ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    mindmate

    ลำดับตอนที่ #29 : wonder you

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 533
      6
      20 ต.ค. 58

    29

              ใช้เวลาไม่กี่วัน อาการของผมและผลข้างเคียงของยาต่างๆก็หายไปครับ โชคดีที่ผมรู้ตัวเร็วด้วยแหละ ผมยังไม่ทันกินมันเข้าไปไง ถ้ากลืนลงท้องแล้วคงต้องล้างท้องอะไรกันวุ่นวายเลยแหละครับ แต่ที่ผมเห็นชัดๆเลยนะ คือมาตรการการหยิบอะไรขึ้นมากินสักอย่างของผมจะถูกสายตาจับจ้องอยู่ตลอดเวลาครับ แม้แม่จะเอาโพสอิทอันใหญ่มากๆมาแปะไว้ที่ตู้เย็นว่า เห็ด! ทุกคนก็ยังกังวลว่าผมจะเผลอกินเข้าไปอยู่ดี ตอนแรกที่ผมเห็นตู้เย็นและโพสอิทนั้นผมผงะไปเลยครับ รู้สึกหวาดระแวงตู้เย็นขึ้นมานิดหน่อย แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละครับ ผมก็ยังคงกินเยอะเหมือนเดิมนั้นแหละ

              เพราะตอนนี้ผมหายป่วยแล้ว เราเลยเลิกกลับมาแพลนไปเที่ยวกันต่อ ซีเองหลังจากเอาเฝือกออกแล้วก็เริ่มกลับมาซ่าเหมือนเดิมล่ะครับ ผมแน่ใจว่าเห็นมันวิ่งทั้งๆที่หมอสั่งว่าห้ามวิ่ง แต่ก็นั้นแหละครับ ใครสั่งมันได้บ้างล่ะ

              เช้าวันนี้ผมเลยพิจารณาทุกอย่างที่จะยัดใส่ปากเป็นพิเศษ เพราะวันนี้

              เราจะไปเที่ยวกันครับบบบบ

              (ได้ไปสักที)

              วันนี้ซีมันดูไม่มีปัญหากับการเตรียมอุปกรณ์เหมือนวันก่อนแล้วนะครับ มันคงไม่อยากเสียเวลาเลือกนาน เดี๋ยวอดไปอีก

              ท้องฟ้าปรอดโปร่ง อากาศไม่ร้อนมาก มีลมเย็นพัดมาบ้างเป็นครั้งคราว มันจะมีเวลาไหนเหมาะสำหรับไปเที่ยวมากกว่าวันนี้อีกเหรอครับ

              ดิสอิสอะเวเคชั่นทามมมมมม

              “ไปวัดก่อนล่ะกันเนอะ”

              “เอาดิ” วัดยังเป็นจุดมุ่งหมายหลักที่เราจะไปกันเหมือนเดิมครับ ทำบุญนี้สำคัญจริงๆนะในช่วงอายุนี้ แต่ผมก็ไม่ได้หวังจะพึ่งแต่บุญหรอกนะ นี้ก็ให้ซีเริ่มติวให้บ้างแล้วแหละ

    สำหรับผมนะ ผมจะแบ่งวัยรุ่นอย่างพวกเราเป็น5ประเภท

              1.ฉลาดโดยไม่ต้องทำอะไร ฉลาดโดยกำเนิดประมาณนั้น ไม่อ่านๆแต่ได้เต็มอะไรประมาณนี้

              2.ฉลาดและขยัน อะไรมันจะยอดคนขนาดนั้นครับคนเรา แต่คนประเภทนี้มักจะมีเพื่อนน้อยครับ ประมาณว่าเข้ากับสังคมไม่เก่ง แต่ถ้าเข้ากับสังคมเก่งก็จะเป็นพวกเพื่อนเยอะมาก ไปไหนคนก็รัก คนก็มาขอให้ช่วยประมาณนั้น

              3.ฉลาดแต่ขี้เกียจ ขี้เกียจทบทวน ขี้เกียจทำแบบฝึกหัดอะไรก็ตามแหละ เลยทำไม่ได้ ทั้งๆที่พื้นฐานเป็นคนหัวดีนะ ในสังคมเรามีคนประเภทนี้เยอะมากครับ

              4.ไม่ฉลาดแต่ขยัน พวกนี้เป็นพวกที่น่าอิจฉาที่สุดนะผมว่า

              5.ไม่ฉลาดและไม่ขยัน พวกกู่ไม่กลับแล้ว

               แน่นอนว่าผมจัดอยู่พวกประเภท3 ผมไม่ได้โง่นะครับ แต่ผมขี้เกียจ (มากกกกกกกกกก) ผมจะตั้งใจแค่พวกวิชาที่ผมสนใจเท่านั้น อย่างเช่น ชีววิทยา ผมอ่านได้เป็นวันๆเลยนะครับตอนสอบมิดเทอมหรือไฟนอล ไม่หลับไม่นอนก็ยังได้ แต่ถามว่าวิชาที่ไม่ถนัดล่ะ ผมก็จะไม่สนใจเลยครับ ทั้งๆที่วิชาพวกนั้นก็สำคัญนะ แต่มันขี้เกียจต้องไปนั่งทำความเข้าใจครับ เทแม่ม

              ส่วนซีนี้จะจัดเป็นพวกประเภทที่1กับ2รวมกันครับ ประเภทที่2.2ด้วย คือพวกฉลาดอยู่แล้วแต่ก็ยังขยัน และเข้าสังคมเก่ง

              ผมโครตชูชกอ่ะ ไม่ให้คนแบบนี้สอนจะไปให้ใครสอนครับ นี้ตัวพีคสุดๆแล้ว

              “มีอะไรอยากบอกกูป่ะ” ช่วงที่ผมพักฟื้นเนี่ย แม่ไม่ให้ผมออกไปไหนเลยครับ นอกจากสวนหน้าบ้าน มันเลยน่าเบื่อสักหน่อย ผมเลยเริ่มให้ซีมันทบทวนบทเรียนที่มันคิดว่าสำคัญให้ก่อน ส่วนพวกเทคนิคอะไรพวกนี้ผมจะถามมันเรื่อยๆครับจะได้จำได้ และคีย์เวิร์ดก็คือ มีอะไรจะบอกกูป่ะ แปลว่าบอกอะไรสักอย่างเกี่ยวกับบทเรียนที่มึงคิดว่าสำคัญมาที

              “วิชาไหนอ่ะ” ซีมันเลิกมองวิวและหันมาคุยกับผมแทน เรากำลังนั่งรถเข้าไปในตัวเมืองครับ จริงๆให้ลุงแซไปส่งก็ได้ แต่พวกผมไม่อยากรบกวน

              “ชีวะก็ได้” ผมบอกแล้วว่าถ้าผมชอบวิชาไหนผมก็จะทุ่มให้วิชานั้นเต็มที่เลยครับ

              “วิชาอื่นไหม” มึงนี้...

              “ไม่อ่ะ ชีวะเหอะ”

              “เออๆ PCRคืออะไร”

              “การโคลนยีนด้วยวิธีพอลิเมอเรสเชนรีแอคชั่น”

              “อื้ม แล้วพอลิเมอเรสคือไร”

              “เอมไซน์ไง”

              “มึงรู้อยู่แล้วอ่ะ” พอตอบถูกเยอะๆมันก็จะพูดแบบนี้แหละครับแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง เลยไม่ได้เรื่องไหนจริงๆจังๆสักเรื่องเลย

              “กูก็รู้คร่าวๆป่ะวะ”

              “ไม่เว้ย มึงจำได้ แล้วมึงก็เข้าใจด้วย ทบทวนอีกนิดหน่อยกูว่ามึงดึงคะแนนของชีวะได้เยอะเลยนะ” ผมยกมือไหว้มันไปหนึ่งที ขอให้สิ่งที่มันพูดเป็นจริงด้วยเถิดดดด สาธุ

              “เอ้อนี้อยากเข้าคณะไรวะ” เชื่อไหมว่าผมไม่รู้ ผมว่าจะถามๆแล้วก็ลืมตลอดเลยครับ

              “ให้ทาย” ผมว่ามันเข้าหมอได้สบายๆเลยเหอะ แต่ถ้าดูจากท่าทางมันไม่น่าจะอยากเรียนหมอ

              “วิศวะ?” มันส่ายหัวและทำหน้าเบ้ครับ ผมก็เบ้นะจริงๆแล้ว ผมเรียนอะไรที่ต้องใช้คณิตจ๋าขนาดนี้ไม่ได้จริงๆ

              “อ้อ... สถาปัตย์ไง” ท่าทางมันเป็นเด็กสถาปัตย์ขนาดนี้แล้วครับ ซีมันทำท่าปิ๊งป่องคืนมาให้

              “ถ้าสถาปัตย์แล้วสาขาไรอ่ะ”

              “ก็คงถาปัตย์หลักแหละ แต่ถ้าพวกภูมิสถาปัตย์ สถาปัตย์ผังเมือง สถาปัตย์ภายใน ก็อยากเรียนนะ คิดว่าได้อันไหนคงเอาอันนั้น”

              “แล้วถ้าติดหมดอ่ะ”

              “โหยยย ให้มันติดเถอะ” ทำเป็นถ่อมตัวนะพ่อคุณ

              “แต่เอาจริงๆอ่ะ กูอยากเรียนศิลปกรรม ภาพถ่าย แต่ถ้าพวกสถาปัตย์มันจะกว้างกว่า แต่ก็คิดว่าจะลองแหละนะ กูอยากเรียนจริงๆ” ผมพยักหน้า พอเรามาถึงม.6นี้เหมือนมีทางแยกอะไรนักไม่รู้ที่เราต้องไป จะให้เลือกทางแค่สายเดียวเราก็ไม่รู้ว่ามันจะพาไปถึงที่หมายที่เราต้องการรึเปล่า พอเลือกเผื่อๆไว้หลายๆสาย ก็เหมือนเราจะไปทุ่มสุดตัวกับทางเดียวไม่ได้ เรียกได้ว่าไม่เลือกก็ผิด เลือกก็ผิด โครตของความสับสนเลยอ่ะ

              “แล้วทำไมไม่มุ่งศิลปกรรมไปเลยอ่ะ ทำไมถึงอยากเข้าสถาปัตย์”

              “อย่างที่บอกแหละศิลปกรรมมันแคบกว่า ยิ่งสาขาที่กูจะเข้ามันก็ยิ่งแคบเข้าไปอีก แล้วมึงก็รู้ใช่ป่ะว่าที่บ้านกูพึ่งต่อเติมไป พอมาทำนะ รู้สึกว่าอะไรๆมันไม่ได้ง่ายจริงๆอ่ะ แล้วกูก็หงุดหงิดสถาปนิกที่ดูบ้านให้กูด้วยเลยอยากทำเองแม่ง” เออบางทีเรื่องเล็กๆมันก็จุดประกายอะไรได้นะ

              “แล้วมึงอ่ะคุณหมอ อยากเข้าคณะอื่นบ้างป่ะ” ผมขมวดคิ้วใส่มัน สาบานได้ว่าไม่เคยบอกนะ

              “รู้ได้ไงวะ”

              “เห็นในพอร์ตมึงอ่ะ” ความช่างสังเกตนี้...

              “จริงๆกูก็คิดคณะอื่นไว้บ้างแล้วแหละ กูรู้สึกว่าคนที่เขาอยากได้จริงๆ เขาต้องทุ่ม ต้องอ่านหนังสือสุดๆ แต่กูนี้แทบจะไม่ทำอะไร มันจะไปได้ได้ไงวะ”

              “เฮ้ยอย่าพึ่งดูถูกตัวเองดิ”

              “อืม แต่กูก็ทำใจไว้แล้วอ่ะ เปอเซ็นต์ติดมันคงน้อย ถ้าได้ก็คงดี กูอยากเป็นสัตวแพทย์มาตั้งแต่ป.3เลยนะ”

              “อย่าพึ่งยอมแพ้ดิ กูนับถือความมุ่งมั่นของมึงมากเลยนะ”

              “มีแต่ความมุ่งมั่นเท่านั้นแหละอย่างอื่นไม่มี” ผมเกลียดตัวเองได้ไหม

     

              จะว่าอากาศไม่ร้อนมากนี้ก็จะเป็นการดูถูกแดดประเทศไทยมากไป เพราะตอนนี้ผมร้อนแล้วครับ หลังจากตระเวรไปวัดต่างๆมา ผมก็เริ่มร้อนจนหน้าเอยตัวเอยเริ่มแดงขึ้นมาอีกล่ะ เปราะบางไปแล้วคิรากรเอ้ย หน้าตาก็ดูไม่น่าจะเปราะบางอ่ะนะ

              “น้ำ” ผมรับขวดน้ำมาจากซี เราเลิกตระเวรไหว้พระแล้วครับ เพราะเราไปวัดดังๆหมดล่ะ ทุกวัดนี้ผมจะขอพรว่า ขอให้สอบติดคณะที่อยากเข้าด้วยเทิด แรงปรารถนาแรงกล้าอยู่นะผมว่า

              ตอนนี้เราเลยมานั่งพักกันที่สวนสาธารณะ ซีมันบอกว่าตอนเด็กๆมาบ่อย ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะเลย

              “อยากทำอะไรอีกป่ะ” ซีมันเอามือมาพัดๆให้ผมครับ สภาพผมคงใกล้มะเขือเทศสุกเต็มทีแล้ว

              “อยากกินไอติม” ผมก็อยากกินอยู่ตลอดนะ

              “ตอนเดินผ่านมากูเห็นร้านไอติมอยู่นะ” ผมพยักหน้ารัวๆทันที ร่างกายต้องการไอติมครับ

              “ซี!” เรากำลังจะเดินเข้าไปในร้านอยู่แล้วก็มีคนทักซีขึ้นมาก่อน ผมเลยต้องพลอยหยุดไปด้วยครับ

              “อ้าวพี่ต้นนนนน” ซีทักทายกับพี่คนนั้นอยากสนิทสนม และกอดกันเป็นพิธีด้วย สงสัยจะสนิทกันน่าดูแหะ พี่เขาเป็นผู้ชายสู้สัก180นิดๆ อายุน่าจะประมาณพี่กัส หน้าตาดีนะครับ หล่ออยู่

              “นี้เคียวครับพี่ เพื่อนซี” กอดเสร็จมันก็หันมาแนะนำผมให้พี่คนนั้นรู้จักครับ ชื่ออะไรนะ พี่ต้นใช่ไหม

              “นี้พี่ต้น เหมือนพี่ชายอีกคนของกูเลยมั้ง” น่าจะสนิทกันจริงๆแหละ พอซีพูดแบบนั้นพี่ต้นก็ขำออกมา

              “ถามพี่สาวแกก่อนไหมว่าอยากให้แกมีพี่อีกคนรึเปล่า”

              “พี่กัสไม่ว่าไรหรอก แต่พี่แหละอยากเป็นพี่ผมอีกคนเปล่า”

              “มึงนี้” พี่ต้นด่าซีแบบขำๆ

              “พาเพื่อนมาเที่ยวเหรอ”

              “ครับ”

              “กินติมดิ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” ส้มหล่นแหะ

              พี่ต้นนี้เป็นคนร่าเริงกว่าที่ผมคิดครับ พี่เขาชวนคุยเรื่องต่างๆจนผมเริ่มสนิทกับพี่เขาเหมือนกันแล้วเนี่ย เป็นคนที่คุยสนุกสุดๆและอีกอย่างที่ผมเห็นคือ พี่ต้นนี้โครตหว่านเสน่ห์เลยอ่ะ ผมแน่ใจว่าเห็นพี่เขามองผ่านกระจกใสๆของที่ร้านออกไปมองผู้หญิงจนฝ่ายนั้นระทวยเกิน2คนแล้ว

              “แล้วนี้พี่เรียนเป็นไงมั้งอ่ะ” พอคุยไปคุยมาเริ่มรู้สึกเหมือนซีเป็นแม่พี่ต้นหน่อยๆแล้วครับ

              “ก็ดีแหละ ไม่ติดFก็บุญแล้ว”

              “แล้วนี้ไม่คิดจะกลับบ้านบ้างเลยเหรอ แม่ผมคิดถึงพี่จะแย่”

              “มันยังไม่ปิดเทอมนี้ว้า”

              “พี่ไม่ได้อยู่บ้านเหรอ” ผมตักไอติมเข้าปากอีกคำหนึ่งก่อนที่จะร่วมวงสนทนาด้วย

              “เปล่าหรอก พี่อยู่หออ่ะ พอดีมหาลัยพี่อยู่เชียงใหม่”

              “อ้าวแล้วไม่เจอเจ้กัสเหรอ” พี่ต้นสตั้นไปเลยครับ เหมือนโดนกดpauseแต่ก็แค่แปบเดียวเท่านั้นแหละครับ ไม่นานพี่เขาก็กลับมาปกติ

              “ก็เจอนะ กัสมันคุมน้องลีดอ่ะ พี่ไปส่องน้อง”

              “รู้ว่ากัสคุมน้องลีด พี่ยังกล้าไปส่องน้องอีกเหรอ” ผมเริ่มรู้สึกว่าผมไม่ได้คิดไปเองแล้วแหละ ไอ้ซีมันชงแปลกๆ...

              “นี้มึงยังเรียกพี่มึงแบบไม่มีคำว่าพี่นำหน้าอยู่อีกเหรอวะ แล้วก็น้องมันน่ารักนะเว้ยมึง ถ้ามึงขึ้นมหาลัยแล้วห้ามพลาดเลยนะ” ซีมันทำหน้าเหนื่อยใจใส่พี่ต้น

              “เออพวกมึง พี่ต้องไปซื้อของว่ะ ยังไงไว้เจอกันนะ”

              “หวัดดีครับพี่” ผมกับซีไหว้พี่ต้นนิดหน่อยก่อนที่พี่เขาจะแยกออกไป

              “คนนี้แหละตัวจริง” อยู่ๆซีมันก็โผล่ขึ้นมาครับ แถมยังทำหน้าจริงจังด้วย

              “เจ้กัสอ่ะนะ?”

              “ถูก! มึงยังดูออกเลยใช่ป่ะ พี่ต้นเขามีอาการใช่ป่ะ”

              “กูดูออกเพราะมึงเนี่ย ทำไมวะ” ซีมันผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดเจนครับ

              “ตอนเด็กๆ บ้านกูกับบ้านพี่ต้นอยู่ติดกัน เราวิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กเลยนะ ถ้าที่บ้านกูมีปัญหาบ้านพี่เขาก็จะมาช่วยตลอด พอขึ้นมัธยมกูไปกรุงเทพเลยไม่ค่อยได้ติดต่อกับพี่ต้นมากเหมือนเมื่อก่อนแต่พี่เขาก็คอยทักมาถามตลอดเลยนะเว้ย จนกูกลับบ้านสักปิดเทอมหนึ่งอ่ะ กูถึงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จากพี่ต้นและกัส”

              “คบกันเหรอ?”

               “เออดิ คบกันเป็นปีเลยนะ กัสก็ไม่บอกกูสักคำอ่ะ ปล่อยให้พี่ต้นเป็นคนบอกกู”

              “แล้วก็เลิกกันใช่ป่ะ”

              “อื้ม เกือบจะเข้า2ปีอยู่ล่ะก็มาเลิกกัน แต่สาบานได้ กูรู้ว่ากัสยังแคร์อยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้ามาจีบนะเว้ย แต่กัสเองอ่ะเอาแต่ปฏิเสธ ตัวกัสเองก็ไม่ยอมรับว่าจริงๆแล้วตัวเองรอใครอยู่ แล้วดูพี่ต้นดิ! คอยวนเวียนอยู่แถวๆกัสแบบเนี่ย กูว่ายังคิดอะไรอยู่ชัวร์” นี้เหมือนมึงคิดไปเองมากกว่านะซี แต่จะว่าไปนี้มันสับซ้อนกว่าที่คิดแหะ ยังไงมันก็เรื่องของคนสองคนอ่ะเนอะ

              “เลิกกันเพราะพี่ต้นเจ้าชู้ใช่ป่ะ”

              “รู้ได้ไงวะ”

              “มองออกอ่ะ ดูจากสายตาก็รู้ล่ะ” แล้วนี้มึงลิ่วตาใส่กูทำไม

              “ผีเห็นผีใช่ป่ะ”

              “งั้นมั้ง” กวนตีนกลับไปซะเลย จริงๆแล้วผมไม่ได้เจ้าชู้นะครับ เขามาเองอ่ะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย (อนุญาตให้ด่าได้แต่ห้ามแรง)

     

              เรานั่งชิลๆกันที่ร้านไอติมกันต่ออีกสักพัก ก่อนที่ซีมันจะชวนผมไปเดินถนนคนเดินครับ ตอนนี้ก็4โมงกว่าๆล่ะ เดินซื้อของส่งท้ายก่อนกลับบ้านก็น่าสนใจดี ผมเลยตอบตกลงไปแบบไม่รีรอเลยครับ

              พอมาเดินแล้วถึงได้รู้ครับว่าตัวเองคิดผิด

              เวลาประมาณนี้ อากาศเริ่มเย็นๆลงแล้วอย่างนี้

              คนก็เยอะสิครับ

              ผมรู้สึกเหมือนผมไหลไปมากกว่าเดินไปครับ คนเยอะจนไอ้ซีที่เดินนำหายไปแล้ว ผมว่าผมก็เดินตามมันไปติดๆเลยนะ ทำไมอยู่ๆมันหายไปแล้ว

              “ขอโทษครับ” ผมพยายามแทรกตัวไปด้วยและขอโทษไปด้วย ผมว่าผมเบียดไปหลายคนเลยครับ แต่ผมต้องพยายามเดินให้ทันซีจริงๆ หลงนี้งานช้างเลยนะ ผมกลับบ้านไม่ถูกนะบอกก่อน

              “ขอโทษครับ” ผมพูดขอโทษอีกครั้งเมื่อชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง ชนแรงจนเธอเซเลยครับ แต่ผมคว้าแขนเธอได้ทัน

              “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

              “ไม่เป็นไรค่ะ” แต่เอ่อ ผมว่ามันแปลกๆ ผมคิดว่าจะได้ตาขวางจากเธอหรือจิกตาอะไรทำนองนั้น ไม่ได้คิดว่าจะได้สายตาหวานเยิ้มแบบนี้จากเธอเลย และเธอก็ยังคงมองผมอยู่แบบนั้น เหมือนว่าตอนนี้มีแค่ผมกับเธอ (ความจริงคือคนเยอะมากจนจะเป็นปลากระป๋องแล้วครับ) ผมยิ้มส่งท้ายให้เธอ ผมต้องไปรีบหาซีครับ ผมไม่เคลิ้มหรอกนะ

              “มึงนี้คาดสายตาไม่ได้เลยนะ” ผมกำลังจะเดินไปอยู่แล้วครับตอนที่ซีมันคว้าแขนผมและลากผมให้เดินตามมันไป

              “มึงเดินเร็วมาก”

              “ก็กลับมารับแล้วนี้ไง” ผมต้องขอบคุณมันสินะ

              “กูต้องหวงผู้หญิงมากกว่าผู้ชายจริงๆสินะ” ซีมันพูดเหมือนบ่นลอยๆกับตัวเองแต่ผมรู้ดีครับว่ามันพูดกับผม

              “กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

              “กูก็ไม่ได้ว่าอะไร กูแค่บ่นกับตัวเองเฉยๆ”

              “โหยโหยไม่ต้องหึงไปหรอกนะ ถ้ากูจะจีบกูไม่ทำให้มึงเห็นหรอก” และผมก็ได้มะเหงกจากมันไปหนึ่งลูก อะไรว้า

              เราเดินจนรอบล่ะครับ ส่วนมากของที่ได้ก็พวกของกินทั้งนั้น ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ครับ ตอนแรกผมตั้งใจจะมาซื้อของฝากนะเนี่ย แต่กลับไม่ได้อะไรเลย ผ่าท้องเอาได้ไหมมีแต่ของอร่อยๆเต็มพุงไปหมดล่ะเนี่ย แต่ซีมันบอกว่าไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวไว้วันหลังมันจะพาไปแหล่งซื้อของฝาก วันนี้คิดซะว่ามาเที่ยว ไหว้พระ ชิลๆล่ะกัน

              กินอิ่มแล้วก็ได้เวลากลับครับ เราต้องนั่งรถกลับเข้าไปและเดินต่อเข้าไปที่บ้าน ระหว่างทางผมคิดว่าจะลองนั่งจำเส้นทางเผื่อฉุกเฉินครับ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะวันนี้เราเดินกันเหนื่อยมากจริงๆบวกกับอิ่มสุดๆเลยเผลอหลับครับ ตื่นมาอีกทีตอนที่ซีปลุก ให้เดินต่อเข้าไปที่บ้าน

              บรรยากาศตอนนี้คือ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ท้องฟ้าเป็นสีส้มไปหมดเลย โครตสวย ผมหยุดให้ซีมันถ่ายรูปตั้งหลายครั้ง สุดท้ายเราก็เดินกันมาจนถึงเนินที่เดินขึ้นไปจะเจอบ้านตั้งอยู่ครับ ผมกำลังก้าวขาขึ้นไปแล้วนะแต่ซีมันกลับลากผมไปอีกทางก่อน ไปไหนอีกล่ะ เหนื่อยจะแย่แล้ว

              “ไปไหนนนน”

              “จะพาไปดูพระอาทิตย์ตก”

              “ที่บ้านก็ดูได้ป่ะวะ” ที่ไหนก็ดูได้ครับเอาจริงๆนะ

              “มันไม่เหมือนกัน” เออๆ เอาไงเอากันล่ะกัน

              ซีมันกึ่งลากกึ่งจูงผมเข้าไปในไร่องุ่น มองจากวิวที่ห้องผม ผมไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้ครับ พอมาเดินอยู่ในนี้ถึงได้รู้ว่ามันใหญ่เหมือนกันแหะ แอบเห็นลูกองุ่นลูกเล็กๆแล้วด้วย น่าเสียดายที่เราไม่ได้มาช่วงที่องุ่นสุกนะครับ

              “อันนี้ทางเข้าเหรอ” ซีมันตะโกนตอบมาว่าอื้มมมม ผมพึ่งรู้เนี่ยว่าผมไม่เคยเข้าบ้านมันในทางที่ควรเข้าจริงๆเลย ผมเคยบอกรึยังว่าบ้านซีเปิดไร่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวด้วย ตอนแรกผมก็งงๆนะครับว่าทำไมไม่มีทางเข้าสวยๆอะไรแบบนั้น แต่ความจริงคือผมไม่เคยเข้าทางนั้นต่างหาก ตอนที่ซีลากผมเดินผ่านทางเข้าชมที่เป็นทางเข้าชมจริงๆ ผมเลยตกใจนิดหน่อย ทำดีเลยนะครับ เป็นซุ้มทางให้เข้ามาเลยครับ เดินเข้ามาก็จะเจอกับร้านขายตั๋ว (เขาเรียกตั๋วรึเปล่า) ถัดมาอีกหน่อยก็เป็นร้านขายของทั่วไปครับ พวกของฝาก ของกินที่ทำจากผลไม้ของที่ไร่อะไรแบบนี้ ผมพลาดไปได้ไงเนี่ย มาตอนนี้มันก็ปิดแล้วด้วยครับ เดี๋ยวผมต้องมาตอนมันเปิดให้ได้ จากที่เดินผ่านเมื่อกี้ ผมว่าในร้านมันต้องมีอะไรเจ๋งๆแน่เลย

                “อีกไกลไหมเนี่ย” เดินวันนี้ก็ปวดขาพอแล้วครับ นี้ต้องมาเดินบนเนินๆอีก

              “ไม่ไกล”

              “กูเลิกเชื่อคำว่าไม่ไกลของมึงนานแล้ว” ไม่ไกลๆของมัน ผมว่าก็ไกลอยู่ดี

              “เฮ้ยไม่ไกลจริงๆ สู้หน่อยดิ” จ๊ะๆ ให้มันถึงสักทีเถอะ ขาจะแตกแล้ว

              มันพาผมเดินลาดชันมาสักพักก่อนที่จะพาผมขึ้นเนินแบบจริงจังครับ แต่มันสูงเหมือนกันแหะ ผมเกือบกลิ้งลงไปด้วยแหละ (ผมปวดขาอยู่แล้วด้วยครับ) แต่ซีมันไม่ยอมให้ผมกลิ้งลงไปครับ มันยังคงจับมือผมไว้และฉุดกระชากลากถูจนผมขึ้นมาอยู่บนเนินได้สำเร็จ เล่นเอาหอบเลยครับ

              “นั่งดิ” ผมมัวแต่หอบอยู่เลยไม่ได้สนใจอะไรสักเท่าไหร่ จนซีมันกระตุกแขนให้ผมนั่ง ผมถึงได้มองรอบๆ เราอยู่บนเนินที่สูงมากๆเนินหนึ่ง จากตรงนี้เห็นแทบทุกอย่างเลยครับ และเหมือนที่บ้านซีจะรู้เลยตั้งใจให้บริเวณนี้เป็นพื้นที่โล่งๆ จะมีก็แต่ดอกไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติเล็กน้อย ผมเผลอหมุนตัวเพื่อดูวิวรอบๆไปตั้งหลายรอบแหนะ เริ่มมึนเลยหยุดครับ และทิ้งตัวลงนั่งข้างๆซีแทน นี้หญ้ามันนุ่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ

              “ตอนเด็กๆนะ ถ้าโดนแม่บ่น กูก็หนีขึ้นมาบนนี้แหละ”

              “เมื่อก่อนมึงก็ดูเป็นเด็กดื้อเหมือนกันนะ”

              “ใครๆก็เคยผ่านช่วงนั้นป่ะวะ” ก็จริง ส่วนผมนี้เหมือนยังไม่ผ่านช่วงนั้นเลยครับ ตอนเด็กดื้อยังไงตอนนี้ก็ยังดื้อแบบนั้นแหละ เผลอๆผมว่ามากกว่าเดิมด้วย

              “อากาศดีจนอยากหลับเลยอ่ะ” ผมทิ้งตัวลงนอน นี้ผมสามารถนอนได้เลยนะครับ

              “อย่าพึ่งหลับดิ รอพระอาทิตย์ตกก่อน” นั้นสินะ เราขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกนี้เนอะ

              “จะตกแล้วปลุกด้วย”

              “จะหลับจริงดิ” บรรยากาศมันพาไปครับ นี้ผมง่วงแล้วเนี่ย

              “ง่วงอ่ะ เปิดเพลงทีดิ จะได้ตื่นๆ” ผมก็กลัวตอนพระอาทิตย์ตกผมหลับแล้วอดดูเหมือนกันครับ

              “มึงร้องดิ” ผมลืมตาขึ้นมาทันทีที่ซีพูดแบบนั้น มันยังคงนั่งมองผมอยู่ ให้ผมร้องเพลงเนี่ยนะ

              “อยากฟังก็บอกกกกกก”

              “อืม อยากฟัง” ยอมมมม ร้องก็ร้องว่ะ ผมนอนนึกเพลงอยู่สักพัก ก่อนที่จะเปลี่ยนจากนอนหนุนมือตัวเองเป็นนอนหนุนตักคนตรงหน้าแทน แล้วซีมันก็ไม่ได้บ่นด้วยนะครับ มันก็ปล่อยให้ผมนอนตักมันแบบนั้น แทบยังเอานิ้วมาพันๆผมเล่นอีก

              ผมนอนมองหน้ามันแบบนั้นสักพัก ก่อนที่จะหลับตาลงและเริ่มร้องเพลงออกมา

     

    I might never be a knight in shining armour

    ฉันอาจจะไม่เคยเป็นอัศวินในชุดเกราะที่เปล่งประกาย

    I might never be the one you take home to mother

    ฉันอาจจะไม่เคยเป็นหนึ่งในคนที่คุณจะพาไปพบกับแม่ของคุณ

    And I might never be the one who brings you flowers

    และฉันอาจจะไม่เคยเป็นหนึ่งในคนที่มอบดอกไม้ให้คุณ

    But I can be the one, be the one tonight

    แต่ฉันสามารถเป็นคนนั้นได้ เป็นคนนั้นในคืนนี้

    When I first saw you

    ในครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณ

    From across the room

    จากตรงข้ามห้องนั้น

    I could tell that you were curious

    ฉันบอกได้เลยว่าคุณนะแปลกมาก

    (Oh yeah)

    Girl I hope you’re sure

    ที่รัก ฉันอยากให้คุณมั่นใจ

    What you’re looking for

    ว่าคุณกำลังมองหาอะไรอยู่

    Cause Im not good at making promises

    แต่ว่าฉันไม่เก่งเรื่องคำสัญญา

    But if you like causing trouble up in hotel rooms

    แต่ถ้าคุณชอบการสร้างปัญหาภายในห้องของโรงแรม

    And if you like having secret little rendezvous

    และถ้าคุณชอบการนัดพบแบบลับๆ

    If you like to do the things you know that we shouldn’t do

    ถ้าคุณชอบที่จะทำอะไรที่คุณไม่คิดว่าเราจะทำ

    Then baby, Im perfect

    ถ้าอย่างนั้นนะที่รัก ฉันสมบูรณ์แบบ

    Baby, Im perfect for you

    ที่รัก ฉันสมบูรณ์แบบสำหรับคุณ

    And if you like midnight driving with the windows down,

    และถ้าคุณชอบขับรถเล่นตอนเที่ยงคืนทั้งๆที่ปิดหน้าต่าง

    And if you like going places we can’t even pronounce,

    และถ้าคุณชอบไปที่ไหนสักที่ที่เราไม่สามารถจะอธิบายได้

    And if you like to do whatever you’ve been dreaming about,

    และถ้าคุณชอบทำอะไรก็ได้ที่คุณเคยฝันที่จะทำ

    Baby you’re perfect

    ที่รัก คุณสมบูรณ์แบบ

    Baby you’re perfect

    ที่รัก คุณสมบูรณ์แบบ

    So let’s start right now

    งั้นมาเริ่มกันตอนนี้เลยเถอะ

     

              เพลงPerfectของOne Direction เพลงพึ่งปล่อยวันนี้เองครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงจำเนื้อเพลงได้เร็วขนาดนี้ (ผมมีความสามารถในการจำเนื้อเพลง) ผมฟังแล้วคิดถึงซีเลยครับ ไม่ถูกเหรอครับ เรื่องของเราเหมือนเพลงนี้จะตาย คนสองคนที่คบกันลับๆโดยที่ไม่มีใครรู้ แต่เราทั้งคู่ต่างก็สมบูรณ์แบบสำหรับกันและกันแล้ว

              พอผมร้องเพลงนี้ออกมา ซีมันก็ขำทันที มันคงคิดไว้อยู่แล้วว่าผมจะร้องเพลงนี้ ขนาดผมฟังยังคิดถึงมันเลยครับ พนันได้ว่าตอนมันฟังเพลงนี้ มันก็คิดเหมือนผม

              ผมกำลังจะลืมตาขึ้นมาอยู่แล้วตอนที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ทาบลงมาที่ริมฝีปาก

              ผมเคยบอกรึยัง ว่าผมไม่เคยปฏิเสธจูบของซีได้

              นี้แม่งสุดๆเลยอ่ะ ผมนอนอยู่บนตักมัน ภายใต้สายลมเย็นๆ แสงแดดอุ่นๆที่เป็นแสงสุดท้ายของวันนี้ และผมกำลังจูบกับซี แค่มีมันอยู่ตรงนี้ก็พิเศษมากล่ะนะ

              นี้เราอยู่วันเดอร์แลนด์กันรึเปล่า

              เพียงไม่นานซีมันก็ผละริมฝีปากออกแบบอ้อยอิ่ง ยังไงเราก็ขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกนี้นะ แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้สนใจพระอาทิตย์แล้วก็เถอะ ซีมันยังไม่ผละออกไปสักทีเดียว มันยังอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้เราสัมผัสลมหายใจอุ่นๆของกันและกัน ก่อนที่ทั้งผมและมันจะส่งยิ้มให้กันและกัน ยิ้มที่มาจากใจ

              ผมต้องใช้คำว่าอะไรดีล่ะ

              โชคดีมั้ง โชคดีที่ชีวิตนี้ผมได้เจอซี

              และผมจะไม่ปล่อยให้โชคดีครั้งนี้ของผมผ่านไปง่ายๆแน่นอน

     

     

     

     

     

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ง่วงรึเกินแล้ววววว จริงๆตั้งใจจะแปะเพลงให้ด้วยนะ แต่ว่าเพลงมันยังใหม่มากอ่ะเลยยังไม่มีในยูทูปเลย คำแปลนี้ก็นั่งแปลเอง ผิดพลาดยังไงก็ขอโทษ ณ ที่นี้เลยนะคะ ไว้รอมีลงเพลงในยูทูปแล้วจะมาแปะใหม่นะ (ถ้าไม่ลืม) เป็นอีกตอนที่แต่งแล้วเขิน จริงๆคือเขินทุกตอนที่มีฉากอะไรมากกว่าจับมือ 55555 

     คอมเม้นต์ให้พี่สักนิดนะน้องนะ

    ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×