ตอนที่ 15 : deal
15
คลาสเช้านี้ไอ้พีทย้ายไปนั่งกับพวกไอ้เปรม ซึ่งไอ้พวกนั้นก็รีบหันมาขอโทษขอโพยผมใหญ่ ผมได้แต่ส่ายหัวรัวๆอย่างไม่เข้าใจว่าพวกมันจะขอโทษทำไม นั่งคนเดียวก็สบายดี แต่คิดแบบนั้นได้ยังไม่ถึง2นาที หลิวกับปายก็ย้ายมานั่งข้างผม พร้อมยืนยันว่าตัวเองทีมผม
ไปแบ่งทีมกันตอนไหนวะ
พอผ่านคาบเช้ามาได้อะไรๆก็ดูจะชิลขึ้น ก็แค่ผมไม่คุยกับพีท พีทไม่คุยกับผม ทุกคนก็ดูจะปรับตัวกันได้เฉยๆซะงั้น
“วา เดี๋ยวฉันกับปายไปหาอาจารย์แปบนะ” ผมพยักหน้ารับคำหลิว
“เดี๋ยวเจอกันที่โรงอาหารเลยนะ” ตบท้ายด้วยปายก่อนที่ทั้งคู่จะผละออกไป จริงๆไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้ ผมไม่ได้เหงาอะไร และการอยู่คนเดียวบางทีมันก็สะดวกสบายดีนะ แต่ผมก็เข้าใจแหละว่าเพื่อนๆเป็นห่วง จึงไม่ได้ท้วงติงอะไร
ผมเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเดินไปโรงอาหาร เริ่มหิวแล้วครับแถมคาบบ่ายยังมีเรียนอีกด้วย เก็บแต้มได้ก็เก็บไปดีกว่า
โชคดีที่วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็ว โรงอาหารเลยไม่ได้เนืองแน่นจนต้องแย่งกันหายใจแบบทุกที ผมเลือกต่อแถวร้านก๋วยเตี๋ยวที่คนจะเยอะเป็นเท่าทวีคูณถ้าเรามัวแต่ลังเล หลังจากได้ชามก๋วยเตี๋ยวมาอยู่ในมือ ผมก็จัดแจงหาโต๊ะและจัดการกับก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าทันที
หลังจากก้มหน้าก้มตากินไปสักพักผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนทิ้งตัวลงนั่งตรงข้าม ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นหลิวกับปาย แต่พอเงยหน้าดู ผมก็ต้องสตั้น ก็ไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเนี่ย มองยังไงก็... พีท
“ตึกเศรษฐศาสตร์ไม่มีไรแดกเหรอวะ” ผมเกือบโป๊ะแตกแล้วไง ดีที่สังเกตได้ทันว่าคนอย่างไอ้พีทไม่มีทางดูสะอาดสะอ้านแบบนี้แน่
“แยกออกแล้วจริงด้วยแหะ” พาร์ทตอบกลับมาพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ
“เออดิว่ะ 3ปีนะเว้ยที่พวกมึงหลอกกูมา กูก็ต้องมีภูมิคุ้มกันบ้าง” ตอนนี้ภูมิคุ้มกันสูงมากจนมองแว่บเดียวก็แยกออกล่ะครับ ผมเก่งล่ะสิ
“กูไม่ได้ตั้งใจ” ไอ้พาร์ทยังคงขำอยู่ แต่ผมหันมาสนใจชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าแทนมันแล้ว
“กูรู้เรื่องล่ะนะ” พาร์ทพูดขึ้นมาอีก แต่ผมไม่ได้ตอบกลับไปเพราะกำลังง่วนกับการตักเส้นเล็กเข้าปาก ผมไม่คิดว่ามันแปลกอะไรด้วย คนทั้งคณะผมแทบจะรู้ทุกคนอยู่ล่ะ ไอ้พาร์ทที่อยู่บ้านเดียวกับพีทจะไม่รู้สิแปลก
“พวกมึงนี้นะ กูนึกว่าจะไม่ทะเลาะกันจนกว่าจะจบซะอีก” พาร์ทยังคงพูดต่อไป ถ้าให้บอกว่าอะไรที่พาร์ทเหมือนพีทก็คงจะสิ่งนี้แหละครับ ไอ้โรคพูดไม่หยุดเนี่ย แต่พาร์ทพูดเรื่องมีสาระกว่าพีทเยอะเชื่อผมเถอะ
“มึงโกรธมันมากเลยเหรอวะ” ผมยังคงไม่สนใจที่จะตอบอยู่ แต่ครั้งนี้พาร์ทมันไม่ปล่อยผ่านเพราะมันใช้ศอกดันผมนิดหน่อยเป็นเชิงให้ตอบ
“ไม่ได้โกรธ” ตอนแรกโกรธครับ ตอนนี้เฉยๆล่ะ แต่จะให้ไปขอโทษก่อนมันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำเท่านั้นเอง ยังไงผมก็ยังแน่ใจว่าผมไม่ผิด
“ไม่ได้โกรธแต่ไม่คุยกัน ไม่มองหน้ากันเนี่ยนะ เขาเรียกว่าไงวะ”
“กลับบ้านไปถามพี่มึงดิ” ไอ้เวรนั้นต่างหากตัวปัญหา
“กูไม่อยากไปจี้ใจดำมัน” พาร์ทตอบ มันเอื้อมมือมาแย่งช้อนผมไปตักนู้นนี้ในจานผมกินแล้วครับ
“มึงรู้ป่ะ เมื่อวานมันไปส่งกูที่บ้านแล้วก็ออกไปข้างนอก มันไปเคลียร์กับไอ้คนที่โพสต์รูปมา” ผมชะงัก
“มึงก็รู้ใช่ป่ะว่าคืนนั้นพีทมันไปปาร์ตี้กับเพื่อนมัน มันคุยกับมึงเสร็จก็ส่งโทรศัพท์ให้เพื่อนเล่น เพื่อนมันเห็นว่าเจ๋งดีก็เลยเอาไปโพสต์เรียกยอดไลค์นั้นแหละ พูดง่ายๆคือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดอ่ะ” ผมยังคงนั่งฟังไอ้พาร์ทพูดไปเรื่อยๆ
“ขนาดเรื่องเข้าใจผิด ไอ้พีทยังซัดไอ้คนนั้นซะเยินเลย” ไอ้พาร์ทเล่าจบก็เงยหน้ามามองผม
“ที่นี่เข้าใจมันยัง” ผมยักไหล่ เข้าใจว่าที่กูเข้าใจแม่งถูกต้องนะสิ รูปอยู่ในการดูแลของมัน ส่วนหนึ่งก็ผิดเพราะมันนั้นแหละ
“เฮ้ย ไม่ใจอ่อนเลยเหรอ” พาร์ทเอานิ้วมาเขี่ยๆผมแล้วตอนนี้
“ใจอ่อนเหี้ยไร มึงให้ไอ้พีทมาขอโทษกูให้ได้เหอะ กูจะยกโทษให้” โกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาครับ
“พีทมันงอนมึงอยู่ มันคงยังไม่มาขอโทษมึงหรอก” พาร์ทพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“งอน?”
“เออ มันบอกว่าเมื่อวานมึงว่ามันแรงมาก ทำร้ายจิตใจมัน” ถ้าผมกลอกตาเป็นเลขแปดไทยไปกลับได้ผมคงทำไปแล้ว
“พูดเหมือนมันพูดกับกูเบามากเลย”
“เอาน่า มึงก็ให้เวลาพีทมันทำใจก่อนล่ะกัน” ผมพยักหน้า ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ยังไงตอนนี้ผมก็เคลียร์เรื่องงานผมไปเปราะหนึ่งแล้วครับ และผมก็ทำใจเรื่องลงเรียนใหม่ได้แล้วด้วย ถึงจะบอกว่าพีทผิดยังไง ผมเองก็สะเพร่าที่ส่งรูปให้มันด้วย ถ้าจะผิดก็คงผิดกันแบบหารสองแหละ
“แล้วมึงอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอวะ” พาร์ทถามขึ้นมา
“เหงาอะไรวะ เพื่อนตั้งหลายสิบคน” ผมส่ายหัวใส่มัน ทำไมทุกคนถึงคิดว่าการอยู่คนเดียวมันแย่ สำหรับผมการอยู่คนเดียวยังดีซะกว่าการอยู่กับคนที่ทำให้เราไมเป็นตัวเราซะอีก
“เอางี้ เดี๋ยวกูมาทำหน้าที่แทนพีทตอนที่มันงอนมึงอยู่ล่ะกัน” ผมขมวดคิ้ว
“ยังไง?”
“ก็แวะมาคุยด้วย ไปช่วยงาน อะไรประมาณนี้แหละ” ผมถึงกับขำออกมาเลย
“มึงว่างมากเหรอพาร์ท คณะมึงชิลมากเหรอ” เพราะผมรู้ว่าคณะมันก็เรียนหนักไม่ต่างจากคณะอื่นๆและงานเยอะสุดๆ ผมถึงได้ถามออกไป
“ไม่ว่างหรอก แต่อยากทำ” ผมเลิกคิ้ว หาเรื่องนะไอ้เวรนี้
“งั้นกูไปล่ะ เย็นนี้เจอกัน”
“เย็นนี้เจอกันทำไมวะ”
“อ๊าว ก็บอกว่าจะทำหน้าที่แทนพีท แวะมาส่งมึงกลับหอไง” ผมส่ายหัวใส่ไอ้พาร์ทที่กำลังทำท่าโบกมือเลียนแบบไอ้พีท ก่อนที่มันจะผละออกไป
ไอ้สองพี่น้องนี้ยังไงก็เป็นสองพี่น้องนรกในสายตาผมอยู่ดี
ผมขอถอนคำพูดที่บอกว่าทุกคนชิลขึ้น เพราะทุกคนก็ยังคงมองผมที มองพีทที อย่างโครตไม่มีความเนียน และเห็นได้ชัดสุดๆในตอนที่พวกเรากำลังสุมหัวกันอยู่ในห้องเชียร์แบบนี้
“โอเค งั้นเรื่องแสตนเราจะเอายังไงดี” ผมขอบคุณปายที่เข้าเรื่องประชุมในวันนี้สักที
อีกไม่นานจะเป็นงานเฟรชชี่เกมส์ของปี1 ฟังดูไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับพวกผมใช่ไหมครับ จริงๆมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ถ้ามหาลัยผมไม่มีกิจกรรมที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานานว่า พี่ปี3จะต้องเป็นคนตบแต่งแสตนเชียร์ให้น้อง ซึ่งไอ้แสตนเนี่ยมันก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งกองเชียร์ว่าคณะเราจะชนะหรือแพ้ไหมด้วย ทุกๆปีที่ผ่านมาปี3จะใส่กันเต็มแบบไม่มีกั๊ก อดหลับอดนอนทำแสตนกันเป็นอาทิตย์ๆก็มี ผมว่าเพราะมันเหมือนเป็นการแสดงความขอโทษต่อการลงโทษ ตวาด และดุน้องมาตลอดด้วยแหละ สำหรับปีนี้ ผมก็อยากทำให้เต็มที่เหมือนกัน
“ใครมีธีมอะไรเสนอได้เลยนะ” ปายพูดต่อ โดยมีหลิวคอยจดอยู่ข้างๆ
“เราอยากให้เห็นแล้วรู้ว่าเป็นคณะสถาปัตย์อ่ะ เราน่าจะใช้จุดเด่นของคณะเรา” ปายพูดต่อเมื่อยังไม่มีใครเสนออะไรออกมา นี้แหละครับหนึ่งในงานยาก ขึ้นชื่อว่าคณะก็คือไม่ใช่แค่สาขาวิชาของผม พวกน้องๆอาจต้องวุ่นวายกับการรวมทั้งคณะให้ได้ พวกผมก็ต้องวุ่นกับการรวมพวกพี่ๆเป็นหนึ่งให้ได้เหมือนกัน
“เราลองคุยกับพวกสาขาอื่นดูล่ะ ลองให้ไปคิดธีมมาดู แล้วเดี๋ยวเรามาดูกันว่าจะใช้อันไหนดี” พวกผมจะโชคดีกว่าตรงที่พวกเราทำงานด้วยกันมา3ปีแล้วครับ ยิ่งไอ้สาขาที่คนเยอะที่สุดจริงๆคือสาขาสถาปัตยกรรมหลักของพวกผมแล้วด้วย อะไรๆมันก็ดูง่ายขึ้นหน่อย
“สรุปมีใครจะเสนอธีมอะไรไหม” ปายโปรยยิ้มพิมพ์ใจให้ทุกคน
“ถ้าอะไรที่เป็นคณะเราก็น่าจะเป็น... ภาพแปลน โมเดล ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ อะไรๆประมาณนี้ป่ะ” เพลงเสนอออกมา
“แล้วเราจะเอาไอ้ภาพแปลนกับโมเดลมาลงแสตนได้ไงล่ะเจ๊” คราวนี้เป็นไอ้พีท
“ก็ช่วยกันคิดสิว่ะ” ผมนั่งเท้าคางฟังเพื่อนคนนู้นคนนี้เสนอโดยไม่ได้พูดอะไรแทรกออกไป
“วา ไม่มีอะไรเสนอเหรอ” ตอนแรกตั้งใจจะนั่งฟังเงียบๆครับ แต่น่าจะต้องเปลี่ยนแผนล่ะ เพราะปายตั้งใจหันมาถามผมเลย
“จุดเด่นของคณะสถาปัตย์ก็ตึกถาปัตย์ป่ะวะ” ทุกคนเงียบเมื่อผมพูดออกไป ตอนปายพูดคำว่าจุดเด่นของคณะผมก็คิดออกอย่างเดียวจริงๆ ตึกเรียนของคณะผมถูกออกแบบมาไม่ให้เสียชื่อคณะเลยล่ะครับ เป็นตึกสีขาวที่ด้านในไม่ใช่สีขาว เป็นตึกเหลี่ยมที่มองดีๆก็ไม่เหลี่ยม มันลึกล้ำซับซ้อนแบบนี้แหละครับ ผมมองมา3ปีก็ยังรู้สึกว่ามันเจ๋งอยู่เลย จุดpointคงจะเป็นด้านหน้าตึกที่ตบแต่งแปลกตาแต่กลับสวยอย่างไม่น่าเชื่อ คือถ้าใครจบจากคณะนี้เป็นต้องมาถ่ายรูปชุดครุยที่หน้าตึกคณะอ่ะ โดยเฉพาะป้ายคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์นะ ดูขลังโครตๆเลยแหละ
“หมายถึง?” หลิวถามต่อ
“ถ้าเราดีไซน์ให้แสตนเป็นด้านหน้าตึกคณะ ก็น่าจะเจ๋งดี” ผมพูดจบทุกคนก็พยักหน้ารับและทำหน้าคิดตามกันยกใหญ่
“แล้วจะทำด้วยอะไรวะ” เพชรหันมาถามผม
“ก็ถ้าจุดเด่นอีกอย่างคือโมเดล ก็ไม่น่าต้องถามต่อนะ” คราวนี้ทุกคนอ้าปากค้างเลย
“เดี๋ยวนะ คือแกจะบอกให้ทำแสตนเป็นรูปตึกคณะ ด้วยไม้ทำโมเหรอ” ผมพยักหน้ารับเมื่อหลิวสรุป ผมคิดแบบนั้นเลยแหละ
“ไม่ตายก่อนเหรอวะ!” เปรมบ่นออกมา
“กลัวอะไรวะ พวกเราทั้งคณะมี5สาขา มี95คน แสตนแค่นี้จะทำไม่ทันก็ให้มันรู้ไป” ทุกคนทำหน้าคิดหนักไปอีก
“เราเห็นด้วยนะ และเราก็คิดว่าถ้าเราแบ่งงานกันดีๆมันก็น่าจะออกมาโอเคตามที่วาบอก ยังไงเราเก็บอันนี้ไว้เสนอด้วยล่ะกันเนอะ” ปายยิ้มหวานมาให้ผมและกล่าวสรุป
“มีใครจะเสนออะไรอีกไหม”
ติ๊งต่อง
“ผมได้ตั๋วหนังฟรีมา2ใบ... ไปดูด้วยกันไหม”
ผมเลิกคิ้ว แสร้งเท้าแขนกับขอบประตูอย่างใช้ความคิด
“อื้ม ผมว่างรึเปล่านะ” สาบานได้ว่าถ้าเห็นตัวเองตอนนี้ก็คงอยากจะซัดหน้ามันสักที ซึ่งแน่นอนว่าคนที่อุตสาห์มากดออดชวนผมนี้ต้องเซ็งแน่ๆอยู่แล้ว
“ยังผมไม่รบกวนคุณล่ะกัน” พูดจบก็หันหลังกลับทันที
“เฮ้ย พี่ติณห์ให้ผมเล่นตัวหน่อยไม่ได้เลยใช่ป่ะ” พี่ติณห์ยอมหันกลับมาแต่โดยดี
“กวนตีน” โดนด่าเลย ผมขำ ก่อนที่พี่ติณห์จะเดินเข้าไปในห้องผมก่อน ไม่มีการเชิญเข้าห้องแล้วครับระดับนี้ล่ะ
“พี่ได้ตั๋วฟรีมาได้ไงอ่ะ” ผมเดินตามพี่ติณห์เข้ามาในห้องบ้าง
“แม่ได้มาอ่ะ เห็นบอกว่าผู้ปกครองเด็กที่สอนเป็นอะไรสักอย่างนี้แหละ ได้ตั๋วหนังมาหลายเรื่องเลยนะ ปกติไอ้เต็นท์เก็บหมด ดีนะเรื่องนี้ผมเห็นก่อน” ผมหยิบตั๋วหนังที่พี่ติณห์วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดู
“รอบ3ทุ่มเหรอ...” หลังจากสำรวจเวลาเสร็จผมก็เงยหน้าไปมองนาฬิกาโดยอัตโนมัติ
“แล้วนี้2ทุ่มครึ่งแล้วเนี่ยนะ!” ผมโพล่งออกไป
“ถ้าคุณอาบน้ำตอนนี้ เราก็น่าจะไปทันนะ บีทีเอสป้ายเดียวเอง” พี่ติณห์ตอบกลับมาอย่างไม่เดือดร้อน
“พี่ไปชุดนี้เหรอครับ” พี่ติณห์อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา
“อ่าฮะ ทำไมอ่ะ” ผมส่ายหัว พี่ติณห์ใส่อะไรก็ดูดีแหละจริงๆแล้ว
“แล้วทำไมพี่ไม่รีบบอกผมตั้งแต่เนิ่นๆ ผมไม่ได้ซักผ้าด้วย มีชุดใส่ไหมเนี่ย” ผมบ่นไปเรื่อยและเดินไปหาชุดไปด้วย โชคดีที่ยังเหลือเสื้อตัวเก่งอยู่ตัวหนึ่ง ส่วนกางเกงก็กางเกงยีนส์เหมือนกันล่ะกัน มันใส่ซ้ำได้นะครับ
“ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะบอกตั้งแต่เช้าแล้วแหละ” ผมหยิบผ้าขนหนูมาพาดบ่าไว้และอดที่จะเดินไปแย่งขนมจากมือพี่ติณห์เข้าปากไม่ได้
“แล้ว?” ผมถามออกไปเมื่อพี่ติณห์ไม่ได้เล่าต่อ ดวงตากลมโตเริ่มกวาดสายตาไปรอบๆ ซึ่งผมรู้ได้ทันทีเลยว่าเขากำลังจะเบี่ยงประเด็นหรือไม่ก็หาเหตุผลอื่นมาอ้าง
“ถ้าไม่ใช่ความจริงไม่ต้องตอบก็ได้ครับ” ผมตอบกลับไป ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไป
3ทุ่ม5นาที
ผมกับพี่ติณห์กำลังเร่งฝีเท้าไปที่โรงหนังทันทีที่ประตูบีทีเอสเปิดออก
มันจะไม่เลท ถ้าเราไม่มัวแต่เล่นกับลูกหมาร้านกาแฟที่เขาบอกว่ามันพึ่งคลอด และมันโครตน่ารักกกก ดาเมจผมสุดๆ จนกลายเป็นเรานั่งเล่นกับลูกหมาตั้งนานสองนาน รู้ตัวอีกทีตอนพี่พนักงานทักขึ้นมาว่าจะไปไหนกันเหรอคะ เล่นกับหมาจนลืมว่าจะไปไหนอ่ะ คิดดู... หลังจากคิดออกผมกับพี่ติณห์ก็เร่งฝีเท้าเต็มที่ ก่อนออกจากห้องผมเปิดเทรลเลอร์หนังดูด้วยครับ ถือว่าน่าสนใจใช้ได้ ดังนั้นผมจะไม่ยอมพลาด!
3ทุ่ม8นาที
ผมกับพี่ติณห์มาถึงโรงหนังด้วยสภาพหอบทั้งคู่
“ไม่ได้ซื้อป๊อปคอร์นเลย” พี่ติณห์บ่นออกมาหลังจากเราทิ้งตัวลงนั่งแล้ว อาจจะเพราะว่าเป็นหนังรอบดึกด้วย ทั้งโรงเลยไม่ค่อยมีคนมากนัก และเป็นโชคดีอีกอย่างของพวกผมที่หนังยังคงไม่ฉาย ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่า แต่โฆษณาก่อนหนังฉายมันนานขึ้นนะครับเดี๋ยวนี้ ผมเลยซื้อแผ่นมากกว่า (ส่วนมากไม่ว่างด้วย)
“ออกไปซื้อน่าจะยังทันนะครับ” ผมปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนที่จะหันไปบอกคนข้างๆ
“งั้นผมไปซื้อป๊อปคอร์น คุณกินรสอะไร” ผมส่ายหัว
“ผมไม่กินป๊อปคอร์นตอนดูหนังครับ” ผมดูเป็นคนเรื่องมากเหมือนกันนะ แต่ผมไม่ชอบกินอะไรตอนดูหนังอ่ะ ถ้าหนังฉายผมจะพุ่งไปที่หนังจนไม่สนใจกินเลย ซื้อกี่ครั้งก็ไม่เคยกินหมด สุดท้ายเลยตัดปัญหาด้วยการไม่ซื้อซะเลย แต่ผมชอบป๊อปคอร์นหน้าโรงหนังนะ อย่างหนังบางเรื่องเขาจะมีเซ็ตป๊อปคอร์นที่เกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นไว้ให้สะสมด้วย ผมก็จะซื้อกินต่างหากครับ อย่างเช่นตอนออกจากโรงก็ไปซื้อกินอะไรแบบนั้น
“จริงดิ?” พี่ติณห์ที่ตอนแรกกำลังจะลุกขยับมานั่งเหมือนเดิม
“ครับ แต่ถ้าพี่จะกินพี่ไปซื้อก็ได้”
“เปล่า ผมไม่ได้จะกิน” ผมขมวดคิ้ว แต่คิดว่าพี่ติณห์คงจะไม่เห็นเลยถามต่อไป
“แล้วจะไปซื้อทำไมล่ะครับ”
“ก็เผื่อคุณจะกิน” พี่ติณห์ตอบ เราจ้องหน้ากันผ่านความมืดสักพักก่อนที่หน้าจอจะมืดลง เป็นการบอกว่าหนังกำลังจะเริ่ม เราเลยยุติบทสนทนากันเพียงเท่านั้น
5ทุ่ม40นาที
ผม พี่ติณห์ และป๊อปคอร์นหนึ่งกล่อง
สรุปว่าออกจากโรงมาซื้อป๊อปคอร์นกินจนได้
รีวิวหนังเมื่อที่พึ่งดูไป สนุกดีครับ ดูเพลินๆได้ /จบ
“เราต้องกลับแท็กซี่ใช่ไหมครับ”
“น่าจะ” ข้อเสียของการมาดูหนังรอบดึกคือร้านอาหารในห้างมันปิดกันหมดแล้วครับ นี้ผมหิวแทบตายแต่กินได้แค่ป๊อปคอร์นเท่านั้นเองเนี่ย
ผมตรงไปทิ้งตัวลงนั่งที่ลานน้ำพุ น่าแปลกที่เขายังไม่ปิดน้ำพุแหะ สายตาทอดมองไปยังคนที่เดินออกมา พี่ติณห์ทิ้งตัวลงนั่งไม่ห่างจากผมนัก จะต่างกันก็ตรงที่พี่ติณห์นั่งขัดสมาธิและหันหน้าเข้าหาน้ำพุ ผมที่นั่งอยู่ตรงนี้จึงเห็นหน้าพี่ติณห์ผ่านสายน้ำอีกที ผมเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิแบบพี่ติณห์และเท้าคางมองพี่ติณห์
ผมพลาดอะไรตรงไหนรึเปล่า
ไม่ว่าใครก็คงดูออก พี่ติณห์ต่างจากทุกวัน มันเหมือนกับอะไรก็ตามที่เขามักจะปิดบังมันไว้ด้วยกำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แต่วันนี้เขากลับทุบมันทิ้งไป
“ผมชอบน้ำพุมากเลย” พี่ติณห์พูดทำลายความเงียบขึ้นมา
“ตอนเด็กๆ พ่อเคยซื้อมาตั้งที่บ้าน ผมกับเต็นท์เล่นกันทั้งวันเลยอ่ะ แล้ววันหนึ่ง ผมดันสะดุดล้มหัวฟาดกับขอบที่เป็นปูน หัวแตกเลย เย็บไปตั้ง5เข็ม หลังจากนั้นแม่เลยบอกให้พ่อเอาน้ำพุไปขายซะ” ผมยังคงเท้าคางมองพี่ติณห์พูดไปเรื่อยๆ
บางทีอาจจะไม่ใช่แค่พี่ติณห์ที่ทุบกำแพงนั้น
ผมเองก็เหมือนกัน
“มันเหมือนตอนเอลซ่าทำให้แอนนาบาดเจ็บอ่ะ เต็นท์ร้องห่มร้องไห้หนักกว่าผมอีก เอาแต่โทษตัวเองที่ทำให้ผมเจ็บ จนแม่ต้องบอกว่าถ้าโตขึ้น แม่จะซื้อน้ำพุมาตั้งคืนให้ เราถึงหยุดร้องไห้” พูดมาถึงตรงนี้พี่ติณห์ก็เลื่อนสายตามาสบตากับผม เขาคงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมมองอยู่
“อาจจะเพราะเวลาที่มันผ่านไปมั้ง ผมกับเต็นท์เลยลืมไปแล้วว่าแม่เคยพูดไว้แบบนั้น แต่ถึงที่บ้านผมจะไม่มีน้ำพุแล้ว ผมก็ยังชอบมันอยู่ดี” พี่ติณห์เล่าจนจบ และทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงจากน้ำพุที่ไม่ทำให้ทุกอย่างมันเงียบสนิทจนเกินไป ผมแปลกใจที่พี่ติณห์ไม่ละสายตาหนีผมแบบทุกที มันน่าแปลกมากๆสำหรับคนที่พยายามหนีมาตลอด เหมือนอยู่ๆเขาก็เลือกที่จะหยุดหนี
“ผมก็ชอบ... ชอบตอนนี้” ผมพูดออกไป ผมไม่รู้ว่ามันชัดเจนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันชัดมากขึ้นทุกที และมันก็น่าจะดูออกจากคนใกล้ตัวผมมากกว่าตัวผมเองซะอีก หลายๆครั้งที่สัญชาตญาณมักจะครอบงำผม ให้แสดงหรือพูดอะไรออกไปเพียงเพราะอยากทำ ผมไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ แต่ในกรณีที่ผมชอบใครสักคนมันเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุด
“วา...” พี่ติณห์เม้มปากแต่ยังไม่ละสายตาไปจากผม
“ทำไมถึงเป็นผม ผมหมายถึง... ผมไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆแล้วคุณคิดอะไรอยู่ แต่ผมรู้สึกได้ว่าผมพิเศษกว่าคนอื่น และคุณตั้งใจให้ผมรู้... ใช่ไหม” แววตาของพี่ติณห์เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ และงงงวย ไม่สิ... มันคือความสับสนต่างหาก
“ใช่ครับ” ผมตอบออกไปแค่นั้น เพราะผมรู้ว่าพี่ติณห์มีเรื่องที่อยากพูดออกมามากกว่านั้น พี่ติณห์สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เสี้ยววินาทีที่ดวงตาคู่นั้นฉายแววไม่มั่นใจออกมา
“พูดมาเถอะครับ” ผมย้ำออกไป ไม่ว่าตอนนี้พี่ติณห์จะพูดอะไร จะผลักไสผมออกไปไกลๆ หรือจะต่อว่าผมยังไง ผมก็อยากให้เขาพูดออกมา
ผมไม่อยากให้เขาต้องอึดอัดเพราะผม
“คุณเป็นผู้ชายถูกไหม ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงนะ” ผมพยักหน้ารับ
“ผมเป็นผู้ชายนะ คุณรู้ใช่ไหม... ไม่สิ คุณรู้อยู่แล้ว” พี่ติณห์ดูโครตรวนเลยตอนนี้ แต่ผมก็ยังพยักหน้ารับออกไปอยู่ดี
“แล้วทำไมถึงเป็นผม ผมแม่งโครตจะไม่เข้าใจเลยอ่ะ ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้คุณคิดรึเปล่า ถ้าสมมติว่าผมชอบผู้ชาย แล้วผมไปอ่อยคุณก็ว่าไปอย่าง แต่ผมชอบผู้หญิง”
“ผมก็ชอบผู้หญิงครับ” ผมพูดแทรกออกไปก่อนที่พี่ติณห์จะพูดจบ
“ผมชอบผู้หญิงมาตลอดชีวิต... จนตอนนี้” และพูดต่อจนจบ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นผู้ชายคนแรกและอาจจะคนเดียวที่คุณชอบ คุณรู้ได้ยังไงในเมื่อคุณชอบผู้หญิงมาตลอด” นี้เป็นครั้งแรกที่ผมหลบสายตาพี่ติณห์
“ผมไม่รู้ครับ”
คำตอบมันมีแค่นั้นจริงๆ
“ขนาดคุณยังไม่รู้เลย แล้วผมจะรู้ได้ไง” ผมหันกลับไปมองพี่ติณห์อีกครั้ง แต่พี่ติณห์ละสายตาจากผมเป็นน้ำพุตรงหน้าแล้ว
“คุณทำให้ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไง ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรได้บ้าง ไม่ควรทำอะไรบ้าง ผมไม่รู้ว่าผมควรช่วยเหลือคุณแบบเดิมไหม ไม่รู้ว่าผมควรช่วยงานคุณหรือขอให้คุณมาช่วยงานไหม ไม่รู้ว่าซื้อขนมให้คุณได้ไหม หรือแม้แต่คุยกับคุณได้รึเปล่า ผมไม่รู้อะไรเลย”
“...ไม่รู้แม้แต่ผมรู้สึกยังไงกับคุณ” พี่ติณห์เงียบไปแล้ว โอเค เราพูดกันมาขนาดนี้แล้วก็ต้องเคลียร์ให้จบใช่ไหม
ตอนนี้ผมกล้าพูดแล้วว่า ผมชอบพี่ติณห์ แต่พี่ติณห์อาจจะยังดูไม่ออก และเขาก็กำลังสับสนต่อความรู้สึกตัวเองอยู่ จริงๆมันก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ ผมเคยสับสนมากๆว่ารู้สึกยังไงกับพี่ติณห์ ทำไมต้องพี่ติณห์ หรือทำไมถึงกลายเป็นผู้ชาย แต่ผมเลิกหาคำตอบของคำถามพวกนั้นไปแล้ว ผมแค่ตอบตัวเองว่าผมไม่รู้ ผมรู้เพียงแต่พี่ติณห์ยังอยู่กับผมตรงนี้
มันเป็นคำตอบสำหรับผมแล้ว
“ทำไมถึงชวนผมมาดูหนังเหรอครับ” ผมถามออกไป
“อยากลองดู” คำตอบนั้นทำให้ผมยิ้มออกมา มันแปลได้ว่าพี่ติณห์พยายามหาคำตอบอยู่ไม่ใช่เหรอ
“เป็นยังไงบ้าง” พี่ติณห์หันมามองหน้าผม
“ดีเกินคาด” คราวนี้ผมต้องเก็บรอยยิ้มนั้นไว้ในใจ เพราะผมไม่อยากให้พี่ติณห์เห็น
อันที่จริงผมจะพูดออกไปเลยว่าผมชอบพี่ติณห์ก็ได้ แต่ผมอยากให้พี่เขาหาคำตอบกับความรู้สึกของพี่เขาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ด้วยคำพูดของผม
พูดง่ายๆก็คือ
ผมอยากให้เขารู้ว่าชอบผม ด้วยตัวเขาเอง
“แล้วได้คำตอบไหม” ผมหมายถึงคำถามล่าสุดที่พี่ติณห์ถามนะ
“ผมไม่รู้” คำตอบเหมือนผมแต่แปลได้ว่าไม่รู้จริงๆ
“พี่เคยได้ยินประโยคที่ว่า คนเราจะเห็นความสำคัญของอะไรสักอย่าง ก็ต่อเมื่อมันจากไป ไหมครับ” พี่ติณห์พยักหน้ารับ
“เราลองมาพิสูจน์กันไหมครับ” คราวนี้หัวคิ้วเรียวนั้นมุ่นเข้ามากันทันที
“เราลองห่างกันดู เผื่ออะไรมันจะชัดขึ้น” ไม่ใช่แค่พี่ติณห์ รวมถึงผมด้วย ผมไม่รู้ว่าผมแค่หลงพี่ติณห์หรืออยากรู้อยากลองเท่านั้นรึเปล่า และถ้ามันไปไกลกว่านี้โดยที่ความรู้สึกของผมเป็นเพียงแค่ความอยากรู้อยากลอง คงไม่ดีแน่ ดังนั้นผมจึงอยากให้เวลาตัวเอง อยากให้ทุกอย่างมันชัดขึ้นกว่านี้อีก
“นานขนาดไหน” พี่ติณห์ถาม แต่ผมเพียงแค่ยักไหล่เท่านั้น
“ไม่รู้สิครับ” พี่ติณห์ขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก
“เราจะรู้ว่าเราสมควรพอตอนไหนเองแหละครับ”
“แล้วถ้าสุดท้ายผมก็ไม่ได้ชอบคุณล่ะ” ผมเงียบสักพัก
“ก็ไม่เป็นไรนี้ครับ สุดท้าย... ผลอาจจะเป็น พี่ไม่ได้ชอบผม ผมไม่ได้ชอบพี่ พี่ชอบผมแต่ผมไม่ชอบพี่ หรือผมชอบพี่แต่พี่ไม่ชอบผม ก็ได้ทั้งนั้น” ผมพูดจบพี่ติณห์ก็เตะผมไปหนึ่งที
“คุณแน่ใจนะ” ผมพยักหน้างึกงักรับคำ
“ถ้ามันไม่เวิร์ค เราจะย้อนกลับไปวันที่เราเจอกันวันแรกใหม่อีกครั้ง วันที่เราเป็นแค่พี่น้องกัน” ผมพูดออกไป
“โอเคไหมครับ” เพราะพี่ติณห์ยังเงียบ ผมถึงได้ถามซ้ำ
“ดีล” ผมยิ้ม
“ดีล” และตอบพี่ติณห์กลับไป
เราสองคนนั่งจ้องหน้ากันแบบนั้นสักพัก ก่อนที่พี่ติณห์จะถอนหายใจออกมา
“ผมเชื่อคุณเลยจริงๆนะ นี้เราเริ่มแล้วใช่ไหม” พี่ติณห์ทำท่าจะลุกเดินออกไป แต่ผมส่ายหัวฝ่ายนั้นเลยยังไม่ลุกขึ้นและเลิกคิ้วใส่ผม
“งั้นเริ่มตอนไหน พรุ่งนี้เหรอ” ผมลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายสักพัก ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาพี่ติณห์ที่นั่งมองผมอยู่
ผมโน้มตัวไปหาพี่ติณห์ จ้องตาเขาสักพัก ซึมซับความเป็นพี่ติณห์ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะประกบริมฝีปากที่ริมฝีปากนั้น ใช้เวลาสักพักแต่ก็ไม่ถึงกับเนิ่นนานและไม่ได้ลุกล้ำอะไร เพียงชั่วลมหายใจหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่ผมจะผละออก
“เริ่ม”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เห่นโล่วววว มีเรื่องจะพูดเยอะมากจนไม่รู้จะพูดเรื่องไหนก่อนดี 5555 อันดับแรก อยากให้ทุกคนใจเย็นๆนะคะ 5555 อยากให้กลับมาอยู่standardที่ว่า ทั้งวาและติณห์เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงมาตลอดชีวิต การที่วารู้ตัวก่อนไม่ใช่ความผิดติณห์ใช่ไหม ไหนๆก็เริ่มล่ะ พูดเลยล่ะกัน เรารักติณห์มาก รักมากกกก และตกใจมากที่อยู่ๆก็เหมือนมีแต่คนไม่ชอบติณห์เต็มไปหมด ย้อนกลับมาถามตัวเองเลยว่าเราเขียนอะไรพลาดไปรึเปล่า (เสียน้ำตาไปเป็นลิตรๆ) เราว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไรที่เราฟังความจากวาตลอดแล้วมาไม่ชอบติณห์ ดังนั้นจึงอยากให้ดูกันยาวๆเนอะ และสำหรับอะไรที่ทำให้คนอ่านไม่ชอบติณห์ไปแล้ว เราคงจะไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนตัวหลัก ก็คงจะไม่ได้เหมือนกันค่ะ หวังว่าจะเข้าใจกันนะ
เจอกันค่าาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ห้ะ อ่านคอมเม้นท์แล้วเพิ่งรู้ว่าพี่ติณห์เป็นนายเอก เพราะคิดว่าเป็นพระเอกมาตลอด แต่ตอนอ่านก็ไม่ได้รู้สึกวาเป็นนายเอกนะ คือเดายากทั้งคู่ว่าใครเป็นอะไรอ่ะ
คือรู้อยู่แล้วก่อนจะอ่านว่า พี่ติณห์เป็นนายเอก
แอบอ่านคอมเม้นเอา ไม่งั้นคงเดาผิด และช็อคแน่ๆ 55555 โคตรชั่วเลยว่ะกูวววว
กระซิกๆ
#เหมือนพี่ติณจะร้าย
กัดผ้าแรงๆ
ไรท์ขาาาามาต่ออออออ