ตอนที่ 19 : destination
19
กลิ่นยา แอลกอฮอล์ น้ำยาทำความสะอาด หรืออะไรก็ตาม หล่อหลอมให้เกิดเป็นกลิ่นเฉพาะตัวที่สามารถเจอได้แค่ที่นี้ รวมถึงเพดานสีขาวสะอาดตรงหน้า กับไอน้ำของอะไรสักอย่าง ทำให้ผมปะติดปะต่อเรื่องได้ไม่ยากว่าผมกำลังอยู่ที่ไหน
โรงพยาบาล
ผมใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งให้ขยายเต็มที่ได้ ปล่อยให้ดวงตาปรับตัวเข้ากับแสงไฟ หลังจากกระพริบตาถี่อยู่อีกสองสามครั้ง ภาพตรงหน้าก็กลับมาชัดเหมือนเดิม ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่จะเจอกับคุณพยาบาลชุดสีฟ้าขาวที่กำลังทำอะไรสักอย่างกับถุงน้ำเกลือของผมอยู่
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอคะ” คุณพยาบาลหันมาทักผม
“เข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ก็นอนให้เต็มอิ่มเลยนะคะ” ถึงมันจะฟังดูทะแม่งๆยังไงไม่รู้ แต่ผมก็ยิ้มบางๆคืนไป
“เพื่อนๆคุยกับคุณหมออยู่ข้างนอกค่ะ เดี๋ยวไปเรียกมาให้นะคะ” คุณพยาบาลไม่ได้รอให้ผมตอบอะไร เพราะเธอตกลงกับตัวเองเสร็จก็ผละออกไปทันที
เมื่อสติสตังเริ่มกลับมา ผมก็พยุงตัวเองขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะมาดื่ม รออยู่ไม่นานคุณหมอกับคุณพยาบาลคนเดิม บวกกับปาย หลิว แจน ก็เดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่คุณหมอจะเข้ามาตรวจร่างกายผมเป็นอันดับแรก
“ทุกอย่างปกติดีนะครับ ถ้าเจ็บปวดตรงไหนก็บอกได้นะครับ” คุณหมอบอกผม
“ครับ” หลังจากรับคำและยิ้มรับ คุณหมอกับคุณพยาบาลก็ผละออกไป
“วา! นึกว่าจะตายซะแล้ว” นั้นคือประโยคที่ควรทักคนที่พึ่งตื่นใช่ไหมเนี่ย! หลิวเป็นเจ้าของประโยคนั้น เธอเดินอาดๆเข้ามาหาผม ข้างหลังเป็นปายที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ตามด้วยไอ้แจนที่ถึงมันจะทำหน้ากวนตีนผมอย่างเดิม แต่เหงื่อที่เต็มไปหมดก็ทำให้ผมรู้ทันทีว่ามันคงห่วงผมไม่ต่างจากคนอื่น
“นอนคุ้มเลยนะพี่” แจนพูดต่อหลิว เพราะทุกคนอยู่ในชุดนิสิต ผมเลยนึกอะไรขึ้นมาได้
“กูนอนไปนานเท่าไหร่เนี่ย”
“16ชั่วโมงกว่าครับ” แจนยังคงเป็นคนตอบ แต่คำตอบของมันเล่นเอาผมอ้าปากค้างเลย
“นานขนาดนั้นเชียว!”
“ใช่!! นี้พวกฉันนึกว่าแกจะเป็นเจ้าชายนิทราไปล่ะ” หลิวพูดบ้าง
“ตั้งแต่เมื่อเช้าตอนแวะมาเยี่ยมวาก็หลับ จนตอนเย็นมาเยี่ยมวาก็ยังหลับอยู่เลย พวกเราถึงกับปรึกษาคุณหมอเลยล่ะ” ปายพูดต่อ
“เว่อร์ แค่อดนอนจะเป็นเจ้าชายนิทราเลยเหรอ” ผมตอบออกไป
“ใครบอกว่าแค่อดนอน รู้ไว้ด้วยนะว่าแกอดนอนไปตั้ง3วันกว่า ใช้พลังงานตลอดเวลา ข้าวปลาก็ไม่ค่อยกิน แถมยังเป็นไข้อีกด้วย และพวกเราก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนแกล้มไป หัวไปโขกอะไรรึเปล่า” หลิวบ่นมาเป็นชุดทันที
“โขกแน่ๆอยู่แล้วแหละค่ะ แต่ไม่รู้ไปโขกอะไร” เมื่อปายพูดแบบนั้น ผมก็เลื่อนมือไปแตะที่หน้าผากทันที
“โอ้ย!” จิ้มแผลไปเต็มแรงเลย นี้ผมไปโดนอะไรมาวะเนี่ยยย
“เย็บไป3เข็มเลยนะพี่วา” แจนขยายความ เล่นเอาผมลอบกลืนน้ำลายเลย
“พาร์ทกับพีทมาเยี่ยมเมื่อเช้านะ ตอนนี้เคลียร์ที่แสตนอยู่ เดี๋ยวคงแวะเข้ามาใหม่” ประโยคนั้นของหลิวทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้อีกครั้ง
“เฮ้ย แล้วเฟรชชี่เกมส์อ่ะ”
“เปิดไปเมื่อเช้าล่ะ” หลิวตอบ
“แสตนอ่ะ” ทุดคนเงียบเมื่อผมถามแบบนั้น ล่าสุดมันยังไม่เสร็จนี้ว้า แล้วเปิดเฟรชชี่เกมส์ไปแล้วด้วย
“เหลือแค่ตัวอักษรชื่อคณะอ่ะ พวกเราเลยทำลวกๆไปก่อน” ปายเป็นคนอธิบายออกมา เล่นเอาผมถึงกับหมองลงไปเลย
“เสียดายว่ะ...” ผมน่าจะอดทนอีกสักนิดนะ เราทำมาจนจะสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว สุดท้ายก็ต้องมาทำส่งๆซะงั้น
“แต่มีข่าวดีนะ” ผมเลิกคิ้วใส่หลิว
“ข่าวดีก็คือ ตรวจกองเชียร์วันสุดท้าย เรายังสามารถทำแสตนได้อยู่จนกว่าจะวันนั้น” ประโยคต่อของหลิวทำให้ผมยิ้มกว่าออกมาทันที
“จริงดิ! เหลืออีกนิดเดียวเองทำทันชัวร์”
“อ้อ มีข่าวร้ายด้วย” แจนพูดออกมา
“ว่า?”
“หมอคงไม่อนุญาตให้พี่ตัดโมในโรงพยาบาลหรอกนะ” ก็จริงของมันแหะ...
“ก็อย่าตัดโมให้หมอเห็นดิว่ะ” ทุกคนขำกับประโยคนั้นของผม ก่อนที่จะเมาท์เรื่องการแข่งกีฬาในวันนี้ของปีหนึ่ง ที่ฝึกซ้อมกันมาดีมากและได้เข้ารอบแทบทุกอย่างในวันนี้ ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นการแข่งบอลกับแบตมินตัน พูดแล้วผมก็อยากไปดูบ้าง แต่ผมไม่น่าจะออกจากโรงพยาบาลทันนี้ดิ ผมนั่งคุยกับเพื่อนไปสักพัก พาร์ทกับพีทก็เดินเข้ามา
“ยังไม่ตายใช่ไหม” พีทเป็นฝ่ายพูดออกมา ประโยคกวนตีนเนื้อหาคล้ายๆกับประโยคของหลิวดังขึ้นมาและมันไม่มีทางหลุดออกมาจากพาร์ทอยู่แล้วครับ แต่ผมแสร้งมองซ้ายมองขวาและเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“คุยกับกูได้แล้วเหรอวะ” ไอ้พีทเลิกลั่กทันที
“อะไรๆ กูเห็นแก่มึงยอมโทรไปง้อกูนะ กูถึงได้ยอมอภัยให้” ผมขมวดคิ้ว ผมเนี่ยนะโทรไปง้อมัน ตอนไหนวะ
“กูเนี่ยนะ?”
“ไม่ใช่มึงหรอก แค่เบอร์มึงกูก็นับแล้วเว้ย” ผมก็ยังไม่เก็ตอยู่ดี
“แล้วเบอร์กูโทรหามึงได้ไง” ไอ้พีทเลิกคิ้ว
“ยังไม่รู้เหรอวะ” แต่พาร์ทเป็นคนถามประโยคนั้น
“รู้เรื่องอะไรอ่ะ”
“คนที่พามึงมาโรงบาลไง” พีทพูดต่อ ตอนนี้ผมพึ่งนึกออกว่าผมยังไม่รู้เลยนี้หนาว่าใครเป็นคนพาผมมาโรงพยาบาล
“ใครอ่ะ” ทุกคนในห้องมองหน้ากันไปมาเหมือนหาว่าใครจะพูดดี จบด้วยหลิวที่พยักพเยิดมาที่พีทเป็นเชิงให้มันนั้นแหละเล่า ผมเลยหันไปกดดันไอ้พีทแทน
“พี่เตชินท์อ่ะ” ชื่อที่หลุดออกมาจากปากพีททำให้หูผมอื้อไปเลย
“เขาพามึงมาส่งที่โรงพยาบาลแล้วก็โทรบอกกู ตอนกูมาถึงมึงก็นอนหลับปุ๋ยอยู่ในห้องนี้ล่ะ ทั้งเรื่องห้อง เรื่องเบิกประกัน เรื่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น หรือแม้กระทั่งเรื่องแบกมึงมาที่นี้ พี่เตชินท์เป็นคนทำทั้งหมดเลย”
“แล้วพี่เขาไปไหนแล้วอ่ะ” ผมโพล่งออกไป
“เขานอนเฝ้าพี่ทั้งคืนเลยนะ จนเมื่อเย็นที่พวกผมมาเยี่ยม พี่เตชินท์ก็ขอกลับไปหอก่อน” แจนเป็นคนเล่าต่อ
แสดงว่าพี่ติณห์อยู่เฝ้าผมทั้งคืนเลยเหรอ
“กูอาสาจะนอนเฝ้ามึงให้ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร กูติดquizด้วยอ่ะเลยไม่ได้อยู่เฝ้ามึงเลย” พาร์ทพูดต่อ ท่าทีมันรู้สึกผิดจริงๆที่ไม่ได้อยู่เฝ้าผม
“ไม่เป็นไรๆ” ผมบอกปัดพาร์ทไป จริงๆไม่ต้องมีใครนอนเฝ้าผมสักคนเลยก็ได้ ผมอยู่คนเดียวได้ แต่พี่ติณห์ก็ยังอยู่เฝ้าผมทั้งคืนและพึ่งกลับไปเมื่อกี้เองด้วย
อยากเจอจัง
“แล้วนี้มึงแดกข้าวยัง” พีทเปิดประเด็นเรื่องใหม่ขึ้นมาพร้อมกับชูข้าวของที่ถือมาให้ผมได้เห็น
“หมอให้แดกแต่ข้าวต้มอ่ะดิมึง รีบๆแดกเข้าไปเลย”
พวกเรานั่งคุยโน้นคุยนี้กันจนเวลาปาไป3ทุ่มกว่า คุณพยาบาลก็เข้ามาบอกให้มีคนเฝ้าได้แค่คนเดียวเท่านั้น
“เดี๋ยวกูอยู่เฝ้าวาเอง” หลังจากมองหน้ากันไปมา ไอ้พาร์ทก็พูดขึ้น ในขณะที่ผมกำลังเคี้ยวแอปเปิ้ลเข้าปาก หมอให้กินแต่ข้าวต้มจริงๆครับและโครตไม่อิ่มอ่ะ หิวจะแย่แล้วเนี่ย
“หยุดเลยมึง ไม่ต้องมีใครเฝ้ากูทั้งนั้นแหละ กูอยู่คนเดียวได้” ผมตอบกลับไป
“ไม่กลัวผีเหรอพี่” ไอ้แจนถามกลับมา แถมในมือมันยังถือแอปเปิ้ลอีกลูกหนึ่งด้วย เขาซื้อมาให้กูแดกเว้ย!
“สัด ไม่มีหรอก ถ้ามีแม่งต้องมีตั้งแต่เมื่อคืนแล้วป่ะ” ผมทำใจดีสู้เสือตอบกลับไป
“อาจจะมีแต่พี่ไม่รู้ตัวรึเปล่า” แจนพึมพำออกมา
“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง กูเซียนไล่ผีนะ” พาร์ทยังคงพูดประโยคแนวเดิม นี้มึงไม่ฟังกูเลยใช่ไหม
“กูอยู่คนเดียวได้ กูดูแลตัวเองได้เว้ย” พาร์ทกลอกตาใส่ผมทันที
“เมื่อวานมึงก็พูดแบบนี้ กูเจออีกที มึงก็นอนอยู่โรงพยาบาลแล้วเนี่ย” พาร์ทบ่น มันดูหงุดหงิดที่พลาดให้ผมกลับคนเดียวจนเกิดเรื่องขึ้นมา
“ครั้งนี้กูแข็งแรงเว้ย หรือถ้าเป็นอะไรกูก็แค่กดออดเรียกคุณพยาบาล ไม่นอนตายในนี้หรอก” พาร์ทจิ๊ปาก อ้าปากเตรียมเถียงผมทันที
“กูพูดจริงๆ คราวนี้จริงแบบโครตจริง พวกมึงช่วยกูมาเยอะล่ะ ไม่ต้องมาอยู่เฝ้ากูหรอก” ปายบุ้ยปากและหันไปขอความเห็นจากหลิว หลิวมองหน้าผมสักพักก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
“มีอะไรโทรมานะแก พวกเรารีบไปเหอะ เดี๋ยวคุณหมอเขาจะได้เขามาตรวจ” หลิวเสนอและหันไปหยิบกระเป๋ามาถือไว้
“ดูแลตัวเองนะวา” ปายบอกผม สายตายังคงเป็นห่วงผมเหมือนเดิม
“รีบกลับไปด่าผมนะ” แจนพูดต่อ
ไอ้พีทไม่ได้พูดอะไรออกมา มันเพียงแค่ตบบ่าผมสองสามทีและหยิบแอปเปิ้ลติดมือไปอีกลูก พาร์ทไม่ยอมเดินออกไป มันมองมาที่ผมอย่างโครตจะกดดันให้ผมถอนคำพูด แต่ผมมั่นใจมากว่าผมอยู่คนเดียวได้ และผมก็ไม่อยากให้มันมาลำบากเพราะผมจริงๆถึงได้จ้องตามันกลับอย่างไม่ยอมแพ้ สุดท้ายพีทก็ต้องคว้าแขนพาร์ทไปกอดและลากมันออกจากห้องไป
“เออวา” ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นประตู พีทก็หันมาเรียกผม ผมเพียงแค่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เพราะมองมันอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“ขอโทษนะเว้ย” ผมเลิกคิ้วหนักเข้าไปใหญ่ ไอ้พีทยอมขอโทษผมแล้วว่ะ!
“ส่วนหนึ่งมันก็ผิดเพราะกูอ่ะ” มันพูดต่อ ผมพยักหน้าและยิ้มส่งไปให้มัน
“ขอโทษเหมือนกัน” ผมพูดจบ พีทก็ส่งยิ้มคืนมาให้
“เออ! เจอกันมึง” ผมพยักหน้ารับและพีทก็เดินออกไป
มันก็แค่นี้แหละ
ไม่ว่าจะทะเลาะกันแรงขนาดไหน แต่แค่คำว่าขอโทษคำเดียว พวกผมก็พร้อมที่จะให้อภัยและกลับไปให้ใจกันเหมือนเดิมแล้ว
คำขอโทษมันสำคัญมากนะครับ
หมอเข้ามาตรวจผมหลังจากไอ้พวกนั้นออกไป บอกว่าให้นอนพักอย่างน้อยวันล่ะ10ชั่วโมง ผมนี้โอ้โหเลย นั้นมันเยอะกว่านอนตอนประถมอีก พอผมแย้งหมอออกไป หมอก็ตอบกลับมาทันทีว่า คุณใช้ร่างกายไปหนักมากๆ เขายังอยู่กับคุณก็ดีขนาดไหนแล้วนะครับ แค่เพิ่มเวลาพักผ่อนให้เขาหน่อย ทำไม่ได้เหรอครับ ผมนี้หุบปากฉับทันที แต่คุณพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างหลังกลับหัวเราะคิกคัก หมอยังดูวัยรุ่นอยู่เลยตอนด่าผมนี้ผมรู้สึกเหมือนโดนพี่โก้ด่ายังไงอย่างนั้น
พอมานั่งนับๆดู ผมไม่ได้นอนไปตั้ง79ชั่วโมง หมอจะขอให้พักผ่อนเยอะๆก็คงไม่แปลก
ตบท้ายด้วยบอกให้กินอาหารให้ครบห้าหมู่ และถ้าให้น้ำเกลือครบตามกำหนดเมื่อไหร่ ผมก็ออกจากโรงพยาบาลได้
หลังจากแอบกระซิบกับคุณพยาบาลก็ทำให้ผมรู้ว่า คืนนี้หมอคงไม่เข้าตรวจอีก นอกซะจากผมกดออดเรียกหรือเกิดกรณีฉุกเฉิน ซึ่งจากสภาพร่างกายที่เริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วของผมก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นนะ พอคุณพยาบาลกับคุณหมอออกไป
ผมก็หยิบโมเดลขึ้นมาทำต่อทันที
เผื่อวันจันทร์ผมกลับไปมหาลัยไม่ทันจะได้ฝากเพื่อนเอาตัวอักษรไปติดไง!
จริงๆมานั่งทำโมในโรงพยาบาลก็เปลี่ยนบรรยากาศดีเหมือนกันนะ มีกลิ่นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ (ผมชอบนะ) ไอยาพ่นอะไรสักอย่างที่ช่วยให้ผมหายใจสะดวกขึ้น สรุปผมไข้ขึ้นจริงๆแหละ แต่แค่38นิดๆเลยไม่ค่อยส่งผลอะไรต่อผมมาก จะมีก็แต่หน่วงๆหัวนิดๆ คัดจมูกบ้างนิดหน่อย ทุกอย่างจะเพอร์เฟกมาก ถ้าไม่ติดสายน้ำเกลือที่มือข้างซ้ายนี้แหละ ประเด็นคือผมถนัดซ้าย บางทีคุณพยาบาลเขาคงไม่รู้และเจาะข้างซ้ายเป็นปกติอยู่แล้วแหละ การหยิบจับอะไรเลยไม่ค่อยถนัด แถมเจ็บด้วย ทำรุนแรงมากก็ไม่ได้ด้วยครับเดี๋ยวเลือดย้อนสายน้ำเกลือผมต้องโดนหมอบ่นอีกรอบแน่
ผมนั่งทำโมไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน เหนื่อยก็หยุด เมื่อยก็พักแขน ส่วนหนึ่งเพราะมันใกล้เสร็จแล้วด้วยเลยไม่ค่อยเครียดเท่าไหร่
แอด
เสียงแง้มประตูทำให้ผมที่กำลังมุ่งมั่นกับการตัดโมหันไปมองประตูทันที กลัวว่าจะเป็นคุณหมอแล้วโดนบ่นนะสิ แต่ไม่ใช่แหะ คนที่เปิดประตูเข้ามาโผล่เข้ามาแค่ตาเท่านั้น หลังจากจ้องตาผมอยู่นานสองนาน ก็ยอมเปิดประตูเข้ามาแต่โดยดี
ผมต้องรั้งตัวเองไม่ให้วิ่งไปกอดเขาไว้
ก็ผมอยากกอดพี่ติณห์จะแย่อยู่แล้ว
“หมอให้ตัดโมด้วยเหรอ” พี่ติณห์ถามและทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆเตียงผม
“หมอไม่ให้หรอกครับ นี้ผมก็กลัวหมอเห็นอยู่... พี่ล็อคห้องทีดิ” ผมนึกขึ้นมาได้เมื่อพี่ติณห์ทักเนี่ยแหละ พี่ติณห์ส่ายหัวนิดหน่อยแต่ก็ยอมเดินไปกดล็อคประตูให้อยู่ดี ก่อนที่จะเดินกลับมานั่งที่เดิน
“ขอบคุณนะครับ” พี่ติณห์เลิกคิ้ว
“เรื่องอะไร”
“ผมรู้แล้วว่าพี่เป็นคนพาผมมาโรงพยาบาล” พี่ติณห์ยังคงนิ่งอยู่
“ถ้าไม่ได้พี่ ผมอาจจะนอนจมกองเลือดตายไปแล้วก็ได้” ก็หัวผมแตกนี้นะ
“พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลย” พี่ติณห์บ่น สายตาจับจ้องอยู่ที่โมเดลตรงหน้าแทนที่จะเป็นผม
“ผมน่าจะไปเร็วกว่านี้นะ ถ้าผมเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย คุณคงไม่ต้องหัวแตก หรือผมไม่ควรปล่อยให้คุณไม่นอนเมื่อคืนเลย ถ้าคุณได้นอน คุณอาจจะไม่ไข้ขึ้น ไม่อ่อนเพลียจนน็อคไปก็ได้” สายตาเป็นกังวลทำให้ผมหยุดมือที่กำลังตัดโมลง
“ไม่ใช่ความผิดพี่เลยนะครับ พี่ช่วยชีวิตผมไว้ด้วยซ้ำ” พี่ติณห์เหยียดยิ้มออกมา
“ไม่รู้ดิ บางทีถ้าผมช่วยคุณตั้งแต่ต้น คุณอาจไม่ต้องหักโหมตัวเองขนาดนี้” ผมส่ายหัว ไม่พอใจที่พี่ติณห์เอาแต่โทษตัวเอง ผมหันหน้าเข้าหาพี่ติณห์และเชยคางให้เขาสบตาผม
“พี่เลิกโทษตัวเองได้แล้ว มันไม่ใช่ความผิดพี่เลยสักนิด” เราสบตากันสักพัก ก่อนที่ผมจะปล่อยคางพี่ติณห์ให้เป็นอิสระ พี่ติณห์ไม่ได้เอาแต่พูดโทษตัวเองอีก พี่เขาเพียงแค่หยิบโมไปช่วยตัดและนั่งเงียบๆ รวมถึงผมด้วย
“ผมมีเรื่องจะถามคุณ” สักพักใหญ่ๆกว่าพี่ติณห์จะพูดออกมา
“อะไรครับ” ผมถามโดยที่ยังตัดโมอยู่
“ลองห่างกันดูที่คุณเคยบอก... 16วันมันมากพอรึยัง” เป็นอีกครั้งที่ผมชะงักไปเพราะคำพูดพี่ติณห์ นี้16วันแล้วเหรอนับจากเราตกลงกันวันนั้น นี้มันนานกว่าที่ผมคิดไว้ด้วยซ้ำ ผมไม่ได้เสียเวลาคิดนาน ผมวางโมที่ตัดลงและเลื่อนโต๊ะตัดโมเฉพาะกิจ (เป็นโต๊ะกินข้าวแบบล้อเลื่อนนะครับ) ออกไปให้พ้นทาง พี่ติณห์เงยหน้ามองผมอย่างไม่เข้าใจ แต่ผมเพียงแค่หยิบคัตเตอร์ออกจากมือพี่ติณห์และนำไปวางไว้รวมกับส่วนอื่น
“พี่ขึ้นมานั่งบนเตียงสิครับ”
“ทำไมอ่ะ” พี่ติณห์ดูงงสุดๆกับท่าทางของผม แต่ผมไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มแค่ดึงให้พี่ติณห์ยอมขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียง โดยที่เข่าของเราสองคนอยู่ติดกัน
“ผมว่ามันนานไปด้วยซ้ำ” ผมวนเข้าบทสนทนาเดิม ทำให้พี่ติณห์ยอมเงียบและนั่งฟังผม
“ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ในหัวพี่ มันชัดเจนรึยัง” พี่ติณห์พยักหน้ารับ
“สำหรับผมมันชัดมานานแล้วครับ และมันก็ชัดขึ้นทุกที... ทุกที” พี่ติณห์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่สบตาผมเท่านั้น
“ถ้าผมจะถามความรู้สึกของพี่ผ่านสิ่งนี้ พี่จะอนุญาตไหมครับ” หัวคิ้วนั้นหม่นเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจแต่ผมไม่ได้รอให้เขาถามอะไรออกมา เพราะผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้
ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆจากพี่ติณห์ พี่ติณห์ดูตกใจมากที่ผมพุ่งตัวเข้าไปหาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ผละออกไปไหน จะมีก็แต่ดวงตาที่สั่นไหวไปหมด และไม่ได้แม้แต่จะมองตาผมด้วยซ้ำ แต่เพียงแค่ผมแตะเบาๆที่คางของพี่ติณห์ พี่ติณห์ก็เลื่อนสายตามาสบกับผม ดวงตาที่สั่นไหวในตอนแรกก็เริ่มสงบลง เราจ้องตากันอยู่แบบนั้น ดวงตาเป็นหน้าตาของหัวใจ ผมเชื่ออย่างนั้นถึงได้เลือกที่จะมองตาพี่ติณห์บ่อยๆ อาจจะเพราะว่าภายในห้องมันเงียบสงัด มีเพียงเสียงแอร์ที่เบาแสนเบา ผมถึงได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัว ไม่แน่ใจว่าจากผมหรือพี่ติณห์ แต่เสียงนั้นก็ปลุกความต้องการในตัวผมได้มากกว่าเดิมซะอีก
ผมเลื่อนสายตาจากดวงตาสีดำสนิทเป็นริมฝีปากของฝ่ายนั้น ครั้งที่แล้วผมฉวยโอกาสกับริมฝีปากนี้มาแล้ว ริมฝีปากที่ไม่ได้อ่อนนุ่มหรือหอมหวานแบบผู้หญิง แต่ก็ทำให้ผมแทบคลั่งแค่สัมผัสเดียว และความรู้สึกตอนที่ผมได้สัมผัสมันก็ยังติดตรึงอยู่ในใจผมตลอดเวลา ถ้าครั้งนี้ผมจะขอฉวยโอกาสอีกสักครั้งจะได้ไหมนะ...
ผมไม่ได้ต้องการคำตอบ
เพราะผมกดริมฝีปากลงไปทันทีที่คิดมาถึงตรงนี้
แค่ริมฝีปากประกบกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย แค่สัมผัสกันเท่านั้น แต่แค่นั้น ก็ทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะออกมาเต้นข้างนอกอยู่แล้ว ผมชอบความอบอุ่นจากริมฝีปากของคนตรงหน้ามากจนอยากจะกลืนกินไปเลย แต่ผมไม่อาจทำแบบนั้นได้ จึงทำได้เพียงแค่ซึบซัมกับสัมผัสนั้น ปล่อยตัวปล่อยใจไปสักพักก่อนที่จะถอนริมฝีปากออกมา
ผมยังคงจรดหน้าผากกับพี่ติณห์อยู่แม้จะผละริมฝีปากออกมาแล้ว ลมหายใจของพี่ติณห์ละอยู่ที่ปลายจมูกผม และเมื่อดวงตาคู่นั้นเปิดออกและสบตาอยู่ที่ผม ความตั้งใจทั้งหมดในหัวผมก็เหมือนโดนลบออกจนหมด
“ผมขอโทษนะครับ” ผมกระซิบชิดริมฝีปากนั้นก่อนที่จะประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง
คราวนี้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ปากประกบปาก เพราะผมไม่อาจหยุดตัวเองไว้ได้แล้ว ผมลุกล้ำริมฝีปากนั้น กอบโกยเท่าที่อยากจะทำ ผมรู้ดีว่านี้เป็นจูบกับผู้ชายครั้งแรกของพี่ติณห์ และผมก็รู้ดีว่าพี่ติณห์ยังไม่ชินกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ผมเลยตั้งใจจะค่อยๆเป็นค่อยไป เริ่มจากจุ๊บปากชั่ววินาที ต่อมาที่ประกบปากเหมือนเดิมแต่นานกว่านั้น แต่เพราะแววตาคู่นั้น... แววตาที่โอนอ่อนยามที่ผมสัมผัส แค่นั้นผมก็ลืมหมดทุกอย่าง
ก็จริง ที่นี้ก็เป็นจูบครั้งแรกกับผู้ชายของผมเหมือนกัน แต่เพราะคนๆนี้คือพี่ติณห์ คนที่ผมอยากจะสัมผัสมาตั้งนาน ตอนนี้ไม่ว่าพี่เขาจะเป็นอะไร เป็นเพศไหน
ผมก็อยากจูบจะแย่
ผมไม่ได้รีบร้อนแต่ก็ไม่ได้ถึงกับละเมียดละไมอะไรขนาดนั้น มันไม่ใช่ผมเท่าไหร่นะ ผมแค่จูบเขาในแบบที่ผมอยากทำ สัมผัสเขาในส่วนที่ไม่มีใครเคยได้เห็น ผมตักตวงจนพอใจ พี่ติณห์ไม่แม้แต่จะจูบผมกลับเลย บางทีเขาอาจจะช็อคเกินกว่าจะคิดอะไรทัน ผมจึงเลือกที่จะผละริมฝีปากออก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับหนี พี่ติณห์ก็กดจูบลงมาอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใช่แค่ผมที่ลุกล้ำเขาอยู่ฝ่ายเดียว
ริมฝีปากอุ่นที่ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่ามันค่อนข้างจะร้อนเป็นฝ่ายรุกผมก่อน ผมเลื่อนมือไปโอบเอวของพี่ติณห์ไว้ รั้งให้มันเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น พี่ติณห์ไม่ได้มีเอวคอด ผอมบาง เหมือนอย่างผู้หญิงทั่วไป แน่ล่ะ พี่เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ทุกอย่างและแทบจะทุกส่วนในร่างกายของพี่ติณห์เหมือนกับผม ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่โครตแปลกใหม่
เพราะว่ามันเป็นผู้ชายที่ผ่านเรื่องพวกนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และเป็นฝ่ายรุกคนอื่นมาโดยตลอด พอมาเจอกัน จูบครั้งที่เลยโครตร้อนแรง มือร้อนๆของพี่ติณห์ไล้อยู่ที่ท้ายทอยผม ส่วนมืออีกข้างก็ประคองกรอบหน้าผมไว้ ยิ่งส่งผลให้มันเป็นจูบที่ลงล็อคไปอีก
เราต่างตักตวงจากอีกฝ่าย ตักตวงและเติมเต็ม ทั้งๆที่เป็นจูบที่ยาวนานและโครตกินพลังงาน แต่ผมก็ไม่คิดที่จะผละออกจากริมฝีปากนี้เลย เราถอนจูบเมื่อรู้ว่าถึงขีดจำกัด ก่อนที่จะกดจูบซ้ำลงมา ซ้ำไปซ้ำมา อย่างไม่รู้จักพอ
เวลาที่ผมเสียไป ผมอาจจะเอามันกลับมาไม่ได้ แต่เวลาต่อจากนี้
ผมจะไม่มีทางทำให้มันเสียเปล่า
ผมกดจูบลงไปครั้งสุดท้ายก่อนที่จะผละริมฝีปากออก เป็นการถอนริมฝีปากที่อ้อยอิ่งที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
ตอนนี้ผมนอนทาบทับพี่ติณห์เอาไว้ และมือซ้ายก็กำลังปวดหนึบจากการใช้งานมากเกินไป เราต่างหายใจหอบ ทั้งๆที่ผมควรจะลุกออกจากตัวพี่ติณห์แต่ผมก็ไม่ทำ และยังคงจรดหน้าผากอยู่อย่างนั้น
“ลุกได้แล้ว” พี่ติณห์บ่นออกมา แต่ผมไม่ได้สนใจ แถมเปลี่ยนเป็นซุกหน้าลงกับไหล่เขาด้วย
“วา” พี่ติณห์เริ่มดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดผม พยายามจะพลิกตัวขึ้นมาให้ได้
“หนักกก” พี่ติณห์ยังคงบ่น
“ปล่อยได้แล้ววววว” พี่ติณห์ตะโกนใส่หูผม ผมยู่ปาก ตะโกนไม่เกรงใจหูผมเลย
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำเนียนต่อ พี่ติณห์ก็เลื่อนริมฝีปากมากดจูบที่หน้าผากผม ความร้อนจากบริเวณที่พี่ติณห์จูบแล่นวาบไปทั่วร่าง ส่งผลให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเฉยๆ และเพราะแบบนั้นพี่ติณห์เลยดันตัวเองขึ้นมานั่งได้สำเร็จ
แต่คนอย่างผมเหรอจะยอมแพ้
ผมนั่งให้ดีๆ และรั้งคอพี่ติณห์มากดจูบที่หน้าผากบ้าง
“ยอมผมบ้างก็ได้นะ” พี่ติณห์ลูบหน้าผากปอยๆและพูดติดเสียงหัวเราะเมื่อผมปล่อยคอเขา
“ทำไมผมจะไม่ยอม ผมยอมให้พี่รุกผมตั้งนาน” พี่ติณห์ต่อยไหล่ผมอย่างไม่จริงจังนัก แต่รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้านั้นต่างหาก ที่ทำให้ผมละสายตาไปไหนไม่ได้
ผมไม่ได้ควบคุมร่างกายตัวเองเลย คิดอะไรก็ทำออกไปในทันที ครั้งนี้ผมก็เลื่อนมือให้ไล้แก้มพี่ติณห์เบาๆ
ผมอยากทำมาตั้งนานแล้วให้ตาย!
พี่ติณห์จับมือผมไว้และซบหน้าลงกับฝ่ามือผม
“ถ้าตอนนี้พี่หยิบมีดมาแทงผม ผมก็ยอม” ผมพูดออกไป ผมแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้จับคนๆนี้กดไม่ได้อยู่ล่ะนะ
“ยังไม่ทำตอนนี้หรอก” พี่ติณห์ขำนิดหน่อยก่อนที่จะดึงมือผมลง แต่ยังคงจับมือผมไว้แบบนั้น ผมจึงเปลี่ยนเป็นผสานมือเราเข้าด้วยกัน พี่ติณห์จับจ้องที่ฝ่ามือนั้น เขามองมันอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะพูดออกมา
“นี้เป็นก้าวแรกของผมนะวา คุณทำให้ผมรู้ว่า... มันจะโอเค” ผมบีบมือพี่ติณห์เบาๆ
“นี้ก็ก้าวแรกของผมครับ และพี่ทำให้ผมกล้าที่จะเดิน” พี่ติณห์เลื่อนสายตามาสบกับผม
“ถ้าจุดหมายมันคือพี่อ่ะ ผมจะเดินจนกว่าจะถึงเลย”
00:15
เที่ยงคืนสิบห้านาที กับวันที่ฉันนั่งเหม่อ
ผมกับพี่ติณห์พึ่งแยกกันไปนอนตั้งแต่ยังไม่เที่ยงคืนด้วยซ้ำ แต่ผมยังคงเอาแต่มองเพดานสีขาวตรงหน้า ถ้าหลับตาก็คงจะหลับไปแล้ว แต่ผมยังไม่อยากนอนเลยแหะ ผมเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงและทอดสายตาไปยังแผ่นหลังของคนๆหนึ่งที่นอนตะแคงอยู่บนโซฟาไม่ห่างจากเตียงผมนัก
“พี่ติณห์” ผมเรียกออกไป ไม่ได้ดังมาก ถ้าพี่ติณห์หลับไปแล้ว ผมก็จะปล่อยให้เขานอนไปนั้นแหละครับ
“นอนแล้วเหรอครับ” ผมต่อประโยค แต่ฝ่ายนั้นก็ยังนิ่งอยู่
น่าจะหลับไปแล้วมั้ง
ยังไม่ทันไร พี่ติณห์ก็พลิกตัวกลับมาหาผมโดยที่ขยี้ตาอยู่
“คุณปลุกผมนะ” พี่ติณห์บ่นและยังคงไม่เลิกขยี้ตาสักที
“ไม่หนาวเหรอครับ” จากที่มองอยู่ตั้งนานสองนาน ตรงที่พี่ติณห์นอนนี้แอร์ตกสุดๆ
“หนาว” แถมผ้าห่มยังโครตบางเลยด้วย
“มานอนบนเตียงดิ” พี่ติณห์หลิ่วตา ทำเหมือนไม่อยากจะเชื่อใจผมเท่าไหร่ แต่กลับยอมลุกขึ้นอย่างงัวเงียๆและขึ้นมานอนข้างๆผม
“ตรงนี้ไม่ค่อยหนาวใช่ป่ะ” ผมถาม
“อื้อ” พี่ติณห์ตอบในลำคอโดยที่ยังหลับตาอยู่ นี้พี่ง่วงขนาดนั้นเลยเหรอ ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่นอนตะแคง หนุนแขนตัวเอง และหันหน้าเข้าหาพี่ติณห์
“คุณจ้องแล้วผมจะนอนยังไง” พี่ติณห์พูดออกมาแต่ยังคงหลับตาอยู่
“ไม่ต้องนอนแล้วลืมตามาคุยกับผมดีกว่า” ผมเสนอ
“คุยเรื่องไร ถ้าน่าสนใจจะลืมตาไปคุยด้วย” ผมนึกทันที เรื่องที่น่าสนใจจนพี่ติณห์ยอมตื่นมาฟังเหรอ
“เรื่องที่ผมเจอพี่กับน้องเนดีไหม” ได้ผล! พี่ติณห์ยอมลืมตาขึ้นมาแล้ว
“ตอนไหน”
“6วันที่แล้วมั้ง” พี่ติณห์ยังทำหน้าคิดอยู่
“ไม่นับครั้งที่พี่ไปแสตน ครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน”
“อ้อ จำได้ล่ะ แต่ผมไปกับเน พิ้งค์ และแจน ถ้าคุณจำได้” พยักหน้ารับ
“ผมจำได้ แต่ตอนพี่เดินเข้าร้านมาพร้อมเนนะ ผมช็อคไปเลยอ่ะ” พี่ติณห์เลิกคิ้ว
“ผมนึกว่าพี่จะรู้ใจตัวเองว่าชอบเนซะอีก” คราวนี้ฝ่ายนั้นส่ายหัว
“ไม่หรอก ถ้าผมจะชอบเนผมคงชอบไปนานแล้ว” พี่ติณห์ตอบ
“แต่พี่เคยบอกผมว่าพี่คุยๆกับเนอยู่”
“แต่ผมก็บอกไม่ใช่เหรอว่ามีทั้งพัฒนาและไม่พัฒนา”
“แล้วทำไมไม่พัฒนาอ่ะ” พี่ติณห์ถอนหายใจใส่ผม ตอนนี้ผมดูเหมือนเจ้าหนูจำไมที่เอาแต่ถามไม่หยุดแล้วใช่ไหม แต่ผมอยากรู้อ่ะ! และไอ้โอกาสจะได้ถามก็ไม่ได้มาบ่อยซะด้วย
“ผมจะพัฒนาได้ยังไง ในเมื่อผมรู้สึกกับอีกคนหนึ่งมากกว่า” ผมยิ้มกว้างออกมาทันที
“ผมเหรอ” พี่ติณห์กลอกตา แหมแหม เขินก็พูดมาเหอะ
“แล้วคุณรู้ตอนไหนว่าชอบผม” พี่ติณห์ถามออกมาบ้าง
“ผมเหรอ... ตอนที่พี่ไม่ยอมบอกว่าพี่กับน้องเนคุยกันอยู่รึเปล่ามั้ง” พี่ติณห์เลิกคิ้ว
“แค่คิดว่าบางทีพี่กับน้องเนอาจจะคุยกันไปจนถึงไหนต่อไหนในอนาคต จนไม่มีที่ว่างให้ผม ผมก็หงุดหงิดจะแย่ล่ะ”
“ง่อวววว ขี้หึงเหมือนกันนะเนี่ย” คราวนี้เป็นผมที่กลอกตาใส่พี่ติณห์
“พี่อ่ะ... ชอบผมตอนไหน” ถ้าพี่ติณห์ตอบว่าเมื่อกี้ผมจะถีบเขาลงจากเตียงเลย
“ถ้าเริ่มจริงๆ น่าจะตอนที่เห็นคุณคุยกับพิ้งค์มั้ง” ผมขมวดคิ้ว
“ตอนไหน”
“ตอนที่ฝนตก และผมมีคลาสเย็น” ผมนึกตาม
“วันที่เราวิ่งฝ่าฝนกลับมาที่หออ่ะ” พี่ติณห์อธิบายเพิ่ม
“อ้อ วันที่พี่บอกว่าจะจ้างผมออกแบบบ้านให้อ่ะนะ” พี่ติณห์พยักหน้ารับรัวๆ
“แต่พี่เห็นผมคุยกับพิ้งค์ด้วยเหรอ ตอนพี่ลงมา พิ้งค์น่าจะกลับไปแล้วนะ”
“ผมลงมาเอาของให้อาจารย์เลยเห็นคุณยืนคุยกับพิ้งค์อยู่ ตอนแรกตั้งใจจะเข้าไปทัก แต่พอเห็นคุณคุยกับพิ้งค์กระหนุงกระหนิงแถมมีbackgroundเป็นสายฝน ผมก็ไม่ทักดีกว่า” ผมพยักหน้าตาม แต่วันนั้นมัน...
“วันนั้นที่พี่เอาแต่กดโทรศัพท์ใช่ป่ะ” พี่ติณห์พยักหน้ารับ
“เพราะอะไรอ่ะ” พี่ติณห์ไม่ตอบ แถมยังเสสายตามองไปทางอื่น ผมถึงบางอ้อตอนนั้นเลย ผมนี้ถึงกับผุดลุกขึ้นมานั่งเลยครับ
“เพราะผมเหรอ?” พี่ติณห์ลุกขึ้นมานั่งเหมือนกันแต่ก็ยังไม่ตอบคำถามผม
“เพราะพี่เห็นผมคุยกับพิ้งค์ วันนั้นพี่เลยเอาแต่เล่นโทรศัพท์”
“พี่ติณห์ พี่หึงผมเหรอ” เงียบ... เชี่ย นี้โครตsuccessของsuccessอ่ะ
“ผมไม่ได้หึง ผมแค่รู้สึกว่าคุณยังคุยกับคนอื่นได้เลย ผมก็น่าจะทำได้บ้าง” พี่ติณห์ตอบ แต่ผมยังคงยิ้มกว้างอยู่
“ไม่ได้หึงอะไรล่ะ ถ้าไม่หึงพี่ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจป่ะวะ” พี่ติณห์เลื่อนมือมาบีบแก้มผม จริงๆใช้คำว่าบีบแก้มมันจะดูน่ารักไปหน่อย ใช้คำว่าบีบกรามผมเลยก็เห็นจะได้ เจ็บ!
“หยุดยิ้มมมม” และโวยวายด้วย
จะว่าไปถ้าพี่ติณห์เริ่มรู้สึกตอนที่ผมคุยกับพิ้งค์ และผมเริ่มรู้สึกตอนพี่ติณห์ไม่ยอมบอกเรื่องเน
เราก็เริ่มพร้อมกันเลยนะ
“วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับเนอ่ะ” พี่ติณห์ผลักหน้าผมหงายไปหนึ่งทีและพูดต่อ
“รู้สึกsuccessว่ะ พี่คุยกับเนเพราะประชดผมอ่ะ” พี่ติณห์นี้ก็โครตเก็บความรู้สึกเก่งเลยนะ ผมมองไม่ออกเลยสักนิดด้วยซ้ำ และคงจะไม่สามารถรู้เลยถ้าพี่ติณห์ไม่บอก
“พอเลยวา ไม่ถึงขนาดนั้นนนน ผมแค่ลองดู ผมก็ไม่ได้คุยกับใครมานานแล้วเหมือนกัน” เรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ทั้งผมและพี่ติณห์ไม่ใช่สายพูดจาหวานๆเอาอกเอาใจกันสักเท่าไหร่ สำหรับผมมันน่าขนลุกนะ และพี่ติณห์ก็คงจะคิดแบบนั้นด้วย เขาเลยเอาแต่สั่งห้ามไม่ให้ผมพูดแบบนั้น
แต่ไม่ได้ปฏิเสธ
“ผมก็ไม่ได้คุยกับใครมานานนะ และก็ไม่ได้คุยกับใครเลยด้วย” พี่ติณห์หันขวับมามองหน้าผมเมื่อผมพูดจบ สายตาที่เหนือกว่าทำให้ผมร้อนๆหนาวๆเลย
“อะไร” ผมถามออกไปอย่างหวาดๆ
“คุณเคยพูดว่าคุยๆกับพิ้งค์ในงานรวมสาย” ผมหุบปากฉับ
“คุณพูดแบบนั้นทำไม” พี่ติณห์ถาม แถมยกมือมาเท้าคางแบบที่ผมชอบทำเพื่อกดดันผมด้วย
“ผมแค่ประชดพี่เฉยๆ” พี่ติณห์เลิกคิ้ว
“ประชดผมทำไม”
“พี่จะได้เก็ตฟิลที่ผมคุยๆกับคนอื่นอยู่ไง” พี่ติณห์พยักหน้าช้าๆ
“อ้ออออ คุณอยากให้ผมรู้ว่าตอนนั้นคุณเสียใจขนาดไหนที่ผมบอกว่าคุยๆกับเนใช่ไหม” ผมเลิกลั่กขึ้นมานิดหน่อย แต่เพราะจับผิดในประโยคนั้นได้ก่อนเลยยกยิ้มมุมปากและยกมือมาเท้าคางบ้าง
“พี่จะสื่อว่า ตอนผมพูดแบบนั้น... พี่เสียใจมากใช่ไหม” พี่ติณห์เงียบ นิ่งไปสักพักก่อนที่จะจิ๊ปากออกมา
“ยอม” ผมขำเมื่อพี่ติณห์ยอมแพ้ง่ายๆและทำท่าจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
“เดี๋ยวดิ ผมอยากรู้ว่ามีครั้งไหนอีกที่พี่ตั้งใจทำประชดผม” ผมรั้งแขนพี่ติณห์ไว้ ไม่ยอมให้เขาทิ้งตัวลงนอน
“เยอะอยู่นะ”
“ประชดเพราะหึงผมเหรอ” พี่ติณห์เลื่อนมือมาผลักหน้าผากผม
“ไม่ใช่สิว่ะ ประชดเพราะหมั้นไส้ ประชดเพราะอยากแกล้ง หรือประชดเพราะอยากทำ มีมากกว่าเหตุผลนั้นนะ” ผมแกล้งพยักหน้ารับช้าๆบ้าง
“แต่ประชดเพราะหึงก็มีใช่ป่ะ” พี่ติณห์ถอนหายใจใส่ผม เลิกขืนตัวหนีและหันมามองหน้าผมชัดๆ
“มี” ผมชอบตรงนี้แหละ
ชอบตรงที่พี่ติณห์ไม่เคยหลอกความรู้สึกของตัวเอง
“และคุณอ่ะ คุณเค..”
“ผมหึงพี่บ่อยมาก บ่นในใจบ่อยมาก ประชดบ่อยมาก และรอวันนี้มากๆ” ผมชิ่งพูดก่อนที่พี่ติณห์จะพูดจบ อาจจะเพราะผมพูดสวนไปโดยไม่ได้ตั้งตัวฝ่ายนั้นเลยหลุดยิ้มออกมา
“ผมไม่เคยจีบใครฮาร์ดคอร์ขนาดนี้มาก่อนเลยอ่ะ” พี่ติณห์บ่นพึมพำออกมา แต่ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มและไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆด้วย
“ใครบอกว่าเราจีบกัน...” พี่ติณห์เลิกคิ้วใส่ผม
“เราชอบกันแล้วต่างหาก”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อัพเร็วมาก 5555 เป็นไงบ้างอ่ะ ฉากหวานๆครั้งแรกของเรื่องนี้ นี้แต่งไปแล้วก็เขินไป เดี๋ยวเราจะเห็นฉากทำร้ายร่างกายของสองคนนี้อื่นเยอะมาก ทำไมเป็นคนที่เขินแล้วทำร้ายกันเองขนาดนี้ 55555 ตอนต่อไปเรากลับไปอัพกำหนดการเดิมล่ะกันเนอะ
เจอกันวันที่18นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นกำลังใจให้คนเขียน
ดูพี่ติณเคะแปลกๆ
และวาก็ดูรุกสลับรับแปลกๆ
ขอฉากเอ็นซีเพื่อความสบายใจก่อนได้มั้ยคะไรท์55555
พี่ติณขาาา รุกพี่วาหนักๆเลยคาาาา
หวีดแรง .////.
เป็นก้าวแรกในความสัมพันที่ละมุนมาก #ทีมตินห์วา
เป็นเรื่องที่มีบรรยากาศเป็นของตัวเองมากๆ สื่อคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวละครดีสุดๆ ;-; บางฉากก็โคตรจี๊ด บางฉากก็หวานมาก ทั้งที่อะไรก็ดูคลุมเครือแต่เราก็ยังเขินฮือออออ
พอมาตอนนี้ โอ๊ยยยยยไม่ไหวอ่ะ แทบกรี๊ดกลางห้าง บรรยากาศคำพูดของแต่ละคนมันเป็นเอกลักษณ์มากๆ มันจะหวานก็ได้ ละมุนแบบผู้ชายๆ ยิ่งฉากจูบนี่โคตรเขิน จะบรรยายอะไรดีขนาดนี้ แงงงวว ตอนนี้มันสื่อความรู้สึกของแต่ละคนออกมาเลยอ่ะค่ะ แบบเปิดเผยความในใจตั้งแต่ตอนแรกๆจนตอนนี้ จะบ้า แงงงง ถ้ารวมเล่มขายนี่เราคงจองคนแรก ;-; ติดตามต่อๆไปนะคะ สนุกมาก