ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    mindmate

    ลำดับตอนที่ #11 : EP.4 (2/3)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 710
      10
      3 พ.ค. 58

    11

    ถึงจะบอกให้เอาเอกสารมาให้ที่ห้องสภาก็เถอะ แต่ห้องสภาบ.ค.มันอยู่ตรงไหน...

    ผมมาบ.ค.นับครั้งได้เลยครับ แล้วครั้งนี้ดันมากับ... ยะ (มันเป่ายิงฉุบแพ้เลยต้องมากับผม) ไม่ค่อยรู้เรื่องพอกันเลย เฮ้อ

    ในขณะที่ผมกับยะยืนงงอยู่หน้าโรงเรียน (เพราะในโรงเรียนคนเยอะมาก ไม่รู้จะเดินไปทางไหนเลย)

    “มันนัดที่ไหนนะ”

    “ห้องสภาอ่ะ”

    “แล้วไอ้ห้องสภานี้มันอยู่ไหนวะ” กูก็คิดงั้นเหมือนกันเว้ยเพื่อน

    “เคียว! ยะ!” เปรียบเสมือนดังเสียงสวรรค์ ผมกับยะหันไปตามเสียงเรียกทันที ก่อนที่จะเจอกับเกล เพื่อนที่โรงเรียนนั้นแหละครับ กำลังจัดบูธอยู่ เพราะตอนนี้ไม่รู้ต้องไปที่ไหนด้วยมั้ง ผมกับไอ้ยะเลยเดินตรงไปหาเกลโดยมิได้นัดหมาย

    “มาทำไรพวกมึง พวกมึงไม่ได้ออกบูธไม่ใช่เหรอ” รู้ได้ไงวะ แต่ก็จริงแหละ

    “ก็ใช่ กูเอาเอกสารมาให้พวกสภาว่ะ กูเป็นเบ๊พวกมัน” ไอ้ยะแย่งตอบอ่ะ

    “เป็นเบ๊พวกสภาก็ดีดิ”

    “ดีมันก็ดีนะ ว่างจนพวกกูไม่รู้จะทำไร” เราต้องรีบตอบครับ ฮ่าๆ

    “ว่างก็ดีเลยมึง มาช่วยกูติดป้ายหน่อยดิ” ผมกับยะหันมามองหน้ากันโดยทันที มันถามมาอย่างนี้ก็หมายความว่าเราคนใดคนหนึ่งต้องช่วยมันติดป้าย ส่วนอีกคนก็เอาเอกสารไปให้บอสใช่ไหม

    “เดี๋ยวกูเอาเอกสารไปให้บอสเอง มึงรอนี้แหละ เดี๋ยวกูมา” บางทีปากผมอาจจะเป็นระบบอัตโนมัติเพราะเมื่อกี้มันก็พูดออกไปเอง...

     

    ว่าไงล่ะไอ้ปากอัตโนมัติ ห้องสภามันอยู่ตรงไหนเนี่ย ไหนพูดออกมาสิ

    หรือชั้น3ว่ะ ขึ้นไปดูหน่อยล่ะกัน

    เอ๊ะ ชั้นนี้ขึ้นมาแล้วนิ...

    เฮ้ยยยยย ไอ้ห้องสภา แกอยู่ไหนนนน

    หลังจากที่แยกกับยะและถามคนแถวนั้นว่าห้องสภาไปทางไหน เขาก็บอกว่าตึกนี้นี่ว้า แล้วมันอยู่ชั้นไหนล่ะเนี่ย เหมือนขึ้นมาทุกชั้นแล้วเลย เอาไงดีวะเนี่ย

    ไอ้ที่คิดไว้ว่าจะถามคนที่เขาผ่านไปผ่านมานี้ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าในตึกจะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อยู่เลย หรือว่าอยู่ชั้น2 วิ่งเร็ววิ่ง เกือบลืมไปแล้วว่าเราต้องรีบ

    ผลั่ก!

    “ขอโทษครับ” รีบวิ่งเกินไป ผมเลยไปชนกับคนที่เขาเดินออกมาจากห้อง จนข้าวของในมือเขากระจัดกระจายไปหมด ผมเลยรีบก้มลงไปช่วยเขาเก็บทันที

    “ไม่เป็นหรอก เราไม่ได้มองด้วยอ่ะ” ผู้หญิงแหะ... เดี๋ยวๆอย่าพึ่งงง ผมก็งงอยู่เหมือนกันว่าทำไมผมเจอผู้หญิงในโรงเรียนชายล้วน

    “แน่ใจนะ” แต่ถึงจะงง เรื่องความปลอดภัยของเธอก็สำคัญครับ ผมชนไปเต็มแรงขนาดนั้น

    “อื้ม แค่ของตกเอง”

    “ดีแล้วแหละ ขอโทษอีกทีนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก” ตลอดบทสนทนาเธอมักจะยิ้มอยู่ตลอดเลยครับ แล้วยิ้มนี้ก็ทำให้ผมจัดเธออยู่ในผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งเลย   

    “ให้เราช่วยถือไหม”

    “ก็ดีนะ หนักอยู่เหมือนกัน” ยิ้มอีกแล้ว

    “ว่าแต่นายไม่ใช่เด็กบ.ค.ใช่ป่ะ มาทำไรอ่ะ” ผมที่อาสาช่วยถือของ เดินไปคู่กับเธอ คิดว่าถ้าไปส่งเธอก่อนคงไม่เสียเวลามากนักหรอกมั้ง อย่างน้อยๆมันก็เป็นการแสดงความรู้สึกผิดที่ชนเธอเมื่อกี้

    “เอาของมาให้เพื่อนอ่ะ แต่หามันไม่เจอ”

    “อ้าว แล้วเพื่อนรออยู่ที่ไหนอ่ะ”

    “ห้องสภา แต่เราไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”

    “ห้องสภาไม่ได้อยู่ตึกนี้นะ อยู่ตึกข้างๆนี้เอง ถ้าชั้น3จะมีทางเชื่อมไปตึกนั้น” ผมว่าผมก็ผ่านชั้น3มาแล้วนะ แต่ไม่เห็นจะเห็นทางเชื่อมเลย

    “เราก็ขึ้นไปชั้น3มาแล้วนะ ทำไมไม่เจอทางเชื่อม...”

    “เดินไปไม่ถึงอ่ะดิ เดี๋ยวเราไม่ส่งที่ทางเชื่อมก่อนแล้วค่อยแยกกันก็ได้ เราก็จะไปแถวๆนั้นอยู่แล้ว” พร้อมๆกับรอยยิ้ม ส่งผลให้ผมยิ้มกลับไปในทันทีเป็นระบบรีแอคชั่น

    บทสนทนาเงียบไปแล้วครับ ผมได้ยินเสียงโวกเวกจากข้างล่างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ดังมาก ตอนนี้ผมอยู่ชั้น3นี้เนอะ เรียกได้ว่าแค่พูดปกติก็สามารถได้ยินชัดเจนเลยล่ะ แต่เรากลับไม่มีอะไรจะพูดซะงั้น ถ้าปกติผมก็คงคิดออกอยู่นะว่าจะชวนคุยอะไร แต่วันนี้มันไม่ปกติ เพราะผมคิดไม่ออก ผมไม่คิดว่าจะเจอผู้หญิงที่นี้ด้วยมั้งเลยคิดบทสนทนาไม่ทัน

    “เราเกรซนะ...”

    “อ้อ เราเคียว” ลืมแม้กระทั่งถามชื่ออ่ะคิดดู ที่เธอเงียบคงรอให้ผมถามอยู่แน่ๆแล้วผมก็ลืมไง ความรู้สึกผิดแล่นวาบขึ้นมาที่คอจนต้องอ้าปากชวนคุยต่อเลยล่ะ

    “แล้วมาทำอะไรที่นี้อ่ะ”

    “เรามาหาแม่อ่ะ แม่เราเป็นครูอยู่ที่นี้ นี้แม่ก็สั่งให้เรามาเอาสมุดเนี่ย”

    “อ้ออออ เราก็งง แวะมาหาแม่ที่นี้ คงโดนจีบบ่อยเลยอ่ะดิ”

    “บ้า จริงๆไม่ขนาดนั้นหรอก แม่เราเป็นครูฝ่ายปกครองอ่ะ” หูยยย ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่คิดจะจีบลูกครูฝ่ายปกครองหรอกนะ

    “แต่มันก็ต้องมีกันบ้างแหละ เกรซก็ไม่ใช่ว่าจะขี้เหร่”

    “เราน่ารักใช่ป่ะ”

    “ห๊ะ”

    “เราถามเคียวว่าเราน่ารักใช่ไหม” ผมไม่ได้ใสซื่อจนไม่รู้หรอกนะว่าคำถามพวกนี้มันกำลังสื่อถึงอะไร เอาจริงๆคือผมก็ร้ายพอที่จะเล่นต่อเธอด้วยแหละ

    “อื้ม น่ารัก” พอตอบกลับไปแบบนั้น เธอก็คงรู้แล้วแหละว่าผมเล่นด้วย เพราะถ้าเป็นผู้หญิงทั่วๆไปเธอก็คงจะเขินจนทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงที่ชื่อเกรซ เพราะเธอแค่หันมามองหน้าผมพร้อมๆกับรอยยิ้ม... หว่านเสน่ห์จริงแหะ “เราโสดนะ” ผมเลิกคิ้วให้กับประโยคนั้นของเธอ เฮ้ย นี้มันจะรุกผมเกินไปล่ะมั่ง คิดแบบนั้นผมเลยแค่ยิ้มตอบเธอไปโดยไม่ได้ตอบอะไร ผมแค่อยากรู้ว่าเธอจะหว่านเสน่ห์ได้ขนาดไหน ไม่ได้อยากจะจีบจนติดหรอก งั้นพอดีกว่า

    เดินไปอีกสักพัก เราก็เจอทางเชื่อมที่ตามหาสักที

    “ให้เราไปส่งเกรซก่อนก็ได้นะ”

    “ไม่รีบเหรอ”

    “ไม่เท่าไร”

    “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเคียวไปส่งเราจะคิดว่าเคียวจริงจังนะ” ผมเพียงแค่ยิ้มและส่งสมุดคืนให้เธอแบบโครตระมัดระวัง

    “ฮ่าๆ เคียวนี้แปลกดีนะ ถ้าเป็นคนอื่นคงพุ่งเข้าใส่ไปแล้ว” ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แค่รู้สึกไม่อยากต่อยอดเท่านั้นเอง

    “นั้นดิ ขอโทษนะ”

    “อื้มมม เคียวไม่ใช่คนแรกหรอก เราเคยเจอคนแบบนี้มาแล้ว” เธอพูดแบบนั้นผมเลยรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง ถ้าผมเป็นคนแรกที่ปฏิเสธผมคงรู้สึกแย่เข้าไปอีก

    “แต่สุดท้ายแล้วคนๆนั้นคบกับเรานะ” เธอรู้วิธีที่จะใช้เสน่ห์ของตัวเอง รู้แม้กระทั่งว่าต้องเล่นยังไงกับคนแบบผม ผู้หญิงแบบนี้จะเป็นประเภทแรกๆที่ผมไม่คิดจะเล่นด้วยเพราะเราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ หรือจะเอาเสน่ห์ของเขาไปใช้กับใคร และวันนี้ผมก็ยังคิดแบบนั้นอยู่

    “งั้นเราไป...”

    “เคียว!” ผมยังไม่ทันพูดจบประโยคด้วยซ้ำ ก็มีเสียงแทรกเข้ามาซะก่อน ทีตอนที่กูหาคนนี้ไม่มีโผล่มา พอจะโผล่ก็มากันจังเลยนะ

    “อ้าวมึง มาทำไรวะ” มันไม่ได้ตอบ แค่เดินเข้ามาหาผมด้วยหน้าตาที่นิ่งมาก ถ้าเป็นมันปกติมันคงยิ้มหวานพร้อมกับตอบคำถามนั้นของผม แต่หน้านิ่งๆของมันตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติ อะไรที่ทำให้มันอึดอัด

    “ไงซี” ไม่ใช่เสียงผมนะ เสียงนั้นดังมาจากผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆผมต่างหาก

    “อ้าว รู้จักกันเหรอ” หน้าผมตอนนี้คงตลกมากๆเลยล่ะ  

    “รู้จักสิเคียว ก็คนๆนั้นที่เราเล่าให้ฟังเมื่อกี้ก็คนๆนี้นี่แหละ” ผมเลื่อนสายตาหันไปมองไอ้ซีที่เดินมาจนอยู่ในระยะที่สามารถได้ยินได้แล้ว ผมรู้ว่าเมื่อกี้มันได้ยิน ถ้าเป็นผม ผมคงโวยวายออกมาแล้วว่าเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่กับซี เพราะมันแค่ยิ้มบางๆให้เกรซและดึงให้ผมไปยืนฝั่งมันแทน

    มึงไม่ต้องบอก กูก็อยู่ข้างมึงอยู่แล้ว

    “ฮ่าๆ ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกซี เกรซจะไปอยู่แล้ว ดีใจที่ได้เจอนะเคียว” ประโยคสุดท้ายเธอหันมาพูดกับผมโดยตรงด้วยท่าทีที่เหมือนกับไอ้ซีไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ใจร้ายจัง...

    ผมกับซียืนมองจนเกรซเดินลับตาไป ก่อนที่ซีมันจะหันกลับไปที่ทางเชื่อมแล้วเดิน ทำให้ผมรู้ว่ามันยังไม่เลิกจับแขนผมเอาไว้

    “กูขอโทษนะ” พอผมพูดออกมา ซีมันถึงปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระ

    “เรื่อง?”

    “ถ้ากูรู้ว่าเกรซเขาเป็นแฟนเก่ามึง กูคงไม่คุยสนิทสนมขนาดนั้น”

    “แค่คุยไม่เป็นไรหรอก แต่มีอะไรนอกจากคุยป่ะล่ะ” มันที่มองตรงไปข้างหน้าตลอดหันมามองหน้าผมแทน

    “...แต่มันก็เรื่องของมึงนี้เนอะ” อ้าว เพราะผมตอบช้าไปมั้ง มันก็เลยตีโพยตีพายไปเองว่าผมจะไม่ตอบ แถมยังหันกลับไปมองทางข้างหน้าแทนด้วย โถ่วไอ้สัส ขี้น้อยใจเนอะ ผมแกล้งพ่นลมหายใจยาวๆออกมาก่อนที่จะตอบ

    “เอออออออ มันเป็นเรื่องของกู แต่กูบอกมึงได้ ไม่มีอะไรนอกจากคุย ถ้ามึงไม่นับช่วยเขาถือของอ่ะนะ” ซีมันหันกลับมายิ้มหวานให้ผมทันที ผมได้ซีคนเดิมกลับมาแล้วสินะ

    “จริงดิ เขาไม่ได้... เอ่อ...”

    “นิดหน่อย แต่กูเฉยๆว่ะ” ผมรู้ว่ามันจะพูดอะไร แล้วมันก็คงไม่ดีนักถ้าเราจะพูดถึงผู้หญิงในเรื่องแบบนี้ มันเลยเลี่ยงที่จะไม่พูดออกมาตรงๆ

    “เฉยๆเนี่ยนะ ไม่สวยเหรอวะ”

    “สวย น่ารัก เป็นกันเอง ดีทุกอย่างเลย”

    “แล้วทำไมเฉยๆอ่ะ”

    “ไม่รู้ดิ เฮ้ยๆกูไม่ได้กวนตีนนะ แต่ไม่รู้จริงๆว่ะ กูแค่ไม่รู้สึกว่าอยากจะจีบเขาหรืออะไรแบบนั้นมากกว่า แต่ถ้านับเป็นเพื่อนอีกคนก็ได้นะ” ซีมันพยักหน้างึกงักแบบที่มันชอบทำ ซึ่งผมมองว่าแม่งปัญญาอ่อนมาก ฮ่าๆ

    “ถ้าเพื่อนกูอนุญาตให้กูนับเขาเป็นเพื่อนอีกคน”

    “เฮ้ย นับได้ จริงๆแล้วกูไม่ได้เลิกกับเขาแบบไม่ดีนะ ยังคุยกันได้ แล้วมึงก็คุยกับเขาได้”

    “อื้ม มึงไม่ติดใจก็ดีแล้วแหละ แต่กูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมึงถึงชอบเขา” ซีมันขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่าไม่รู้อ่ะ

    “ทำไมวะ” นั้นไง

    “ก็มึงดูเป็นคนที่มีภูมิต้านทานกับอะไรที่น่ารักๆและขยันหว่านเสน่ห์น้อย น้อยยยยแบบติดลบอ่ะ” กูพูดความจริงเสือกตบหัวกูอีก

    “แล้วมึงมีเยอะนักรึไง ถ้ามึงโดนแบบนั้นทุกวันอ่ะ” ผมขำ แสดงว่ามันคงใจแข็งอยู่นานเหมือนกันกว่าจะตกลงคบกัน

    “เยอะกว่ามึงเยอะอ่ะ มึงไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วกูเป็นปีศาจในร่างเทพบุตร”

    “ไอ้เรื่องปีศาจกูว่ากูรู้นะ แต่ไอ้เทพบุตรนี้กูว่าไม่ใช่” อ้าวไอ้นี้

    “แต่มึงก็เฟี้ยวใช่ย่อยนะ กูไม่คิดว่ามึงจะจีบลูกครูฝ่ายปกครองแถมยังคนล่ะโรงเรียนอีก นี้มึงแย่งเด็กบ.ค.ทั้งโรงเรียนได้ไงเนี่ย” มันแค่ขำ อาจจะตีความได้อีกอย่างว่าไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องพวกนี้ด้วยแหหละ แต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าผมเลยห้องสภามาแล้ว...

    “เฮ้ยๆ กูจะไปห้องสภานะ”

    “อ้อ กูกำลังจะถามว่ามึงจะไปไหน สภาอยู่นั้นไง” เจอแล้วววววว กว่าจะเจอ

    “มึงรอแปป กูเอาของไปให้เพื่อนก่อน”

     

    D-1

    วันนี้ตอนเข้าแถวโรงเรียนก็ประกาศชัดเจนเลยครับว่าเราสามารถไปทำบูธได้ตามสะดวก ชนิดที่ว่าจะไม่มีครูคนไหนเข้าสอนให้กวนใจ แน่ดิครับพรุ่งนี้งานวิชาการแล้วนิ พวกจัดบูธก็ต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้แล้ว

    หลังจากที่มีประสบการณ์จากเมื่อวานว่าถ้าเรานอนอยู่ห้องชมรมก็จะได้นอนยาวอย่างนั้นไปจนเย็น พวกผมเลยยกโขยงกันไปบ.ค. แวะไปช่วยคนนู่นคนนี้จัดบูธแบบไม่มีหลักมีแหล่งสุดๆ ล่าสุดผมเจอไอ้เซนวิ่งวุ่นอยู่ครับ เหมือนมันมีหน้าที่ดูเรื่องปัญหาต่างๆของแต่ล่ะบูธ ที่ถ้าเป็นของเล็กๆน้อยๆทางบ.ค.ก็จะจัดหามาให้ครับ และไอ้เซนก็คงอยู่ฝ่ายนี้แหละ เห็นมันวิ่งไปวิ่งมาแบบโครตน่าสงสาร ผมเลยไปช่วยมันมา ช่วยได้แปปนึงก็หมดแรงจนต้องนั่งพักกินน้ำ แต่เพราะผมกินทีเป็นขวดๆเลยโดนไอ้เซนไล่ให้เอาเอกสารไปให้ห้องประชาสัมพันธ์แทน

    เพราะเมื่อวานเดินงงอยู่ในนี้นานพอสมควร ผมเลยเริ่มชินๆแล้วล่ะว่าต้องเดินไปทางไหนยังไงบ้าง แล้วที่ๆผมต้องไปนอกจากบูธต่างๆที่จัดที่สนาม แล้วก็มีพวกห้องสภา ห้องประชาสัมพันธ์ ที่ผมก็เดินไปเดินมาจนจำได้แล้วครับ (น่าจะจำได้ก่อนเมื่อวาน เดินหลงนี้มันเหนื่อยเหมือนกันนะ)

    แล้วที่สนุกกว่านั้นคือ ไอ้ก้องอยู่ห้องประชาสัมพันธ์ครับ เพราะอย่างนี้ด้วยมั้งไอ้เซนเลยให้ผมเอาเอกสารมาห้องนี้ นั่งตากแอร์ในห้องประชาสัมพันธ์ได้ไม่นานก็โดนไอ้ก้องลากไปพูดออกไมค์ครับ ผมพูดเลยนะว่าเพื่อนในโรงเรียนผมคงขำกันแบบไม่มีความเกรงใจ เผลอๆมันอัดเสียงเอาไว้ด้วยครับ ไอ้ก้องนะไอ้ก้อง

    ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกดีครับ

    นี้ผมได้เพื่อนใหม่หลายคนแล้วเนี่ย ทั้งเด็กบ.ค. เด็กม.ส. (ชื่อย่อโรงเรียนไอ้ซีกับไอ้เดลนั้นแหละครับ) รวมถึงเด็กศ.ล.แบบผมด้วย วิชาการมันต้องฟิลนี้แหละครับ

    “มึงแวะไปดูนิทรรศการของไอ้ซีบ้างยัง” ตอนนี้ผมกับก้องได้พักแล้ว จริงๆแค่เปลี่ยนจากพูดออกไมค์เป็นนั่งกินขนมหลังห้องแทน แต่รู้สึกดีมากครับ ทำงานเหนื่อยๆแล้วได้กินขนม กินน้ำ แล้วยังแอร์เย็นๆอีก ปีหน้าผมย้ายชมรมดีไหมนะ

    “ยังเลย มึงอ่ะ”

    “มึงยังอีกเหรอ กูแวะไป2ครั้งล่ะ กูนึกว่ามึงไปแล้วซะอีก”

    “กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจัดอยู่ตรงไหนเนี่ย กูว่ากูวิ่งไปมาแทบทุกบูธแล้วนะแต่ไม่เห็นแหะ”

    “มันไม่ได้จัดที่สนามไง มันจัดบนหอประชุมนู่น”

    “จริงดิ สิทธิพิเศษไปอีกสิมึง”

    “กูว่างานหนักกว่าเดิมมากกว่า นี้กูเห็นไอ้ซีอยู่โรงเรียนกูบ่อยกว่าเด็กในโรงเรียนกูอีก” แต่เอาจริงๆผมก็รู้สึกว่ามันมาบ.ค.บ่อยมากๆเลยนะ ที่แท้มาจัดนิทรรศการนี้เอง

    “มึงว่าตอนนี้มันจะอยู่ป่ะ กูแวะไปดูดีไหม”

    “กูมั่นใจว่ามันอยู่ในโรงเรียนแน่ๆแต่จัดนิทรรศการอยู่รึเปล่าไม่รู้นะ เห็นมันมาจัดหลายวันล่ะ ไม่รู้เสร็จยัง”

    “งั้นไว้เดี๋ยวกูค่อยแวะไปล่ะกัน”

    “โหยยยยยยย มึงแม่ง มึงควรไปนานล่ะเหอะ”

    “แล้วมึงมาโหยกูทำไมเนี่ย กูบอกว่าเดี๋ยวไป ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไป”

    “กูเห็นมึง2คนสนิทกันแบบแทบจะกลืนกิน แต่นิทรรศการที่ไอ้ซีตั้งใจทำแทบตาย มึงกลับไม่แวะไม่ดูด้วยซ้ำเนี่ยนะ”

     

    นี้สินะหอประชุม

    โดนไอ้ก้องพูดขนาดนั้น ผมก็ต้องมาแหละครับ ผมไม่คิดว่าไอ้ซีจะจริงจังกับการจัดนิทรรศการอะไรนี้ขนาดนั้นนิ เห็นมันเฉยๆไม่ค่อยพูดถึงด้วยซ้ำ ผมจะไปรู้เหรอว่าต้องแวะมาดู

    หรือผมต้องรู้วะ

    ชั่งมันเหอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็มาแล้วไง

    ซึ่งก็จัดสมกับรวม3โรงเรียนมากครับ เพราะแม่งจัดตั้งแต่ทางขึ้นบันไดเลย งานช้างชัดๆ

    บันไดเป็นปลาซิวไปเลยครับเมื่อผมเปิดประตูเข้ามา นี้มันคือนิทรรศการภาพของจริงเลยอ่ะ แบบเหมือนเป็นนิทรรศการของจริงเลยอ่ะ นี้ผมยืนสตั้นอยู่หน้าประตูสักพัก ก่อนที่จะคิดขึ้นได้ว่าผมมาหาไอ้ซีนี้ว้า แต่ผมจะหามันเจอได้ยังไงเนี่ย

    ทั้งแสงและทุกๆอย่างทำให้ผมเลิกสนใจที่จะหาไอ้ซีเป็นดูภาพพวกนี้แทน และแต่ล่ะภาพก็สวยสมกับเอามาโชว์จริงๆ เฮ้ยๆนี้ภาพตอนพวกผมไปออกชุมชนเอคราวนู่น ถ่ายได้ดีจนผมนี้แทบอยากจะวิ่งไปกอดไอ้ปายเดี๋ยวนี้เลย เห็นภาพพวกนี้แล้วคิดถึงเด็กๆที่นั้นเลย ไว้ว่างๆต้องแวะไปเยี่ยมซะแล้ว

    การเรียงลำดับภาพเริ่มจากโรงเรียนเจ้าภาพ ต่อด้วยโรงเรียนผม ซึ่งตอนนี้ผมก็เดินดูเรื่อยๆจนมาถึงของโรงเรียนตัวเองแล้ว ภาพทุกๆภาพให้ความรู้สึกอบอุ่น คิดว่าคงเป็นธีมของปีนี้ด้วยแหละมั้ง แล้วถ้าใช่จริง ถือว่าพวกนี้ทำออกมาได้ดีมากๆเลย

    แล้วตอนนี้ก็เข้าสู่โรงเรียนสุดท้าย ภาพสื่อความเป็นมันได้โดยที่ผมไม่ต้องดูชื่อคนถ่ายด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเห็นปุ๊บรู้เลยว่าซีถ่าย

    จนผมมาสะดุดกับภาพๆหนึ่ง ที่ถ้ามองผ่านๆก็คงไม่คิดอะไร แต่คนในภาพต่างหากที่ทำให้ผมสะดุด เป็นภาพในวันที่พวกเราไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้านั้นแหละครับ แต่ที่พีคคือ มันตั้งใจถ่ายเด็กๆที่ยิ้มแย้มสนุกสนาม โดยถ่ายเหมือนผ่านจากมุมมองของคนๆหนึ่ง...ซึ่งคือผม

    ถึงแม้ภาพมันจะโฟกัสที่ภาพเด็กๆแต่ผมก็แน่ใจไม่เลยว่าไอ้หน้าเบลอๆของคนข้างๆที่ยิ้มจนปากฉีกไปถึงหูนั้นมันผมแน่ๆ ทำไมมันถ่ายได้ใกล้ขนาดนั้นโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย

    มันผิดที่ผม หรือซีมันเซียนมาก

    สิ่งที่เรียกรอยยิ้มจากผมได้มากกว่าภาพนั้นคือคำอธิบายสั้นๆ ที่เขียนว่า

    ยิ้มมักมีความหมาย

    โอ้โหแคปชั่นซะหล่อเลย ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาแชะภาพไปอวดไอ้รูทหน่อยดีกว่า เป็นไงล่ะ ผมดูเป็นคนดีจะตายเห็นไหม ชอบด่าผมเลวดีนัก

    แต่ลืมปิดแฟรช...

    ถึงจะไม่เคยไปดูนิทรรศการอะไรพวกนี้จริงๆแต่ผมก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าเขาห้ามเปิดแฟรช เผลอๆห้ามถ่ายรูปด้วยซ้ำ แล้วนี้ผมถ่ายเต็มที่เลยทำไงดีเนี่ยยยยย มีใครเห็นป่ะวะ ถ้าไม่มีก็พอจะเนียนๆได้แหละนะ แต่ถ้ามี...

    “คิดว่าไม่มีใครเห็นเหรอ!

    “กูขอโทษนะ กูลืมอ่ะ มึงจะลบภาพก็ได้นะ” ผมก้มหน้าแบบสำนึกผิดสุดๆและส่งโทรศัพท์ให้ใครสักคนที่ดุผมเมื่อกี้

    “ฮ่าๆ มึงเปิดแฟรชภาพจะสวยอะไรอ่ะ” เดี๋ยวนะ เสียงคุ้นมาก...

    “ฟายยย แล้วทำเสียงดุทำไมเนี่ย กูตกใจหมด” ไอ้ซีนั้นเองครับ

    “ฮ่าๆๆ ก็มึงตลกอ่ะ แล้วไม่มีใครเคยบอกมึงรึไง ว่าห้ามเปิดแฟรช”

    “ก็กูลืมไงงงงงง”

    “มึงมาขอภาพต้นฉบับจากกูก็ได้นะ ภาพนี้กูถ่าย”

    “กูเห็นภาพก็รู้แล้วว่ามึงถ่าย”

    “ทำไมอ่ะ” อ้าว ถามกลับทำไมวะเนี่ย จริงๆมันควรจบแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ให้มันมาถามต่อ แล้วผมต้องตอบว่าไรวะเนี่ย...

    “กูได้กลิ่นฟีโรโมของมึงออกมาจากภาพ”

    “ไอ้สัส ฮ่าๆๆๆ” เป็นการโกหกที่โครตจะไม่เนียน แต่เอาว่ะ ถึงจะไม่เนียนก็เรียกเสียงฮาได้แล้วกัน







    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    เย่เย่เย่ คอมเม้นต์ล่าสุดส่งแรงผลักดันให้เปิดคอมมาแต่งต่อเลยเนี่ยยยยย ถึงแม้ใครต่อใครจะบอกว่าเราเป็นนักเขียนอย่าคาดหวังกับคอมเม้นต์ แต่ในเมื่อคอมเม้นต์มันสร้างแรงผลักดันมหาศาลขนาดนี้ ใครจะไม่ต้องการกันล่ะจริงมั้ย เกริ่นมาขนาดนี้เพื่อขอเม้นอีกนะรู้ยัง 5555 อย่าลืมเม้นต์ให้เราด้วยยยยยย ซีกับเคียวเริ่มสนิทกันแบบสิงกันได้ (?) จริงๆแล้วไรท์อิจฉาความสัมพันธ์แบบนี้มากนะ แบบที่รู้ว่ายังไงเราก็สำคัญ... นี้ดราม่าทำไม 5555
    ฝากกดเฟบ กดโหวต และคอมเม้นต์ คอมเม้นต์ คอมเม้นต์ ด้วยนะะะ ซียูววววว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×