ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขอรัก(ไม่)ร้าย

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 65


    ตอนที่ ๒

     

                เมื่อการประชุมกับบิดาผู้เป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทประกันชีวิต ที่ครอบครัวของเขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่เรียบร้อยแล้ว เปี่ยมโชคก็ใช้เวลาที่ยังเหลืออีกเล็กน้อยก่อนเลิกงานตรงไปหาเพื่อนสนิทซึ่งทำงานอยู่ฝ่ายการเงินในบริษัทเดียวกัน

                “ไอ้โน่เย็นนี้ออกไปข้างนอกด้วยกันหน่อยสิ”

                “ท่านเปี่ยมโชคเดินลงมาชวนขนาดนี้ กูมีนัดกับใครก็ต้องยกเลิกแล้วมั้ง” นราวุฒิเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่มายืนอยู่ด้านหลัง

                “หมดเวลางานพอดี” 

                “เออๆ แป๊บหนึ่ง” นราวุฒิปิดคอมพิวเตอร์และลุกออกจากโต๊ะทำงานของตัวเองทันที ก่อนเดินตามเพื่อนสนิทที่พนักงานต่างก็ต้องหลบให้ด้วยความเกรงใจ เพราะพ่อมันใหญ่สุดในบริษัท

                เปี่ยมโชคพาเพื่อนไปนั่งกินลมชมวิวและกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารริมแม่น้ำ เสนอตัวเป็นเจ้ามือเลี้ยงอย่างเต็มที่

                “มึงเป็นไรวะ ดูไม่น่าไว้ใจ” นราวุฒิเอ่ยปากถามก่อนจะเริ่มแตะต้องอาหารหรูราคาไม่เบาตรงหน้า

                “ไม่ได้เป็นอะไรเว้ย”

                “แต่มึงมีจุดประสงค์”

                “บอกตามตรงว่ามีว่ะ”

                นราวุฒิได้ยินดังนั้นก็วางช้อนกับส้อมลงทันที “พูดมาก่อน ไม่งั้นแดกไม่ลง”

                เปี่ยมโชคเกาหัว เกาหู เกาแก้ม เกามันไปหลายจุดจนไม่รู้จะเกาอะไรแก้เขินแล้ว “คือกูจะจีบเกย์คนหนึ่ง มึงสอนกูจีบเขาหน่อยสิ”

                “ก็แค่นี้แหละได้เวร อ่ำอึ้งอยู่ได้” พอพูดออกไปแล้วนราวุฒติก็ขมวดคิ้วจนเป็นปมใหญ่ “มึงเป็นเหี้-ไรไปแล้ววะเนี่ย”

                ชายหนุ่มยิ้มรับคำด่าแต่โดยดี “ในฐานะที่มึงเป็นเกย์มึงก็สอนเทคนิคการอ่อยให้กูหน่อยเถอะ”

                นราวุฒินั้นชอบเพศเดียวกันมาตั้งแต่จำความได้ และยอมรับกับครอบครัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เริ่มมีแฟนคนแรก โชคดีที่พ่อแม่และน้องชายก็เข้าใจ แต่ส่วนใหญ่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ จะรู้ก็ต่อเมื่อเขาบอกว่ามีแฟนเป็นผู้ชายนั่นแหละ

                “ไม่ๆ” นราวุฒิส่ายหน้าดิก “มึงบอกกูมาก่อน มึงไปแดกอะไรผิดสำแดงมาวะ”

                “กูแค่อยากลองดู”

                “อย่ามาตอแหล”

                “โอเค ไม่ตอแหลก็ได้ แต่กูขอเวลาส่งข้อความไปขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อน” เปี่ยมโชคกดส่งข้อความถึงช่อพิกุลทันที โชคดีที่อีกฝ่ายตบกลับมาโดยเร็ว ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด...

                “กูจำได้อยู่ เพื่อนมึงที่อยู่อีกคณะที่ตอนแรกกูเข้าใจว่าเขาเป็นแฟนมึง”

                “คนนั้นแหละ”

                “เรื่องแม่งเหี้-มากจริง ชอบผู้ชายแล้วไปแต่งกับผู้หญิงเขาทำไมวะเนี่ย”

                “อันนี้กูกับช่อก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ”

                “แต่อันนี้ไม่พีคเท่าเพื่อนมึงนะ เรื่องรับได้กูไม่สงสัย เพราะผู้หญิงบางคนเขาก็โอเค ถ้าผัวจะได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่เพื่อนมึงเนี่ยรู้ว่าเขานอกใจแล้วก็ยังคิดจะรั้งไว้อีกเหรอวะ”

                “มึงอย่าเพิ่งใส่อารมณ์ เพื่อนกูเขาก็รักมาตั้งนาน แต่เพิ่งจะรู้ว่าผัวเป็นเกย์ มึงใจดีกับเขาหน่อย”

                “เป็นกูหน่อยไม่ได้ ตายกันไปข้างหนึ่งแน่ ถ้ามานอกใจแบบนี้”

                “...” น้ำเสียงใส่อารมณ์ของเพื่อน ทำเอาเปี่ยมโชคสยองแทนใครก็ตามที่อาจจะกำลังคบกับเพื่อนของเขาอยู่หน่อยๆ

                “เอาเป็นให้กูลองจีบแทนดีไหม ตอนนี้กูก็โสดพอดี พวกแย่งผัว แย่งเมียชาวบ้านนี่น่าโดนสักดอก”

                เปี่ยมโชครู้สึกเหมือนมีพระมาโปรด “โอ้ เพื่อนโน่ที่แสนประเสริฐ”

                “ตกลงตามนี้ มึงเอาช่องทางการติดต่อของมันที่พอหาได้มาให้กู เดี๋ยวกูไปเตาะมันเอง ส่วนมึงไอ้ปั้น ไปหาวิธีเรียกสติเพื่อนมึงให้เลิกหลังผัวนิสัยเหี้-ได้แล้ว”

                “เฮ้อ! กูจะพยายาม”

                เมื่อเรื่องทำท่าจะไปด้วยดีแล้ว เปี่ยมโชคก็เบาใจและรายงานผลเรื่องนี้ไปที่ช่อพิกุล ซึ่งในตอนนี้อยู่บ้านอย่างเหงาๆ เพียงลำพัง

                

                เรื่องราวในชีวิตนี้มันก็มักจะไม่เป็นไปอย่างที่คิดอยู่บ่อยๆ นั่นแหละ หลังจากลองพยายามแล้ว เปี่ยมโชคจึงมารายงานผลให้กับช่อพิกุลได้รู้

                ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่นั่งกอดหมอนอิงท่าทางสลดหดหู่ด้วยความสงสาร “เพื่อนเราที่เป็นเกย์ ลองเข้าไปจีบดูแล้วนะ ผู้ชายคนนั้นเขาไม่คิดจะนอกใจแฟนน่ะ” เสียงที่พูดว่าแฟนเบาลง เพราะแฟนที่ว่านั้นหมายถึงธันวานั่นเอง

                “อืม”

                เปี่ยมโชคไม่อยากทนเห็นอะไรแบบนี้จริงๆ “บางทีเขาอาจจะไม่ชอบสไตล์เพื่อนเรา ถ้ายังไงเดี๋ยวเราลองจีบเองก็ได้”

                ช่อพิกุลเงยหน้าขึ้นสบตากับเปี่ยมโชค “พอเถอะนะปั้น บางทีพวกเขาคงรักกันมาก” น้ำเสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

                “แล้วจากนี้จะเอายังไงต่อ”

                หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ “เราจะลองคุยกับพี่เขาตรงๆ ว่าตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าพี่เขาชอบผู้ชายด้วยกัน ส่วนจะยังไงต่อก็อาจจะต้องมานั่งคุยกันอีกที”

                “ถ้ามีอะไร ก็ปรึกษาเรานะช่อ จะมาร้องไห้หรือจะมาบ่นกับเราก็ได้” พอเห็นท่าทางเหมือนยอมแพ้แล้วของเพื่อนแบบนี้ เปี่ยมโชคก็ไม่รู้สึกใจไม่ดีเลย

                “ถ้ามีอะไรเราจะบอกนะ ยังไงเราก็ต้องนึกถึงปั้นเป็นคนแรกอยู่แล้ว” ช่อพิกุลลุกขึ้น “เรากลับก่อนนะ สงสัยว่าแฟนพี่ธันว์เขาไม่ว่าง พี่ธันว์เลยส่งข้อความมาหาเราว่าจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกัน”

                เปี่ยมโชคลุกขึ้นเดินไปส่งหญิงสาวออกจากร้านเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เดินไปส่งจนถึงรถที่จอดอยู่เลยทีเดียว เพราะเป็นห่วงมากจริงๆ

                “ขับรถดีๆ นะ อย่าขับเร็ว แล้วก็อย่าใจลอยจนลืมดูสัญญาณไฟแดงล่ะ”

                ช่อพิกุลหันมาพยักหน้าก่อนจะขึ้นรถและขับออกไปไกลจนลับสายตา เปี่ยมบุญถึงได้กลับเข้าไปนั่งอยู่ในร้าน ซึ่งเขามักใช้เป็นที่นัดพบกับหญิงสาวก่อนจะกลับบ้านของตัวเองบ้าง เพื่อรอฟังข่าวคราวจากเธอ

                

                สำหรับช่อพิกุลที่เติบโตมาในครอบครัวใหญ่และในฐานะของลูกภรรยาน้อยซึ่งบิดารับมาอยู่ด้วยตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ เพราะภรรยาหลวงอยากมีลูกแต่ตัวเองกลับเป็นหมันนั้นไม่ได้มีชีวิตที่ดีมากนัก เนื่องจากพอเธอมาอยู่ด้วยไม่นานภรรยาหลวงที่เธอจำได้ลางๆ ว่าใจดีมากก็จากไปเสียก่อน ส่วนมารดาแท้ๆ ก็หนีตามผู้ชายไป เธอจึงกลายเป็นเหมือนส่วนเกินของครอบครัวนี้อยากแท้จริง

                บิดาซึ่งเป็นลูกคนโตก็ยุ่งกับงานมาก ส่วนญาติคนอื่นที่อยู่ร่วมบ้านกันก็ไม่ได้นึกเอ็นดูเธอนัก แม้มีย่าที่ค่อนข้างยุติธรรมอยู่บ้างเพราะไม่ปล่อยให้เธออดยากหรือขาดสิ่งใดจนกระทั่งโตขึ้น แต่ว่าความรักและเอ็นดูส่วนใหญ่ก็มีให้แค่หลานผู้ชายคนอื่น

                ช่อพิกุลจำได้ว่าตอนที่มีเรื่องตบตีกับเพื่อนจนถูกเรียกผู้ปกครอง ย่าของเธอด่าเธอซ้ำจนไม่มีชิ้นดี ก่อนจะสั่งให้ย้ายโรงเรียนเพราะถือว่าเธอทำเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้าและคาดโทษไว้ว่าหากทำตัวแบบนี้ที่โรงเรียนใหม่ เธอจะต้องออกจากโรงเรียน

                ตอนนั้นมีแค่ธันวาที่คอยอยู่ข้างกันเพราะเขารู้สาเหตุที่เธอมีเรื่องกับเพื่อน ทั้งคอบปลอบใจและโทรมาหาทุกวัน ถึงจะย้ายโรงเรียนแล้วก็ยังคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ โลกทั้งใบของเธอจึงมีแต่ชายหนุ่มเต็มไปหมด

                ดังนั้นเมื่อได้แต่งงาน ความฝันในการมีครอบครัวก็เหมือนเป็นจริงขึ้นมา ใครไม่รักเธอก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เธอมีครอบครัวแสนอบอุ่นเป็นของตัวเองแล้ว เธอจะมีลูกที่น่ารักสักสองสามคน เลี้ยงพวกเขาด้วยความรัก ลูกของเธอจะต้องเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขมีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา

                แต่ทว่า...

                ในวันนี้ความฝันทั้งหมดอาจพังทลายลงก็ได้ หากธันวายอมรับออกมาจากปากว่าเขารักชอบเพศเดียวกันและต้องการหย่ากับเธอ

                หญิงสาวสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของธันมาที่กำลังเดินหาเธอและส่งเสียงเรียก “อ้าว อยู่นี่เองเหรอคะ ทำไมถึงอยู่บ้านมืดๆ ล่ะ” ธันวาเปิดไฟภายในห้องนั่งเล่นจนสว่างและสามารถมองเห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา

                “กลับมาแล้วเหรอคะ” ช่อพิกุลหันไปมองสามีวัยยี่สิบแปดปีที่อยู่กินด้วยกันมาเกือบหนึ่งปีเต็มแล้วในฐานะสามี

                “เป็นอะไรอีกคะเนี่ย ดูเศร้าๆ อีกแล้ว” หญิงสาวเคยคิดว่าเพราะเธอพิเศษมากๆ ธันวาเลยพูดคะขาด้วยกับเธอแค่คนเดียว แต่ในไลน์พวกนั้นเขาก็คะขากับผู้ชายคนนั้น เธอจึงคิดว่าเขาก็แค่พูดเพราะรู้ว่าเธอชอบผู้ชายพูดคะขาก็เท่านั้นเอง เธอไม่ได้พิเศษอะไร

                “พี่ธันว์รักช่อไหมคะ”

                “รักสิ” คำว่ารักของธันมาที่ออกมานั้นฟังดูไม่หนักแน่นเลยในความรู้สึกของช่อพิกุล มันเหมือนก็แค่พูดออกไปให้มันจบๆ ก็พอ

                “จริงเหรอคะ”

                “ก็จริงสิ ถ้าไม่รักช่อแล้วจะให้พี่ไปรักใครได้” ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน ท่าทางอบอุ่นของธันวาเคยทำให้ช่อพิกุลหัวใจพองโต แต่หลังจากได้อ่านบทสนทนาที่เต็มไปด้วยการบอกรักและคิดถึงพวกนั้น ทุกอย่างในตอนนี้มันก็แค่คำหลอกลวงน่าโมโห

                “นั่นสิคะ พี่จะไปรักผู้หญิงอื่นที่ไหนได้อีก แต่ถ้าเป็นคุณเดชสิทธิ์ก็ได้ใช่ไหมคะ”

                ใบหน้าซึ่งกำลังยิ้มแย้มนิ่งขรึมขึ้นทันตา “คุณเดชเขามาเกี่ยวอะไรด้วยฮึ”

                “แน่นอนค่ะว่าเกี่ยวมากๆ” ช่อพิกุลสบตากับธันวา “เขากับพี่ธันว์เป็นมากกว่าหัวหน้ากับลูกน้องใช่ไหมคะ”

                ธันวาเลิกคิ้วสูง “เป็นมากกว่าหัวหน้ากับลูกน้องคืออะไรคะ”

                “พี่ธันว์อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลยค่ะ” ในน้ำเสียงของช่อพิกุลเริ่มมีความโมโหเจือปน

                “ใจเย็นก่อนนะช่อ อธิบายพี่มาดีๆ ก่อนค่ะ อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย” ชายหนุ่มพยายามปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและขยับเข้ามาโอบเอวหญิงสาว แต่เธอกลับปัดมือของเขาออกจนทำให้เขาได้แต่ขมวดคิ้ว

                “พี่ธันว์ชอบผู้ชายด้วยกันใช่ไหมคะ พี่ธันว์ไม่ยอมมีอะไรกับช่อก็เพราะพี่ธันว์ไม่ทำแบบนั้นกับผู้หญิง”

                ชายหนุ่มนิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมา ธันวาขำอยู่เกือบนาทีท่ามกลางความงุนงงของช่อพิกุล 

                “ไปฟังใครเขาพูดมาเหรอคะว่าพี่ชอบผู้ชายด้วยกัน”

                “ไม่มีใครบอกหรอกค่ะ ช่อรู้ด้วยตัวเอง”

                “แต่ช่อเคยปกป้องพี่เพราะมีคนมาว่าพี่ชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่เหรอ” ธันวามองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

                “พี่ธันว์ไม่ต้องมาหลอกช่อแล้ว” น้ำตาใสๆ รื้นขึ้นมาเต็มขอบตาของช่อพิกุล “มันไม่มีผู้ชายสองคนที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันจะมาบอกรัก บอกคิดถึงกันตลอดเวลาหรอกนะคะ ไหนจะภาพลามกที่พี่ส่งหากันอีก”

                “ช่อแอบดูไลน์พี่เหรอ” น้ำเสียงของธันวาติดจะโกรธขึ้นมาบ้างเหมือนกัน “ไหนก่อนคบกันพวกเราเคยตกลงกันว่าจะไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของกันและกันไงคะ”

                “ถ้าพี่ธันว์ไม่นอกใจ ช่อก็ไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ”

                “แต่พี่ยังไม่เคยก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของช่อเลยนะ แล้วทำไมถึงมายุ่งความเป็นส่วนตัวของพี่” ธันวาขยับถอยออกห่างจากช่อพิกุล

                “แล้วช่อมีอะไรปิดพี่ด้วยเหรอคะ ช่อไม่เคยปิดบังอะไรพี่ธันว์เลยนะคะ”

                ธันวากัดฟันกรอด แต่สุดท้ายก็พยายามระงับอารมณ์และพูดด้วยน้ำเสียงปลบประโลม “ช่อเข้าใจผิด”

                “เข้าใจอะไรผิดคะ หนูไม่ใช่เด็กห้าขวบนะ” 

                “ผู้ชายบางทีก็ทำอะไรทะลึ่งตึงตังกันแบบนี้แหละ แต่พี่กับคุณเดชไม่มีอะไรจริงๆ”

                “พี่ธันว์คิดว่าบนหัวช่อมีเขาหรือไง ถึงกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา” ช่อพิกุลลุกขึ้นยืนและถอยห่างจากสามีที่ทำท่าจะขยับเข้ามาหา 

                “ช่อพี่ว่าเรามานั่งคุยกันดีๆ ก่อน” ธันวาลุกขึ้นตามและพยายามจะดึงตัวหญิงสาวมาก่อน แต่อีกฝ่ายก็ทำท่าจะหนีไปถ้าเขาเข้าไปใกล้เกิน

                “ช่ออยากหย่าค่ะ”

                ธันวามีสีหน้าลำบากใจ “หย่าไม่ได้นะช่อ เราเพิ่งจะแต่งงานกันไม่นานนี้เอง อีกอย่างแม่พี่ก็ชอบช่อมาก ท่านจะคิดยังไง”

                “นั่นมันก็เรื่องของพี่ที่ต้องไปอธิบายกับคุณแม่”

                “ช่อ” น้ำเสียงของธันวาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน “แม่พี่มีเรื่องกลุ้มใจมากพออยู่แล้ว ทั้งเรื่องคุณพ่อ ทั้งเรื่องหนี้สินของที่บ้าน ถ้ายังมีเรื่องเราหย่ากินอีก แม่พี่คงรับไม่ไหว”

                ช่อพิกุลส่ายหัวเบาๆ “ถ้าไม่ยอมหย่าดีๆ หนูก็จะฟ้องหย่า”

                “ช่อ...พี่ขอร้อง”

                “ถ้ายอมหย่าแต่โดยดี เรื่องที่พี่ชอบผู้ชายด้วยกันหนูก็จะไม่พูด แต่ถ้าไม่ยอมเราก็เจอกันที่ศาลค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงของช่อพิกุลทำเอาธันวาหมดกำลังใจจะกล่อมให้อีกฝ่ายยังคงยอมเป็นสามีภรรยากันต่อ

                แต่ธันวาก็อยากจะลองคว้าโอกาสเป็นครั้งสุดท้าย...

                “ถ้าพี่ยอมเลิกติดต่อกับคุณเดชล่ะ”

                ช่อพิกุลจ้องธันวานิ่ง ค้นหาความจริงใจจากดวงตาที่ตอนนี้กำลังมีน้ำตาเอ่อคลอน่าสงสาร จิตใจของเธออดหวั่นไหวไม่ได้เลย 

                “ถึงพี่จะเลิกกัน แต่คุณเดชก็ยังทำงานอยู่กับพี่ที่บริษัทเหมือนเดิม แล้วช่อจะไว้ใจได้ยังไงว่าพวกพี่จะไม่กลับไปคบกันอีก”

                “ให้โอกาสพี่เถอะนะช่อ แค่ครั้งเดียว พี่จะไม่กลับไปยุ่งกับเขาอีก”

                ความตั้งใจในตอนแรกว่ายังไงก็ต้องหย่าให้ได้เริ่มหวั่นไหวคลอนแคลน อีกทั้งที่ผ่านมาธันวาก็ดีกับเธอมาตลอด ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

                “พี่จะให้เขาลาออกไปทำงานที่อื่น โดยเร็วที่สุด”

                “หนึ่งอาทิตย์ค่ะ”

                “...” ธันวากำมือแน่น ลุ้นคำตัดสินโทษของตัวเอง

                “เขาจะต้องออกไปจากบริษัทภายในหนึ่งอาทิตย์”

                “ได้สิ” น้ำเสียงของธันวามีความโล่งใจ “เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมใช่ไหมช่อ”

                “เหมือนเดิมยังไงคะ” ช่อพิกุลเม้มปากแน่น “เป็นพี่กับน้องใช่ไหม เพราะยังไงพี่ก็ไม่มีทางมีอะไรกับช่อในฐานะสามีภรรยาได้”

                “คือพี่...” ธันวาอึกอัก “พี่ขอโทษ”

                ช่อพิกุลมองอนาคตระหว่างพวกเขาไม่ออก แต่เพราะเธอยังตัดใจไม่ได้ ทุกอย่างจึงลงเอยแบบนี้ หญิงสาวทิ้งธันวาไว้ที่ห้องนั่งเล่น เธอเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง ก่อนกดโทรหาเปี่ยมโชค

              “โทรมารายงานเรื่องสามีของเธอใช่ไหม”

                “ใช่”

                “สรุปว่า...”

                “ไม่หย่า พี่ธันว์บอกว่าจะเลิกกับผู้ชายคนนั้น เราจะลองให้โอกาสพี่เขาดูสักครั้ง”

                “...”

                “เรารู้นะว่าปั้นคิดอะไรอยู่” ช่อพิกุลหัวเราะด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อน 

                “เรื่องโง่ไม่เท่าไหร่ แต่เธอจะยอมเจ็บต่อไปทำไม”

                “เราตัดใจจากพี่ธันว์ไม่ได้”

                พอพูดจบปลายสายก็เงียบไปทันที เงียบนานจนช่อพิกุลต้องถามว่ายังอยู่ในสายหรือเปล่า ก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะดังกลับมา

                 “โกรธจนหัวเราะเลยเหรอ” ช่อพิกุลรู้ว่าเพื่อนคงด่าตัวเองอยู่ในใจ แต่เพราะตอนนี้เธอยังตัดใจไม่ได้จริงๆ

                “อยากด่าด้วย”

                “ด่าก็ได้ แต่อย่าแรงนะ เราใจบาง” ช่อพิกุลยิ้มทั้งน้ำตา “ขอบใจนะปั้นที่คอยช่วยเราตลอดเลย”

                “ไม่เป็นไร ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ แต่วันหน้า อยากให้เธอรู้ไว้ว่าเรื่องเดียวที่เราจะช่วยคือหาทนายฟ้องหย่าให้เธอนะเข้าใจไหม แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นแล้วเกี่ยวกับมัน เราจะไม่ช่วย”

                “ได้” หญิงสาวพยักหน้ากับโทรศัพท์ 

                หลังจากวางสายจากเปี่ยมโชคแล้ว หญิงสาวก็ได้แต่นั่งเหม่อลอย คิดถึงตอนเธอยุให้เพื่อนคนหนึ่งในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเลิกกับแฟนที่ชอบทำร้ายร่างกายตอนทะเลาะกัน พอเป็นเรื่องของคนอื่นก็ดูง่ายดายเหลือเกิน ก็แค่เลิกไป แต่พอเป็นคราวของตัวเอง ทำไมถึงยากจะตัดใจได้ถึงขนาดนี้

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×