ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    mindmate

    ลำดับตอนที่ #20 : ออกชุมชน (อีกครั้ง)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 58


    20

    “เอออออออออ พวกมึง เย็นนี้... เป็นไรป่ะวะ” เป็นเสียงแรกที่ดังขึ้นมาตั้งแต่พวกผมนั่งเดดแอร์กันกว่า5นาที

    ไอ้ซีโบกไม้โบกมืออยู่หน้าห้องหลังจากสังเกตเห็นความผิดปกติ และประเด็นคือไม่มีใครคิดจะตอบอะไรมันสักคนเลยครับ

    “ใครทำไรพวกมึง?” ไร้คำตอบจากพวกผมอีกครั้ง

    “มึงหยุดเดินแล้วตั้งสตินะเคียววววว” มันยืนงงอยู่สักพักก่อนที่เหมือนจะดึงสติกลับมาได้เลยเดินมาขวางทางผมไว้ ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมผมต้องเดินไปเดินมา แต่มันแค่อยู่เฉยๆไม่ได้เท่านั้นเองครับ

    “มึงนั่งรอแปป”  พูดจบก็จับผมนั่งเสร็จสรรพ และหันไปจัดการกับไอ้ยะที่นั่งเหม่อมองท้องฟ้าไกลอยู่แทน

    “ฮัลโหลลลลลลลลลลลล ยะ ยะ ยะ ยะ” และมันก็จับยะเขย่าๆจนยะต้องยกมือยอมแพ้ในที่สุดครับ

    ก่อนที่จะเดินไปแย่งปากกาจากมือรูท นี้เป็นช่วงที่ผมรอคอยที่สุด เพราะตั้งแต่ผมอ่านจบไอ้รูทก็เอาแต่กดปากกาไปมา ทั้งๆที่ผมด่ามันหรือแย่งปากกาจากมันก็จบล่ะนะ แต่ผมก็ไม่ทำ

    เพราะมัวแต่เดินไปเดินมาอยู่นี้แหละครับ

     เป้าหมายสุดท้ายของซีก็คือเฟรมครับ ไอ้เฟรมนี้เหมือนกินน้ำอยู่ แต่กินน้ำมาจะ5นาทีล่ะนะ เหมือนอยู่ๆก็โดนสาปให้เป็นหินโดยไม่ทันได้ตั้งตัวประมาณนั้นเลยครับ

    ซีมันแย่งแก้วจากมือเฟรมและวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะหันมามองพวกผมอีกรอบ

    “โอเค ใครบอกกูได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?”

    “เฮ้ออออออออ” เป็นการถอนหายใจทั้งหมู่คณะ โดยไม่ได้นัดหมายครับ

    “แล้วกูจะรู้เรื่องม้ายยยยยย” ผมเลยส่งกระดาษต้นเรื่องทั้งหมดให้มันแทนคำตอบ กระดาษใบเดียวแท้ๆ ประโยคเดียวด้วยมั้ง แต่ดึงสติสตังทุกอย่างของพวกผมไปหมดเลยครับ

    “ค่ายอาสาสมัคร?” นั้นแหละครับ... ผมพยักหน้าเนือยๆเป็นการยืนยันว่าไอ้ซีเข้าใจถูกแล้ว

    “น่าสนุกดีนะ”

    “โหหหหหหหหหหห สนุกกับผีอ่ะดิ”

    “ใช่! นี้แม่งโครตงานยาก งานช้าง งานลำบาก งานเครียดของจริงเลยอ่ะ”

     “ถูก! แล้วไหนจะปัญหาเป็นล้านอย่างอีก”

    “ไหนจะเรื่องงบประมาณ”

    “เรื่องความปลอดภัย”

    “เรื่องการเดินทาง”

    “เรื่องสถานที่”

    “เรื่องพี่ค่ายกับน้องค่าย”

    “เรื่องอาหาร”

    “เรื่องใบสมัคร”

    ฯลฯ

    เหมือนเป็นประโยคปลดล็อคให้พวกผมออกมาจากมิติที่4 (ที่สร้างขึ้นเอง) ได้สำเร็จที่สุดเลยครับ เพราะแค่ไอ้ซีพูดว่าน่าสนุกดีนะ พวกผมก็พร้อมใจกันระบายความเครียดทั้งหลายที่ประดังประเดกันออกมาแบบnon stop

    และนี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

    อย่างที่รู้ๆกันว่าชมรมของพวกเราจะต้องออกชุมชนเดือนล่ะครั้ง ซึ่งส่วนมากจะทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของพวกเราครับ (ที่เดือนที่แล้วไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้ามา) ครูสุจิตรา (ครูดูแลชมรม) มักจะให้พวกผมคิดกันเลย จะเอาอะไรก็ไปรายงานครูอีกที ส่วนมากจะเป็นแบบนี้ แทบทุกครั้งก็ว่าได้

    ยกเว้นครั้งนี้

    จะมีส่วนน้อยจริงๆที่โรงเรียนอยากให้ไปทำงานนี้งานนั้น เพื่อใช้เป็นกิจกรรมของโรงเรียนเข้าประกวดบ้างล่ะ หรือเข้าแข่งขันเองบ้างล่ะ โดยจะฝากให้ครูสุจิตรามาบอกพวกผมอีกทีครับ ถ้าครูเขามองว่างานนี้ไม่เหมาะกับพวกผม ครูเขาก็จะพยายามปฏิเสธไป แต่ถ้าครูเขาไม่ได้ปฏิเสธจนเรื่องมาถึงพวกผมก็เหมือนทุกอย่างจบครับ ต้องทำเท่านั้น

    ค่ายนี้เป็นหนึ่งในส่วนน้อยนั้น

    การทำค่ายกับชมรมจิตอาสาเป็นของคู่กันครับ เรื่องนี้ผมก็พอรู้แหละ แต่มันไม่ได้ทำค่ายทุกปีเป็นการบังคับอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เมื่อปีที่แล้วชมรมจิตอาสาก็ไม่ได้ทำค่าย แต่พอมาปีนี้ ปีที่ผมเป็นประธาน ดันต้องทำค่าย

    สั่งสมบุญมาเยอะก็งี้

    แค่พูดว่าต้องทำค่ายนะ ค่ายที่ต้องออกนอกสถานที่ ที่ต้องนอนค้าง ความเครียดหลายๆอย่างก็ประดังประเดเข้ามาเลยครับ และคำถามที่ชัดมากๆในหัวผมคือ เราจะทำได้จริงๆเหรอ?

    การต้องดูแลน้องๆดูแลสวัสดิการต่างๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะครับ เพราะแบบนั้นพวกผมเลยเดดแอร์ขึ้นมาเฉยๆเนี่ยแหละ

    “ใจเย็นๆดิ ลองถามครูเรื่องรายละเอียดดูก่อนป่าว ครูเขาให้พวกมึงทำเขาก็น่าจะมั่นใจในการทำงานของพวกมึงอยู่บ้างแหละ” ซีพูดถูก แต่มันกลับทำให้ผมเครียดขึ้นไปอีกว่า ถ้าเราทำพลาดล่ะ

    “เฮ้ยๆ พวกมึงอย่าพึ่งทำหน้าคิดมากกันขนาดนั้นดิวะ กูรู้ว่ามันไม่ใช่งานง่าย จริงๆมันก็ยากเลยแหละ แต่มึงลองมองอีกมุมหนึ่งดิ ลองมองดูว่ามันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากขนาดไหน...”

    “พวกมึงไม่อยากสู้ดูสักตั้งหรอวะ?”

     

    โอเค ไอ้ซีบิ้วสำเร็จ

    เพราะสุดท้ายพวกผมก็แห่กันมาหาครูสุจิตราเพื่อคุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ (จริงๆใจก็รู้แหละครับว่าถึงจะไม่อยากทำขนาดไหนก็ต้องทำ เลยทำใจยอมรับมันน่าจะง่ายกว่าขัดขืน) แต่ถึงมาคุยก็แทบจะไม่ได้อะไรเพิ่มเลยครับ นอกจากคำขอโทษของครูและเหตุผลหลายๆอย่างที่พวกผมก็เข้าใจ อย่างน้อยๆโรงเรียนก็ยังคงคอนเซบคิดมาแล้วไปเสนอครูของพวกผมไว้อยู่ครับ

    เพราะไม่บอกอะไรมาเลย

    นอกจากให้ทำค่ายอาสานะ 3วัน2คืนนะ ธีมอนุรักษ์ธรรมชาตินะ แต่ธรรมชาติที่ไหน ไปยังไง ที่พัก อาหาร ให้ไปคิดเองทั้งหมดครับ

    อยู่ๆก็อยากให้โรงเรียนสั่งๆมาให้หมดแล้วพวกผมไปทำตามอาจจะง่ายกว่า

    เอาเถอะครับ เราเริ่มเดินล่ะ ยังไงก็ต้องไปต่อให้สุดใช่ไหมล่ะ?

     

    19:00

    ผมเงยหน้าจากหน้าจอคอมมาเจอลูกชิ้นแทนและสายตาก็เลื่อนไปมองเจ้าของลูกชิ้นอีกทีหนึ่ง พอเห็นว่าใครเป็นเจ้าของลูกชิ้น ผมก็งับมันเข้าปากทันที

    “ได้ไรมั่งป่ะ”

    “ก็ไม่ค่อย” หลังจากตกลงกันว่าจะแยกกันไปหาข้อมูลมาว่าเราควรไปจัดค่ายกันที่จังหวัดไหนดี พอเลิกเรียนพวกผมเลยรีบกลับบ้านเพื่อมาเสียเวลาอยู่หน้าคอมนี้แหละครับ ผมเองเนี่ยถึงห้องห้าโมงครึ่งกว่าๆ (ต้องอยู่กวาดถนนเพราะโดนลงโทษก่อนครับ) ก็เปิดคอมหาข้อมูลไปเรื่อยๆจนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนไอ้ซีเข้ามาและยื่นลูกชิ้นให้ผมนี้แหละว่ามันปาไป1ทุ่มแล้ว

    “พักก่อนป่าว” จ้องหน้าจอคอมนานๆตาผมก็เริ่มวิ้งๆแล้วเหมือนกันครับ

    “อื้ม หิวด้วย”

    “โทรสั่งเหอะ แทบไม่มีของสดเลยอ่ะ”

    “เอาดิ โทรเลย เอาเหมือนมึง” ซีมันพยักหน้างึกๆให้ผมก่อนที่จะลุกไปโทรศัพท์

    “เมื่อกี้กูล็อคห้องใช่ป่ะ”

    “ล็อคดิ” และมันก็หันไปโทรศัพท์ครับ อย่าพึ่งสงสัยนะครับว่าผมล็อคห้องแล้วซีมันเข้ามาได้ไง

    เมื่อประมาณ2-3วันที่แล้วผมลืมกุญแจกับคีย์การ์ดไว้ในห้องครับ ต้องไปบอกพี่ที่เคาน์เตอร์ และก็โดนพี่เขาดุมาว่าผมลืมรอบที่4ได้แล้วมั่ง (ผมพึ่งรู้ว่าลืมบ่อยขนาดนั้น) ด้วยความที่ไอ้ซีมันอยู่กับผมด้วยตอนนั้น พี่เขาเลยยกตัวอย่างว่าดูแบบซีสิ เขาไม่เคยลืมกุญแจเลยนะ ผมก็เลยบ่นตามประสาว่า นั้นมันซีนี้ครับไม่ใช่เคียว ให้ซีมันมาเก็บให้เคียวเลยป่ะล่ะ แล้วพี่เขาดันเห็นดีเห็นงามด้วย... เลยหันไปถามซีว่าเอาไหม และแน่นอนครับคนระดับซีรัส

    มันก็ตอบว่าเอาอ่ะดิ

    สุดท้ายไอ้ซีเลยมีกุญแจสำรองห้องผมซะงั้น เดินเข้าเดินออกห้องผมกันแบบไม่มีความเกรงใจและไม่คิดจะเคาะประตูอะไรทั้งนั้น แต่ก็ยังดีนะครับที่มันเอะใจได้ว่าเออ นี้มันก็ไม่ค่อยยุติธรรมกับผมนะ

    เลยเอากุญแจสำรองห้องมันมาให้ผมอีกที

    ผมไม่ค่อยได้ใช้หรอกครับเพราะขี้เกียจเกินกว่าจะขึ้นไปห้องมัน

    แต่มันก็มีประโยชน์ตรงที่ตอนมันจะเข้าห้องผม ผมก็ไม่ต้องถ่อไปเปิดประตูให้มันนี้แหละ

    “กูสั่งราดหน้าไปนะ”

    “เออกินได้หมดอ่ะ” ตอนหิวๆนี้อะไรก็ได้ครับ

    “กูช่วยป่ะ”

    “เอาดิ มึงมีที่ไหนเสนอม่ะ”

    “มึงอยากได้ประมาณไหนอ่ะ”

    “ก็จังหวัดอะไรก็ได้อ่ะ มีธรรมชาติสวยๆ ถ้ามีพวกโครงการอนุรักษ์ก็จะดีมาก” ซีมันทำหน้าคิด ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอกครับ เพราะให้ผมคิดขึ้นมาเฉยๆมันก็คิดไม่ออกจนต้องมาเสิร์ชหาเนี่ย ขนาดเสิร์ชหายังคิดไม่ออกเลยเถอะ

    “เชียงรายไง”

    “ไกลไปปปป” อีกนิดไปเข้าค่ายที่พม่าล่ะนั้น

    “เอาใกล้ๆเรอะ”

    “อื้ม” ซีกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง แต่มีเสียงเคาะประตูขัดขึ้นมาก่อน ผมเลยหันไปเปิดประตูแทน ราดหน้ามาแล้วสินะ

    “กินเลยเนอะ”

    “เคคค” ซีมันเดินจากในห้องผมมาที่โต๊ะกินข้าวแทน “ถ้าเป็นพวกจังหวัดในภาคตะวันออกงี้อ่ะ?”

    “ก็ได้นะ ไม่ใกล้ไป ไม่ไกลไป”

    “พวกมึงไปจันทบุรีดิ” ผมเทราดหน้าใส่จานก่อนที่จะหันมามองซี

    “จันทบุรีหรอ?”

    “อ่าฮะ กูไปมาประมาณ4เดือนที่แล้วมั่ง แต่แวะแค่แปปเดียวเอง เห็นเขาว่ามีป่าชายเลนด้วย แล้วถ้าไปจากกรุงเทพก็นั่งรถประมาณ3ชั่วโมงเองมั่ง” สมองผมกำลังประมวลผลข้อมูลอยู่ จันทบุรี... เป็นจังหวัดในภาคตะวันออก ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพมาก นั่งรถประมาณ3ชั่วโมง... มีป่าชายเลน ก็น่าจะมีพวกโครงการอนุรักษ์อะไรบ้างแหละ อื้มมมม

    “กูว่าน่าสนใจนะ เดี๋ยวจะลองบอกพวกมันดู”

     

    หลังจากปรึกษากันเรียบร้อย เราก็ได้ข้อสรุปกันว่า เราจะไปเข้าค่ายที่จังหวัด 

    จันทบุรี 

    มันเกิดขึ้นเร็วมากครับ เพราะพอโดนถามว่าเอาจังหวัดไรดี ผมก็เสนอจันทบุรีไป (ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว) แล้วพอผมเสนอทุกคนก็เออออและเอาเรื่องไปบอกครู 

    และครูก็อนุมัติเรียบร้อย 

    ผมบอกแล้วว่ามันเกิดขึ้นเร็วมาก 

    การได้สถานที่มันแค่เริ่มต้นครับ พอได้สถานที่ พวกผมก็เริ่มแบ่งงานในส่วนที่เหลือกันแบบจริงๆจังๆครับ เข้าสู่สภาวะโครตวุ่นอย่างเป็นทางการ ผมแทบจะแปะป้ายหน้าห้องว่า ห้ามรบกวน อยู่แล้วครับ เพราะแม้พวกผมจะวุ่นกันมากๆ แต่ด้วยความที่น้องในชมรมมีเยอะมาก พวกผมเลยไม่สามารถแบ่งงานให้ทุกคนได้ ทำให้ไอ้พวกว่างงานส่วนมากแวะมากวนพวกผมเป็นว่าเล่น พอผมด่าทีก็หยุด แล้วก็เริ่มอีก เป็นแบบนี้มา2-3วันแล้วครับ จากปวดหัวอยู่แล้วก็ปวดหัวเพิ่มไปอีก ผมล่ะขอบคุณพวกมันจริงๆ 

    แต่ถึงจะแบ่งงานกันชัดเจน แต่พองานชิ้นนั้นเสร็จ ผมก็ต้องรับหน้าที่วิ่งไปบอกครูคนนู้นทีคนนี้ที หลายๆอย่างมันก็ต้องใช้ความช่วยเหลือจากหลายๆฝ่าย และงานค่ายครั้งนี้ก็เหมือนเป็นค่ายที่ทางโรงเรียนสั่ง พูดง่ายๆคือเป็นงานของโรงเรียนเลยต้องติดต่อกับหลายฝ่ายอยู่  

    ที่วิ่งไปวิ่งมาทุกวันนี้ผมคิดว่าถ้าต้องไปวิ่งมาราธอนหรืออะไรไกลๆก็คงไม่ค่อยลำบากอะไรกับผมเท่าไรแล้วล่ะ 

    ถึงเรื่องทุกอย่างมันจะเหมือนประดับประเดเข้ามาและพันกันไปพันกันมาอยู่ แต่ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่ผมวางใจขึ้นครับ  

    เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกสภาให้ซีเลือกชมรมอยู่ครับ แบบแทรกให้เป็นพิเศษ ไอ้ผมก็นึกว่ายังไงมันก็คงเลือกชมรมผมอยู่แล้ว แต่ผิดคาดครับ ซีมันเลือกอยู่ชมรมถ่ายรูปต่อ มันบอกว่ามันอยากรู้ว่าชมรมถ่ายรูปของที่นี้เป็นยังไง (หน้าผม --> -___-) แม้ผมจะแย้งมันว่าอยู่ชมรมผมก็รู้ได้ เดี๋ยวก็ไม่มีเพื่อนคุยหรอกกก มันก็ยังเถียงผมว่า กูแน่ใจว่าคนที่ถ่ายรูปเหมือนกันจะเป็นเพื่อนกันได้เว้ย ผมเลยปล่อยมันไปครับ ยังไงมันก็เลือกไปแล้ว ช่วงแรกๆก็สืบๆนิดหน่อยว่าใครอยู่ในชมรมบ้าง พอจะยอมเป็นเพื่อนกับซีได้มั้ย (เรื่องไม่มีเพื่อนเลยสักคนนอกจากพวกผมของซีก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของมันอยู่ครับ) หลังจากลองถามๆดู ก็ได้รู้ว่าประธานชมรมถ่ายรูปปัจจุบันของศ.ล. คือริว ริวนี้อยู่ห้อง10ครับ เคยเจอกันบ้างตอนเล่นบาส แต่เหมือนสนิทกันสุดๆ เพราะมันเป็นคนเฟรนลี่สุดๆคนหนึ่งของโรงเรียนเลยล่ะ (อยู่กับยะนี้เหมือนแข่งกันพูดตลอดเวลา)  

    ถือว่าเป็นโชคดีของซีมันแหละครับ พอมันเข้าไปอยู่ในชมรม มันก็ดันสนิทกับริวได้ด้วยความรวดเร็ว (เหมือนทฤษฎีของซีจะใช้ได้) และด้วยความที่ริวเป็นคนเฟรนลี่ มันเลยรู้จักคนเยอะมากกก กลายเป็นว่าไอ้ซีก็รู้จักไปด้วย 

    ไปๆมาๆซีก็มีเพื่อนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะในชมรมที่มันรู้จักแทบทุกคน (จริงๆริวไม่ได้เป็นประธานหรอกครับ แต่ประธานคนนั้นต้องย้ายโรงเรียนด่วน ริวที่เป็นรองเลยต้องขึ้นเป็นประธานแทน ส่วนตำแหน่งรองก็เลยว่างๆและเหมือนจะกลายเป็นตำแหน่งของซีซะงั้น) เพื่อนที่ตอนเย็นจะนัดเล่นบาสเตะบอลด้วยกัน รวมถึงการมีเพื่อนในห้องเรียนเดียวกัน (บ้าง) 

    เผลอๆผมว่าซีอาจจะเพื่อนเยอะกว่าผมด้วยซ้ำเนี่ย 

    เพราะแบบนั้นผมก็เลยวางใจให้มันใช้ชีวิตในศ.ล.ด้วยขาของมันเอง เราเลยไม่ได้สิงกันแบบแต่ก่อน ปกติถ้าว่างๆซีมันก็จะมานั่งๆนอนๆในห้องชมรมผมใช่มั้ยครับ แต่ตอนนี้มันมีชมรมเป็นของตัวเองแล้ว เลยไม่ค่อยได้แวะมา ผมว่าเพราะมันรู้ว่าพวกผมวุ่นด้วยแหละเลยไม่อยากมากวน  

    ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินเรื่องของซีจากปากเพื่อนคนนู้นคนนี้อยู่บ่อยๆ แล้วก็ยังแวะไปขอข้าวที่ห้องมันกิน หรือบางวันมันก็แวะมานอนเล่นในห้องผม แม้ผมจะวุ่นมากจนแทบไม่ได้คุยกับมัน (ตอนทำงานนี้ผมค่อนข้างจะใจจดใจจ่ออยู่ที่งานมากครับ) บางทีหันมาอีกทีมันก็หลับไปแล้วซะงั้น ตอนเห็นแบบนั้นนี้ความรู้สึกผิดก็มาเต็มเลยครับ แต่มันก็แค่ช่วงนี้แหละ 

    สรุปคือ ผมวุ่นกับงานมากจนแทบไม่ได้แวะไปคุยกับมันสักเท่าไร จะเป็นซีมากกว่าครับที่มักจะโผล่มาให้ผมเห็นหน้าบ้าง วันละครั้งสองครั้ง รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน ผมจะแวะไปเล่นกับมันมากขึ้นล่ะกัน 

    เสร็จ! เคียวเอานี้ไปให้ครูแนนที” ผมหยุดพิมพ์เอกสารตรงหน้าและหันไปหาไอ้รูทแทน งานเดินอีกล่ะดิ 

    เออ เอานี้ไปพิมพ์ด้วยรูทมันพยักหน้าและลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย พวกเรานั่งพิมพ์กันจนรากจะงอกออกมาอยู่แล้ว 

    ผมลุกขึ้น ยืดเส้นยืดสายตามรูทก่อนที่จะรับเอกสารที่พึ่งปริ้นท์อุ่นๆมาจากมัน เป็นเอกสารเรื่องการขออนุญาตใช้สถานที่ หลังจากติดต่อไปคุยรายละเอียดจนเรียบร้อยเมื่อวาน ก็มานั่งทำเอกสารทันทีเลยครับ อะไรที่มันทำได้มันก็ต้องทำๆไป เพราะเชื่อผมเถอะว่าผ่านเรื่องเอกสารเมื่อไร มันมีเรื่องอื่นมาแทนแน่ 

    ผมเดินออกมาจากห้องชมรมพร้อมกับเอกสารที่ใส่ซองอย่างดี แต่ยังไม่ทันก้าวถึง10ก้าว ก็มีเสียงไลน์ดังขึ้นมาก่อน 

    ครั้งที่ 1 - เมิน ผมไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ขนาดที่ใครทักมาปุ๊บจะตอบปั๊บขนาดนั้น บางวันไม่ได้เล่นเลยยังได้ครับ แล้วยิ่งตอนนี้มีภารกิจที่ต้องทำอีก คิดว่าผมจะตอบมั้ย 

    ครั้งที่ 2 - เขาอาจจะหยุดแปปหนึ่งไปกับการเลือกสติกเกอร์ก็ได้ ไม่มีไรมั้ง

    ครั้งที่ 3 – คงเรื่องด่วนแหละ เดี๋ยวกลับมาตอบนะ ว่าแล้วก็รีบเอาเอกสารไปให้ครูดีกว่า 

    ครั้งที่ 4 5 6 7 8 ... - โอเค กูยอมล่ะ ตอบก็ได้ 

    ผมยอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครทักมา พอเห็นชื่อคนส่งมาพร้อมๆกับรัวสติกเกอร์ผมก็อยากจะเดินไปตบหัวมันสักที ติดที่มันไม่ได้อยู่แถวนี้ไง
    Cc : 
    เมิงงง 
    เคียววว
    เฮ้ยๆ
    *สติกเกอร์* 
    *สติกเกอร์* 
    *สติกเกอร์* 
    *สติกเกอร์* 
    ฯลฯ 

     ผมกำลังจะพิมพ์ตอบไอ้ซีไป แต่ยังไม่ทันกดส่ง มันก็ส่งข้อความใหม่เข้ามาก่อน
    Ce : 
    12 นาฬิกา 

     ห๊ะ บอกเวลาเหรอ แต่เดี๋ยวมันผ่านพักเที่ยงมานานล่ะ.... หรือว่า 

    ผมหันไปมองทาง12 นาฬิกาแทน ก่อนที่จะเจอเจ้าของไลน์กระโดดๆโบกไม้โบกมือให้ผมอยู่ฝั่งตรงข้าม 

    ตึกนี้เป็นตึกที่ไม่ว่าใครทำอะไรก็สามารถเห็นได้แบบชัดเจนเลยครับ เพราะเป็นตึกที่ออกแบบให้เป็นห้องๆๆๆเรียงกันไปเรื่อยๆเดินออกมาก็จะเจอกับระเบียงและที่นั่งยาวไปเรื่อยๆ และเว้นช่องตรงกลางไว้ให้ชมวิวข้างล่าง (#ผิด) ดังนั้นผมที่อยู่ฝั่งหนึ่งของตึกพอเงยหน้าไปทาง12 นาฬิกา ก็เจอไอ้ซีพอดีเลยครับ 

    ผมลืมบอกไปใช่มั้ยว่าห้องชมรมถ่ายรูปมันอยู่คนล่ะฝั่งกับห้องชมรมผมแค่นี้เอง 

    ผมเลิกคิ้วใส่มันเป็นเชิงถามว่ามีอะไร แต่ด้วยความที่เราอยู่กันคนล่ะฝั่งจะให้ตะโกนคุยกันก็ยังไงอยู่ ผมเลยจะพิมพ์ตอบไป แต่ก็ช้ากว่ามันไปนิดนึง... 

    Cc : 

    ไปไหนน 

    Kw : 

    เอาเอกสารไปให้ครูเซ้น มีไรป่าว

    Cc : 

    แล้วจะเสร็จกี่โมง 

    Kw : 

    ไม่แน่ใจวะ มึงกลับก่อนเลยก็ได้ 

    Cc : 

    งานเยอะเลยหรอม 

    Kw : 

    ประมาณน้านนน 

    Cc : 

    กินติมยัง 

     พูดถึงไอติม วันนี้ผมก็วุ่นๆจนยังไม่ได้กินสักแท่งเลยนี้ว้า อยากกินแล้ว... รีบเอาเอกสารไปให้ครูแล้วไปหาไอติมกินหน่อยดีกว่า
    Cc : 
    กินป่ะ 

     ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่คุยกันอยู่ มันรู้อยู่ว่าผมต้องเอาเอกสารไปให้ครูยังมาชวนกินติมอีก คนยิ่งอยากกินอยู่ ผมกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า เดี๋ยวไป เอาเอกสารไปให้ครูก่อน กะว่าจะกดส่งแล้วเดินไปเลย แต่ยังไม่ทันที่จะได้ส่งเลยครับ 

    พี่เคียวครับผมหันกลับมาตามเสียงเรียก ก่อนที่จะเจอกับน้องม.4คนหนึ่ง ที่เคยเห็นผ่านๆแต่ไม่เคยได้คุยกันจริงๆสักที แต่ผมไม่ค่อยได้โฟกัสที่น้องเขาหรอกครับ โฟกัสที่โคนไอติมในมือน้องเขามากกว่า

    ให้พี่?” คราวนี้งงหนักกว่าเก่าอีกครับ เพราะน้องเขาเล่นยื่นไอติมให้ผม แล้วพอผมถามก็พยักหน้าและพยายามจะยัดไอติมใส่มือผมอีก 

    สุดท้ายผมก็รับไอติมมาจากน้องคนนั้นจนได้
    Cc : 
    กินซะ แล้วเย็นนี้เดี๋ยวรอ 

     ตอนนี้ผมหายงงล่ะครับ เพราะเจ้าของไอติมในมือผมนี้คงไม่ใช่ใครที่ไหน พอผมหันกลับไปที่มัน มันก็ทำท่าดึงแก้มแล้วยิ้มแบบพิมฐาส่งกลับมาให้ มึงไม่เหมือนพิมฐา มึงไม่ควรทำนะซี 

    แต่มันก็เรียกเสียงฮาจากผมได้อยู่ดี

    นี้ผมหยุดคุยนานไปแล้วมั้ง ผมเลียไอติมในมือก่อนที่จะโบกมือลาซี ซึ่งซีมันก็โบกมือรัวๆส่งกลับมาให้ผมเหมือนกัน  

    ก่อนที่จะเดินออกมา ผมก็ไม่ลืมที่จะตอบไลน์ซีก่อนไปหรอกครับ

     

    Special Part : Cirrus 

    ผมรู้สึกว่าผมว่างเกินไป พอมองไปรอบๆแล้วคนอื่นเขาดูมีอะไรที่ต้องไปทำ  แล้วดูผมดิ ผมว่างมาก

    ผมมีแค่ห้องเรียน ห้องชมรม ห้องสมุด และก็โรงอาหาร 

    เข้าใจคำว่าเบื่อแบบถ่องแท้เลยล่ะ 

    ไพ่หน่อยม่ะ” 

    ไม่อ่ะผมตอบกลับไปก่อนที่จะหันมาเลื่อนทวิตไปๆมาๆอีกครั้ง 

    มึงนั่งเลื่อนโทรศัพท์ไปๆมาๆแบบนั้นมาเกือบ15นาทีล่ะนะซี มาเล่นกับกูหน่อยมั้ยยยยยผมทำเป็นหูทวนลมทั้งๆที่ได้ยินคำพูดของริวทุกคำ แถมชัดมากด้วย ริวมันเป็นคนเฮฮา ไม่ค่อยอยู่นิ่ง ดังนั้นถ้ามันเห็นผมอยู่นิ่งมันก็จะพยายามหาอะไรมาให้ผมทำเสมอ แต่บางทีมันก็เสมอไปนะ ผมว่ามันสมาธิสั้นแน่ๆ

    งั้นไปหาไรแดกกัน” 

    มึงไปเหอะ กูขี้เกียจร่างกายส่งพลังงานมาให้นิ้วเลื่อนไปเลื่อนมาเท่านั้นครับ อย่างอื่นทำไม่ไหว 

    สัด นี้มึงไม่คิดว่ามึงว่างไปหน่อยหรอ” 

    กูคิดอยู่คิดมานานล่ะด้วยยยย 

    มึงไม่ไปช่วยเคียวทำเรื่องเอกสารอ่ะผมคิดเรื่องนี้กับตัวเองมาเป็นร้อยๆครั้งแล้วครับว่าผมควรไปช่วยเคียวทำงานมั้ย พอคิดไปคิดมาก็กลัวว่าตัวเองจะไปขัดขวางการทำงานของมันมากกว่าจะช่วยอ่ะดิ และขนาดไปนั่งๆนอนๆแถวๆมันบ่อยๆ มันยังไม่เรียกให้ผมช่วยทำอะไรเลย แล้วแบบนี้ผมจะไปช่วยทำอะไรล่ะครับ เห็นมันตั้งใจทำงานนี้มาก ผมก็ไม่อยากไปทำงานมันเสียนะ 

    กูไม่รู้จะช่วยอะไรวะ ถ้าให้กูเดินเอกสารให้ครูคนนู้นคนนี้กูก็ยังจำครูไม่ค่อยได้ จะให้ไปช่วยพิมพ์เอกสารก็เห็นพวกมันแบ่งงานกันดีแล้ว จะให้ไปช่วยกวาดห้องถูห้องมันก็ไม่ใช่ป่ะวะ” 

    มึงช่วยด้านเอกสารไม่ได้ มึงก็ไปช่วยฝ่ายบริการแทนดิ” 

    คือ?”

    พวกเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำ สาบานได้ว่าพวกนั้นต้องทำงานกันมาราธอนจนไม่ได้กินอะไรแน่” เออออ อันนี้เห็นด้วย 

    เออ เอาดิ” 

    ดี! งั้นสรุปลงไปหาไรแดกเนอะเดี๋ยวนะทำไมผมรู้สึกเหมือนแค่โดนไอ้ริวมันหลอกให้ลงไปโรงอาหารเป็นเพื่อนมันเลย 

     

    ช่วงนี้เคียววุ่นมากครับ วุ่นจนมันแทบจะไม่แวะมาทักทายผมบ่อยๆเหมือนเดิม อาจจะเพราะว่ามันวางใจว่าผมมีเพื่อนแล้วด้วยมั้งเลยไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไร แต่ไม่เป็นไรครับ ถึงเคียวมันจะไม่ว่างมาหาผม ผมไปหามันเองก็ได้ 

    ผมรู้ว่าเคียวอยากให้ค่ายออกมาดีมาก ไม่ใช่สิ พวกมันทุกคนนั้นแหละ มันถึงได้ตั้งใจทำงานกันเต็มที่ขนาดนี้ งั้นผมก็ควรจะซื้อของดีๆไปให้กำลังใจพวกมันหน่อย 

    ผมซื้อพวกขนมต่างๆก่อนที่จะขึ้นมาห้องชมรมเหมือนเดิม (ริวมันขอแยกไปเล่นบอลกับเพื่อนก่อน ผมบอกแล้วว่ามันอยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ แต่ก่อนไปมันก็ชวนผมด้วยนะ แน่นอนว่า...ผมขี้เกียจ) ทั้งๆที่ก้าวขาไปทางห้องชมรมของตัวเองแต่ผมก็ยังคงมองประตูชมรมจิตอาสาเหมือนกับจะมีอะไรโผล่ออกมาอย่างนั้นแหละ 

    กัมๆ!” อยู่ๆก็มีอะไรโผล่มาเฉยเลยแหะ 

    ไงพี่ซีพอมันได้ยินเสียงผม มันก็เบนเข็มจากกำลังเดินไปห้องจิตอาสาเป็นมาหาผมแทน 

    พี่เคียวอยู่ในห้องอ่ะพี่ ไม่เข้าไปหรอผมยังไม่ทันพูดอะไรสักคำมันก็พูดขัดขึ้นมาก่อนครับ แต่ก็ใช่แหละ ผมก็จะถามเรื่องนี้ 

    อยู่ใช่ป่ะ เคๆ เดี๋ยวแวะไป” 

    เคเลยยยย แล้วนี้ซื้อขนมมาฝากหรอ พี่นี้เป็นคนดีจังแล้วมันก็ยิ้มแป้นให้ถุงขนมในมือผม 

    อ่าฮะ เอาไปเลยก็ได้มันยิ้มให้ขนมในมือผมขนาดนั้นแล้วจะให้ผมยื้อยังไงล่ะครับ ผมเลยยื่นถุงขนมให้กัมไปเลย

    ขอบคุณนะพี่~ อย่าลืมแวะไปนะมันได้ขนมไปแล้วก็เดินกลับไปเลยครับ ความจริงใจให้ผมนี้เยอะมาก

     

    แทนที่ผมจะเดินเข้าไปในห้องจิตอาสาอย่างที่ควรจะเป็น ผมกลับนั่งรออยู่ที่เก้าอี้และรอเวลา ในขณะที่สายตาก็ยังจ้องประตูห้องจิตอาสาไว้อยู่ เมื่อกี้อยู่ๆผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าแค่เอาขนมไปให้มันก็แค่นั้นอ่ะดิ เราทำได้มากกว่านั้นครับ

    นั้นไง เป้าหมายวันนี้ของผม กำลังเดินขมวดคิ้วที่แทบจะผูกเป็นเงื่อนตายออกมาจากห้อง ได้นอนกี่ชั่วโมงวะ

    ไม่ใช่ประเด็นใช่ป่ะ... มาเริ่มแผนกันเลยดีกว่า

     

    ผมมองส่งเคียวไปจนแน่ใจว่ามันน่าจะเดินลงบันไดไปแล้วก่อนที่จะหันหลังมานั่งปกติ (เมื่อกี้ชันเข่าไปเองโดนอัตโนมัติ ปวดขามากครับ) แต่ตอนนี้หยุดยิ้มไม่ได้ครับ รู้สึกว่าsuccessมาก

    ผมคงนั่งยิ้มกับออกซิเจนต่อไปถ้าไลน์ไม่ดังขึ้นมาก่อน
    Kw :
    *ส่งข้อความเสียงหาคุณ*

    ข้อความเสียง? มือผมกดเข้าไปฟังทันที
    ขอบใจนะมึง ช่วยได้เยอะเลย

    แค่นี้ก็พอแล้วววว

    Special Part : The End






    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ตอนนี้ยาวกว่าที่คิดไว้เยอะมาก... เหมือนยาวสุดแล้วตั้งแต่แต่งมา แต่งเสร็จแล้วก็ถามตัวเองว่ายาวไปป่ะเนี่ย 555 แต่เราก็เลทอิทบีนะ แล้วก็ๆชอบไม่ชอบก็เม้นต์บอกกันบ้างนะคะ รออ่านอยู่ๆ
    คอมเม้นต์หน่อยนาจา

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×