วาเท่านั้น และก็สวยกว่าที่ผมคิดด้วย
“แม่...”
“ดีนะที่ยังไม่ลืมหน้าฉัน!”
ผู้หญิงคนนี้คือแม่ของวาไม่ผิดแน่
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สเปเชี่ยลพาร์ทของพี่ติณห์กลับมาอีกครั้ง หลงรักความเป็นพี่ติณห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า 5555 สำหรับตอนนี้คือละมุนละไมอะไรเบอร์นั้นล่ะ 5555 อยู่ๆเราก็คิดอีเว้นท์ที่จะเล่นกับทุกคนได้ขึ้นมา คือถ้าคอมเม้นต์ถึง200เราจะแต่งตอนพิเศษ และไอ้ตอนพิเศษนี้มันพิเศษตรงที่ให้ทุกคนเลือกเลยว่าอยากให้เขียนธีมอะไร ก็เม้นต์เสร็จแล้วก็ปล.ว่าอยากอ่านตอนพิเศษประมาณไหนก็ได้ค่ะ หวังว่าทุกคนจะร่วมเล่นอีเว้นท์กับเรา 5555
เจอกันเร็วๆนี้นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ให้กอไก่ล้านตัว
คือดีงามกับจิตใจคนอ่านมากจริงๆค่ะ
เรารอมาอัพต่อนะคะ ♥
อยากอ่านตอนพิเศษเยอะๆจัง ฮือ
ถ้ามีจริงอยากอ่านตอนที่น้องวาอ้อนเยอะๆ จริงๆก็อยากอ่านแบบไปเดทข้างนอกด้วย แต่งี้วาก็อ้อนไม่ได้สิ ฮือ5555
วาพาแม่มาสู่ขอใช่มั้ย5555
พี่ติณทำเอายอมใจ
เป็นรับไปเลยยยยยย
ไม่เชียรุกแล้วคุณพี่ติณ5555