ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    mindmate

    ลำดับตอนที่ #5 : EP.1 (2/2)

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 58


    05

    “เคียวๆ มึงลุกไปกินข้าวก่อน ไว้ค่อยมานอน”

    “อื้มๆ” โดนปลุกมากินนี้ไม่ค่อยเคืองเท่าไหร่นะ

    หลังจากเข้าช่วงตอบคำถามเสร็จ ก็จบงานวันนี้ครับ ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย แล้วผมก็หลับไปเฉย บางทีก็คิดนะว่าตัวเองผิดปกติอะไรรึเปล่า หลับได้หลับดี

    ส่วนคนที่ชนะและได้คะแนนช่วงตอบคำถามไป คือ ไอ้เต้ครับ เห็นมันไร้สาระ แต่มันความจำดีแหะ ไม่ใช่แค่ความจำดีแต่มันใส่ใจเก็บรายละเอียดด้วยแหละผมว่า

    แต่อันนี้พีคกว่า ที่โหล่ไงที่โหล่ ฮ่าๆ

    ผมเองแหละ

    ก็บอกแล้วว่าไม่ถนัดไง โห้ยยยยย

     

    “ชักช้านะมึง คนอื่นเขารอเนี่ย”

    “ก็ใครจะไปรู้ว่าครอบครัวสุขสันต์ขนาดต้องรอแดกพร้อมกัน”

    “มึงพูดถูก กูก็คิดแบบมึง” ผมหันไปซุบซิบกับไอ้เซน

    ตอนนี้คือพวกเราทั้ง6คนนั่งกันรอบโต๊ะเรียบร้อย และก็เหลือกล้องที่ถ่ายแค่ตัวเดียว ตอนแรกมีหลายตัวมากครับ แบบกะเอาทุกมุม

    ตัวผมได้นั่งข้างเซนกับเดล จริงๆนั่งไหนก็ได้ไม่ซีเรียส

    “ทำไมกล้องเหลือแค่นี้?”

    “เขาบอกว่าเดี๋ยวถ่ายฉากกินข้าวเสร็จก็จะจบวันนี้แล้วเว้ย ดีเนอะ” ไอ้เดลนี้โครตลั้ลลา แต่ผมเห็นด้วยอย่างแรงเหอะ

    “ดีมากด้วย” อุอิ ใช้ชีวิตโดยมีกล้องตามถ่ายนี้ไม่สนุกหรอกนะ ทำอะไรนี้ต้องระวัง ลำบากลำบนมากโห้ยยยย

    “กินได้!” อ้าวพึ่งสังเกตว่าไม่ได้มีแค่พวกเรา6คนแหะ แต่มีพี่เมษอีกคน ชั่งพี่เมษเถอะ กินดีกว่า

    “อร่อยนะเนี่ย! พี่มีฝีมือเหมือนกันนะพี่เมษ”

    “ใครบอกว่าพี่ทำ เขามีแม่บ้าน” อ้าวเหรอ เออดีแหะ ถ้าให้พวกผมทำกินเองเห็นแววว่าจะอดตาย

     

    หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็บอกลาพวกพี่ทีมงาน ตอนแรกผมนี้ก็เข้าใจว่าพวกทีมงานจะค้างที่นี้ด้วยกัน เพราะบ้านนี้อย่างใหญ่เลย แต่เปล่าแหะ แล้วมีการทิ้งกล้องไว้ให้พวกผมอัดคลิปกันเองตามสบาย แต่ที่ดูๆนี้ไม่เห็นมีใครสนใจกล้องวีดีโอเลย เห็นสนใจกันแต่เกมส์...

    “เออพวกมึง ห้องนอนอ่ะมันมีห้องเดียว เตียง3พื้น3 พวกมึงจะนอนตรงไหนกัน” ผมที่กดจอยอยู่หันไปมองหน้าก้อง แล้วดูเหมือนว่านอกจากผมนี้ไม่เห็นจะมีใครสนใจสักคน

      “กูขอเตียงติดหน้าต่าง”

    “งั้นกูขอเตียงต่อจากเคียว” พอจะเข้าใจล่ะว่าทำไมเปิดประเด็นขึ้นมา ประเด็นคือจะนอนเตียงไง

    “กูต่อพี่ก้อง”

    “โอเคครบ! สรุปกู ก้อง เดล นอนเตียง ที่เหลือก็ปรึกษากันเองนะว่าใครจะนอนตรงไหนของพื้น”

    “โอเค!” ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจนอกจากผม ก้อง เดลล่ะครับ ไม่สนใจก็เรื่องของพวกมัน ได้นอนเตียงแล้วจะแคร์อะไร

    “ชนะอีกแล้ว ปึกปึกปึก ชนะอีกแล้ว ปึกปึกปึก จะชนะพี่เนี่ย ต้องฝึกฝนอีกเยอะนะน้องนะ” ผมตบบ่าไอ้เซนไปทีสองที

    “เล่นกันต่อไปนะเด็กๆ กูไปนอนดีกว่า”

     

    -ตี2-

    *ปึก*

    “ทำไมมึงนอนดิ้นนักวะ” ตื่นจนได้ นึกว่านอนข้างไอ้ก้องแล้วจะดีล่ะนะ แต่ที่ไหนได้ นอนดิ้นชิพ แล้วผมก็เป็นพวก...ตื่นแล้วหลับต่อไม่ได้แล้ว แง้

    กี่โมงล่ะเนี่ย

    เฮ้ย ตี2เร็วจังว่ะ จริงๆผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านอนไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนตื่นนี้แหละ แล้วเอาไงต่อดี นอนต่อก็ไม่ได้ จะตื่นไปเรียนตอนนี้ก็รีบเกินไปหน่อย

    ถ้าจำไม่ผิดนะ เดินออกจากห้องนอนออกไป แล้วเดินผ่านห้องหนึ่ง จะเจอระเบียงครับ อยากไปปปปป ห้องนอนอยู่ชั้นสองมันก็ดีอย่างนี้แหละ

    จุดนี้ผมอยากออกไปนั่งริมระเบียงแล้วเล่นทวิตอะไรไปชิลๆจนเช้าเลย แต่ปัญหาคืออะไรรู้ไหม ปัญหาคือ ข้างนอกมันมืด แล้วผมกลัวความมืด อะไรนักวะเนี่ย

    มันเริ่มจาก

    ตอนผมประมาณ6ขวบ ผมเคยเล่นซ่อนแอบกับพี่แล้วก็ลูกพี่ลูกน้อง ประมาณ6 7คน ฟิลวันรวมญาติประมาณนั้น แล้วผมก็เข้าไปซ่อนในตู้เก็บของเล็กๆ แล้วทีนี้ พี่ผมมันดันแกล้งครับ เอาโซฟามาบังประตูตู้ไว้ ตอนแรกผมก็ขำๆครับ นั่งรอมันมาเปิด ไม่โวยวายอะไร

    แต่ผมดันหลับครับ ผมบอกแล้วว่าผมเป็นโรคอะไรสักอย่าง หลับได้ทุกทีทุกเวลาจริงๆ ถถถ ตอนนั้นกว่าผมจะตื่นก็เกือบ3ทุ่มล่ะครับ พอตื่นมานี้ได้ยินเสียงคนเรียกลั่นบ้านเลย ผมก็เลยตะโกนตอบไป สุดท้ายก็มีคนมาช่วย ส่วนพี่ผมนะเหรอครับ... มันลืมครับว่าขังผมไว้ในตู้ ออกไปเที่ยวกับอาสบายใจ

    แต่ที่พีคกว่าคือหลังจากนั้น เพราะว่าผมโดนขังอยู่ในตู้เก็บของนานขนาดนั้นใช่ไหมครับ ผมเลยเป็นภูมิแพ้ฝุ่น แพ้หนักมาก ลามไปเป็นไซนัส บางทีก็เป็นหวัดเกือบทั้งปี ต้องไปฉีดยา กินยาตลอด เคยนอนโรงพยาบาลเป็นเดือนๆด้วยนะ ชีวิตลำบากขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ง่อววววว

    ผมเลยฝังใจว่าอยู่ในที่มืดแล้วอาการจะกำเริบ จริงๆแล้วมันก็ไม่ค่อยเกี่ยวมากเท่าไหร่ แต่คนมันจำไปแล้วอ่ะ มันฝังใจไปแล้ว ไม่รู้จะทำไง

    เป็นเหตุผลที่ทำไมผมต้องนอนเตียงริมหน้าต่าง อย่างน้อยแสงจันทร์ก็ช่วยให้มองเห็นได้บ้าง

    กลับมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้อยากออกไปนั่งริมระเบียงมาก แต่ก็ยังติดที่ความมืดอยู่ดี

    เปิดประตูดูก่อนล่ะกัน เผื่อข้างนอกเขาเปิดไฟทิ้งไว้ แค่เห็นสลัวๆผมก็โอเคล่ะ แต่มืดหมดเลยนี้ไม่สู้

     

    ผมค่อยๆลุกขึ้นยืน เพราะกลัวว่าไอ้ก้องที่นอนอยู่ข้างๆมันจะตื่นไปด้วยแต่ดูจากท่าทางล่ะ แม่งลึก ลึกเกินกว่าจะตื่นง่ายๆล่ะ

    อุปสรรคมันไม่ได้มีแค่นั้น ตอนแรกแสงจันทร์มันก็ช่วยอยู่นะ แต่พอเดินไปเรื่อยๆมันก็มืดขึ้นๆ แต่นั้น! ประตูอยู่แค่เอื้อม เราต้องสู้

    *ปึก* เชดดดด เตะขาใครว่ะ เต็มแรงเลยด้วย เกือบล้มแหนะ

     “อูยยย เจ็บ”

    “ใครวะ โทษทีมึง”

    “เคียวอ่อ”

    “เออๆ แล้วมึง...” ในขณะที่ผมพยายามมองให้ออกว่าคนที่ผมเตะขาไปแบบเต็มแรงเมื่อกี้คือใคร มันก็เลยลุกขึ้นมาให้ผมเห็นหน้าชัดๆเป็นการตอบข้อสงสัยของผม

    “ซี?!

    “เออ แล้วนี้มึงจะไปไหน?”

    “นอนไม่หลับบบบบ จะออกไประเบียงข้างนอกหน่อย”

    “อ้อ ดีๆ” พูดจบมันก็ทิ้งตัวนอนเลยครับ

    เฮ้ย เดี๋ยวนะ....

    “ซี อย่าพึ่งนอนนนน” ผมดึงแขนให้มันขึ้นมานั่งคุยกับผมใหม่อีกรอบ

    “อะไร”

    “ออกไปเปิดไฟให้หน่อยดิ” โคฟเวอร์เป็นแมวแปปนะ วิ้งๆ

    “กู? กูเนี่ยนะ”

    พยักหน้ารัวๆใส่

    “”ทำไมวะ มึงเดินออกไปนิดเดียวก็เจอสวิตซ์ไฟล่ะนะ”

    “นั้นไง! เดินออกไปนิดเดียวช่ะ มึงเปิดให้กูหน่อยดิ”

    “อ้าวววว เพราะ?”

    “กูกลัวความมืดอ่ะ”

    “จริงป่ะ!

    “เออออออ ทำไม”

    “ฮ่าๆ เปล่าๆ เออ เดี๋ยวกูไปเปิดให้ก็ได้ ฮ่าๆ”

    “ขำมากมั้ง” ยังไงก็ต้องรอให้มันไปเปิดอยู่ดี แต่พอเห็นมันขำแบบเต็มที่แล้วอดที่จะด่าไม่ได้ ทำได้แค่เพียงด่าแบบรำพึงรำพันกับตัวเอง สงสารตัวเองไปอีก

    “อะไรนะๆ กูไม่ไปเปิดล่ะ นอนต่อดีกว่า”

    “เฮ้ย ขอโทษๆ โอเคยังจ้ะ”

    “ดีมากไอ้น้อง ฮ่าๆ” กว่ามันจะยอมลุกไปเปิดไฟให้ ทำไมต้องลำบากลำบนขนาดนี้ด้วย

     

    “เคียว กูเปิดให้ล่ะนะ”

    “ขอบใจมาก ฝันดีเว้ย”

    ผมเดินออกไปเปิดไฟที่ระเบียงอีกดวง ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิที่พื้นนั้นแหละ

    ขอบคุณที่บ้านหลังนี้อยู่ติดทะเลสาบพอดีเลย แล้วอากาศตอนนี้ก็กำลังเย็นๆ บวกกับริมทะเลสาบมีแสงไฟอยู่บ้าง วิวตรงนี้ยิ่งสวยเข้าไปอีก

    เอาจริงๆ ผมสามารถนั่งตรงนี้ได้ถึงเย็นพรุ่งนี้เลยนะเนี่ย

    “อ้าว มึงไม่นอนต่อ?” ในขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติจนจะหลุดไปในโลกที่มีแต่ตัวเองแล้ว ไอ้ซีดันเดินมาเกาะระเบียงบดบังทัศนวิสัยของผมซะก่อน

    “มีคนบ้างคนเตะขากูจนตื่นแล้วยังเสือกใช้ให้กูเปิดไฟให้ พอจะกลับไปนอน มันก็ไม่ง่วงแล้วว่ะ”

    “โห่ว ไอ้คนนั้นเลวเนอะ เหอะๆ”

    “ที่สุด” แล้วมันก็ทิ้งตัวนั่งข้างๆผม

    จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมรออยู่สักพักหนึ่ง พอเห็นว่าไอ้ซีมันไม่คิดจะพูดอะไรออกมาจริงๆ ผมเลยหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบ ฟังเพลงดีกว่า

    “มึง.... เคียวววววว”

    “ห๊ะ ว่าไง” ยังไม่ทันจบเพลงเลยด้วยซ้ำ ไอ้ซีก็หันมาเรียกผมด้วยเสียงระดับที่ผมที่ใส่หูฟังและเปิดเพลงอย่างดังได้ยิน

    ไอ้ที่คนเขาบอกว่าจะมีคนเรียกเมื่อเราฟังเพลงนี้น่าจะจริง เฮ้อ

    “มีอะไรไหนบอกเคียวสิ”

    “เปล่าอ่ะ เห็นมึงฟังเพลงแล้วกูเหงา”

    “ใช่เรื่องไหมเนี่ย”

    “เคียว”

    “ว่า” เป็นการคุยกันที่ไม่มีใครมองหน้ากันทั้งนั้น ทะเลสาบข้างหน้ายังน่าสนใจกว่าอีก

    “ชวนคุยหน่อยดิ มันเงียบๆอ่ะ”

    “แล้วทำไมมึงไม่เปิดประเด็นมาล่ะ”

    “กูคิดไม่ออก มึงเริ่มดิ”

    “ก็ได้ๆ งั้น...พ่อมึงชื่ออะไรนะ”

    -แปะ-

    “อูยยยย”

    “ตลกมากมั้ง” ถ้ามันด่าเฉยๆผมก็ไม่อะไรหรอกนะ แต่มันดันตบหัวผมก่อนที่จะด่าไง หาเรื่องเจ็บตัวทำไมเนี่ยยยยย

    “เดี๋ยวกูเริ่มเองก็ได้... ที่โรงเรียนมึงทำอะไรวะ”

    “ทำอะไรอ่ะนะ เรียนหนังสือไง”

    “กูจะพยายามไม่โกรธมึงนะ” หน้ามันตอนนี้อย่างฮาอ่ะ กวนตีนใครก็ไม่สนุกเท่าซีแล้วจริงๆ

    “อย่างกูอ่ะ กูเป็นประธานชมรมถ่ายรูป กูว่ากูเคยเจอมึงที่งานวิชาการด้วย”

    “เจ๋งว่ะ...”

    “มึงก็ใช่ย่อยป่ะวะ เห็นไอ้เต้มันแทบจะเอาของมาเซ่นมึงอยู่ล่ะ”

    “มันก็เล่นไปงั้น จริงๆแล้วกูเป็นประธานชมรมของหมวดสังคมอ่ะ แทบไม่ได้ทำอะไรเลย น้องๆแม่งเลยแย่งกันเข้า”

    “หมวดสังคม... นี้มึงเป็นประธานชมรมจิตอาสาหรอว่ะ!

    “ตื่นเต้นไหมเนี่ย ครูจับสลากโดนชื่อกู กูเลยต้องมาเป็นประธานอ่ะ”

    “โรงเรียนพี่น้องกันเนี่ย มันเหมือนกันจริงๆเนอะ ถ้าเป็นโรงเรียนกูนะ เหตุผลที่เด็กทั้งโรงเรียนแม่งไม่ยอมเป็นประธานชมรมจิตอาสาอ่ะเพราะว่าแม่งงานเยอะไง ทำนู่นทำนี้ทำนั้น แล้วไอ้ที่มึงบอกว่าน้องๆมันแย่งกันเข้าเพราะไม่ค่อยได้ทำอะไรอ่ะ คือมึงทำแทนมันหมดแล้วว่างั้น”

    “มึงบ่นอะไรของมึงเนี่ยซี” พอมันเอาความจริงมาพูดแล้วมันเขินๆเหมือนกันแหะ สมมติถ้าในชมรมมีงานอะไรให้ทำ ผมจะขอคนที่สมัครใจและอยากไปเท่านั้น ใครที่ไม่อยากไปก็ช่างมัน บางทีมีน้องที่อยากไปแค่3 4คน พวกผมก็ต้องทำงานให้เสร็จ แต่สำหรับผมมันไม่ได้ลำบากอะไร อาจจะเหนื่อยมากหน่อย แต่แลกกับการได้ทำเพื่อคนอื่น เชื่อผมเถอะว่ามันคุ้ม

    “มึงรู้อะไรป่ะ กูชอบโดยเพื่อนด่าว่ามองคนไม่เก่ง ไม่เคยเข้าใจว่าคนอื่นเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่ทำไมพอเป็นมึงกูดูออกขนาดแค่มองติ่งหูมึงตอนเนี่ย”  

    พอมันพูดประโยคนั้นจบและสมองผมประมวลผลทั้งหมดได้ สัญชาตญาณก็สั่งการให้ผมหันกลับไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็จริงอย่างที่มันพูด ซีรัสมันมองผมอยู่ พอผมหันกลับไปมอง มันก็ทำให้ผมกับมันตอนนี้กำลังนั่งจ้องตากันอยู่ซะงั้น

    “เอ่อ... มันแปลกๆป่ะวะ” ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมกับมันนั่งจ้องหน้ากันอยู่เฉยๆ แต่พอผมสัมผัสได้ถึงความแปลกบางอย่างผมเลยอ้าปากขัดออกมา ความแปลกล้วนๆไม่มีความรู้สึกอื่นผสมเลย เหอะๆ

    “แปลกเชี่ยไร เขินอ่ะดิมึงอ่ะ” ผมกรอกตาเป็นเลข8ใส่มัน ถ้ามันเป็นดาวโรงเรียนแสนสวย ผมคงเขิน แต่เมื่อกี้มันไม่ใช่ไง ไม่ใกล้คำว่าเขินด้วยซ้ำ แต่ว่าตามันสวยดีนะ ไม่ใช่สีดำสนิททั่วๆไป พอลองมองเข้าไปลึกๆแล้วรู้สึกเหมือนตามันเป็นสีน้ำเงินเข้มมากกว่าสีดำ

    “แหวะ เขินคนอย่างมึงอ่ะนะ”

    “เออเคียว นี้มึงมีแฟนยังวะ?”

    “ง่อวววววววว สบตาแค่เนี่ยหลงรักเค้าเลยหรอ”

    “ไอ้สัส กูแค่อยากรู้ได้ไหมล่ะ”

    “ฮ่าๆ กูยังอ่ะ ตอนนี้ยังไม่มีที่ใช่จริงๆเลย แล้วมึงอ่ะ”

    “กูหรอ กูมีล่ะว่ะ”






    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    แก้คำผิดแล้วก็คำที่ไม่ควรใช้ตามที่บอกล่ะน่าาาาา ยังไงมีอะไรให้แก้หรือชอบอะไรตรงไหนก็บอกกันได้เรื่อยๆนะ
    ปล. พรุ่งนี้มีใครจะไปดูบีสไหม เราไปนะะะ เจอกานนนน / - \
    สุดท้าย ฝากเม้นต์ ฝากโหวต ฝากกดเป็นแฟนคลับด้วยนะจ้ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×