ตอนที่ 17 : 9days
17
“มึงไปไม่ได้”
“ทำไมผมจะไปไม่ได้!” ผมกลอกตาใส่ไอ้แจน ผมบอกเหตุผลเป็นสิบๆรอบแล้วมันก็ไม่ฟังครับ
“มึงเป็นพี่เนียนไงแจน มึงจะไปรวมสายได้ไง”
“ไม่เป็นไรหรอก ขนาดเฮดว้ากยังไปเลย” ดูความกวนตีนของมัน
“ถ้าพี่เกลไม่บังคับ กูก็ไม่ไปหรอก” พี่เกลพูดรอบที่สิบแล้วครับภายในสองวันนี้ จะให้ผมไม่ไปได้ไง
“ถ้าพี่ไป ผมก็ไป” ไอ้แจนยืนยันประโยคเดิม
“งั้นถ้ากูไม่ไป มึงไม่ไปป่ะล่ะ” ผมยื่นข้อเสนอ และแล้วผมก็หาเหตุผลที่จะใช้อ้างกับพี่เกลได้แล้ว
ใจจริงผมก็ไม่อยากไปหรอกครับ เรียกรวมสายแบบนี้มันต้องรวมสายเลขสองแน่ๆ และผมก็ยังไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไม่เจอพี่ติณห์
ต้องนั่งปั้นหน้ากันยาวเลยนะ
“โหยพี่วา พี่เกลฆ่าผมพอดี ผมบอกแล้วไงพี่ ไอ้กิตกับไอ้เจแค่สองคน ผมคุมได้” แจนส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ผม ซึ่งวอนตีนผมมากกว่า มันบอกว่ามันจะบอกไอ้กิตกับไอ้เจและก็จะไปรวมสายครับ ดูมัน
“มึงอยากตายเหรอแจน” กูเนี่ยจะฆ่ามึงเอง
“ผมไม่อยากตายยยย แต่ผมก็อยากไปอ่ะพี่ ทำไมเราไม่เดินสายกลางวะ ผมไป และผมขอรับผิดชอบด้วยชีวิตว่าจะไม่มีเรื่องพี่เนียนหลุดออกไปแน่ๆ ผมปิดปากไอ้กิตกับไอ้เจสนิทชัวร์” ผมยังคงส่ายหัวใส่มัน
“ผมก็อยากเจอพี่เกลกับพี่เป้อเหมือนกันนะ!” ไอ้แจนแทบจะก้มลงกราบผมแล้วครับตอนนี้
“ดุไรน้องอีกอ่ะมึง” ผมหันไปหาคนที่พึ่งเข้ามาใหม่ ไอ้พาร์ทวางหนังสือเล่มยักษ์เกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่ผมโครตไม่ชอบลงบนโต๊ะและพูดออกมา
“พี่พาร์ทดูพี่วาดิ พี่วาไม่ยอมให้ผมไปรวมสายเว้ย” ผ่านไปสัก2-3วัน ทุกคนก็เริ่มชินกับการที่มีคนหน้าเหมือนพีทเป๊ะๆเดินกับผมแล้วครับ เพราะไอ้พาร์ทแทบจะเอาป้ายชื่อมาติดแล้วว่ามันคือพาร์ทไม่ใช่พีท พูดหลายรอบเข้า ข่าวก็กระจายไปเอง เป็นที่รู้กันว่าถ้าผมเดินกับคนหน้าเหมือนพีท คือพาร์ท และผมยังไม่ดีกับพีทเลยครับจนตอนนี้
“อ้าว สายรหัสเป็นของมึงคนเดียวเหรอ” ไอ้พาร์ทหันมาบอกผม เรียกให้ไอ้แจนนี้ชูนิ้วโป้งสนับสนุนเลยครับ
“แจนมันเป็นพี่เนียน จะไปรวมสายกับปีหนึ่งได้ไง” ผมอธิบาย
“โหยยยย เพลาๆบ้างได้แล้วมั้ง ช่วงนี้ไม่ได้รับน้องกันจริงจังแล้วป่ะวะ” ก็ถูกของมัน ตอนนี้เราแทบจะไม่เข้าเชียร์กันแล้วครับ พวกปีหนึ่งก็วุ่นวายกับการซ้อมกีฬาซ้อมเชียร์สำหรับงานเฟรชชี่ไป ส่วนพวกพี่อย่างพวกเราก็หันมามุ่งมั่นกับการทำแสตนมากกว่าเข้าเชียร์แล้วครับ
“นี้พวกมึงรุมกูเหรอ” ผมโพล่งออกไป เมื่อทั้งแจนและพาร์ทต่างจ้องกดดันผม และยิ่งชัดเจนไปอีกเมื่อมันสองคนพยักหน้ารับ
“ถ้าปีหนึ่งรู้พี่เนียนก่อนเฉลย มึงเตรียมตัวตายเลยแจน” ผมถอนหายใจก่อนที่จะยอมรับข้อเสนอของแจน
“ไม่มีแน่นอนครับผม!!” ไอ้แจนชูสามนิ้วสาบาน ก่อนที่จะแยกออกไป สุดท้ายผมก็ใจอ่อนจนได้ใช่ไหมเนี่ยยยย
“รวมสายเมื่อไรวะ” พาร์ทหันมาคุยกับผมหลังจากแจนออกไปแล้ว
“เย็นนี้”
“ที่ไหนอ่ะ”
“ร้านอาหารญี่ปุ่นแถวนี้แหละ ถามไม” พาร์ทยักไหล่
“ให้ไปส่งป่ะ” ไอ้นี้ก็ยังคงความป๋าเหมือนเดิมครับ ล่าสุดมันวนรถไปส่งผมแล้วค่อยกลับมารับพีท ผมไม่รู้ว่าไอ้พีทด่าอะไรน้องมันบ้าง (คนอย่างไอ้พีทด่าอยู่แล้วครับ) เพราะพาร์ทไม่เคยเล่าให้ฟัง และมันก็ดูจะไม่เข็ดซะด้วย
“ป๋าอีกล่ะ กูไปเองได้” พาร์ทบุ้ยปาก บ่นงึมงำพึมพำตามประสา และมันก็เริ่มเปิดหนังสืออ่าน
พาร์ทก็ไม่ได้พูดไม่หยุดขนาดพีทหรอกครับ มันจะมีมุมเงียบของมันบ้าง และถ้ามันเปิดหนังสือเมื่อไหร่ ก็จะเงียบสนิทเลยครับ ซึ่งดีต่อระบบประสาทหูของผมมากและมันก็มักจะมานั่งคุยเป็นเพื่อน หรือนั่งเงียบๆอยู่ข้างผมประจำ อาจจะเพราะมันรู้ตารางเรียนของผมจากพีท ผมก็เลยแทบจะไม่ต้องนั่งเหงาๆคนเดียวเลย อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ผมกับพาร์ทคงนั่งเงียบๆอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะแยกกันไปเรียนนั้นแหละ
ตุบ
ผมปลดสัมภาระทั้งหมด โยนๆกองไว้ที่พื้น ก่อนที่จะโยนร่างตัวเองลงบนเตียง
ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้
ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
ผมพึ่งกลับมาจากรวมสาย และไม่รู้อะไรดลใจให้เอาคำพูดพี่ติณห์มาย้อนพี่เขา จากมืดมนอยู่แล้ว ยิ่งมืดมนเข้าไปอีกอ่ะ หลังจากผมพูดแบบนั้น พี่ติณห์ก็ไม่มองหน้าผมอีกเลย ไม่แม้แต่จะชายตามามองด้วยซ้ำ จนเลิกงาน พี่ติณห์ก็แยกออกไปก่อน ขนาดพี่เกลพูดว่าพี่ติณห์กับผมอยู่หอเดียวกันนี้ เดี๋ยวพี่เกลจะแวะไปส่งผมนะ พี่ติณห์ยังปฏิเสธและเดินออกมาก่อนเลยครับ
ผมโครตพลาดอีกแล้วใช่ไหม
แต่บางทียิ่งย้ำ มันอาจจะทำให้พี่ติณห์ตัดสินใจได้ง่ายๆก็ได้
(ให้กำลังใจตัวเอง)
ผมผุดลุกขึ้นนั่ง ยีหัวตัวเองแรงๆอย่างหงุดหงิด ผมอยากคุยกับพี่ติณห์จะแย่ อยากเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง ล่าสุดผมอ้อนวอนไม่ต้องติดFคลาสพิเศษได้แล้วนะครับ แลกกับการช่วยงานอาจารย์และทำโมเดลใหม่มาส่งให้ทันภายใน5วัน จริงๆมันก็หนักอยู่เทียบกับการต้องวางแปลนใหม่หมด ทำโมใหม่หมด แต่แลกกับการไม่ต้องติดF ผมก็ตอบตกลงทันที เพราะงั้นเลยต้องแยกทุกอย่างให้ชัดเจนครับ ถึงจะคิดมากเรื่องพี่ติณห์ขนาดไหน ผมก็ไม่อยากเอามาทำให้งานพัง ถ้าพี่ติณห์รู้ เขาต้องฆ่าผมด้วยมือเขาแน่
ถ้าเรายังกลับมาคุยกันได้นะ
ผมหยิบกระเป๋าสะพายที่โยนไว้บนพื้นขึ้นมา หยิบภาพแปลนบ้านที่เริ่มขีดๆเขียนๆไปแล้วมาทำต่อ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่กระดาษยับยู่ยี่ใบหนึ่ง ที่มีตัวอักษรงงๆเขียนไว้
สรุปแสตนของปีหนึ่งเราตกลงจะทำเป็นแบบจำลองตึกสถาปัตย์จริงๆอย่างที่ผมเสนอครับ ผมถูกไอ้เพรชลากไปประชุมด้วยวันนี้ เพราะเป็นเจ้าของไอเดียของสาขาเรา หลังจากนั่งประชุมกันสักพักใหญ่ๆ ทุกคนก็สรุปว่าจะใช้ไอเดียผมนี้แหละ ผมเลยได้กระดาษแผ่นนี้มาเขียนแนวทางคร่าวๆ ประชุมวันนี้เลยจบด้วยการที่ลองไปวาดภาพร่างของแสตนมา และผมก็ต้องทำด้วย แต่คงต้องต่อคิวหลังจากบ้านผมเสร็จก่อนนะ
คิดมาถึงตรงนี้ ค่ำคืนนี้คงอีกยาวไกลแน่ๆ
เราเสียเวลากับการวางแปลนแสตนไปนานกว่าที่ผมคิด เพราะพื้นที่มันกว้างขึ้น และคนก็หลายหัวกันมากขึ้น กว่าแปลนเราจะเสร็จก็ปาเข้าวันที่4แล้ว หลังจากตกลงกันเมื่อเช้าและไม่คิดที่จะแก้แปลนอีก บ่ายวันนั้นพวกผมก็ย้ายสำมะโนครัวไปที่สนามกัน
สนามแข่งอยู่ไม่ห่างจากมหาลัยผมเท่าไหร่ครับ น่าจะสักประมาณ300เมตรกว่าๆเอง
หลังจากไปถึงเราก็จัดแจงแบ่งหน้าที่กันเป็นสัดส่วนไป ทั้งทีมซื้อของ ทีมทำด้านซ้าย ด้านขวา หรือด้านหน้า เราตกลงกันว่าจะทำให้ออกมาเป็นแนว3Dครับ (ยากไปอีก) ส่วนหน้าที่ของผมดันได้ตราสัญลักษณ์ประจำคณะอันเบ้อเริ่ม บวกกับชื่อคณะสถาปัตยกรรมด้วย ถือว่าเป็นงานช้างที่สุด และผมไม่สามารถปฏิเสธได้ (เป็นคนเสนอไอเดียนี้ครับ) แต่การทำตรานี้ค่อนข้างจะเป็นงานละเอียดที่สุด ผมเลยสามารถใช้สมาธิอยู่กับตัวเองได้เต็มที่ ถือว่าเป็นข้อดีไปครับ แม้จากขนาดป้ายแล้ว ผมไม่น่าจะทำเสร็จทันก็ตามที ถ้ามันไม่ทันจริงๆเดี๋ยวค่อยแบ่งให้เพื่อนช่วยทีหลังครับ
ผมซูมภาพตราคณะจากไอแพดเพื่อนอีกครั้ง ผมเคยชื่นชมตราคณะของผมมาก จนตอนนี้เนี่ย!
ก็มันดูยากสุดๆเลยแหะ แค่สเก็ตออกมาก็น่าจะยากแล้ว แถมในรูปมันยังคาดคะเนขนาดไม่ค่อยได้ด้วย
ผมยีหัวอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี กวาดสายตามองเพื่อนเกือบร้อยคนที่กำลังแบ่งกันทำหน้าที่อย่างแข่งขันแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเอาเวลามานั่งมึนมันจะเสียเปล่าไปสักหน่อย
“พวกมึง! กูไปหน้าคณะนะ” ผมตะโกนบอกพวกมัน และเก็บของให้กระเป๋าสะพายใบเก่งไปด้วย
“ไปคนเดียวเหรอ” หลิวตะโกนถามกลับมา
“เออ ไปวาดตราคณะอ่ะ ไม่เห็นของจริงมันทำไม่ได้ว่ะ” หลิวทำมือเป็นท่าโอเคส่งมาให้ ผมเลยผละออกมา
ผมไม่น่ามาเลยเนอะ แดดก็ร้อนขนาดนี้
การกลับมาที่คณะไม่ได้ทำให้ผมสบายขึ้นสักเท่าไหร่ ขึ้นชื่อว่าแดดเมืองไทยแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ร้อนแรงพอกัน และผมต้องวาดตราคณะ ที่อยู่หน้าตึก ก็ต้องนั่งม้าอ่อนหน้าคณะอย่างช่วยไม่ได้ แม้ไอ้ม้าอ่อนนี้จะไม่มีร่มเงาคอยช่วยเลยสักนิดก็ตามที ขอแค่เหงื่ออย่าหยดลงภาพก็พอครับตอนนี้
“ทำไรวะ” ผมหลุดจากภวังค์ตอนได้ยินเสียงหนึ่งทักขึ้นมา และเจ้าของเสียงนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมพร้อมกับยื่นหน้ามาดูว่าผมกำลังวาดอะไรด้วย
“ตราคณะอ่ะพี่” ผมตอบพี่เมฆกลับไป ก่อนที่จะสะดุดตากับน้ำแดงในมือพี่เขา
“ไม่ร้อนเหรอวะ”
“โครตตตต” ใครบ้างจะไม่ร้อนล่ะ นี้พระอาทิตย์ส่องจะกลางหัวอยู่แล้วเนี่ย
“แดกๆเข้าไป เดี๋ยวก็หายร้อนเองอ่ะ” พี่เมฆตอบพร้อมกับยื่นน้ำให้ผม และผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับแก้วน้ำมาดื่มด้วย
“สรุปพวกมึงจะทำแสตนเป็นรูปตึกจริงๆเหรอวะ” พี่เมฆหยิบกระดาษไปดูแล้วตอนนี้
“อ่าฮะ เริ่มทำแล้วเนี่ย” พี่เมฆอ้าปากค้างใส่ผม
“มึงตั้งใจให้ปีมึงเป็นตำนานเลยสินะ” ผมไหวไหล่ จริงๆก็หวังอยู่ลึกๆนะ พี่เมฆไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเพียงแค่ส่งกระดาษคืนให้ผมเท่านั้น ผมจึงลงมือวาดต่อ
“กูถามไรหน่อยได้ป่ะวะ” สักพักใหญ่ๆพี่เมฆถึงได้พูดออกมา
“ว่ามาดิพี่” ผมตอบโดยไม่ได้เงยหน้าไปมอง
“ทะเลาะกับไอ้ติณห์เหรอ” ผมยังคงทำเป็นหูทวนลมและวาดรูปต่อไป
“ไอ้วา” พี่เมฆเรียกซ้ำ และชนแขนผมไปทีหนึ่งด้วย เส้นเบี้ยวเลยเนี่ย!
“พี่ติณห์เขาบอกพี่ว่าอะไรล่ะ” ผมถามกลับ
“บอกว่าเปล่า แต่ใครเชื่อก็ควายล่ะ”
“ผมก็จะตอบแบบพี่ติณห์แหละ” คราวนี้พี่เมฆถึงกับจิ๊ปากอย่างขัดใจเลย
“งั้นกูขอถามใหม่” ผมพยักหน้ารับ
“มันดีเหรอวะ” ผมเลิกคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจคำถามนั้นเท่าไหร่
“ที่มึงไม่คุยกับไอ้ติณห์เนี่ย มันดีแล้วเหรอ” ผมเข้าใจคำถามนั้นของพี่เมฆแล้ว แต่ก็ไม่สามารถตอบกลับไปได้จริงๆ
“กูรู้นะว่าเพื่อนกูมันไม่โอเค ถ้ามึงก็ไม่โอเคอ่ะ จะทะเลาะกันทำไมวะ มีอะไรก็พูดกันไปเลยดิ ค้างๆคาๆอยู่ได้” พี่เมฆกึ่งบ่นแล้วตอนนี้
“...ขนาดน้ำแก้วเดียวยังเอามาให้เองไม่ได้” ประโยคต่อมาของพี่เมฆทำให้ผมหันขวับไปมองหน้าพี่เขาทันที
“น้ำแก้วนี้...” พี่เมฆไม่ตอบ เพียงแค่ถอนหายใจใส่ผมเท่านั้น
“เห็นแล้วอึดอัดแทนว่ะ” ผมยังคงเงียบ
“กูไปล่ะ มีไรให้ช่วยก็บอกนะ”
“ครับพี่” ผมรับคำ พี่เมฆจึงเลื่อนมือมาตบบ่าผมนิดหน่อย ก่อนที่จะผละออกไป หลังจากพี่เมฆเดินออกไปผมก็หันกลับมาที่แก้วน้ำแดงที่ผมดูดไปครึ่งแก้วแล้วตรงหน้า
น้ำแดงแก้วที่3จากพี่ติณห์
ถ้าผมทำแสตนเสร็จเมื่อไหร่ ผมสัญญาเลยว่าจะเคลียร์กับพี่แน่นอน
18:40
ผมยังคงวาดรูปอยู่ที่จุดเดิม วาดตั้งแต่พระอาทิตย์ส่องกลางหัวจนตอนนี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนไฟหน้าตึกเปิด ผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม แต่แสงเริ่มน้อยจนรู้สึกว่าตัวเองควรจะกลับหอได้แล้ว
ผมคิดแบบนี้มา5รอบได้แล้วครับ
แต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอยู่ดี
ตราคณะในมือผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ที่รบกวนมากที่สุด คงเป็นความหิวระดับสิบ นอกจากน้ำแดงแก้วเดียว (ที่หมดไปแล้ว) ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่าง
อีกนิดจะกินดินสอแล้วนะ
“วา!” เสียงเรียกทำให้ผมหันไปมอง
“อ้าว มาทำไรวะ” ไอ้พาร์ทในสภาพเหงื่อโชกเหมือนตากฝนมา (แต่ฝนไม่ตกสักหยดเลยครับ) ยืนหอบอยู่ข้างๆผม
“มาหามึงเนี่ย” มันบ่นและทรุดตัวลงนั่ง
“หากูทำไมวะ”
“แล้วทำไมมึงยังไม่กลับหอ จะทุ่มหนึ่งอยู่แล้วนะ” สายตากับประโยคดุๆของพาร์ท ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเลย แต่ผมผิดอะไรวะ! ผมก็แค่ทำงานเพลิน
“เครื่องกำลังติด” ผมตอบและชี้ๆไปที่กระดาษตรงหน้า
“เครื่องมึงมาติดอะไรตอนนี้ พักได้แล้ว” พาร์ทพูดจบก็ดึงกระดาษออกไปจากมือผม
“เออๆ จะหยุดล่ะเนี่ย” ยิ่งไอ้พาร์ทมาตามแบบนี้ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำต่อแล้วครับ
“มึงวิ่งมาจากไหนวะ” สภาพแม่งร่อแร่มากจริงๆ
“สนามไง” ถึงสนามมันจะอยู่ห่างจากมหาลัยผมแค่300เมตรกว่าๆ แต่วิ่งมันก็น่าจะเหนื่อยอยู่นะ แค่เดินผมยังล้าๆเลย
“มึงจะวิ่งทำไมวะ” ผมถามออกไป งงกับสภาพมันไปหมดแล้วเนี่ย
“ก็กูไปถามที่แสตนถาปัตย์มา พวกมันบอกว่ามึงกลับมาคณะ แต่ยังไม่กลับไปเลย ไม่รู้มึงกลับหอไปแล้วรึยัง กูเลยมาดู แต่กูไปเคาะประตูห้องมึงอยู่ตั้งนานสองนานจนแน่ใจว่ามึงไม่อยู่เลยรีบวิ่งมาที่นี้เนี่ย” ผมเลิกคิ้ว
“กลัวกูถูกดักฆ่าเหรอวะ” ไอ้พาร์ทกลอกตา
“เออ!” ผมกระพริบตาปริบๆใส่มัน และปล่อยให้มันพักเหนื่อยไปก่อน ระหว่างนั้นผมก็หันมาเก็บข้าวของ
“คราวหลังมึงจะไปไหนก็บอกคนอื่นเขาก่อนก็ได้ป่ะวะ” ไอ้พาร์ทพูดออกมาอีก
“กูบอกเพื่อนแล้วนะก่อนมานี้อ่ะ”
“มึงก็ควรจะรายงานบ้างดิ ว่ายังอยู่ที่คณะนะ หรือกลับหอไปแล้วนะ” ผมเกาหัวทันที
“มึงจะให้กูรายงานใคร” พาร์ทใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม มันดูหงุดหงิดกับผมมาก แต่มันมาหงุดหงิดกับผมทำไมเนี่ย!
“กูไง” ผมขำใส่คำตอบมัน
“มึงเป็นแม่กูเหรอพาร์ท” แม่กูยังไม่ขนาดนี้เลยเหอะ ไอ้พาร์ทกลอกตาอีกครั้ง
“กูจริงจังนะวา” ผมยอมหยุดขำและเข้าโหมดจริงจังแบบมันบ้าง
“จริงจังเรื่องไหนวะ เรื่องที่หงุดหงิดกู เรื่องที่วิ่งหากูจนหอบแดก หรือเรื่องที่ให้กูรายงานมึง”
“ทุกเรื่องนั้นแหละ” ผมหลิ่วตา
“มึงติดGPSที่กูเลยก็ได้นะ” ผมประชดมัน
“อนุญาตป่ะล่ะ ถ้าอนุญาตกูก็จะทำนะ” สายตาจริงจังสุดๆของพาร์ท ทำให้ผมเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิและจ้องมันกลับบ้าง
“คราวหลังมึงก็หัดโทรมาดิว่ะ ไม่ใช่ไลน์มา” ผมพึ่งเห็นเมื่อกี้ครับว่าพาร์ทไลน์มา แต่ผมไม่ได้เล่นไงเลยไม่เห็น
“ได้! ครั้งนี้ผิดคนล่ะครึ่งล่ะกัน ถ้าครั้งหน้ากูโทรแล้วมึงไม่รับนะ เตรียมตัวโดนติดGPSได้เลย” สัส... ผมกลอกตาใส่มัน และลุกขึ้นยืน
“แดกไรยังวะ” พาร์ทส่ายหัวและลุกขึ้นตามผม
“แดกไรดีอ่ะ กูโครตหิว” ผมถามต่อ ไอ้พาร์ทในโหมดจริงจังก็ถูกลบออกไปและหันมาจ้อชื่อร้านอาหารให้ผมฟังทันที
ถึงจะจริงจังเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็ทำเพราะเป็นห่วงผมนี้นะ
ซึ้งใจแหะ
2วันต่อมา
‘อยู่ไหนล่ะ’ เสียงกึ่งเหวี่ยงดังมาจากสายปลาย ซึ่งผมแน่ใจได้เลยว่ายิ่งผมช้ากว่านี้จะยิ่งทวีคูณความหงุดหงิดของเธอเข้าไปอีก
‘อยู่ในลิฟต์แล้ว’ ผมรีบตอบฝ่ายนั้นกลับไป แม้จะพึ่งวิ่งมากดลิฟต์ก็ตาม
‘นี้อุตสาห์นัดหอแกล่ะนะวา อีกนิดฉันไม่ต้องนัดห้องแกเลยเหรอ หรือไม่ก็ในห้องแกแบบนี้ป่ะ’ เสียงหลิวหวีดขึ้นเรื่อยๆ
‘เอาน่า อีกไม่ถึงนาทีถึงชัวร์’ ผมตอบและกดตัดสายหลิวไป ขืนปล่อยให้เธอถือสายนานกว่านี้ เธอจะบ่นไม่จบแน่
วันนี้ผมมีนัดไปซื้ออุปกรณ์ทำแสตนเพิ่มกับหลิว ทั้งๆที่ผมพูดแล้วพูดอีกว่า ผมไม่ไปก็ได้นะ เดี๋ยวลิสต์ของไปแล้วไปซื้อกันเองเลยก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครฟัง และผลักไสให้ผมไปซื้อเอง ถ้าซื้อผิดจะได้ไม่บ่นอีก เรื่องของเรื่องคือรอบแรกผมไม่ได้ไปซื้ออุปกรณ์กับพวกสาขาภูมิสถาปัตย์ ของที่ได้มาเลยใช้ได้ประมาณ60%จากทั้งหมดเท่านั้น ผมคงไม่อะไรเลยถ้าไอ้งบเนี่ย เราต้องเบิกเอาไงครับ และเราไม่สามารถเบิกงบกับของที่ไม่ได้ใช้ได้ ตอนนี้แสตนเรายังไม่คล้ายรูปร่างของตึกเลย แต่เข้าเนื้อผมไปตั้งหลายพันแล้วเนี่ย
ผมก็คงไม่มาสายแน่ๆ ถ้าเมื่อคืนไม่ได้ทำโมเดลบ้านจนเช้า และผมก็ต้องรีบไปส่งก่อน8โมงเช้า (ดูอาจารย์นัด ผมนี้เปลี่ยนชุดแล้วไปส่งเลย) หลังจากกลับมาถึงหอ ผมก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วหลิวก็มาพอดี
ผมยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ!
เหลือเวลาอีก7วัน แสตนเราจะต้องเสร็จ
ตอนนี้แสตนของเรามีรูปร่างเป็นแสตนไม้งงๆ ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ ส่วนตราคณะที่ผมรับผิดชอบก็วาดสเก็ตเสร็จแล้ว และเริ่มลงไม้แล้วครับ
เรามาเดากันว่าผมจะต้องอดนอนกี่วัน
สถิติของผมอยู่ที่3วัน ตอนทำโปรเจคบริษัทในบ้าน5ชั้น ตอนปี2 จำได้เลยว่าวันนัดส่งงาน ผมเหมือนไปแค่ร่าง กลับมาหอได้ก็นอนยาวววววเลย
แต่ครั้งนี้น่าจะทำลายสถิตินะ
“ช้า!!!” หลิวแว้ดทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปในร้านกาแฟ แต่ผมยกมือขึ้นห้ามเธอไว้ก่อน
“คาราเมล มัคคิอาโตครับ” เพื่อหันไปสั่งน้ำพี่พนักงาน
“เฮ้อ ไหวไหมแก” ขอบคุณที่หลิวยังคงเห็นใจผมอยู่ อาจจะด้วยสภาพของผม เธอเลยยกมือขึ้นมาปัดๆให้ผม ถึงแม้จะไม่ช่วยอะไรเลยก็เถอะ
“เกือบตาย” ผมตอบและฟุบลงนอนกับโต๊ะ
“แล้วโมเสร็จทันป่ะ”
“นี้ใคร... นี้วานะ ทันดิ แต่ไม่ได้นอนเลยเนี่ย”
“เอาน่า งานเสร็จทันก็ดีล่ะ เวลานอนมีอีกเยอะ” ให้มันจริงเถอะ!
“งั้นเรามาลิสต์ของกันเลยเนอะ จะได้ไม่เสียเวลา” ยอมใจเธอจริงๆ พูดจบหลิวก็หยิบกระดาษที่จดของที่ต้องซื้อไว้ออกมาและหันมานั่งลิสต์ของที่ต้องซื้อเพิ่ม หรืออะไรที่ไม่ต้องซื้อแล้ว นั่งคุยอยู่ไม่นาน น้ำที่ผมสั่งก็มาถึง ผมยกน้ำขึ้นดูดในขณะมองหลิวลิสต์ของไปด้วย จะว่าไปทำไมผมสั่งคาราเมล มัคคิอาโตวะ ผมควรกินอะไรแรงๆแบบเอสเปรสโซ่หรืออเมริกาโน่ไปเลยมากกว่า ง่วงจะตายอยู่แล้วเนี่ย สงสัยจะเบลอจนงงไปหมดแล้ว
“แค่นี้ป่ะ” หลิวเขียนเสร็จก็ส่งมาให้ผมดู ซึ่งผมก็กวาดสายตาดูคร่าวๆและพยักหน้ารับ
เป็นเวลา6วัน หลังจากครั้งล่าสุดที่ผมเจอพี่ติณห์
9วัน หลังจากเราตกลงจะห่างกัน
บางทีผมก็รู้สึกว่ามันนานไปแล้ว
แต่ผมยังวุ่นๆกับแสตนเลยยังไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่ติณห์ ถ้าแสตนเสร็จ สัญญาเลยว่าจะคุยกับพี่ติณห์ให้รู้เรื่องสักที
ผมพูดประโยคนี้ตั้งแต่เริ่มวาดตราคณะวันแรกแล้วใช่ไหม
แต่ช่วงนี้ผมวุ่นมากจริงๆครับ ไหนจะโมเดลบ้าน (แต่ตอนนี้เสร็จแล้ว) ตราคณะกับป้ายคณะที่ต้องรับผิดชอบ ไหนจะโมเดลส่วนตึกที่เพื่อนๆมักจะเข้ามาถามไถ่จากผมบ่อยๆอีก ล่าสุดไอ้เพรชขนานนามให้เป็นกัปตันของงานนี้แล้วครับ และเป็นกัปตันที่ควบตำแหน่งต้นหนและลูกเรือไปด้วยในตัว
มีบางทีที่ผมกังวลว่าความชักช้าของผมอาจทำให้พี่ติณห์เปลี่ยนใจไปแล้วรึเปล่า และมันก็จะมีpositive thinkingเล็กๆแย้งขึ้นมาว่า ถ้าพี่ติณห์เขาชอบผมจริงๆ นานขนาดไหนเขาก็ต้องรอได้ มันเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองสุดๆเลยใช่ไหม แต่การไม่ได้เจอหน้าพี่ติณห์เลยก็ทำให้ผมเดาใจพี่เขาไม่ออกจริงๆว่าตอนนี้คิดอะไรอยู่ ถ้ามีท่าทีจะถอดใจผมจะได้รีบคุย แต่ก็นั้นแหละครับ ผมวุ่นจนเวลานอนแทบจะไม่มี แต่ก็ยังคงคิดเรื่องพี่ติณห์อยู่ทุกวันนะ เพียงแค่ยังไม่มีโอกาสหรือเวลาที่เหมาะสมสำหรับเข้าไปคุยกันเท่านั้นเอง
หลังจากคิดเรื่องนี้หนักๆ ในหัวผมก็จะตัดทุกอย่างด้วยการคิดว่า ถ้าพี่ติณห์คิดจะเปลี่ยนใจจากผมแล้วจริงๆ
ผมนี้แหละจะทำให้พี่เขากลับมา
หรือถ้าพี่เขาตกลงกับตัวเองได้ว่าไม่ชอบผม
ผมก็จะทำให้เขาชอบผมให้ได้
“ไอ้พาร์ทต้องรอจนหลับไปแล้วแน่ๆ” หลิวพูดขึ้นมาหลังจากเช็คของอีกรอบและเก็บกระดาษใส่กระเป๋าไปแล้ว
“พาร์ทมันรอที่ร้านเหรอ” หลิวพยักหน้ารับ ไอ้พาร์ทนี้กลายเป็นสมาชิกคณะสถาปัตย์คนล่าสุดแล้วครับ มันมักจะแวะมาช่วยแสตนผมบ่อยๆ และอย่างวันนี้ก็ไปซื้อของด้วยกันอีก มันบอกจะซื้อตามพวกผมครับมีแต่ของดีๆ (แม้มันจะไม่ได้ทำโมก็ตาม) แต่ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอกครับ พาร์ทไปด้วยหมายความว่ามีรถมาส่งที่แสตนไง ไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่
ในขณะที่หลิวกำลังเก็บของเพื่อจะได้ออกไปซื้อของกันสักที ผมก็แยกไปจ่ายตังค่าน้ำ
“พี่เตชินท์ สวัสดีค่ะ” เสียงแหลมๆของหลิวดังขัดการนับตังทอนของผมซะก่อน จนผมต้องเงยหน้าไปตามเสียงนั้น ก่อนที่จะเจอกับเจ้าของชื่อ
พี่ติณห์ และน้องเนกำลังเดินเข้ามาด้วยกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตรงเวลาพอดีเป๊ะ สงกรานต์ไปเที่ยวไหนกันคะ ส่วนเรานี้คงนั่งๆนอนๆอยู่บ้าน เล่นสงกรานต์ครั้งล่าสุดน่าจะ7ปีที่แล้ว ฮาาา ตอนนี้ก็นิ่งๆเงียบๆเป็นคลื่นสงบก่อนพายุจะเข้าไปล่ะกันนะ ตอนต่อไปน่าจะมาเร็วกว่าปกติ เพราะขณะอัพตอนนี้ก็อยากแต่งตอนต่อไปจะแย่แล้วววว อีกเรื่องนึงคือ รู้สึกsuccessมากที่แต่งนิยายแล้วคนอ่านทายไม่ถูกว่าใครเป็นเคะเมะ 5555 รอติดตามไปเนอะ
เจอกันเร็วๆนี้ค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พารท์คิดอะไรกับวารึป่าว ดูเป็นห่วงแปลกๆ แล้ววาเมื่อไหร่จะคืนดีกับพีท แล้วดมื่อไหร่จะคุยกับพี่ติณห์ให้รู้เรื่อง
ปล.คำผิดค่ะ ว่าจะบอกนานแล้ว แต่ตอนนี้ทนไม่ไหวละ
โครต/โคตร, เพรช/เพชร (คำผิด/คำถูก) นะคะ
รีดจิดราม่า โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
ไรท์อัพแถมอีกซักตอนได้มั้ย5555
ทำไมพี่ติณห์มากับน้องเนได้ห๊ะ
โกรธธธธธธธธธธธธธธธธธธพี่ติณห์