คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : EP.5 (1/2)
13
อาทิตย์สุดท้ายของรายการown label เร็วเหมือนกันแหะ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพึ่งเริ่มถ่ายรายการเมื่อวาน จริงๆมันเดือนกว่าแล้ว อีกไม่นานเราก็ต้องปิดรายการนี้แล้ว อย่างนั้นช่วงนี้ผมเลยมักจะกลับบ้านเร็วกว่าปกติ (มาก) เลิกเรียนปุ๊บก็กลับเลย แล้วคงมีหลายคนที่คิดเหมือนผม เพราะไม่ว่าผมจะกลับมาเร็วขนาดไหนผมก็มักเจอพวกเราสักคนอยู่ที่บ้านแล้ว เราเหลือเวลาอีกไม่มาก ใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มก็ดีเหมือนกันนะ
“เต้กลับมาเร็วดี!”
“อ้อ... นิดหน่อยครับพี่” มีไอ้เต้นี้แหละที่แปลกไป ผมหมายความว่าปกติมันก็เป็นคนดูออกง่ายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ง่ายกว่านั้นอีก มันมักจะนั่งเงียบๆอยู่คนเดียวทั้งๆที่ปกติมันไม่เคยอยู่นิ่งเกินนาที ผมรู้ว่ามันคิดมากเรื่องรายการที่กำลังจะจบ ไม่แน่ใจว่าประเด็นไหน แต่รู้ว่าคนเซนซิทีฟแบบมัน คงคิดไปล้านแปด ผมว่ามันไม่เห็นต้องคิดมากเลย รายการเท่านั้นแหละที่จบ ที่เหลือไม่ได้จบไปด้วยสักหน่อย
“อ้าวเคียว”
“ว่าไงพี่เมษ”
“มึงขึ้นมาชั้นบนที กูจะถ่าย” ถ่ายอะไรกันตอนนี้ ผมไม่ได้คิดจะหาคำตอบมากหรอกครับ ขึ้นไปเดี๋ยวก็รู้เอง ชั้นบนกลายเป็นที่สัมภาษณ์เดี่ยวไปแล้วครับ ห้องนั่งเล่นเล็กๆที่อยู่ติดกับห้องนอน ห้องนี้มันวิวดีด้วยมั้ง ต่อจากห้องนี้ก็เป็นระเบียงที่ผมมักจะแวะมาบ่อยๆตอนนอนไม่หลับหรือตอนฝันร้าย
“เอานะ 3 2 1 แอคชั่น” ผมเริ่มชินกับการเริ่มถ่ายโดยไม่บอกอะไรของพี่เมษล่ะครับ มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องถ่าย
“อะไรอ่ะครับ” แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง ปกติพี่เมษจะยิงคำถามมาแล้วให้ผมตอบ แต่ครั้งนี้พี่เขายื่นซองจดหมายให้ผม หรือมิชชั่นอีกแล้ว? แล้วทำไมมี5ซอง
“ให้เลือกซองหนึ่งหรอ?” คำตอบคือกล้องที่ขยับขึ้นลงๆ
ผมหยิบซองนั้นมาซองหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดดูว่าข้างในมีอะไร
-เซน-
“อะไรเนี่ย” ข้อความมีแค่นั้นครับ แค่ชื่อของไอ้เซนเท่านั้น
“มิชชั่นสุดท้ายคือมิชชั่นบัดดี้” บัดดี้... เริ่มคุ้นๆ อย่าบอกนะว่า
“ซื้อของขวัญอะไรก็ได้ให้บัดดี้ของคุณ ของขวัญที่ทำให้เขาซาบซึ้งใจ” คอนเซปยากไปป่ะเนี่ย
“ของขวัญที่ทำให้ซาบซึ้ง? อะไรอ่ะ” พี่เมษไม่ได้ตอบ แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆนะ ของขวัญที่ทำให้ไอ้เซนซาบซึ้ง?
“ซาบซึ้งนี้แบบร้องไห้อ่ะนะ” แล้วพยักหน้าคืออะไรรรร นี้มันยากเกินไปแล้วพี่
“แล้วผมจะไปรู้ไหมมมม นี้ผมจับคนแรกเหรอครับ?” ดูจากที่ซองจดหมายมันมี5ใบ (ก่อนที่ผมจะจับ) และคำตอบของคำถามนั้นก็คือพยักหน้าของพี่เมษ
“หาให้ได้ก่อนวันเสาร์นะ”
“คร้าบบบบ” กำหนดเวลามาแบบนี้ก็ต้องเริ่มคิดแล้วล่ะครับว่าซื้ออะไรดี
วันศุกร์
ทุกคนในบ้านเหมือนจะรู้มิชชั่นสุดท้ายหลังผมไม่นาน พอผมสัมภาษณ์เสร็จพี่เมษก็เรียกเต้ไปสัมภาษณ์ต่อทันที ใครที่กลับถึงบ้านก็จะถูกดึงตัวไปสัมภาษณ์เรื่อยๆจนครบ แต่กลับไม่มีใครพูดถึงเรื่องมิชชั่นกันเลยสักคน ผมอุตสาห์อยากรู้ว่าใครจับได้ชื่อผม ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันนี้ ผมเลยใช้เวลาส่วนมากไปกลับการสังเกตไอ้เซน ว่ามันบ่นว่าอยากได้อะไรไหม
แต่ก็ไม่
ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะเพื่อน
เพราะคิดไม่ออกว่าจะให้อะไรมันดี เย็นนี้ผมเลยมาเดินไปเดินมาแถวสยาม ดูว่ามีอะไรเหมาะกับไอ้เซนไหม พูดก็พูดเถอะของขวัญมันผมยังไม่ได้ซื้อเลย ถ้าไม่มีมิชชั่นนี้ก็ไม่คิดว่าจะซื้ออะไรให้มันด้วยซ้ำ (เลวมาก)
พูดถึงก็โทรมาเลย ตายยากจังนะมึง
‘ว่า’
‘เคียวววว มึงอยู่ไหน’
‘สยาม ทำไมมม’
‘ทำไมมึงไม่รีบกลับบ้าน มึงรู้ไหมทั้งบ้านมีแค่กู’ หูยยย สงสารเหมือนกันแหะ แสดงว่าทุกคนออกไปซื้อของสินะ
‘กูมาทำมิชชั่นไง มึงซื้อแล้วเรอะ’
‘ตั้งแต่เมื่อวันพุธมั้ง’
‘มึงรีบไหมเนี่ย คิดออกเร็วจัง’
‘กูเทพไง รีบๆกลับนะมึง กูอยู่บ้านคนเดียว กูเหงา’ แล้วก็วางสายไป แต่เดินไปเดินมานี้ก็เริ่มเมื่อยล่ะ จะซื้ออะไรก็ไม่รู้ พักกินติมดีกว่า ไอติมช็อกโกแลตล่ะกัน... พูดถึงช็อกโกแลตแล้วนึกถึงไอ้คนที่แนะนำร้านนี้เลย มันซื้อของอยู่ไหนวะ โทรไปหาหน่อยล่ะกัน
‘ว่าไง’
‘อยู่ไหนวะ’
‘ทำไมอ่ะ’
‘กูอยากรู้ได้ไหมล่ะเพื่อนรัก’
‘ฮ่าๆ เคๆ อยู่ร้านเกมส์ว่ะ’
‘ไปทำเห้ไร’
‘ซื้อของขวัญไง’
‘มึงซื้อเกมส์หรอ?!’
‘...มันห้ามบอกป่ะวะ’
‘ไม่ทันล่ะจ๊ะซีรัส’ ไอ้ซีซื้อเกมส์เว้ย ไม่รู้หรอกว่ารุ่นไหน แต่ฟังดูเจ๋งดี ผมต้องซื้ออะไรที่เจ๋งๆสินะ
‘มึงเป็นบัดดี้ใครวะ’
‘มึงอย่ามาหลอกถามกูไอ้เคียว กูรู้ว่าอันนี้บอกไม่ได้’ ไม่เคลิ้มว่ะ
‘แหม่ กูก็ไม่ได้อยากรู้หรอก กูถามเฉยๆ’
‘หรอออ แล้วนี้มึงอยู่ไหน’
‘สยาม แต่คิดไม่ออกว่าจะซื้อไรดี’
‘มึงลองเดินๆดูดิ สยามของเยอะแยะ’
‘เยอะแยะจนกูไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรหนักเข้าไปอีกอ่ะดิ’ ยิ่งของเยอะยิ่งเป็นปัญหาเลยครับ
‘มึงก็ลองคิดดูว่าบัดดี้มึงเขาชอบอะไร แล้วอะไรที่ถ้าเขาได้เขาจะซาบซึ้งใจ’
‘อะไรวะ...’
‘ให้กูไปช่วยป่าว’
‘ไม่ต้องมาเนียนนน กูรู้หรอกว่ามึงจะมาสืบว่ากูเป็นบัดดี้ใคร’
‘กูป่าวเว้ย นี้กูก็อยู่แถวๆสยาม เดี๋ยวกูแวะไปล่ะกัน มึงเลือกของไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูเดินเล่นอยู่แถวๆนั้น เสร็จแล้วโทรมา จะได้กลับพร้อมกัน’
‘เลี้ยงข้าวหน่อย’
‘มึงเลือกของให้ได้ก่อนหกครึ่ง เดี๋ยวกูเลี้ยง’
‘เคคคคคคคคคค เตรียมตังไว้เลย’ ผมมันเป็นซะแบบนี้ จะทำอะไรต้องมีแรงผลักดัน บางครั้งมันก็เป็นอุปสรรคในการจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง แค่ใจมันไม่อยากทำ ไม่มีแรงที่จะทำ ผมก็จะไม่ทำ พอเป็นแบบนั้นสิ่งที่จะต้องทำก็มักจะล่มตลอด อย่างครั้งนี้ก็ด้วย แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนล่ะ แรงผลักดันมาล่ะ ไปดิไปหาของขวัญ
ผมก็รู้นะว่าวันนี้ (วันเสาร์) เราต้องออกเดินทางเช้า
แต่ไม่คิดว่ามันจะเช้าขนาดเช้ามืด!
ย้อนกลับไป3ทุ่มเมื่อวาน (ผมกลับถึงบ้านตอนทุ่มกว่าๆครับ) พวกเราและพวกพี่ในกองถ่ายแทบจะทุกคนรวมตัวกันอยู่ชั้นล่าง กินนู่นกินนี้เล่นเกมส์อะไรกันไปต่างๆนานา จนพี่เมษเริ่มไล่ให้พวกพี่ๆกลับบ้านกัน แต่ก็ยังไม่วายทิ้งระเบิดไว้ว่า
‘พรุ่งนี้เช้าเดินทางนะ อาจจะกลับถึงดึกๆวันอาทิตย์ ใครมีการบ้านอะไรรีบจัดการให้เสร็จ รู้ป่าว’
พี่ครับ... แล้วพี่นั่งอยู่ตั้งนานทำไมไม่พูดดดด ผมเลยต้องรีบเปิดคอมทำรายงานเดี๋ยวนั้นเลย พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนส่งไฟล์ไปให้เฟรมปริ้นให้ ว่าเวลามันปาไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว ลากขาไปอาบน้ำได้ก็เก่งแล้วครับ อย่าถามถึงเรื่องเก็บของ
แล้วถูกปลุกตอนตี4
รู้สึกเหมือนพึ่งได้หลับเมื่อกี้ (น้ำตามา) ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องถ่างตาไปเก็บเสื้อผ้าอีกครับ
นั้นเป็นเหตุผลที่ทำไมเวลาตี5นิดๆ ผมถึงยังเป็นซอมบี้ยืนรอเอากระเป๋าขึ้นรถอยู่ ยังไม่หายง่วงเลยเนี่ย
“มึงขึ้นไปนอนก่อนไป เดี๋ยวกูเอากระเป๋าขึ้นรถให้”
“ขอบจายยยย” ถึงไม่ได้หันไปมองก็พอจะจำเสียงได้อยู่หรอกครับ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าขึ้นไปนอนบนรถแล้ว ขอนอนก่อนล่ะกันนะ ไม่ไหวแล้วววว
แล้วผมก็ต้องยอมแพ้ต่อแดดประเทศเราและลืมตาขึ้นมาดึงผ้าม่านเพื่อปิดหน้าต่าง ก่อนที่วิวข้างหน้าจะทำให้ผมชะงัก... นี้เรากำลังไปไหนกัน ก่อนที่จะอ้าปากถามพี่คนขับผมก็หันนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนว่านี้มันกี่โมงแล้ว ก่อนที่จะพบว่า ลืมใส่นาฬิกาข้อมือมา... เก็บของตี4นี้ก็ทำใจไว้บ้างล่ะนะว่าต้องลืมหลายอย่าง แต่ลืมแม้กระทั่งนาฬิกาข้อมือ (ที่ปกติผมติดมาก) ทำให้ย้อนคิดล่ะว่าผมเอาอะไรมาบ้างเนี่ยยยย
ลืมไปแล้วก็ช่างมันครับ แค่ดูเวลาในโทรศัพท์แทน
7:40
ยังไม่8โมงจำเป็นต้องแดดแรงขนาดนี้ไหม ถามใจตัวเองดูนะพระอาทิตย์
พอตื่นแล้วก็ไม่อยากนอนต่อแล้วครับ ผมเริ่มยื่นแขนยื่นขาออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่ติดไอ้คนข้างๆ ที่เยอะแยะมึงจำเป็นต้องนั่งข้างกูไหมไอ้หัวขโมยซีรัส
มันขโมยอะไรเหรอครับ นั้นไงครับ หูฟังที่ควรจะอยู่ในหูผมแต่ดันไปอยู่ที่หูมันแทนนั้นแหละครับคำตอบ
ดูจากความเร็วของรถ ผมคงไม่ต้องถามแล้วมั้งว่าเรากำลังจะไปไหน ตอนนี้รถมันจอดแล้วเนี่ย
พวกเราต้องนั่งเรือต่อไปอีกครับถึงจะถึงที่หมาย ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเรากำลังจะไปไหน เรากำลังจะไป
เกาะล้านนนนน
มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับกรุงเทพมากผมกับเพื่อนเคยคิดที่จะไปกันด้วยแหละครับ เคยคือมันล่มนั้นเองครับ สุดท้ายไม่ได้ไปเกาะล้านแต่ไปภูเก็ตแทน วันนี้จะได้ไปสักทีสินะ
“พี่เดลเคยขึ้นเรือแบบนี้ป่ะ” ไอ้เต้ดูเหมือนจะทิ้งมาดคนคิดอะไรตลอดเวลาออกไปได้แล้วครับ ผมว่าดีแล้วแหละ เต้ที่ผมรู้จักมันต้องพูดมากและตื่นเต้นกับทุกๆอย่างแบบนี้สิ
“เคยแต่นั่งเรือข้ามไปเกาะช้างอ่ะ”
“เหรอเป็นไงอ่ะ ดีป่ะ” ผมกำลังจะเข้าไปร่วมบทสนทนาด้วย แต่สายตาดันหันไปเห็นไอ้คนที่พอลงจากรถได้ก็วิ่งไปถ่ายรูปซะก่อน เต้มันก็มีเพื่อนคุยแล้ว ผมแวะไปทักทายไอ้ช่างกล้องหน่อยดีกว่า
“นี้ถ้ากูไม่รู้ว่ามึงได้มารายการนี้ในฐานะตัวแทนโรงเรียนคงคิดว่ามาในฐานะช่างกล้องแล้วล่ะ”
“ฮ่าๆ มึงรู้ป่ะ ข้อดีของฤดูร้อนคืออะไร”
“ไม่มี” เป็นฤดูที่ผมเกลียดแล้วเกลียดอีก อากาศมันจะพาลให้ผมไม่สบายอ่ะดิ เกือบทุกปีผมต้องไมเกรนขึ้นสักครั้งในฤดูร้อนเนี่ย ถ้าไม่มีอาจจะไม่เป็นไมเกรนเลยนะ
“คำตอบคือออ ฟ้าสวย มึงลองดูท้องฟ้ากับเมฆดิ เป็นฤดูที่เหมาะกับการแบกกล้องปั่นจักรยานที่สุดแล้ว”
“มึงคิดไปเองคนเดียวอีกล่ะสิ มึงปั่นจักรยานฤดูนี้มึงไม่เป็นลมแดดก็เก่งล่ะ แล้วไอ้แบกกล้องของมึงนี้ถ้าสมมติฝนตกขึ้นมานี้ทำไง พังอีก” มันไม่ได้เถียงผมต่อเพียงแค่เลิกส่องกล้องแล้วหันมาทำหน้าเซ็งใส่ผมแทน อ้าววววก็กูไม่ชอบอ่ะ
“อย่างมึงชอบฤดูไหนมั้ง คงเป็นคนที่ฤดูร้อนบ่นร้อน ฤดูหนาวบ่นหนาว ฤดูฝนบ่นเปียก ใช่ม่ะ”
“ฟายยยย ไม่ขนาดนั้นเหอะ กูชอบฤดูฝน” แล้วเลิกคิ้วใส่กูแบบนั้นคืออะไร ไม่เชื่อเรอะ “ชอบแค่วันฝนตกที่ได้อยู่บ้านนะ”
“มึงแม่งงง ขนาดชอบฤดูฝน ยังมีเงื่อนไขเลย”
“จริงๆกูชอบฝนตกแต่ฟ้าไม่ร้องด้วยเพราะหมาที่บ้านกูตกใจ แล้วกูก็ไม่ชอบให้ฝนตกวันที่ไปโรงเรียนเพราะกูไม่ชอบพกร่มไปโรงเรียน ถ้าเป็นวันที่ใส่ชุดนักเรียนจะเกลียดเป็นพิเศษ แต่รวมๆแล้วฤดูนี้ดีสุด”
“กูยอมมึงเลยว่ะ ฮ่าๆ”
“เคียว!! ซี!! มาขึ้นเรือได้แล้ววว”
“พี่จ่ายค่าที่พักไปเท่าไหร่ครับ...” เป็นคำถามที่ผมอยากถามมาก ขอบคุณไอ้ก้องที่ถามแทน
“เดี๋ยวเย็นๆกูมาตามไปถ่ายนะ” ไม่ตอบซะด้วย แต่คงจะหลายอยู่หรอก เพราะพวกผมได้บ้านหลังหนึ่งเป็นที่พักครับ 2ชั้น 3ห้องนอน 1ห้องน้ำ พร้อมสระน้ำเล็กๆอีก1
ทะเลมักจะเป็นสถานที่แรกที่ผมคิดถึงเมื่ออยากได้รอยยิ้ม แค่วิวผ่านกระจก (กระจกเกือบทั้งหลัง) ก็ทำให้ผมยิ้มกว้างไปไหนต่อไหนแล้ว
“ผมนอนห้องกลางนะ!!” แล้วเสียงไอ้เต้จากชั้นบนก็ทำให้ผมเลิกดื่มด่ำกับวิวแล้วขึ้นปดูห้องนอนแทน
“งั้นเดี๋ยวกูอยู่กับเต้เอง”
“ดีเลยพี่เซน ที่พี่บอกว่าจะสอนวิธีสร้างซิกแพคให้ผม ผมยังไม่ลืมนะ”
“งั้นกูขอห้องนี้ล่ะกัน” ผมชี้ห้องติดระเบียงก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปดูภายในห้อง
“กูอยู่กับเคียวนะ” เสียงไอ้ก้องแหะ
“...หรือมึงจะอยู่” ประโยคที่ตามมาทำให้ผมที่มัวแต่เดินดูรอบๆห้องหันไปมองว่าก้องมันพูดกับใคร
“เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงอยู่เหอะ เดี๋ยวกูอยู่กับเดล” ก่อนที่จะกอดคอกันเดินผ่านไป
“กูขอโทษนะ”
“อ้าว แล้วมึงขอโทษอะไรกูเนี่ย”
“กูดันเสือกพูดว่าจะนอนกับมึง ทั้งๆที่จริงๆแล้วมึงกับซีคนอยากนอนด้วยกันมากกว่า” ประโยคสุ่มเสี่ยงของมันทำให้ผมส่งมือไปตบหัวมันทีหนึ่ง
“นอนห้องเดียวกันก็พอมั้ย ไม่ได้นอนด้วยกัน เตียงเขาก็มีให้ตั้ง2เตียง”
“เออออ ก็นั้นแหละ กูเปลี่ยนได้นะ”
“บ้า ไม่ต้อง ซีมันไม่ได้อะไรมากหรอก มันนอนกับใครก็ได้
“เหรอๆๆ แล้วมึงอ่ะ ต้องนอนกับแค่ซีป่าว” ทีเดียงคงไม่พอ ผมเลยเดินไปประเคนตบเข้าที่หัวแบบเน้นๆให้มันอีกทีหนึ่ง “กูก็นอนกับใครก็ได้”
เดินชมวิวยังไม่ทันถึงไหนพี่เมษก็โทรมาตามซะแล้วครับ ผมที่อุตสาห์ติสท์ออกมาเดินชมวิวคนเดียวก็ต้องยอมหันหลังกลับโดยดี ก่อนที่ผมจะออกมาเดินเล่นก็หลับไปสักพักแล้วล่ะครับ เพราะพี่เมษบอกว่าว่างยาวจนเย็นๆนู่น พวกมันส่วนมากเลยออกไปเดินเล่นในเกาะ (ยกเว้นผม เพราะผมหลับ) แต่พอตื่นแล้วคิดว่าถ้าไม่ออกมาเดินเล่นเหมือนจะมาไม่ถึง เลยออกมาชมวิวสักหน่อย
ก่อนที่จะโดยเรียกกลับนี้แหละ
แต่เดี๋ยวเหมือนมาผิดบ้าน...
“ไอ้เคียว! จะหันไปไหนล่ะนั้น” เสียงพี่เมษนิ ผมหันกลับมา นี้บ้านหลังเดิมจริงเรอะ ตอนนี้มันถูกประดับประดาไปด้วยไฟสีต่างๆ มีโต๊ะปิกนิคตัวเล็กๆตั้งอยู่2ตัว กับเก้าอี้รอบๆที่นับได้6ที่พอดี คงถ่ายกันตรงนี้แหละมั้ง แล้วไฟสีส้มๆเหลืองๆนี้มันอะไร จะบิ้วให้ร้องไห้เลยว่างั้น แต่ที่ดึงดูดสายตาผมมากกว่าแสงไฟและของประดับประดาต่างๆ คือชุดปิ้งย่างพร้อมกับกุ้งตัวโตๆ ปลา หอย ปู เรียกได้ว่าอาหารทะเลครบชุด และหมู เนื้อ อีกตั้งหาก
“พี่นี้ลงทุนกับทริปนี้เกินไปป่ะเนี่ย” ทุกEPรวมกันน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดของEPนี้เลยล่ะ
พี่เมษไม่ได้ตอบ แค่ตบบ่าผม2ที ก่อนที่พี่เขาจะเดินไปช่วยไอ้เต้เสียบไม้บาบีคิว ผมก็ต้องหาอะไรทำสินะ
“3 2 1 แอคชั่น” เราใช้เวลาย่างนู่นย่างนี้กันสักพัก จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ถึงได้เริ่มถ่าย พี่เขาคงอยากได้บรรยากาศเหงาๆตอนกลางคืนมากกว่ามั้ง
“ทุกคนซื้อของมาให้บัดดี้แล้วใช่ไหมครับ” พอพี่เมษเริ่มถาม ผมที่กำลังจะหยิบบาบีคิวขึ้นมากินเลยต้องวางก่อน หิวนะเนี่ย...
“คร้าบ!!”
“งั้นเริ่มที่เดลก่อนเลย ข้อหากินไม่รอเพื่อน”
“อะไรอ่ะ!” หมูคาปากยังจะโวยวายอีก สมน้ำหน้า (ได้ข่าวว่าเมื่อกี้ผมก็เกือบกิน แต่ยังไม่ได้กินนิ หึหึ)
สุดท้ายมันก็ต้องยอมจำนนต่อคำสั่งของพี่เมษก่อนที่จะเดินไปหยิบของขวัญที่พวกพี่ทีมงานเอาไปวางรวมไว้บนโต๊ะแทน
“พี่เดลๆ เอาแบบคีย์เวิร์ดดิ”
“คีย์เวิร์ดยังไงวะ”
“ก็พี่พูดคำที่หมายถึงบัดดี้มา เดี๋ยวพวกผมทายไง” เออออไอเดียดีนะไอ้เต้ แต่คีย์เวิร์ดของไอ้เซนนี้อะไร...
“คีย์เวิร์ดหรอ... อื้มมมมม” ทุกคนลืมอาหารตรงหน้าแล้วสนใจไอ้เดลโดยพร้อมเพรียง
“กล้อง”
“โหยยยย” พอมันอ้าปากพูดคีย์เวิร์ดออกมา พวกผมก็พยายามหาอะไรแถวนั้นโยนใส่มันเท่าที่จะทำได้
“กล้องไม่ใช่คีย์เวิร์ดแล้ว นี้มึงบอกเลยเนี่ย”
“อยู่ๆมึงให้กูคิดคีย์เวิร์ดอะไรอ่ะ กูก็คิดไม่ทันป่ะ” ผมส่ายหัวหน่ายๆใส่มันก่อนที่จะหยิบบาบีคิวมากินไม้หนึ่ง อุตสาห์ตั้งใจรอฟัง
“กูเหรอ?” แล้วไอ้ซีจะแอคติ้งไม่รู้ทำไมเห็นแล้วหมั้นไส้ “ไม่ใช่มึงหรอกซี ไอ้ก้องนู่น” บอกแล้วว่าหมั้นไส้ ฮ่าๆ
“เฮ้ยๆมึงเลิกหยอกสามีมึงแปปหนึ่งได้ป่ะ เพื่อนกูจะแกะของขวัญของกูเว้ยยย” กวนล่ะ นี้ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้ปาไปหมดแล้ว คงได้มีเขวี้ยงอะไรออกไปอีกมั้งแหละ
“ตอนที่กูเปิดออกมาแล้วได้ซี กูก็คิดหนักเลยอ่ะ กูไม่รู้ว่าควรจะซื้ออะไรให้มันดี...” ระหว่างที่ไอ้ซีกำลังขะมักเขม้นกับการแกะของขวัญ ไอ้เดลก็อธิบายเหตุผลไปด้วยครับ
“พวกมึงอาจจะบอกว่า ซื้อกล้องไง เลนส์ไง แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะเว้ย กูไม่รู้ว่ามันมีรุ่นไหนแล้ว หรือมันชอบรุ่นไหน และกูก็ถามมันไม่ได้ด้วยนั้นแหละประเด็น...” ไอ้ซีขำกับประโยคนั้น ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกไอ้เดลนะ เพราะถ้าย้อนกลับไปวันที่ผมซื้อเลนส์ให้มัน (แม้สุดท้ายจะหาร2) ถ้าวันนั้นมันไม่ได้ไปด้วย แล้วผมไปเดินซื้อเอง คงไม่ได้ซื้ออะไรออกมาให้มันแน่ๆ
“อยู่ๆกูก็คิดขึ้นมาได้ว่า กล้องอ่ะซีมันคงมีเยอะแล้ว ซื้ออะไรที่มันไม่มีแน่ๆดีกว่า...” ไอ้เดลมันตั้งใจเว้นให้ซีหยิบของที่อยู่ในกล่องออกมา และพอผมเห็นของที่อยู่ในกล่อง ผมก็อยากฟังเหตุผลของไอ้เดลมากขึ้นไปอีก
“พวกมึงคงไม่รู้ ไอ้ซีมันขี้โรคมากเลยนะ แพ้นู่นแพ้นี้ แล้วแม่งยังเป็นไซนัสอีก ตอนแรกกูก็ไม่รู้หรอก แต่มีวันหนึ่งที่มีคนมาตรวจโรงเรียน ไอ้ซีมันเป็นตัวแทนของโรงเรียนพูดต้อนรับ แต่ไซนัสดันขึ้นมาซะก่อน ต้องถามหายาจากคนอื่นเขา กูเลยซื้อมาให้” ใช่ครับ ไอ้เดลซื้อยาพ่นจมูกมาให้ซี ขวดเล็กกะทัดรัดไปอีก
“แล้วมึงไม่ต้องโวยที่กูซื้อขวดเล็ก เพราะกูรู้ว่ามึงเป็นพวกไม่ชอบพกไงเลยซื้อขวดเล็กๆมึงจะได้พกไปไหนมาไหนได้สะดวก ก่อนที่จะมารายการเนี่ย กูเคยคิดนะว่าทำไมพอมีงานโรงเรียนอะไรสักอย่าง มึงแม่งจะต้องได้เป็นตัวแทนนู่นนี้ จะเอาหน้าอะไรนักหนา แล้วทำไมกูไม่เคยเห็นใครเกลียดมึงจริงๆสักที นอกจากพวกที่แซะไปเรื่อย ตอนที่กูรู้ว่าจะมีรายการนี้กูก็คิดไว้แล้วนะว่ามึงจะต้องได้มาแน่ แล้วก็จริง... กูมัวแต่มองในสายตาของกู ไม่เคยคิดเลยว่าตัวมึงที่ต้องคอยทำนู่นทำนี้ให้โรงเรียนแม่งเหนื่อยขนาดไหน ขนาดมึงป่วยยังต้องขึ้นไปพูดต้อนรับ งานหลายๆงานมึงคงไม่ได้อยากทำ แต่เพราะมึงปฏิเสธคนไม่เป็น ส่วนเรื่องทำไมไม่มีคนเกลียดมึงอ่ะ กูได้คำตอบแล้วนะ เพราะคนที่ด่ามึง คือคนที่ไม่เคยรู้จักมึงเลยด้วยซ้ำ ถ้าคนพวกนั้นได้มีโอกาสรู้จักมึง กูแน่ใจว่าจะไม่มีใครเกลียดมึงลง” ซีมันไม่ได้ตอบอะไร มันแค่ลุกขึ้นไปกอดไอ้เดลเท่านั้น สุดยอดเลยนะ ความสัมพันธ์แบบนี้ ผมชื่นชมพวกมันนะ
“ตรากูล่ะช่ะ” พวกเราปล่อยให้เดลกับซีกอดกันสักพัก ก่อนที่ไอ้ซีจะดึงสถานการณ์กลับมาเหมือนเดิมโดยการเดินไปหยิบของขวัญของตัวเองมา
“คีย์เวิร์ดใช่ไหม... น้ำตา”
“เซน?” ผมรู้ว่าไม่ใช่ไอ้เซน (ก็ผมเป็นบัดดี้เซน) แล้วในหัวผมก็คิดออกอยู่คนเดียวด้วย
“เต้ใช่ม่ะ”
“ถูกกกกกก”
“ผมหรอ?” ผมสาบานได้ว่าเห็นไอ้เต้เริ่มจมูกแดงตั้งแต่ไอ้เดลพูดได้2ประโยค แล้วมาถึงตรามันนี้ต้องจัดเต็มแน่
“กูคิดแล้วคิดอีกนะว่าซื้ออะไรให้เต้ดี ให้น้องเล็กผู้คิดเยอะของเราเนี่ย จน...”
“ฮืออออออ”
“เดี๋ยวๆ เมื่อกี้มันไม่ใช่ประโยคที่มึงต้องร้องไห้นะเต้!”
“เอาแล้วไงๆ” ผมงงๆกับไอ้เต้ เพราะอยู่ๆมันก็ระเบิดน้ำตาออกมาทั้งๆที่ไอ้ซียังไม่ได้พูดอะไรซึ้งๆเลย ซีมันก็คงจะพูดแหละ แต่มันยังไม่ถึงไงงงง มึงรีบเหรอเฮ้ย พอไอ้เต้ร้องไห้ ไอ้ก้องที่อยู่ใกล้ๆกับทิชชูก็ต้องรีบหยิบทิชชูส่งให้ แต่แทนที่พวกผมจะเศร้าและปลอบน้อง ทุกคนดันพร้อมใจกันขำออกมาซะงั้น
“กูว่ามึงไม่ควรคีย์เวิร์ดว่าน้ำตา มึงควรพูดว่าขี้แง” พอฟังประโยคนั้นของไอ้เซนยิ่งไปกระตุ้นต่อมฮาของผมเข้าไปอีก โอยไอ้เต้ ฮ่าๆ
“ จนกูมาคิดๆว่า...”
“ฮือ!!!” ฮ่าๆ ยิ่งไอ้ซีพยายามพูดต่อ ไอ้เต้ก็ร้องไห้แข่งเสียงไอ้ซีเข้าไปอีกครับ
“เต้ มึงใจเย็นๆนะ ฟังกูพูดจบก่อนแล้วมึงค่อยร้อง” จนไอ้ซีต้องปลอบเลยเนี่ย
“กูจะพูดสั้นๆล่ะกันนะเต้” สงสารไอ้ซีได้ไหม
“พวกมึงก็รู้ใช่ป่ะว่าจริงๆแล้วแม่ไอ้เต้เข้มมาก” ผมพอจะรู้เหตุผลที่ไอ้เต้ระเบิดน้ำตาล่ะ
“มันเคยพูดว่าแค่เกมส์ทั่วไปแม่ยังไม่ซื้อให้เลย ต้องแอบไปเล่นร้านเกมส์บ้างล่ะ บ้านเพื่อนบ้างล่ะ แต่ถึงจะโหดขนาดนั้น เต้ก็ยังเป็นเด็กดีอ่ะ กูนับถือมันนะ ก็เลยซื้อเกมส์มาให้” เกมส์มากมายหลายแบบทั้งPS4 เกมส์เพลย์ หรือแม้แต่แผ่นเกมส์ต่างๆอยู่ในกล่องของขวัญกล่องนั้นครับ ต้นเหตุของน้ำตาไอ้เต้นั้นแหละ
“แล้วยิ่งช่วงนี้ กูรู้นะว่ามึงแอบเก็บไปคิดเรื่องรายการคนเดียวบ่อยๆ กูอยากจะบอกมึงนะ ว่ามึงไม่จำเป็นต้องคิดมาก มันไม่มีอะไรให้มึงต้องเก็บมาคิดด้วยซ้ำ แค่รายการเท่านั้นแหละที่จบ อย่างอื่นมันไม่ได้จบตามนะ ไม่ใช่ว่ารายการจบเดินผ่านกันแล้วจะไม่รู้จักกันสักหน่อย เราก็ยังเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกันอยู่ดี แล้วที่มึงเคยบ่นว่าเป็นลูกคนเดียวมันเหงาอ่ะ มึงเลิกเหงาได้แล้วนะ เพราะตอนนี้มึงมีพี่ชาย5คนแล้ว”
ไอ้ซีพูดจนจบก่อนที่จะอ้าแขนให้ไอ้เต้พุ่งตัวเข้าไปกอด ส่งผลให้พวกผมที่เหลือไปกอดพวกมันอีกที ตอนนี้เรา6คนเลยเป็นก้อนกลมๆที่กอดกันแน่นสุดๆ แล้วผมรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมต้องการกอดนี้ ผมจะได้มันมาทันทีขอเพียงแค่บอก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาแปะภาพให้แล้วววว พน.ใครที่เปิดเทอมมาสู้ไปด้วยกันนะ ต่อไปคงไม่ได้อัพใกล้กันขนาดนี้แล้ว แต่จะอัพเรื่อยๆนะ อย่าพึ่งทิ้งกันไปล่ะะะ
คอมเม้นต์ให้พี่หน่อยนะน้องนะ 5555 แล้วเจอกันค่าาา
ความคิดเห็น