ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    mindmate

    ลำดับตอนที่ #9 : EP.3 (2/2)

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 58


    09

    “ทุกคนอิ่มกันแล้วใช่ไหมครับ?”

    “ใช่คร้าบบบบบ”

    “พี่ครับๆ ผมยังไม่อิ่ม” ผมยิ้มแหยะๆให้น้องตัวอ้วนคนหนึ่งที่กำลังสะกิดผมยิกๆ ไอ้เฟรมกำลังยืนพูดใส่ไมค์อยู่ข้างหน้าแต่นอกจากน้องคนนี้ยังไม่สนใจแล้ว ยังมาประทวงว่าไม่อิ่มกับผมอีกแหนะ ผมเองก็ไม่ได้ใจแข็งกับเด็กๆนักหรอก พอโดนประทวงเมื่อกี้เลยแอบไปหยิบขนมปังมาส่งให้น้องเขาอีกชิ้น ขนมปังนี้ผมสั่งให้ซื้อมาเผื่อไว้ให้พวกเรากินกัน แต่พอน้องเขายังไม่อิ่มก็ต้องยอมให้น้องไป

    น้องยังไม่อิ่มแต่ว่าพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยเนี่ย

    น้องกินอิ่มกันเรียบร้อยต่อไปก็เป็นกิจกรรมนันทนาการ ซึ่งพวกผมก็คิดอะไรกันง่ายๆแบบร้องเพลง เล่านิทานอะไรประมาณนี้

    ตอนนี้พวกน้องในชมรมกำลังเกาอินโทรเพลงไม่ต่างกัน ซึ่งไอ้เพลงนี้เนี่ย ผมเป็นคนเลือกเอง ตอนแรกให้พวกมันไปเลือกมาว่าอยากร้องเพลงอะไรแล้วพอมันเอามาให้ดู ผมนี้ปวดหัวเลย เพราะพวกมันเลือกเพลงกันฮาร์ดคอร์มาก ร้องให้เด็กอายุ6-15ฟังนี้พวกมึงจะฮาร์ดคอทำไม ผมเลยมานั่งเลือกเพลงใหม่ให้พวกมัน แล้วเหมือนจะโอเคแหะ เพราะป้าที่ดูแลเด็กยืนยิ้มอยู่นั้น รอดๆ

    “ฮ่าๆ เฮ้ยๆชู่วววววว” ผมหันไปมองเสียงอะไรสักอย่างจากด้านหลัง

    พวกในกองกำลังฮาอะไรกันสักอย่าง แต่ฮากันแบบครึ่งๆกลางๆ เพราะพอจะขำออกมาไอ้เดลก่อนยกมือขึ้นมาจุ๊ปากเพื่อระวังไม่ให้พวกมันขำเสียงดังเกินไป แต่พอมาคิดๆแล้ว ผมไม่ได้ดูแลพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ ผมมัวแต่วุ่นๆ วิ่งไปนู่นทีนี้ที สุดท้ายเลยไม่ได้เดินไปคุยกับพวกมันเลยด้วยซ้ำ ไหนๆก็ไหนๆล่ะไปดูหน่อยดีกว่า

    “ไงพวกมึง”

    “มึงนั่งนี้ดิ” ก่อนที่จะพยายามขยับๆจนมีพื้นที่พอให้ผมนั่งได้

    “เป็นไงมั่ง กูไม่ได้มาดูแลพวกมึงเลยเนี่ย”

    “ต้องดูแลอะไรวะ พวกกูดูแลตัวเองได้” ผมหันไปส่งยิ้มให้ไอ้เซน ก็ที่เกริ่นมาเพราะรอคำตอบนี้นี่แหละ

    “พี่ซีเขาแทบจะเอาเด็กกลับไปเป็นลูกได้ล่ะพี่เคียว ซี้กับเด็กไปหลายคนเลยเนี่ย”

    “ซีมันเคยรับจ้างสอนวาดรูปให้พวกเด็กๆอายุประมาณนี้ด้วยนะ” ผมเลิกคิ้วใส่ไอ้เดล มันอยู่โรงเรียนเดียวกันนิเนอะ เรื่องแบบนี้จะรู้คงไม่แปลก

    แต่เดี๋ยวนะ รับจ้างสอนเด็กวาดรูปเนี่ยนะ

    ประโยคว่าไอ้ซีนี้เจ๋งจากปากไอ้เกมส์กลับมาเลย น่าจะจริงเว้ย

    “จริงป่ะมึง”

    “เคยทำอยู่ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเลยพักไว้ก่อน” โอ้โหแหะ ในขณะที่ผมเจอเด็กแค่วันนี้ก็เกือบทำร้ายร่างกายเด็กแถวๆนี้ไปหลายคนล่ะ แต่ไอ้ซีนี้ต้องเจอกับเด็กตั้งกี่ประเภท ตั้งกี่คน เจ๋งจริงๆแหละ ยอมเลย

    “ทำได้ไงวะ”

    “จริงๆถ้าพวกมึงใจเย็นหน่อย มันก็ไม่ได้ยากนะเว้ย แล้วมันก็เงินดีด้วย พ่อแม่บางคนไม่ค่อยมีเวลาอยากได้คนช่วยดูแลลูกแบบเนี่ย” มันก็น่าสนใจนะ แต่ถ้าให้ไปอยู่กับเด็กๆแบบใกล้ชิดขนาดนั้น ผมว่าผมได้ทำร้ายร่างกายเด็กจริงๆแหละ

    อินโทรเพลงสุดท้ายเริ่มขึ้น และไอ้รูทก็พยายามจะส่งสัญญาณคุยกับไอ้เฟรมที่อยู่กับคนล่ะมุมห้องอยู่

    ต่อจากร้องเพลงก็เล่านิทานสินะ        

    เออจริงด้วย

    อยู่ๆผมก็คิดอะไรออกเลยยกมือขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติเฉยเลย ไอ้รูทขมวดคิ้วใส่ผมทันที ที่ผมยกมือนี้ก็อยากให้มันเห็นนี้แหละ ผมพยักหน้ารัวๆใส่มันให้มันเดินมาหาผม ถึงมันจะด่าผมกลับมาแต่ก็ยอมเดินมาหาผมอยู่ดี

    “มึงๆสรุปใครแสดงอ่ะ”

    “พวกไอ้กัมแหละ”

    “แล้วมันยอมเหรอ” ต่อไปพวกผมคิดว่าจะแสดงละครกัน แต่เป็นการแสดงที่ไม่ได้เตรียมอะไรทั้งนั้นเลยครับ ให้ไอ้ยะมันเล่าเรื่องแล้วตัวละครก็เล่นตามบทที่ได้ยินไป the show must go onสุด ผมคิดไว้ว่าจะให้พวกน้องๆในชมรมนั้นแหละแสดง แต่พวกมันบ่นกันงุ้งงิ้งว่าแค่ร้องเพลงก็เหนื่อยแล้ว (เหนื่อยตรงไหนวะเฮ้ย)

    “ต้องยอมอ่ะ”

    “กูมีคนที่เขาอยากทำนะ”

    “ใคร?”

    “พวกนี้ไง” พร้อมผายมือไปรอบๆ

    “ห๊ะ” แล้วนี้คือรีแอคชั่นของพวกที่ผมผายมือไปเมื่อกี้ ไอ้พวกนี้แหละครับเหมาะที่สุดแล้ว จะมานั่งว่างๆได้ไงล่ะจริงไหม

    “เต้ๆ มาเอาขนมไปด้วยดิจะได้เอาไว้กินที่บ้านไง”

    “โถ่วคุณยะ กูก็อยู่บ้านเดียวกับมันเนี่ย บอกกูก็ได้”

    “ไม่เอาอ่ะ กูเบื่อมึง” ยอมครับยอม เห็นแก่เมื่อกี้มันเล่านิทานดีหรอกนะ

    ละครออกมาดีกว่าที่ผมคิดมากครับ เพราะไอ้พวกนี้ไม่รู้อะไรก่อนเลยด้วยล่ะมั้ง มันก็เลยออกมาฮาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย (หน้าพวกมันฮามากครับ) เด็กๆนี้หัวเราะกันยกใหญ่

    Feeling – successful

    พอแสดงละครเสร็จ พวกผมก็ไล่ทุกคนให้มาถ่ายรูปกัน ตบท้ายด้วยมอบของขวัญเป็นตุ๊กตากับหนังสือเล็กๆน้อยๆที่พวกผมไปรีดไถคนในโรงเรียนมา งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราครับ ป้าที่ดูแลพาพวกเด็กๆไปนอนกลางวันกันแล้ว พวกผมเลยเริ่มเก็บกวาดเช็ดถูกันตามระเบียบ มาใช้สถานที่เขานิครับ เราทำไม่สะอาดก็ต้องรับผิดชอบสิเนอะ

    แต่ที่มากกว่าความสำเร็จของละครคือ พวกเพื่อนๆกับน้องๆในชมรมผมเริ่มสนิทกับพวกown labelแบบเล่นหัวเล่นหางกันได้เรียบร้อย ผู้ชายก็แบบนี้แหละครับ สนิทกันง่าย

    “จริงๆมันก็เหลือแค่นิดเดียวเองนะ มึงกลับก่อนก็ได้ เดี๋ยวที่เหลือพวกกูจัดการเอง” ผมที่กำลังเก็บขยะหันไปมองเฟรมที่เดินมาแตะบ่าผมและบอกประโยคที่ผมรอมาอย่างนาน

    “เอางั้นเหรอ กูเกรงใจนะ” แล้วยัดขยะในมือใส่มือไอ้เฟรมแทน

    “คำพูดมึงช่วยคล้องจองกับการกระทำนิดหนึ่งไหมเพื่อน”

    “เออ งั้นกูกลับก่อน พี่เมษ! เรากลับกันเหอะ มันเหลืออีกนิดเดียวเอง”

    “อ้อ เคๆ” ระยะทางจากที่นี้จนถึงบ้านมันไม่ใกล้เท่าไหร่ บวกลบกับรถติดอะไรอีกคงเสียเวลาพอสมควรเลยล่ะ รีบได้ก็รีบดีกว่า

     

    “ผมกับพี่เซนนั่งหลังนะ!” ไม่มีใครแย่งเลยครับเต้ อะไรจะพลังเหลือขนาดนั้น

    ผมเดินเข้าไปนั่งริมหน้าต่างแถว2 ด้วยความที่เป็นรถตู้ ผมเลยสามารถนั่งควบ2ที่ได้เลย และมันก็ควรเป็นแบบนั้น จนไอ้ซีเดินเข้ามานั่งข้างๆผม

    ที่มีเยอะแยะทำไมมึงไม่นั่งที่อื่นวะ

    เปล่านะผมเปล่า ผมไม่ได้งอน

    ไม่ได้ร้อนตัวด้วยจ๊ะ

    โอเค... ยอมรับก็ได้ ผมก็ฉุนๆนิดหน่อยแหละที่ผมดันมารู้เรื่องที่ซีมันเลิกกับแฟนจากปากคนอื่น ที่ไม่ใช่มัน

    ทีตอนคบกันบอกผมได้ ทำไมเลิกกันถึงบอกไม่ได้

    ในหัวผมมันไม่มีเหตุผลอื่นเลยนอกจากว่า มันไม่ไว้ใจผม

    คิดมาถึงตรงนี้ก็อารมณ์ขึ้นอีกล่ะ พอผมเห็นว่าซีมันกำลังจะชวนผมคุย ผมเลยรีบหยิบหูฟังมายัดใส่หูก่อน ยังไม่อยากคุยเข้าใจไหม (ไม่อยากไปเหวี่ยงใส่มันด้วยแหละ มันไม่งาม)

    “ฟังด้วยดิ โทรศัพท์แบตจะหมด” แล้วมันก็แย่งหูฟังจากหูผมไปข้างหนึ่ง มันนี้สัมผัสไม่ได้รึไงว่าผมยังไม่อยากคุย แต่ก็เอาเถอะ ยอมๆมันหน่อยล่ะกัน แค่ฟังเพลงเอง (ใช่ไหม)

    “มึงมีอะไรก็บอกกูได้นะ” แล้วมึงจะพูดลอยๆขึ้นมาทำไม เพราะตอนมันพูดไม่ได้มองผมด้วยซ้ำครับ ถ้ามันแอคติ้งทำเป็นพูดกับออกซิเจน ผมก็จะแอคติ้งว่าไม่ได้ยินล่ะกัน ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาเลือกเพลงแบบเนียนๆ

    “กูรู้ว่ามึงได้ยิน” กูก็รู้ว่ามึงไม่ได้พูดกับออกซิเจน

    “ทีกูมีเรื่องอะไรกูยังบอกมึงเลยนะ”

    “มึงก็ไม่ได้บอกกูทุกเรื่องป่ะ” ฟังประโยคเมื่อกี้แล้วมันขึ้นเลยครับ ปากลั่นเลยเนี่ย

    “ห๊ะ?” มางงใส่อีก ต้องอธิบายอีกใช่ไหม

    “กูรู้เรื่องมึงเลิกกับแฟนล่ะนะ”

    “อ้อ...” เหมือนเป็นการจบบทสนทนา ผมเลยหันไปมองวิวข้างนอกแทน เผื่อภาพที่ผ่านไปเรื่อยๆจะทำให้ผมอารมณ์เย็นลงได้บ้าง

    “กูไม่ได้ตั้งใจไม่บอกนะ”

    “ไม่เป็นไร กูเข้าใจ มึงก็แค่...ไม่ไว้ใจ”

    “ไอ้เคียวมันไม่ใช่แบบนั้น” แล้วมาดึงหูฟังกูออกทำไมเนี่ย

    “แล้วแบบไหน”

    “อาทิตย์ที่ผ่านมามึงวุ่นๆอ่ะ กูเลยไม่ได้บอก ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก พอกูเลิกกับเขา กูก็อยากบอกมึงคนแรกเลยนะ มึงน่าจะปลอบกูได้” ประโยคสุดท้ายมันเบามากจนเหมือนมันแค่ตั้งใจจะพูดกับตัวเองเท่านั้นแต่ด้วยความที่ทั้งรถมันเงียบมาก (หลับกันแทบหมด ไม่ก็ใส่หูฟังแล้วโยกหัวตามเพลงอย่างเมามัน ผมจะไม่บอกหรอกนะว่าคือไอ้ก้อง) เอาเป็นว่ารถมันเงียบมากจนผมได้ยินประโยคนั้น

    และประโยคเบาๆนั้น ส่งผลให้ผมหายโกรธ

    ซีมันพึ่งเลิกกับแฟน แถมยังต้องถ่ายรายการ มันเลยต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติตลอด ผมลืมคิดไปได้ยังไงว่ามันจะเฮิร์ตขนาดไหน ยิ่งดูมันรักแฟนมันมากด้วย คนแบบมันแค่มองก็รู้แล้วว่า รักใครสักคนไม่มีเผื่อใจหรอก

    “อย่าคิดมากดิว่ะ คนเรามันก็ต้องมีคิดไม่เหมือนกัน ไม่เข้าใจกันบ้าง บางทีมึงลองปรับความคิดดูแล้วไปง้อเขา อาจจะกลับมาคบกันก็ได้นะ” พอมันแสดงออกมาชัดๆว่ามันยังเฮิร์ตอยู่ไม่น้อย ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเลื่อนมือไปตบบ่ามันเบาๆ

    “เคียว ที่กูเลิกกับแฟน...เพราะเขามีคนอื่นว่ะ” ผมเงียบ ผมจะไม่ยุให้มันกลับไปคบกับคนแบบนั้นเด็ดขาด คนๆนั้นไม่มีค่าพอให้ได้รับความรักจากซีหรอก

    “เขาบอกว่ากูน่าเบื่ออ่ะ อะไรที่เขาต้องการ กูก็ให้เขาไม่ได้แล้วกูยังไม่ค่อยมีเวลาให้เขาอีก เขาเลยมีคนอื่นว่ะ” มันไม่ใช่เหตุผลอ่ะ คุณไม่สามารถเอาเหตุผลที่ว่าแฟนคุณน่าเบื่อหรือไม่มีเวลาให้มาเป็นข้ออ้างในการนอกใจเขาหรอกนะ ยิ่งเขาคนนั้นเป็นซี ยิ่งไม่ได้ใหญ่

    “ลุงครับ! จอดรถหน่อยครับ”

    “จอดทำไมวะ”

    “จอดทำไมเหรอครับคุณเคียว”

    “ผมกับซีมีธุระอ่ะครับ”

    “แต่...”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับลุง มันไม่มีคิวถ่ายต่อแล้ว เดี๋ยวผมโทรบอกพี่เมษเอง” ถึงลุงจะงงๆแต่ก็ยอมจอดรถข้างทางตามที่ผมขออยู่ดี

    “นั่งทำไรอยู่เล่า ไปดิ” ผมลุกขึ้นเรียบร้อยแต่ไอ้ซียังนั่งทำหน้างงอยู่เลย พอโดนผมเร่งมันก็มึนๆลุกขึ้นเดินตามผมมาแต่โดยดี  

    “มึงโทรบอกพี่เมษทีว่าเราจะไปสยาม”

    “ไปทำไมวะ”

    “โทรบอกพี่เมษก่อน เดี๋ยวกูบอกว่าไปทำไม” ซีมันเกาหัวแบบโครตจะงงเลยตอนนี้ เออตลกดีแหะ

    เราต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่าครับ ในขณะที่ซีกำลังหยิบโทรศัพท์มาโทรหาพี่เมษตามที่ผมบอก ผมก็เดินตรงไปที่BTSครับ ลุงจอดได้พอดีเป๊ะเลย คนยิ่งขี้เกียจเดินอยู่

     

    “สรุปเรามาสยามทำไมเนี่ย”

    “มาทำให้มึงหายเฮิร์ตไง” ผมมาที่นี้ไม่บ่อยมาก ส่วนมากถ้าผมจะมาผมจะวางแผนไม่ก่อนว่าอยากไปไหน ถ้าให้มาเดินดูเรื่อยๆนี้ไม่ไหวครับ เหนื่อยแย่ อย่างครั้งนี้ผมก็วางแผนไว้แล้วล่ะว่าจะพาซีไปที่ไหนที่จะทำให้มันหายเฮิร์ต

    “ที่นี้ไง”

    “ร้านกล้อง?”

    “เยส มึงชอบไม่ใช่เหรอ เห็นว่างๆหยิบกล้องมาแชะภาพตลอด ตอนกูเฮิร์ตอ่ะนะกูชอบไปที่ๆกูชอบ ซื้ออะไรที่กูชอบ ช่วยได้เยอะเลยนะเว้ย เอาดิ เข้าไปเลย”

    “ทฤษฎีนี้คงใช้กับกูไม่ได้อ่ะ”

    “ทำไมอ่ะ”

    “กล้องแต่ล่ะกล้องมันไม่ใช่ถูกนะเว้ย แล้วกล้องที่กูมองๆไว้ก็เกือบ2หมื่นอ่ะ นี้กูเฮิร์ตแล้วยังต้องแดกแกลบอีกเหรอวะ” อ้าวเฮ้ย อุตสาห์ถ่อมาถึงนี้แล้วแป้กเหรอเนี่ย หน้าผมคงช็อกมากจนไอ้ซีมันยื่นมือมาตบบ่าผมและพูดว่า “ไม่เป็นไรเว้ยมึง ถือว่าความตั้งใจให้เต็ม100เลย” แต่ไม่ค่อยช่วยนะ

    “เดี๋ยวกูซื้อให้”

    “จริงดิ!

    “มึงไม่ต้องตกใจ กูไม่ได้จะซื้อกล้องให้มึง กูยังไม่อยากแดกแกลบ แต่ถ้าเป็นเลนส์ก็พอไหวนะ”

    “เหยดดดด นี้มึงจะซื้อเลนส์ให้กูเหรอ”

    “เอออออ ถามมากเดี๋ยวกูก็ไม่ซื้อให้เลย”

    “โครตป๋าเลยว่ะ” แล้วมันก็เดินเข้าร้านไปเลยครับ ไม่ต้องจ่ายตังแล้วรีบเลยนะมึง ผมจะมัวโอ้เอ้ไม่ได้ เดี๋ยวไอ้ซีมันหยิบเลนส์ที่แพงเกินไปผมก็ไม่สู้นะเฮ้ย สัก2 3พันก็กินแต่มาม่าแล้วเนี่ย

    “มึงว่าอันนี้ดีป่ะ” ผมพึ่งหันไปยิ้มให้พี่พนักงานเอง มันเลือกได้เฉย กูยังไม่พร้อมเสียตังนะเพื่อนรัก

    “มึงว่าดีป่ะล่ะ กูไม่ค่อยรู้เรื่องเลนส์เท่าไหร่” กล้าๆไว้ครับ เราอย่าไปแสดงว่าอ่อนแออออ

    “ก็ดีนะ รุ่นนี้พึ่งออกด้วย กูกำลังบ้าเล่นกล้องรุ่นนี้อยู่พอดี ราคาก็ไม่แพงมาก”

    “เท่าไหร่อ่ะ” ไหนขอดูหน่อยว่าไม่แพงมากนี้กี่บาท

    4พัน” นั้นแพงสำหรับกูนะ

    “เหรอ... มึงไม่สนอันนี้เหรอ” เราต้องเบี่ยงเบนครับ 4พันไม่ไหวอ่ะ กินมาม่า2เดือนแน่เลย

    “อันนั้นกูมีแล้วอ่ะ แต่อันนี้กูยังไม่มี อยากได้” เอาแก้มไปถูเลนส์เขาทำไมเนี่ยยยยย เดี๋ยวของเขาเสียหาย ต้องซื้อเลยนะเว้ย

    “มึงไม่ลองดูให้ทั่วๆก่อนอ่ะ อาจจะมีที่มึงชอบอีกก็ได้ เลนส์เยอะแยะเต็มไปหมด” ขออันใหม่ที่ถูกกว่าเดิมด้วยนะ

    “ไม่เอาอ่ะ รุ่นนี้กูเล็งมานานล่ะนะ ตั้งแต่ยังไม่เข้าไทยเลย นี้กูก็ไม่คิดว่ามันจะเข้าไทยเร็วขนาดนี้ เกือบสั่งของจากบริษัทแม่มาแล้วนะเนี่ย โชคดีจังมาเจอที่นี้ก่อน” โชคร้ายของตังในกระเป๋ากูสินะ

    “พี่ครับเอาเลนส์นี้แหละ” เฮ้ย มึงปรึกษากูนิดหนึ่ง ไอ้ซีมันส่งเลนส์ให้พี่พนักงานเรียบร้อย ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินคอตกไปจ่ายตังแต่โดยดี คิดผิดนะเนี่ยที่พามันมาซื้อของที่มันชอบ ลืมคิดไปซะสนิทว่าของที่มันชอบไม่ใช่ถูกๆซะหน่อย #ร้องไห้หนักมาก

    “ซื้อของที่ชอบนี้หายเฮิร์ตจริงด้วยว่ะ” จริงๆมันอาจจะไม่ได้หายไปไหนหรอก มันน่าจะย้ายมาอยู่ที่ผมแทนมากกว่า

    หมดเลยครับหมด เงินค่าขนมเดือนนี้ (และเงินเก็บด้วย)

    อยู่ๆก็รู้สึกรักบัตรATMมากจนไม่อยากยื่นให้พี่พนักงานเลย

    “โอ้ยแฮปปี้” เดินออกมาจากร้านไอ้ซีก็ยังไม่เลิกอวยเลนส์ใหม่ แถมตอนนี้มันกำลังหยิบกล้องที่มันใส่กระเป๋าสะพายมาลองเลนส์ใหม่อีกตั้งหาก เอาเลยเอาที่สบายใจ 4พันนนนน

     “มึงดูภาพดิ โครตเจ๋ง” ไหนๆเงินมันก็เสียไปแล้ว อย่ามัวฟูมฟายให้เสียเวลา (จริงๆฟูมฟายไปก็ไม่ได้เงินคืน) ผมเลยหันไปสนใจภาพที่ไอ้ซีอวดว่าสวยมากแทน ภาพสวยจริงๆแหละครับ คนในภาพก็หล่อมาก (ผมเอง) ที่ภาพมันสวยนี้เพราะกล้องมันดี คนถ่ายมันดี หรือเพราะเลนส์มันดีกันแน่ แต่เอาเป็นว่าภาพมันออกมาสวย เราไม่ควรมีปัญหาเนอะ

    “อ๊ะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากกล้องก็เจอแบงค์พันวิ่งอยู่ตรงหน้า เป็นไอ้ซีนั้นเองที่ยื่นตังมาให้ผม

    “ไม่ต้อง กูซื้อให้มึงไง” ถึงจะเสียดายตังมากขนาดไหนแต่ถ้าให้รับตังคืนจากไอ้ซีอีกทีก็ไม่ใช่เรื่อง ผมพูดเองนี้หนาว่าจะซื้อให้มัน

    “มันตั้ง4พันเลยนะ แดกแกรบมันแสบตูดนะเมิงงงง”

    “โถ่ไอ้สึส แต่ไม่ต้องห่วงเว้ย ยังไงข้าวเช้ากับข้าวเย็นก็กินที่บ้านอยู่แล้ว ข้าวเที่ยงเดี๋ยวแย่งเพื่อนเอา” ที่นี้ก็ไม่เสียสักบาท ดี๊ดี

    “งั้นเอางี้ เราหารครึ่งกัน” ผมเลิกคิ้วใส่มัน หารครึ่ง?

    “ถือว่ามึงซื้อให้กู2พันแล้วกูก็ซื้อให้ตัวเองอีก2พัน”

    “เอางั้นเหรอ”

    “อื้ม แฟร์ๆไง” เอาว่ะ ไม่ขัดศรัทธาล่ะกัน (ไม่ต้องกินมาม่า2เดือนแล้วเว้ย)

    “ยังไงก็ขอบใจนะ มึงช่วยให้กูหายเฮิร์ตได้จริงๆแหละ แล้วเจอรักใหม่ด้วย” และเอาแก้มไปถูเลนส์อีกครั้งหนึ่ง เอาเหอะ แล้วแต่เลยยยย

    “เออ ไปหาไรกินกัน”

    “มึงเลี้ยงนะ”

    “ไม่ใช่ล่ะ” 2พันก็เกินพอแล้วจ๊ะ

     

    ผมเจอคนที่พามากินบุพเฟ่ต์ด้วยแล้วคุ้มล่ะครับ

    ไอ้ซีนี้แหละ

    เหมือนกินไม่เยอะนะแต่กินได้เรื่อยๆว่ะ ผมกินจนรู้สึกว่าถ้ากินเข้าไปอีกคำพุงจะแตกล่ะ ซีเลยจัดการเอาไปกินให้แทน ไม่ใช่น้อยๆนะครับ มันก็กินจนหมดเรียบก่อนที่เวลาจะหมดด้วย ชูชกเลย

    “นี้กูจะเดินไปขึ้นBTSไหวไหมเนี่ย” พุงถ่วงมากเลย

    “กูอยากกินช็อกโกแลตว่ะ”

    “มึงยังแดกไหวอีกเหรอ”

    “เอาน่ามึง พากูไปซื้อช็อกโกแลตหน่อย เดินเยอะๆมันจะได้ย่อยไง” เอางั้นก็ได้ว่ะ

     

    ผมมองไอ้ซีชี้ช็อกโกแลตชิ้นนู่นชิ้นนี้อย่างโครตเชี่ยวชาญแล้วอดที่จะอึ้งไม่ได้ ถ้าเป็นผมคงใช้เวลาเลือกนานเลยแหละว่าจะกินรสไหนแบบไหนดี ก็มันมีหลากหลายซะขนาดนี้ แต่เหมือนไม่เป็นปัญหากับคนที่ชื่อซีรัส มันเหมือนคนที่มากินบ่อยๆจนจำได้ว่าชอบอันไหนงั้นแหละ

    “มึงมาร้านนี้บ่อยเหรอวะ” ผมพึ่งมีโอกาสชวนมันคุยนี้แหละ เพราะพอถึงซีมันก็พุ่งตัวไปสั่งนู่นนั้นนี้ที่บางอันผมยังงงๆเลยว่าอะไร

    “ไม่บ่อยมากนะ กูจะไปร้านตรงกันข้ามบ่อยกว่า แต่วันนี้เขาปิด กินร้านนี้ก็ได้ อร่อยเหมือนกัน” ผมหันไปมองตรงข้ามที่มีร้านๆหนึ่งปิดจริงๆ มันเห็นด้วยเหรอว่ะ

    “มึงเห็นด้วยเหรอวะ”

    “มึงไม่เห็นเหรอ” ผมพยักหน้าใส่มัน ไม่เห็นอ่ะดิ ไม่ทันสังเกตเลยเหอะ

    “กูชินมั้ง กูเห็นว่าปิดตั้งแต่ยืนอยู่บนบันไดเลื่อนแล้ว” เฮ้ยนี้ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ๆก็อยากกินช็อกโกแลตแล้วนะ

    “มึงกินติมป่ะ ร้านนี้อร่อยนะ” ถึงจะยังงงๆกับความเป็นผู้เชี่ยวของไอ้ซีแต่ไอติมสำคัญกว่าครับ ยิ่งมันบอกว่าร้านนี้อร่อยยิ่งพลาดไม่ได้

     

    ผมกับซีเดินออกมาจากร้านช็อกโกแลตแล้ว ผมได้ไอติมมาโคนหนึ่ง ซึ่งอร่อยเหมือนที่มันบอกนั้นแหละ รสช็อกโกแลตก็เป็นช็อกโกแลตแท้ๆเลยอ่ะ เข้มข้นนน ชอบบบ ต้องจำร้านไว้ล่ะ ส่วนไอ้ซีมันได้ช็อกโกแลตมา2กล่องใหญ่แล้วไหนจะช็อกโกแลตสดอีกกล่องแล้วก็ไอติมในมืออีกโคน มันซื้อเยอะเหมือนกันนะเนี่ย

    “มึงซื้อเหมือนจะได้มาร้านนี้อีกทีปีหน้า”

    “บ้า แค่นี้คืนเดียวก็หมด”

    “มึงจะบ้าเหรอ เยอะขนาดนี้ กินกัน6คนจะหมดคืนนี้รึเปล่ายังไม่รู้เลย”

     “ถ้ากูให้มึงกินไอติมกล่องใหญ่2กล่องให้หมดภายในคืนนี้ มึงทำได้ป่ะ”

    “ถ้าเป็นรสที่กูชอบ 3ชั่วโมงก็หมด”

    “ก็เหมือนกูนั้นแหละ กูรักช็อกโกแลตพอๆกับที่มึงรักไอติม” พูดจบมันก็หยิบช็อกโกแลตออกมากินชิ้นหนึ่ง ทั้งๆที่ในมือยังถือไอติมอยู่เลย แต่ผมพึ่งรู้นะว่ามันเป็นทาสช็อกโกแลต (ผมเป็นทาสไอติม) ผมนึกว่ามันแค่อยากกินเฉยๆเลยมาซื้อซะอีก ไม่ใช่แหะ แล้วที่ปกติไปร้านขนมที่ไหนแล้วมันยอมกินไอติมเป็นเพื่อนผมแทนที่จะกินช็อกโกแลตนี้เพราะอะไรนะ

    “กูพึ่งรู้ว่ามึงเป็นทาสช็อกโกแลต”

    “ไม่ใช่แค่เรื่องช็อกโกแลตหรอก มึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกูอีกเยอะเลย”

    “มึงก็บอกกูดิ กูจะได้รู้”

    “แล้วทำไมกูต้องบอกเมิงงงง”

    “ก็กูอยากรู้”

    “น้องครับ เหตุผลแค่นี้ไม่พอหรอกครับ พี่ไม่ซึ้งสักนิด” อ้าวไอ้นี้ แล้วทำหน้าเหนือคือไรรรร เหนือนักใช่ไหม ตบหัวแม่งสักทีสิ

    “อะไรวะ เถียงไม่ได้ก็ทำร้ายร่างกายแทนงี้เหรอ”

    “ถูก กูได้ทุกทางเว้ยไม่มีเกี่ยง” ผมกับมันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

    ไม่หมือนเลย

    ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอ ไม่เหมือนกับบุคลิกที่มันมี ไม่เหมือนกับท่าทางที่ถ้าคนไม่รู้จักมองคงคิดว่าเป็นคนเงียบๆคนหนึ่งอาจจะไปในทางหยิ่งซะด้วยซ้ำ แต่ตัวมันมีผมได้มาสัมผัสทำให้ผมได้รู้ ว่าไอ้ซีที่ผมเคยคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ใช่สักนิด

    เริ่มสนุกแล้วสิ ตัวตนจริงๆของมึงเป็นยังไงกันแน่นะ

     

     






    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    อากาศร้อนแบบแทบจะละลายมาครึ่งวัน แต่ตอนเย็นพายุเข้าเฉยจ้า ลมนี้พัดแรงเหมือจะหอบบ้านไรท์ไปด้วย เลยพึ่งได้แวะมาอัพเพลานี้แหละ ไฟนี้ก็ดับไปซะเกือบ4ชม. ตอนนี้ก็ติดๆดับๆอีก หวั่นใจมาก 5555 แต่ยังไงก็อยากจะอัพตอนนี้ให้ลองอ่านดูเพราะอยากเห็นฟีคแบ็กกกก ยังไงฝากด้วยนะคะะะะ
    ฟีคแบ็กนั้นสำคัญกับไรท์พอๆกับไอติมเลยนะ 5555 คอมเม้นด้วยนะค่าาาาา ขอบคุณล่่วงหน้าเลยล่ะกานนนน

     

                                                         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×